วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2011, 22:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มิ.ย. 2011, 11:00
โพสต์: 20


 ข้อมูลส่วนตัว


จากพระอภิธรรม เเสดงว่าเทวดาหายใจ เเต่อยากรู้ ท่านสามารถศึกษาจาก www.puthakun.org
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2011, 22:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


onion onion onion

ไปถามเทวดา....ง่าย ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2011, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


smiley

ขอบคุณครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ไม่ได้เข้ามาเสียหลายวัน หลายคนคงพอเดาได้ ว่าทำไม เมื่อไรที่เรา ไม่สามารถควบคุมอารมณ์จิตได้ ก็ต้องหยุด เพราะพูดไปนั้นมันก็ไมถูกต้องแล้ว
........วันนี้ เราก็ลองแวะเข้ามาดุสักหน่อย เห็นใครสักคนพูดเรื่องมานะ เหมือนจะเตือนสติคนอวดดี อวดรู้ เราก็เคยคิดเหมือนกันแต่ไม่ได้พูด เพราะว่าไม่น่ามีประโยชน์ เพราะมานะนี้ ถ้าเป็นอย่างหยาบ
(ของปุถุชน) ป่วยการไปเตือน เพราะมันบังความเห็นถูกและสัจจธรรมจนหมดนั่นแหละ เถียงกันคอโป่ง
นั้นมานะและมิจฉาทิฐิทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นมานะของอริยะบุคล อันนี้ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าดีกว่า รู้ตรง
รู้มากกว่า(จากการปฏิบัติ) เขาก็บอกด้วยเมตตา(ไม่ปรารถนาสรรเสริญกลับ)เขาจึงไม่ใช้คำหวานในการกล่าวธรรมมะ คนจะละมานะได้สิ้นเชิงนั้น ต้องเลยอนาคามีบุคลนะ แต่มานะของอริยะกับมานะของปุถุชนมันเกิดจากเหตคนละอย่างกัน
.........พอมาพุดเรื่องเทวดาหายใจได้ไหมอีก นี่ก็ต้องขัดคอ อันนี้มันก็เป็นมานะในสายตาคนที่ชอบส่งจิตออกนอกอีกและทันทีด้วย เจโตวิมุติ อวดรู้อีกแล้ว อวดเป็นอาจารย์อีกแล้ว แต่พิจาณราจิตแล้ว ไม่อยากอวด ไม่อยากได้สรรเสริญ แต่เราต้องสนใจในสิ่งที่ใช่ทาง(มรรค) ถ้ามันไม่ใช่ทาง ไปสนใจทำไม เรายงมอยู่อย่างนี้ พระพุทธองค์ บอกให้ไปทางทิศเหนือเราก็จะสนใจทิศใต้ เมื่อไรจะได้พบพุทธะ คนที่เดินไปตามทางที่พระพุทธองค์ชี้ ยังต้องใช้เวลาถึง7ปี ถึงจะพบพุทธได้ แต่ถ้ามาสนใจว่าเทวดามีจริงไหม หายใจได้ไหม พระพุทธเจ้าเหาะได้ไหม นั้นมันยังห่างทางพ้นทุกข์ มันผิดพุทธประสงค์
.......พุดไปเดี๋ยวก็มาก เล่าให้ฟัง หลวงปู่ดุลย์ ท่านนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬา หลวงพ่อสุทัศน์ บังเอิญไปป่วยอยู่ที่เดียวกัน ก็เลยได้สนทนาธรรมกัน ตอนหนึ่งหลวงปู่ดุลย์ก็ถามหลวงพ่อสุทัศน์ว่าท่านเคยเดินธุดงค์ไหม หลวงพ่อสุทัศน์ท่านก็ว่าเคย และก็เดินอยู่ในป่าหลายปี บางทีหลงป่าอยู่ครั้งละหลายวันทีเดียว หลวงปู่ดุลย์ท่านก็ถามอีกว่า หลงป่าแล้วมีเทวดามาใส่บาตรอย่างที่เขาชอบเล่ากันไหม หลวงพ่อสุทัศน์ ท่านก็ว่าไม่เห็นมีที่ไหนเทวดา บางทีต้องต้มน้ำกินประทังความหิว หลวงปู่ดุลย์ท่านเลยว่า เออท่านพูดจริง(ของจริงไม่ต้องแต่งเติมเพื่อสร้างศรัทธา)
.....อย่างหลวงปู่ดุลย์ ท่านเป็นพระพูดน้อย ไปถามท่านว่าอรหันต์ รู้ไหมว่าหวยจะออกอะไร ท่านก็ถามกลับว่า หวยจะออกอะไรนั้นเป็นเรื่องที่อรหันต์มีปกติสนใจหรือ คนถามก็น่าแตกไป อันนี้กห็เล่าสู่กันฟัง
เรื่องธรรมมะนี้ ถ้าจับหัว จับหางไม่ถูก อย่าว่าแต่ท่องบ่นทุกวันเลย หลวงพ่อชาท่านว่าให้บวชจนเป็นหลวงตาก็ไม่ได้อะไรจากธรรมมะ ก็เล่าสู่กันฟัง พิจารณากันดู.......เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 22:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


แอบมาคุยอยู่นี้เอง....ท่านเจโตฯ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2011, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
อ้างคำพูด:
เรายงมอยู่อย่างนี้ พระพุทธองค์ บอกให้ไปทางทิศเหนือเราก็จะสนใจทิศใต้ เมื่อไรจะได้พบพุทธะ

...ศีลคือรั้วกั้นการออกนอกลู่นอกทาง...
...แต่ก็ชอบแวะเก็บดอกไม้ริมทาง...
...แวะจิบกาแฟ...แวะชมนกชมไม้...
...กว่าจะถึงก็อ้อมไปเรื่อยๆไปตามที่ชอบๆไง...
:b9: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2011, 01:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ว่าอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าพุดเรื่องธรรมมะ ต้องว่าเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์ มุ่งสู่ความพ้นทุกข์
ถ้าพูดนอกเหนือจากเรื่องที่จะนำไปสู่สิ่งเหล่านี้ มันก็เพื่ออย่างอื่นแล้ว
.....รู้มากไปทำไม ปฏิบัติไปเดี๋ยวมันก็รู้เอง รู้แล้วมันไม่อวดรู้หลอก เพราะความยากได้สรรเสริญมันไม่มี
มันก็เหลือแค่เมตตา แต่รุ้นี้มันมีปัญญาอยู่ด้วย มันก็คอยกำกับอยู่ว่าให้ตักน้ำใส่แต่กะลาหงายแล้วไม่รั่ว อันไหนรั่วตอนแรกอาจมองไม่เห็น ก็เติมน้ำลงไป ก็เห็นว่าขังน้ำอยู่ไม่ได้ก็เลิก ไม่เติมอีกแล้วพอ
ส่วนกะลาคว่ำนั้น ไม่ต้องเติมน้ำเลย แค่สนทนากันคำสองคำ ฝ่ายที่นิ่งไปส่วนมากก็เห็นก่อน เห็นอะไร ก็เห็นว่ากะลานี้คว่ำอยู่ จึงหยุดเติมน้ำ แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างยังไม่หยุด คือมันเสมอกันด้วยมิจฉาทิฐิ ก็อย่างที่เห็น มันไม่ใช่เชิงปรึกษาหารือ มันเชิงเอาชนะคะคานกันเสียทุกครั้ง
.....เคยเห็นครูบาอาจารย์แท้ท่านไหน เขาเถียงกันเอาเป็นเอาตายไหม ไม่ว่าตั้งแต่สมัยอาจารย์มั่น
อาจารย์สิงห์ ลงมารุ่นต่อมาหลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่ขาว ต่อมาอีกหลวงพ่อชาอาจารย์ ฝั้น หลวงปู่เทศน์ จนท้ายๆก็หลวงพ่อพุทธ ไม่เคยเห็นท่านเถียงกันเอาเป็นเอาตายสักที อย่างมากฝ่ายหนึ่งพูดอีกฝ่ายหนึ่งก็ฟัง แล้วก็ไม่มาก นิดหน่อยเป็นการบ้านไปปฏิบัติต่อไป นานๆก็สอบจริตกันสักครั้งว่าก้าวหน้าไหม
.......หลวงพ่อชาท่านว่า บางทีมองไปก็เห็น เป็นวัด เป็นโบสถ์ เป็นศาลา มีพระพุทธรูป มีพระสงห์ครบ
แต่บางทีทั้งหมดที่เห็น กลับไม่เห็นธรรมมะอยู่ในนั้น เพราะอะไร เพราะธรรมมะมันต้องเข้าใจให้ถูกให้ตรง มันต้องปฏิบัติ มันจึงจะเห็น มันจึงจะเป็นธรรมมะ ที่จริงธรรมมะมันก็มีของมันอยู่เป็นธรรมชาติ
มันเหมือนกับข้าวที่อยู่ในหม้อ ไม่ลงมือตักข้าวใส่จาน ตักแกงราด แล้วตักใส่ปาก มันไม่อิ่มหรอก ท่านพูดง่ายจะตาย กล้าหน่อยก็ลองทำ....กินเองเดี๋ยวก็รู้เองว่าอิ่มเป็นอย่างไร ไมต้องไปถามใครมากมาย
........ปฏิบัติไป เดี่ยวมันก็รู้จักกิเลส วาระจิตถึงไหนรู้ตัวเอง คัมภีร์แค่เอาไว้เทียบเคียงเท่านั้น ปฏิบัติมากเข้าเห็นถูกมากขึ้น เห็นผิดมันก็ไม่มีที่อาศัย ที่นี้อะไรก็รู้โดยปัจจัตตัง พระไตรปิฎกก้รู้ด้วยว่าตอนไหนเป็นอุบายปรุงแต่ง ตอนไหนเป็นผลของการปฏิบัติ ที่เอามาเรียบเรียงเป็นปริยัตร ความเติมของพระไตรปิฎกคืออะไร เราหลงไปหรือไม่ ทั้งหมดนั่นเรียบเรียงจากผลการปฏิบัติทั้งนั้น เดิมมีที่ไหนปริยัตร
พระพุทธองค์ปฏิบัติ ตามปริยัตรของใครล่ะ ผลการปฏิบัติของพระองค์ต่างหากที่ถ่ายทอดมาให้เรา และก็เรียกมันว่าปริยัติธรรม เพือเป็นแนวทางให้เกิดหรือใช้การปฏิบัติธรรม นี่เถียงกันแต่เรื่องปริยัติ ถ้าปฏิบัติจริงเราเชื่อว่า ไม่เถียงกันอย่างนี้ อย่างที่เขาหายๆไปนั่นแหละ เขาไปปฏิบัติ เขาอิดหนาระอาใจ กับการทุ่มเถียง เราก็เหมือนกัน อย่างโลกๆนี้ ดีก็ไม่น่าเอา ร้ายก็ไม่น่าเอา...เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2011, 18:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นช่วงจังหวะ...ของแต่ละคนมากกว่า...

จังหวะแต่ละคนไม่เหมือนกัน...เหมือนวันนี้หมีที่ขั่วโลกออกหากิน..แต่หมีในเขตร้อนต้องอยู่ในถ่ำหลบฝน..

บางที...ธรรมะก็เกิดกับเราขณะที่เถียงกันนี้แหละ...ไม่ได้เกิดเฉพาะแต่จังหวะเงียบ ๆ อย่างเดียว...แต่มันเกิดกับเราเพียงผู้เดียว...เรารู้เอง...

ทุกอย่างสอนตนเองได้เสมอ...แม้แต่ความไม่พอใจของตน..ก็ใช้สอนตนได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2011, 02:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ความจริงเราก็อ่านบ้างนิดหน่อย ตรงที่ถุมเทียงกันนี้ แต่ที่ไม่อ่านเลยก็ตั้งแต่จั่วหัวเรื่อง ไปคนละทิศกับพุทธประสงค์ เรายอมรับว่าหลายคนเหมือนกันที่เป็นสัมมาทิฐิ แต่ยังทนสนทนาอยู่กับมิจฉาทิฐิ อยู่ใด้เป็นปกติโดยตลอด โดยมีสติบริบูรณ์เสียด้วย คุณกบนี่เราดูมานาน อ่านแทบทุกคำพูดที่เห็นเพื่อจะดูให้ชัดว่าคุณเป็นสัมมาทิฐิ หรืออะไรกันแน่ ทุกครั้ง คุณกล่าวสั้นๆ หมือนจะตลก แกมประชดนิดๆ หรือไม่ก็เตือนสติ อย่างเช่นคำว่าไปถามเทวดาดูมั๊ย อันนี้คนโง่อ่านแล้วไม่เข้าใจ เราอ่านเรารู้ว่านั่นเป็นการการกล่าวเตือนด้วยปัญญา ยังมีอีกหลายคนเหมือนกันที่เป็นสัมมาทิฐิ เช่นคุณตะเกียงแก้ว คุณstudentแต้ทั้ง 2คน เราไม่ได้ตามเขาตลอด จึงไม่มั่นใจ100เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่หายไปหลายๆคน เช่นคุณยอดยศ ท่านพุทธฏีกา ก็คงจะทำนองเดียวกับเรา
.......เรามีปกติไม่กล่าวให้ร้ายใคร ด้วยจิตอกุศลอยุ่แล้ว ต่อให้ด่าเราขนาดหนัก อย่างใคร2-3คน ที่เราไปกระตุกเขาแรง เราไม่โกรธ ในทำนองเดียวกันเราก็ไม่ชอบกล่าวสรรเสริญใคร และไม่ยินดีสร้างเหตการณ์เพื่อให้ใครมาสรรเสริญเรา เพระสรรเสริญ อันพึงเกิดแก่ผู้อื่น และตัวเราเองนั้น มันเป็นกิเลสขั้นต่ำๆ ถ้าเรายังไม่คิดที่จะละ ไม่ฝึกที่จะละ ป่วยการที่จะไปพูดเรื่องที่มันสูงกว่านี้ มันละเอียดกว่านี้
........แม้เรา อาจมีมานะบ้าง เรายอมรับ และตามรู้มันเสมอ แต่มันไม่ได้เป็นไปด้วยความอยากเอาชนะคะคานใคร มานะนี้ถ้าคนรู้จริง มันเป็นสังโยชน์ที่เหลือของอนามีบุคล อรหันต์เท่านั้นจึงละมานะได้สิ้นเชิง
.........การปฏิบัติจริงมันต้องกลับมาดูที่จิต วันนี้เราไปจี้กระเนื้อที่โรงพยาบาล พอดีพยาบาลให้ยาชาผิดพลาด เราก็บอกคุณหมอไปว่าจี้ให้เต็มที่ เป็นร้อยจุด เสียงจี้ฉ่าแรก เรารู้ได้ทันทีว่ายาชาไม่ทำงานเสียแล้ว กลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อโชยเข้าจมูก มันไม่ชา มันเจ็บมากกว่าเคยทำครั้งก่อนถึงสามสี่เท่า
เราเงียบไม่ปริปากบอกหมอ ปล่อยให้เขาจี้ไปนับร้อยจุด อย่างเจ็บปวดแสบร้อน ในใจก็นึกถึงหลวงปู่ดุลย์
ตอนที่อาจารย์ยันตระถามท่านว่าหลวงปู่ยังมีเวทนาอยู่ไหม ท่านตอบว่า มีก็อย่าไปเอากับมันซึ่งหมายถึงให้พิจารณาจิตอยู่ อย่าส่งจิตไปที่เวทนา เรานอนทำ เวทนานุปัสนา อยู่ตลอดที่หมอทำการกรีดหน้าเราด้วยเล่เซ่อร์ บางช่วงก็เอาอยู่ บางช่วงก็ส่งจิตไปที่ปลายหัวเลเซ่อร์เพระความเจ็บปวด พอหมอจี้จบเราก็รู้จิตเรา ว่าเรายังไม่แน่จริง เจอของจริงแล้วยังเอาไม่อยู่ แล้วจะมาเที่ยวโม้ อวดเก่งไปทำไม บอกหมอไปว่า หมอครับต้องไปปรับปรุง วิธีให้ยาชา หรือสอบทาน พยาบาลที่ให้ยาชาผมด้วย เพราะรอ้ยครั้ง ที่หมอจี้ นั้นเจ็ดสิบครั้งผมเจ็บมากกว่าครั้งก่อน ถึง3-4เท่า หมอร้องอ้าวแล้วทำไมไม่บอก ก็นี่แหละนักปฏิบัติ มันต้องทดสอบ ว่าเราของจริงหรือยัง ไปถึงไหนแล้ว...ก็แค่แชร์กัน....เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2011, 07:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เรายอมรับว่าหลายคนเหมือนกันที่เป็นสัมมาทิฐิ แต่ยังทนสนทนาอยู่กับมิจฉาทิฐิ อยู่ใด้เป็นปกติโดยตลอด โดยมีสติบริบูรณ์เสียด้วย

คนประเภทนี้..ต้องยอมรับเขาจริง ๆ

อ้างคำพูด:
เรามีปกติไม่กล่าวให้ร้ายใคร ด้วยจิตอกุศลอยุ่แล้ว ต่อให้ด่าเราขนาดหนัก อย่างใคร2-3คน ที่เราไปกระตุกเขาแรง เราไม่โกรธ ในทำนองเดียวกันเราก็ไม่ชอบกล่าวสรรเสริญใคร และไม่ยินดีสร้างเหตการณ์เพื่อให้ใครมาสรรเสริญเรา เพระสรรเสริญ อันพึงเกิดแก่ผู้อื่น และตัวเราเองนั้น มันเป็นกิเลสขั้นต่ำๆ ถ้าเรายังไม่คิดที่จะละ ไม่ฝึกที่จะละ ป่วยการที่จะไปพูดเรื่องที่มันสูงกว่านี้ มันละเอียดกว่านี้

:b8: :b8:
เมื่อสังเกตเห็นอาการความเป็นพิษของยาใด...ยานั้นเขาก็เลิกเสพ...
ที่ยังเสพ ๆ กันอยู่..เพราะหลง

อ้างคำพูด:
เรานอนทำ เวทนานุปัสนา อยู่ตลอดที่หมอทำการกรีดหน้าเราด้วยเล่เซ่อร์ บางช่วงก็เอาอยู่ บางช่วงก็ส่งจิตไปที่ปลายหัวเลเซ่อร์เพระความเจ็บปวด พอหมอจี้จบเราก็รู้จิตเรา ว่าเรายังไม่แน่จริง เจอของจริงแล้วยังเอาไม่อยู่ แล้วจะมาเที่ยวโม้ อวดเก่งไปทำไม

เอาไม่อยู่...เพราะนึกโกรธคนฉีดยาชา?
รึ..เอาไม่อยู่..เพราะรู้ว่าเจ็บ?
หากเป็นอย่างหลัง...กระผมว่ามันเป็นธรรมดา...
สุดท้ายก็ทนจนหมอทำเสร็จ..ไม่ใชรึ??


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร