วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 03:20 
 



 


อยากจะตั้งจิตให้ผ่องใส บางทีสวดมนต์แบบตั้งมั่นแต่ก็มีภาพนั้นๆผุดขึ้นมา เหมือนบังคับอัติโนมัติ ให้ผุดขึ้นมาเอง โดยที่เรายังไม่ได้คิดอะไรเลย เครียดมากไม่รู้จะแก้ไขปัญหานี้ยังไง เพราะบางทีก็แทบไม่กล้าจะสวดมนต์เพราะกลัวบาปT^T เพราะมีภาพอะไรแบบนี้โผล่มา เห้ออ ทำไงดีครับ/ค่ะ ผู้รู้ช่วยแจ้งด้วยนะครับ/ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 00:34
โพสต์: 9

โฮมเพจ: -
แนวปฏิบัติ: แบบเคลื่อนไหว สายหลวงพ่อเทียน
งานอดิเรก: ฟังเพลง
สิ่งที่ชื่นชอบ: หลายเล่ม
ชื่อเล่น: เก่ง
อายุ: 20
ที่อยู่: @kku

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่ามันเป็นสิ่งที่เราเคยทำไว้ก่อนในอดีตแล้วจิตมันยังจำไว้แน่นโดยที่เราไม่รู้ตัวพอเราเริ่มภาวนาแล้วมักจะมีภาพพวกนี้ผุดขึ้นมา เป็นแค่มารผจญ มันเป็นธรรมดาครับ มีท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า "เวลาภาวนาแล้วมีมารมาผจญให้สู้จนถึงที่สุด สู้แค่ไหน สู้แค่ตาย s007 "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 16:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 11:59
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเล่าแบบประสพพบเห็นแล้วกันครับ เมื่อสวดมนต์ผมก็เคยเป็นรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ข้างๆ ผมใช้วิธีกางหนังสืออ่านนะครับ จิตใจเราจะได้อยู่ที่หนังสือธรรม แล้วก็สวดบทยากๆที่ไม่เคยสวดบ้าง ส่วนการกำหนดจิตแล้วมีภาพอบายมุขเกิดขึ้นก็ใช้อธิษฐานช่วยนะครับ โดยอธิษฐานว่าข้าพเจ้าจะทำแต่ความดีขอให้ความดีคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยครับ ก็แสดงความคิดเห็นเท่านั้นนะครับ เพราะไม่ใช่คนเก่งครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


aa เขียน:
อยากจะตั้งจิตให้ผ่องใส บางทีสวดมนต์แบบตั้งมั่นแต่ก็มีภาพนั้นๆผุดขึ้นมา เหมือนบังคับอัติโนมัติ ให้ผุดขึ้นมาเอง โดยที่เรายังไม่ได้คิดอะไรเลย เครียดมากไม่รู้จะแก้ไขปัญหานี้ยังไง เพราะบางทีก็แทบไม่กล้าจะสวดมนต์เพราะกลัวบาปT^T เพราะมีภาพอะไรแบบนี้โผล่มา เห้ออ ทำไงดีครับ/ค่ะ ผู้รู้ช่วยแจ้งด้วยนะครับ/ค่ะ


สวัสดีครับ aa
สิ่งทีเห็นเป็นเพราะจิต ไม่ได้ตั้งมั่นในคำสวด และถูกชักจูงออกไปด้วยอำนาจของความติดใจยินดีในกามทียังละไม่ได้ ครับ ไม่ต้องห่วงกังวล ถ้าจิตบริสุทธิ์ผ่องใสตั้งแต่เกิดก็คงไม่ต้องชำระจิตแล้วครับ
บุคคลผู้รู้ว่ายังมีกิเลสที่ยังละไม่ได้ในใจตน แล้วก็รู้ว่ายังละไม่ได้เป็นบุคคลที่ประเสริฐครับ

สวดมนต์ไปเถอะครับ ตั้งมั่นที่บทสวดระลึกถึงพระพุทธรูปที่สวยงาม หรือบทสวดที่สวยงามแทนภาพที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ ก็ได้ครับ นี่เป็นวิโมกข์ ความหลุดพ้นอย่างหนึ่ง ครับ

ต่อเมื่อ คุณ aa เสพภาพที่สวยงามกว่าได้จนเป็นความเคยชิน แทน สามารถทำได้บ่อย ทำได้เนืองๆ
เมื่อนั้นภาพนั้นก็จะค่อยๆ ถูกละออกไปเองครับ พยายายามต่อไป ด้วยความอุตสาหะ ครับ

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 21:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ..คุณเช่นนั้น.. :b8:


1. เป็นปกติครับ...ที่เราทำอะไรมากกว่าย่อมจะถูกคิดเป็นสิ่งแรก ๆ เสมอ...หากไม่ชอบสิ่งนั้น...ก็ให้ลด..ละ..เลิก..สิ่งนั้นซะ..แล้วมาทำสิ่งดี ๆ แทน..นาน ๆ เข้าภาพนั้นก็หายเอง

2. แม้จะทำน้อย..แต่สิ่งที่ทำมันตรึงตาตรึงใจ...ก็มีสิทธิ์จะคิดถึงมันก่อน...อย่างแรกต้องเลิกทำแล้วหมั่นใช้ปัญญาพิจารณาให้เห้นความโสมมของวัฏฏสงสาร..

โสมมยังงัยนะรื...เกิดในวัฏฏสงสารอันมีตัณหาพามาเกิด...เกิดแล้วตัณหามันพาให้เราทำ....ทำแล้วมันพาให้เรายึด...ยึดแล้วก็เกิดภพเกิดชาติ...เกิดในวัฏฏสงสารอีก...อีก...และก็อีก

3. และเรื่องทั้งหมดคือ..จิตยังไม่เป็นสมาธิ...เลยโดนนิวรณ์ 5 เล่นงานเป็นธรรมชาติ...จิตมีสมาธิแล้วนิวรณ์ก็จะไม่ปรากฎไปเอง...

ส่วนอุบายทำยังงัยให้เป็นสมาธิ...ก็ลองทำอย่างที่คุณนามะธรรม..คุณเช่นนั้น..แนะนำก็ดีนะครับ..

และ..นี้เป็นตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นว่า...ศีล..มีผลกับสมาธิ
onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 00:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 19:46
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


มันคนละเรื่องกันกับ การมีจิตตั้งมั่น

จิตตั้งมั่น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการ อยู่กับการส่งสวด

จิตตั้งมั่น คือ อยู่กับการงานการพิจารณาทุกข์

ทุกขในกรณีของ จขกท คือ กิเลสอันเป็นสังขารขันธ์มันปรากฏตัวออกมา

สังขารขันธ์ปรากฏตัวแล้ว ลืม หลักการพิจารณา ไปสำคัญว่า สังขารขันธ์เป็นตนเข้า
เพราะการขาดการสดับ

ถ้าหมั่นสดับ ก็จะอ๋อ สังขารมันปรากฏเพราะอวิชชามันมีอยู่ จิตสวดมนต์นี้มันผ่อง
ใสด้วยการสวดมนต์แต่มันก็เป็นจิตที่มีอวิชชาอยู่วันยันค่ำ เมื่อมีอวิชชาแล้วกิเลส
อันเป็นสังขารขันธ์ก็เกิดตามมาเป็นธรรมดา

แต่เพราะไม่ทันกระแสของอวิชชา ทำให้คว้าเอากิเลสว่าเป็นตนอยู่ เลยทำให้
ตกจากการพิจารณาทุกข์ การงานที่ควรทำไม่ได้ทำ จึงเรียกว่า จิตไม่ตั้งมั่น
ต่อการงาน ต่อการทำนิพพานให้แจ้ง ผิดหน้าที่ ผิดวาจา ฯ ไป

หากจะผลิกให้กลับมาตั้งมั่น ก็อย่าสำคัญผิดว่า สังขารขันธ์เป็นตน แยกสังขารขันธ์
ออกจากองค์ธรรมที่กำลังทำหน้าที่รู้ให้ได้ วิญญาณขันธ์ก็จะแยกออกจากสังขาร
ขันธ์ ปฏิสนธิกิจของจิตในการคว้าเอาขันธ์5 มาเป็นตนก็จะถูกชำระออกไป

สังขารขันธ์อันที่เป็นกองกิเลส ก็จะย้อมไม่ติดจิต ไม่เกิดปฏิสนธิกิจ นั่นแหละ

หากทำได้ เห็นชัดว่าข้ามได้ ย่อมพยากรณ์ตัวเองได้ว่า จะเกิดอุปาธิ กับอกุศล
นั้นๆอีกหรือเปล่า

แล้วก็ทำการงานอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ขาดการพิจารณา ไม่พลาด ไม่เผลออีก
ก็เรียกว่า มีจิตตั้งมั่น มีธรรมเอกผุด ไม่มีอกุศลใดหยั่งลงในจิต หรือ ชักชวน
ให้จิตสำคัญผิด ย้อมไม่ติดจิต ก็เรียก สติวินโยก็เรียก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 02:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว่าเป็นเพราะสติไม่ค่อยมีใจไม่จดจ่อ ใจก็เลยไม่อยู่กับตัว เมื่อ2 3 ปีก็เคยเกิดกับผมเป็นเหมือนบังคับควบคุมตัวเองไม่ให้คิดไม่ได้ เพราะสติไม่ค่อยอยู่กับตัว มโนวิญญาณเลยเกิดขึ้น มีสัญญาเป็นเหตุ เกิดผัสสะ และเวทนาตามลำดับ ต้องมานั่งทุกข์ใจว่าตัวเองผิดที่คิดอกุศล มโนวิญญาณคือความคิดต่างๆ ไม่ใช่ความจริง ต้องใช้สติเป็นตัวถอน โดยเอาสติมาอยุ่ที่ริมฝีปากตอนสวดมนต์ เหมือนการกินข้าว ทุกวันนี้ผมยังไม่สามารถมีสติที่การเคี่ยวอาหารได้ตลอดจนกระทั่งอิ่มได้โดยใจไม่เผลอไปคิดเรื่องอื่น เพราะประตูเปิดโลกทำงานทุกตัว ตั้งแต่หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ พอเคี่ยวอาหารเดี๋ยวคนคุยกันตัวเองลืมเอาความสนใจไปที่อื่นเลยลืมการเคี่ยวอาหารอย่างมีสติ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 07:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 19:46
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


การไปฝึกการเคี้ยวอาหารเพื่อเจริญสติ จะทำได้ยาก จะเกิดสติยาก หรือว่า เกิดสติช้า

ก็เหมือนกับ เทวดา ที่เขาอยู่ในภพของการบริโภค ภพเทวดานี้ ถือว่าเป็นภพที่เกิดสติช้า

เหตุเพราะ การบริโภค มันเป็นเรื่องของความสุขอยู่กับกาม คลุกเคล้ากับกาม คนที่เกลือกกลั้ว
กับกาม จะหวังการเจริญสติ ย่อมเป็นไปได้ยาก

จึงต้องฉลาดในการบริโภค เช่น ทำให้อาหารนั้นเป็นสิ่งเรกูล ไปเสีย ซึ่งก็มีหลายวิธี
อย่างเช่น เคี้ยวไปสามสี่ครั้งแล้ว สติ ไม่เกิด ก็คายออกมา แล้วก็ตักกินเข้าไปใหม่

ตรงนี้จะเป็นอุบายในการ ละนันทิราคะในการกินได้ จะทำให้ การเคี้ยวเพื่อการเจริญสติ
นั้นเข้าใกล้เป้าหมายต่อการทำนิพพานให้แจ้ง หรือ การปรารภมีจิตตั้งมั่น ได้มากขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 10:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


LuiPan เขียน:

จิตตั้งมั่น คือ อยู่กับการงานการพิจารณาทุกข์



:b1: นั่นงานหนึ่ง

แต่อีกงานหนึ่งคือ สำเนียกในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 10:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


LuiPan เขียน:
หากจะผลิกให้กลับมาตั้งมั่น ก็อย่าสำคัญผิดว่า สังขารขันธ์เป็นตน ...

อย่าสำคัญในสังขาร ไม่ว่าจะเป็นตนก็ตาม หรือไม่ใช่ตนก็ตาม
เพราะเมื่อสำคัญไปแล้ว มันได้ถือสำคัญไปแล้ว

สำคัญ อย่างไร ก็สำคัญว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วเช่นนั้นจะแสดงตัว

เหมือนกับที่ การเข้าไปในชั้นเรียนใหม่ เราไม่รู้จักใคร
และเพื่อน ๆ ต่างก็เวียนกันขึ้นมาแสดง ตัว ให้เราได้รู้ ...

แล้วเช่นนั้นจะแสดงตัว
แล้วดอกไม้ก็จะบานเมื่อถึงฤดูกาล.... :b41: :b41: :b41:

:b8: :b16: :b16: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 10:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


LuiPan เขียน:
มันคนละเรื่องกันกับ การมีจิตตั้งมั่น

จิตตั้งมั่น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการ อยู่กับการส่งสวด

จิตตั้งมั่น คือ อยู่กับการงานการพิจารณาทุกข์

ทุกขในกรณีของ จขกท คือ กิเลสอันเป็นสังขารขันธ์มันปรากฏตัวออกมา

สังขารขันธ์ปรากฏตัวแล้ว ลืม หลักการพิจารณา ไปสำคัญว่า สังขารขันธ์เป็นตนเข้า
เพราะการขาดการสดับ

ถ้าหมั่นสดับ ก็จะอ๋อ สังขารมันปรากฏเพราะอวิชชามันมีอยู่ จิตสวดมนต์นี้มันผ่อง
ใสด้วยการสวดมนต์แต่มันก็เป็นจิตที่มีอวิชชาอยู่วันยันค่ำ เมื่อมีอวิชชาแล้วกิเลส
อันเป็นสังขารขันธ์ก็เกิดตามมาเป็นธรรมดา

แต่เพราะไม่ทันกระแสของอวิชชา ทำให้คว้าเอากิเลสว่าเป็นตนอยู่ เลยทำให้
ตกจากการพิจารณาทุกข์ การงานที่ควรทำไม่ได้ทำ จึงเรียกว่า จิตไม่ตั้งมั่น
ต่อการงาน ต่อการทำนิพพานให้แจ้ง ผิดหน้าที่ ผิดวาจา ฯ ไป

หากจะผลิกให้กลับมาตั้งมั่น ก็อย่าสำคัญผิดว่า สังขารขันธ์เป็นตน แยกสังขารขันธ์
ออกจากองค์ธรรมที่กำลังทำหน้าที่รู้ให้ได้ วิญญาณขันธ์ก็จะแยกออกจากสังขาร
ขันธ์ ปฏิสนธิกิจของจิตในการคว้าเอาขันธ์5 มาเป็นตนก็จะถูกชำระออกไป

สังขารขันธ์อันที่เป็นกองกิเลส ก็จะย้อมไม่ติดจิต ไม่เกิดปฏิสนธิกิจ นั่นแหละ

หากทำได้ เห็นชัดว่าข้ามได้ ย่อมพยากรณ์ตัวเองได้ว่า จะเกิดอุปาธิ กับอกุศล
นั้นๆอีกหรือเปล่า

แล้วก็ทำการงานอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ขาดการพิจารณา ไม่พลาด ไม่เผลออีก
ก็เรียกว่า มีจิตตั้งมั่น มีธรรมเอกผุด ไม่มีอกุศลใดหยั่งลงในจิต หรือ ชักชวน
ให้จิตสำคัญผิด ย้อมไม่ติดจิต ก็เรียก สติวินโยก็เรียก


จิตตั้งมั่น อยู่กับการพิจารณาทุกข์
ตั้งมั่นระดับหนึ่งเท่านั่นเอง มั๊งครับ

คือตั่งมั่นอยู่ในทุกข์
ก็เลยเข้าไปตั้งอยู่ กับการพิจารณาทุกข์

ก็เลย ยังไม่ถึงความไม่นึกเลย ครับ
ธรรมเอกก็เลยไม่ผุด

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากว่า เมื่อภิกษุนั้นถึงความไม่นึก ไม่ใส่ใจวิตกเหล่านั้น"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 10:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


my-way เขียน:
LuiPan เขียน:
มันคนละเรื่องกันกับ การมีจิตตั้งมั่น

จิตตั้งมั่น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการ อยู่กับการส่งสวด

จิตตั้งมั่น คือ อยู่กับการงานการพิจารณาทุกข์

ทุกขในกรณีของ จขกท คือ กิเลสอันเป็นสังขารขันธ์มันปรากฏตัวออกมา

สังขารขันธ์ปรากฏตัวแล้ว ลืม หลักการพิจารณา ไปสำคัญว่า สังขารขันธ์เป็นตนเข้า
เพราะการขาดการสดับ

ถ้าหมั่นสดับ ก็จะอ๋อ สังขารมันปรากฏเพราะอวิชชามันมีอยู่ จิตสวดมนต์นี้มันผ่อง
ใสด้วยการสวดมนต์แต่มันก็เป็นจิตที่มีอวิชชาอยู่วันยันค่ำ เมื่อมีอวิชชาแล้วกิเลส
อันเป็นสังขารขันธ์ก็เกิดตามมาเป็นธรรมดา

แต่เพราะไม่ทันกระแสของอวิชชา ทำให้คว้าเอากิเลสว่าเป็นตนอยู่ เลยทำให้
ตกจากการพิจารณาทุกข์ การงานที่ควรทำไม่ได้ทำ จึงเรียกว่า จิตไม่ตั้งมั่น
ต่อการงาน ต่อการทำนิพพานให้แจ้ง ผิดหน้าที่ ผิดวาจา ฯ ไป

หากจะผลิกให้กลับมาตั้งมั่น ก็อย่าสำคัญผิดว่า สังขารขันธ์เป็นตน แยกสังขารขันธ์
ออกจากองค์ธรรมที่กำลังทำหน้าที่รู้ให้ได้ วิญญาณขันธ์ก็จะแยกออกจากสังขาร
ขันธ์ ปฏิสนธิกิจของจิตในการคว้าเอาขันธ์5 มาเป็นตนก็จะถูกชำระออกไป

สังขารขันธ์อันที่เป็นกองกิเลส ก็จะย้อมไม่ติดจิต ไม่เกิดปฏิสนธิกิจ นั่นแหละ

หากทำได้ เห็นชัดว่าข้ามได้ ย่อมพยากรณ์ตัวเองได้ว่า จะเกิดอุปาธิ กับอกุศล
นั้นๆอีกหรือเปล่า

แล้วก็ทำการงานอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ขาดการพิจารณา ไม่พลาด ไม่เผลออีก
ก็เรียกว่า มีจิตตั้งมั่น มีธรรมเอกผุด ไม่มีอกุศลใดหยั่งลงในจิต หรือ ชักชวน
ให้จิตสำคัญผิด ย้อมไม่ติดจิต ก็เรียก สติวินโยก็เรียก


จิตตั้งมั่น อยู่กับการพิจารณาทุกข์
ตั้งมั่นระดับหนึ่งเท่านั่นเอง มั๊งครับ

คือตั่งมั่นอยู่ในทุกข์
ก็เลยเข้าไปตั้งอยู่ กับการพิจารณาทุกข์

ก็เลย ยังไม่ถึงความไม่นึกเลย ครับ
ธรรมเอกก็เลยไม่ผุด

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากว่า เมื่อภิกษุนั้นถึงความไม่นึก ไม่ใส่ใจวิตกเหล่านั้น"


และเมื่อไปตั่งมั่นอยู่ในทุกข์ ยังหาทางออกยังไม่ได้
ก็ไปอาศัย ตั้งมัน อยู่ในพิจารณา ซ้อน เข้าไปอยู่ ในทุกข์อีก ให้มันทุกข์หนักเข้าไปอีกสองต่อ


แบบนี้ นี่ไม่ค่อยฉลาด
ที่ทำไหลสะสมทุกข์ ไปอย่างต่อเนื่อง
ไปตั้งมั่นอยู่ในทุกข์ แล้วพิจารณาทุกข์

นั่นเพราะขาดสติ
ที่ไม่สามารถจะออกจากทุกข์อันนั้นก่อน

แล้วค่อย กลับเข้าสู่ความเป็นผู้ไม่นึก
แล้วค่อยกลับมาพิจารณา
ครับผม

มันตรึกตาม ไปเสียหมด ทั้งๆที่ยังจมอยู่ในทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 11:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก ต้องอ่านดีๆ
อ่านดีๆมากๆ แต่ถ้าปฎบัติไม่ดี
จะมาอ้างอะไร ก็มีช่องโหว่
คำแนะนำ ที่ไปตีความ
คำพูดนั้น พูดกว้างๆ
รายละเอียด แค่คำเดียว ก็มีความสำคัญ
ไม่ใช่ คำพูดจากพุทธพจน์ จะแปลแค่ ตัวอักษรเดียว
แบบที่มาถาม ละคืออะไร

พระไตรปิฎกทั้งหมด ตอบคำถาม คำว่าละคำเดียว
ถ้าจะมาถาม ว่าละคืออะไร
คุณต้องเข้าใจพระไตรปิฎกทั่งหมด
และปฎิบัติให้ได้จริงๆเสียก่อน

ไม่งัน คำตอบ ว่าละนันทีกิเลส
จะเป็นได้อย่างมาก 0.0001 เปอร์เซนเท่านั่นเอง

ไม่ใช่คำตอบ 100 เปอร์เซนต์

แต่ก็ชื่นใจนะ ที่พยายามจะมาตอบกัน แม้จะถูก เป็นเปอร์เสนต์ต่ำๆ ก็ตาม

อนุโมทนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 11:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


LuiPan เขียน:
การไปฝึกการเคี้ยวอาหารเพื่อเจริญสติ จะทำได้ยาก จะเกิดสติยาก หรือว่า เกิดสติช้า

ก็เหมือนกับ เทวดา ที่เขาอยู่ในภพของการบริโภค ภพเทวดานี้ ถือว่าเป็นภพที่เกิดสติช้า

เหตุเพราะ การบริโภค มันเป็นเรื่องของความสุขอยู่กับกาม คลุกเคล้ากับกาม คนที่เกลือกกลั้ว
กับกาม จะหวังการเจริญสติ ย่อมเป็นไปได้ยาก

จึงต้องฉลาดในการบริโภค เช่น ทำให้อาหารนั้นเป็นสิ่งเรกูล ไปเสีย ซึ่งก็มีหลายวิธี
อย่างเช่น เคี้ยวไปสามสี่ครั้งแล้ว สติ ไม่เกิด ก็คายออกมา แล้วก็ตักกินเข้าไปใหม่

ตรงนี้จะเป็นอุบายในการ ละนันทิราคะในการกินได้ จะทำให้ การเคี้ยวเพื่อการเจริญสติ
นั้นเข้าใกล้เป้าหมายต่อการทำนิพพานให้แจ้ง หรือ การปรารภมีจิตตั้งมั่น ได้มากขึ้น


ความฉลาดในการบริโภค ไม่ใช่การสร้างอุบาย เพื่อทำอาหารดีๆ ให้เป้นปฎืกูล โดยอาศัยความจำ
สติในการบริโภค
เกิดง่ายดาย และเป้นสติที่ไม่ผิดเพี้ยน ไม่ต้องไปแปลงสัญญา
สติที่อินทรีย์ ลิ้นแตะปุ๊ป รู้หวาน นั่นมีสติ
เป้นสติระดับหนึ่ง
ความพอใจ ไม่พอใจในหวาน
เป็นสติอีกระดับหนึ่ง
ความเห็นอาหาร เป็นธาตุ เป็นสติอีกระดับหนึ่ง

แค่แตะลิ้น สติก็เกิดหลายเด้งแล้ว

มันจะยากเย็นตรงไหน

ที่มันยาก ก็เพราะไปเอาที่ปฎิกูลัญญา มาพิจารณา

เพราะไม่มีสติที่ปลายลิ้น แต่ไปทำสติที่ปลายเหตุ

กินกันทุกวัน กินด้วยปัญญา และสติ ตั้งแต่ปลายลิ้น


ถ้าคุณทำสติในการกินยาก
ไม่รู้จักการทำสติในการกิน

ผมจะเคี้ยวให้แทน แล้วคายให้คุณกิน นะครับ

เคี้ยวครั้งเดียว แล้วก็คายให้คุณกิน ก็พอ
จะได้ไม่ต้องพิจารณาอาหาเรเลย

สติที่ตาเห้นปุ๊ป มันจะรู้ทันที ว่า แหวะ
นี่แหละ สติการกิน แบบง่ายๆ
เอาไปหัดปฎิบัตินะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 54 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร