วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 23:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2011, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 09:16
โพสต์: 158

แนวปฏิบัติ: พุธโท
งานอดิเรก: นั่งสมาธิ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรัชญา
ชื่อเล่น: T^^T
อายุ: 23
ที่อยู่: ลำปาง

 ข้อมูลส่วนตัว


ในปัจจุบันนี้มักจะได้ยินคนพูดคนสมัยนี้ไม่ค่อยเข้าวัด ห่างเหินจากวัด แต่ถ้าเรามาพิจารณาดูดีๆแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นเพราะวัดเองที่ทำให้คนไม่อยากเข้า วัดบางวัดมีหลวงตาแกๆอยู่รูปเดียว บางวัดก็มีสองสามรูปพระเองก็ไม่มีคุณภาพพระที่มีคุณภาพหน่อยท่านก็ไม่อยู่เพราะอยู่แล้วไม่มีอนาคต พระที่อยู่ก็ไม่สามารถที่จะอบรมสั่งสอนชาวบ้านได้ แถมต้องทำตามที่กำการวัดต้องการจะขัดไม่ได้ถ้าขัดต้องมีเรื่องกัน พระท่านเองก็ไม่มีบารมีที่จะดึงศรัทธาญาติโยมให้เข้าวัด วัดเองก็ไม่มีสิ่งดึงดูดให้คนเข้าวัด บางวัดสกปรกหมาขี้เลื้อนเต็มวัด ญาติโยมเองเข้าวัดมาก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะไม่มีพระเป็นผู้นำพาทำโน้นพาทำนี้ บางวัดที่มีทิวทัศน์ร่มรื่นหน่อยก็กลายเป็นที่จู๋จี๋ของวัยรุ่นไป ในทางกลับถ้าวัดใหนที่มีการจัดระเบียบที่ดี พระปฏิบัติดี มีพระเป็นผู้นำคอยทำพาทำโน้นทำนี้วัดนั้นก็จะมีญาติโยมเข้าเยอะ เช่น วัดทองเนียม ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการที่คนไม่ค่อยเข้าวัดเพราะวัดไม่น่าเข้า :b22: :b22: :b22: :b22: :b22: :b22: :b22:

.....................................................
ดูก่อu!!!ภิกษุทั้งหลาย!!!คนพาลเขากลัวยากจนจึงไม่รู้จักขวนขวายในการให้ทาน!!!ส่วนบัณฑิตชนเขากลัวยากจนจึงรู้ขวนขวายในการให้ทาน!!!


แก้ไขล่าสุดโดย สัจจะธรรมของชีวิต เมื่อ 24 พ.ค. 2011, 08:16, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 00:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:

เพราะคนไม่รู้...ไม่รู้อันไหนบาปอันไหนบุญ....คนจึงไม่เข้าวัด

แต่ที่..วัดไม่น่าเข้า....เพราะคนไม่รู้อยู่ในวัด

:b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 01:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:01
โพสต์: 54

แนวปฏิบัติ: สติปัฏฐาน4
งานอดิเรก: ร้อยลูกปัด
ชื่อเล่น: พลอย
อายุ: 22
ที่อยู่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


คนไม่เข้าวัด เพราะ ยังไม่เห็นความสำคัญด้านจิตใจมากนัก
จะเข้าวัดมากขึ้นเมื่อเจอความทุกข์ในชีวิต

วัดไม่น่าเข้า เพราะบ้างทีธรรมะก็ดูซับซ้อนเกินกว่าที่จะเข้าใจและมีคนเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว ขึ้นกับวิธีการสอน ว่าจะประยุกต์อย่างไร ให้ธรรมะและคนในแต่ละยุคสมัย เข้าด้วยกันได้ เห็นว่าธรรมะเป็นเรื่องใกล้ตัว พบได้รอบๆตัวเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2011, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อยากให้คนเข้าวัด อนาคตอาจจะต้องตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้
ยังกะร้านเกมส์ ละกระมัง
ให้คนเข้าไปสืบค้นธรรมะ หรือไม่ก็พระไตรปิฏก
หรือไม่ก็มีการดาวน์โหลดธรรมะ ด้วยสื่อ ซีดี ดีวีดี ต่างๆ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2011, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่าความศรัทธานำคนเข้าวัด แต่ว่าวัดที่ไม่พร้อมสมบูรณ์ตัวผมเองก็ไม่กล้าไป แต่เท่าที่เห็นทุกวัดที่ผมไปก็ดีนะ ใส่เงินทำบุญตามศรัทธา ไม่เดือดร้อนเราโดยเฉพาะจิตใจเรา ไม่ทำบุญด้วยเงินก็ไม่มีใครว่าเราหากเราไปไหว้พระด้วยความศรัทธา หากเราไปวัดแต่จิตใจเรายังเดือดร้อนเพราะความเพ่งเล็งตัวเราเองก็มีอกุศลธรรมเกิดขึ้น ไม่สามารถเข้าถึงความศรัทธาต่อธรรมะที่ควรจะได้รับอันตัวเราปราถนาจะให้เกิดขึ้น หากจะถามว่าวัดที่ไม่พร้อมไม่สมบูรณ์เป็นอย่างไรก็ต้องอาศัยการพิจารณาหลายๆด้าน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2011, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจะธรรมของชีวิต เขียน:
:b22: เห็นวัดตามต่างจังหวัดแล้วรู้สึกสงสารวัดจัง บางวัดมีหลวงตาแกๆอยู่รูปเดียว บางวัดก็มีสองสามรูปพระเองก็ไม่มีคุณภาพพระที่มีคุณภาพหน่อยท่านก็ไม่อยู่เพราะอยู่แล้วไม่มีอนาคต พระที่อยู่ก็ไม่สามารถที่จะอบรมสั่งสอนชาวบ้านได้ แถมต้องทำตามที่กำการวัดต้องการจะขัดไม่ได้ถ้าขัดต้องมีเรื่องกัน พระท่านเองก็ไม่มีบารมีที่จะดึงศรัทธาญาติโยมให้เข้าวัด วัดเองก็ไม่มีสิ่งดึงดูดให้คนเข้าวัด บางวัดสกปรกหมาขี้เลื้อนเต็มวัด ญาติโยมเองเข้าวัดมาก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะไม่มีพระเป็นผู้นำพาทำโน้นพาทำนี้ บางวัดที่มีทิวทัศน์ร่มรื่นหน่อยก็กลายเป็นที่จู๋จี๋ของวัยรุ่นไป ในทางกลับถ้าวัดใหนที่มีการจัดระเบียบที่ดี พระปฏิบัติดี มีพระเป็นผู้นำคอยทำพาทำโน้นทำนี้วัดนั้นก็จะมีญาติโยมเข้าเยอะ เช่น วัดทองเนียม ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการที่คนไม่ค่อยเข้าวัดเพราะวัดไม่น่าเข้า :b22: :b22: :b22: :b22: :b22: :b22: :b22:


:b20: น่าสงสารชาวบ้านจัง เข้าไม่ถึงวัด :b6:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2011, 19:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หลายปีมาแล้ว....
ทำงานในป่าในเขา...อาศัยวัดนอน...

อยากคุยปรัชญาชีวิตกับหลวงพ่อ...

แต่เห็นหลวงพ่อหน้าตาเศร้า ๆ..จึงถาม...

ก็ได้ความว่า...ยังไม่มีเจ้าภาพกระฐิน...อยากสร้างโบสก์จะได้เลื่อนขั้น...

อ่อ...วัตถุ
ก็เลยจบข่าว... :b12:

วัดไม่น่าเข้า...เพราะคนไม่รู้อยู่วัด.. :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


อ้างคำพูด:
ขรัวตา...วาสนาน้อย

ท่านกล่าวกับพระเณรเมื่อกลางปี พ.ศ. 2522 ว่า

"...มีเจ้าศรัทธาท่านหนึ่ง จะถวายเงินเพื่อสร้างโบสถ์ทั้งหลัง เรายังไม่อาจรับได้ เคยมีบ้างไหมในประเทศไทย และองค์ไหนที่มีผู้ถวายเงินสร้างโบสถ์ทั้งหลังแล้วไม่รับ นอกจากขรัวตาวาสนาน้อยนี้เท่านั้น จึงไม่อาจรับได้

ที่ไม่อาจรับได้นั้นก็มีเหตุผลเหมือนกัน...ความจริงหลักธรรมที่เราเล็งอยู่ยึดถืออยู่ กราบไหว้บูชาเป็นขวัญใจและเทิดทูนสุดจิตสุดใจอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกธาตุ สิ่งเหล่านั้นเราไม่ได้เทิดทูนเหมือนธรรม เพราะเป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัยไปเป็นวันๆ เท่านั้น ส่วนธรรมเป็นเรื่องใหญ่โตมากที่ต้องรักสงวน

เรื่องการสร้างโบสถ์สำหรับวัดนี้ยังไม่มีความจำเป็น สิ่งใดที่จำเป็นก็ทำสิ่งนั้นเช่น จิตตภาวนาเป็นงานจำเป็นอย่างยิ่ง การทำอุโบสถสังฆกรรมทำที่ไหนก็ได้ ตามร่มไม้ชายเขาที่ไหนก็ได้ ไม่ขัดข้องอะไร ตามหลักพระวินัยจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรขัดข้อง การสร้างโบสถ์สร้างวิหารควรให้เป็นที่เป็นฐานที่เหมาะที่ควร ไม่ใช่จะสร้างดะไปหมด

...การสร้างโบสถ์หลังหนึ่งเป็นยังไง นับตั้งแต่เริ่มแรกตกลงกับช่างในการสร้างโบสถ์เป็นยังไง ถนนหนทางเข้าไปในวัด จนถึงบริเวณที่จะสร้างโบสถ์จะต้องเปิดโล่งตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งถึงวันสร้างโบสถ์สำเร็จ ต้องบุกเบิกไปหมดยิ่งกว่าโรงงาน คนงานก็ต้องมีทั้งหญิงทั้งชายจำนวนมากมายที่จะเข้ามานอนกองกันอยู่นี้ ทั้งช่างทั้งคนงานไม่ทราบมาจากแห่งหนตำบลใด

บางรายหรือส่วนมากก็ไม่เคยรู้เลยว่าศาสนาเป็นอย่างไร พระเณรในวัดท่านปฏิบัติอย่างไร แล้วเขาจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยพอเป็นความสงบงามตาแก่พระเณรในวัดได้ยังไง มันต้องเหมือนกับเอายักษ์เอาเปรตเอาผีเข้ามาทำลายวัดนั่นเอง

ในขณะที่เปิดโอกาสตกลงกันเรียบร้อยแล้วนั้นน่ะ ไม่ว่าผู้คนหญิงชาย รถราต่างๆ ต้องเข้าต้องออกกันตลอดเวลา ประตูวัดปิดไม่ได้เลย และสถานที่ที่จะสร้างโบสถ์ขึ้นมาให้เป็นของสง่างามแก่วัดแก่พระสงฆ์ในวัด แต่พระเณรกลับตายกันหมดจากจิตตภาวนา จากมรรคผลนิพพาน ที่ควรจะได้จะถึงจากสมณธรรม...คือจิตตภาวนาแล้ว จะเอาอะไรมาเป็นความสง่างามอร่ามตา

"ลองพิจารณาดูซิ นี่เราคิดอย่างนั้น และพูดอย่างนี้นะ จะเป็นความคิดผิดพูดผิดหรือถูกประการใดบ้าง ?..."


:b44: :b8: :b8: :b8: :b44:


http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... c&start=20

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2011, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


เราคิดว่า คนที่จ้องแต่จะเข้าวัด เข้าใจว่าบุญอยู่ในวัด ต้องไปเอาบุญกับพระ ก็ยังเข้าใจผิดอยู่ เมื่อวัดไม่น่าเข้าจึงโทษวัด

สมัยพุทธกาลก็ไมไ่ด้มีวัดอะไรใช่ไหม เพราะบุญนั้นอยู่ที่ตัวเรา สำหรับเรา คิดว่า การได้พบสมณะผู้สันโดษนั้นเป็นลาภอันประเสริฐ พบสมณะ...อาจไมไ่ด้เจอที่วัดก็ได้ และก็เป็นลาภ...คือ ถ้าไม่เจอเลยตลอดชีวิตก็ถือว่าเราวาสนาน้อยเอง แต่ถ้าได้พบ...คือ ลาภอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง

อย่าเอาภาระ ควมคาดหวังฯลฯ ไปฝากไว้กับคนที่วัดเลย เขาเองก็ยังสุขๆ ทุกข์ๆ เหมือนเรานี่ เข้มแข็งและดำเินินตนตามหลักที่พระพุทธองค์วางไว้ให้ไปเรื่อยๆ ดีกว่าค่ะ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2011, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
วัดไม่น่าเข้า...เพราะคนไม่รู้อยู่วัด..


เป็นเรื่องที่น่าสลดใจมากครับ

ผมเห็นว่าอีกประเด็นที่ทำให้วัดไม่น่าเข้า ซึ่งเป็นอีกด้านของสิ่งที่คุณกบได้ชี้แจงไว้แล้วก็คือ

"วัดไม่น่าเข้า เพราะเราคนนอกไม่รู้ ว่ามีคนไม่รู้อยู่ในวัด"

นั่นคือ เราเห็นว่าวัดไม่น่าเข้า เนื่องจากความเข้าใจผิดของตัวเราเอง

หลายๆคน รวมถึงตัวผมเองในอดีตชอบมองว่า พระต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ต้องมีศีลธรรมสูง และจะคาดหวังว่าพระทุกรูปต้องมีลักษณะตามที่กล่าวนี้ เมื่อเห็นข่าวพระปฏิบัติไม่น่าเลื่อมใส หรือทำผิดศีลธรรม ศรัทธาจึงสั่นคลอนอย่างรุนแรง พาลมองว่าวัดไม่น่าเข้า หรือซ้ำร้ายมองว่าศาสนาเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงไป

แต่ในความเป็นจริง พระ ก็คือคน ย่อมมีหลายหลากแตกต่างกันไป พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็มีอยู่ และพระที่ปฏิบัติไม่ดีไม่ชอบก็ย่อมมีอยู่เช่นกันเป็นธรรมดา ยิ่งศาสนาเป็นที่สงบร่มเย็น ย่อมเป็นที่ดึงดูดต่อทั้งผู้มีสัมมาทิฏฐิให้เข้ามาศึกษา และผู้มีมิจฉาทิฏฐิให้เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

เราเรียกพระรวมๆว่าพระภิกษุ ทั้งที่จริงๆแล้ว คำว่าภิกษุ แปลว่า "ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร"

นั่นหมายความว่า จริงๆแล้ว พระ ไม่จำเป็นต้องเป็นภิกษุ และผู้เป็นภิกษุก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพระ

ควรแยก "ภิกษุ"ออกจาก "พระ" และเมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเรื่องร้ายๆเกี่ยวกับ "พระ" ก็จะเข้าใจเองว่า มันเป็นเช่นนั้นเองเป็นธรรมดา เรื่องธรรมดาเหล่านั้นมีมา และจะมีอยู่ไปตลอด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเรื่องเหล่านั้นจะมีหรือไม่มีก็ตาม วัดในใจเรายังคงงดงาม ศาสนาในใจเรายังคงงดงามดังเดิม

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2011, 18:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ...คุณ Hanako..
อ้างคำพูด:
อย่าเอาภาระ ควมคาดหวังฯลฯ ไปฝากไว้กับคนที่วัดเลย

ใช่ครับ...ดูที่ตัวของเราดีที่สุด..

สาธุ...คุณ คนธรรมดาๆ..

อ้างคำพูด:
หลายๆคน รวมถึงตัวผมเองในอดีตชอบมองว่า พระต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ต้องมีศีลธรรมสูง และจะคาดหวังว่าพระทุกรูปต้องมีลักษณะตามที่กล่าวนี้

ก็เพราะยังพึ่งตัวเองไม่ได้....จึงหันไปพึ่งผู้อื่น...พอไม่ได้อย่างใจ..ก็โทษคนอื่น...ไม่ดูโทษของตัว

เป็นธรรมดา...

แต่อีกแง่มุมหนึ่ง...

เราก็อยากให้ศาสนาเจริญเน๊าะ....ลูกหลานเหลนโหลนจะได้พบพระพุทธศาสนาอย่างเรา....เดียวเราก็ตายแล้ว...ไม่ได้อยู่สอนเขาหรอก..

ตะเกียงแก้ว เขียน:


"คนไม่รู้ อยู่วัด" ทำอย่างไรให้คนรู้ อยู่วัด ?


:b3: :b3: :b3:
ช่าย....ว่าแต่เขา...งั้ยเราไม่ทำ... :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2011, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 09:16
โพสต์: 158

แนวปฏิบัติ: พุธโท
งานอดิเรก: นั่งสมาธิ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรัชญา
ชื่อเล่น: T^^T
อายุ: 23
ที่อยู่: ลำปาง

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ววัดมีไว้เพื่ออะไรครับ มีไว้เป็นที่ปล่อยหมาหรอ :b10:

.....................................................
ดูก่อu!!!ภิกษุทั้งหลาย!!!คนพาลเขากลัวยากจนจึงไม่รู้จักขวนขวายในการให้ทาน!!!ส่วนบัณฑิตชนเขากลัวยากจนจึงรู้ขวนขวายในการให้ทาน!!!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2011, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
แล้ววัดมีไว้เพื่ออะไรครับ มีไว้เป็นที่ปล่อยหมาหรอ


วัดสำหรับบางคนมีไว้เป็นที่หลบหลีกจากความวุ่นวายทางโลกเพื่อการศึกษากายใจ เพื่อยกระดับจิตใจตนเองให้สูงขึ้น
วัดสำหรับบางคนมีไว้เป็นที่พึ่งพิงเมื่อยามทุกข์ใจ เมื่อใจทุกข์เกินทน เดินต่อไม่ไหว ก็เข้าไปพักใจในวัด เมื่อพอมีกำลังแล้วจึงออกมาสู้โลกต่อไป
วัดสำหรับบางคนมีไว้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมตามที่ตนเองเลื่อมใส เชื่อว่าทำแล้วจะได้คุณ ทำแล้วจะได้ประโยชน์แก่คนเอง
วัดสำหรับบางคนมีไว้เป็นที่ประกอบอาชีพ เป็นตลาดค้าขาย แสวงหาผลกำไรเพื่อเลี้ยงชีวิต
วัดสำหรับบางคนมีไว้เป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ซึ่งเก็บเกี่ยวเอาจากความศรัทธาของผู้อื่น

วัด ก็คล้ายๆโรงเรียน

สำหรับครู โรงเรียนคือที่เราจะสอนหนังสือ อบรมเด็กรุ่นต่อไปให้มีความรู้ให้เป็นคนดี
สำหรับเด็ก โรงเรียนคือที่เราจะไปเรียนรู้ ไปเจอเพื่อนๆ ไปเจอครูอาจารย์ เป็นที่ๆดีงาม
สำหรับผู้บริหารโรงเรียน โรงเรียนคือแหล่งรายได้
สำหรับเด็กเกเร โรงเรียนก็คงเป็นสถานที่ไร้ประโยชน์ น่าเบื่อ น่ารังเกียจ

โรงเรียนเดียวกันแท้ๆ แต่ต่างคนมองเห็นภาพโรงเรียนต่างกัน

สุดท้าย วัดก็คือสถานที่

สถานที่ดีหรือไม่ดีด้วยตัวเองไม่ได้หรอก สถานที่จะดีไม่ดี จะเป็นที่ชอบใจไม่ชอบใจ อยู่ที่ใจของคนมองเองต่างหาก

ท่านก็ถามใจท่านเถอะ ว่าวัดในสายตาของท่าน เป็นสถานที่อย่างไรกันแน่

มีประโยชน์อื่นหรือไม่ หรือว่าเอาไว้ปล่อยหมาอย่างเดียว

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2011, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: แค่นึกอยากจะเล่า แถวบ้านก็มีอยู่4-5วัด อยากทำบุญ ก็ต้องทำใจไปก่อนเหมือนกัน แทบทุกวัดนั่นแหละ แต่ก็ยังทำเป็นปกติ และก็ทำเยอะเสียด้วย เพราะแก่แล้วกระมัง
.......วัดหนึ่ง ทีไปวัดดังเสียด้วย ผู้ใต้บังคับบัญชาแนะนำ เราก็ไม่รู้จัก ไปถึงก็ซื้อถังสังฆทานเตรียมไว้
คนเยอะมาก ถือถังสังฆทานรอกันเป็นกลุ่มๆ สักพักก็มีเจ้าหน้าที่ของวัดมาต้อนให้ไปนั่งพับเพียบในศาลาเล็กๆ สัก20คนเห็นจะได้ (ถือถังสังฆทานทั้งหมด) แล้วจู่ก็มีพระผู้ช่วย(เข้าใจเอาเอง) ลากผ้าเหลืองผืนใหญ่มาก มาคลุมพวกเราทั้ง20คนไว้ (เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรตกกระไดพลอยโจนแล้ว) คลุมเสร็จ ท่านก็สวดกันพึมพำเลย ไม่รู้ว้าสวดอะไร สักพัก ก็มีคนมาดึงผ้ายักษ์นั้นออกไป แล้วบอกว่า หลวงพ่อท่านได้เปลี่ยนชีวิตให้ทุกคนเป็นชิวิตใหม่แล้ว(อะไรทำนองนี้) เอาสังฆทานไปถวายได้ เราถวายเสร็จก็กลับ ในใจอยากจะถามท่านเหมือนกันว่าทำไมไม่ถามเราก่อนว้าเราอยากเปลี่ยนไหม เพราะที่มาวัดนี้ต้องการแค่มาทำบุญ อันนี้ คนอื่นจะคิดอย่างไรไม่รู้ เราเสียดายปูน เสียดายกระเบื้อง อยู่ในใจเหมือนกัน.....
.........วัดที2 วันนั้นเราตั้งใจไปถวายสังฆทานอีก เราเป็นคิวที่ 4 คนแรกเข้าไปหาหลวงพ่อ ได้ยินเขาถามและโต้ตอบกัน ทำนองว่าที่บ้าน มีเสาตกน้ำมันอยู่กลางบ้านจะเป็นอะไรไหม โต้ตอบกันไปสักพักก็ถอยออกมา คนที่2 เข้าไป ถามเรื่องทำนองว่า ที่บ้านมีฤาษี อยู่2ตน ตนหนึ่งหาพบแล้ว เอาออกจากบ้านไปแล้ว แต่อีกตนยังหาไม่พบ จะเป็นอะไรไหม คนที่3 เข้าไปอีก ถามเรื่องล้อเกวียนโบราณ ที่อยู่กลางลานหน้าบ้าน จะทำให้เดือดร้อนอะไรไหม เราคิวที่4 เตรียมอาหารประณีต จีวร คิลาเภสัช อย่างดีชุดใหญ่ไป เพื่อถวายสังฆทาน ได้เห็นวัตถุประสงค์ในการเข้าวัด ของพุทธบริษัท แต่ละท่านแล้ว ไม่รู้จะไทษพระหรือโทษโยมดี วัดไม่น่าจะเกี่ยวนะ เกี่ยวแค่พระกับโยมน่าจะถูกกว่า ก็พิจาณรากันดู
........เอาอีกวัด วัดนี้ดังมาก สมภารย์ รับบทแทนพระทั้งวัด ใครมาทำสังฆทานหลวงพ่อรับเอง
ท่านคุยเก่งมาก เป็นกันเองญาติโยมติดเยอะ วันนั้นเราไปทำสังฆทาน คนก่อนหน้าเรา ทำงานขายรถยนต์ อะไรทำนองนี้ หลวงพ่อท่านก็ถามดังๆ ได้ยินกันทั่วนั่นแหละ ว่าดาวน์ เท่าไร ผ่อนยัง อย่างหลวงพ่อนี้ ซื้อได้ไหม อะไรทำนองนี้ คนที่สองก็เข้ามา เป็นสาวโรงงาน ก็ถือพระปิดตามาองค์หนึ่ง บอกว่าเป็นของตกทอด ให้หลวงพ่อช่วยเบิกเนตร(เปิดตาให้หน่อย) ท่านก็รับไปทำปากขมุบขมิบแล้วส่งคืนให้ บอกเบิดเนตรให้แล้ว เอาไปบูชาได้ เรานั่งใกล้ๆก็คิดจะถามเล่นขำๆว่าหลวงพ่อไปเปิดตาท่าน หลวงพ่อทราบหรือไม่ว่าอาจารย์ที่สร้าง ท่านไปปิดตาไว้ทำไม อีกคนไปปิดไว้ อีกคนมาเปิดจะให้เราเชื่อใครดี
...นี่แหละเรื่องวัด ที่อยากเล่า...ก็ไปพิจารณากันดู เจโตวิมุตื/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2011, 20:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9: :b9:
อ่านแล้ว..ก็มีความสุข..อีกแบบ

:b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 125 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร