ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=38923
หน้า 1 จากทั้งหมด 11

เจ้าของ:  ขณะจิต [ 06 ก.ค. 2011, 22:54 ]
หัวข้อกระทู้:  เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

อยากสอบถามความเห็นของผู้ปฏิบัติทุกท่านว่าเมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน หวังจะได้รับคำวิสัชชนาอันลึกซึ้งจากทุกท่าน :b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  Hana [ 06 ก.ค. 2011, 23:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

:b4: ฮ๊าฮา ใคร หวังได้รับ คำวิสัชนา ละ เจ้าข๊าาา rolleyes

เจ้าของ:  ขณะจิต [ 06 ก.ค. 2011, 23:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

:b19: :b19: :b19: เป็นวิสัชชนาที่สุดยอดมาก s007 s007 s007

เจ้าของ:  Hana [ 06 ก.ค. 2011, 23:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

:b22: ฮ๋าาา ยังไม่เห็นมี ใคร วิสัชนา เลยนะ เจ้าข๊า rolleyes

เจ้าของ:  ขณะจิต [ 07 ก.ค. 2011, 00:08 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

:b14: คงเห็นเป็นความเพ้อเจ้อของขณะจิต -คิด-ปรุง-แต่ง :b34: :b34: :b34:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 07 ก.ค. 2011, 00:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

ก็ข้อสอบถูกเฉลยไปแล้ว....ยังจะมาหากาข้อไหนอีก... :b32: :b32:

เจ้าของ:  ขณะจิต [ 07 ก.ค. 2011, 00:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

Kiss เห็นด้วยกับท่านกบ ถูกกว่านี้มีอีกใหม :b35: :b35: :b35:

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 07 ก.ค. 2011, 00:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

ขณะจิต เขียน:
เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน


ลองเอาหัวโขกผนังดู ถ้าไม่มีตัวตน เราต้องไม่เจ็บ

คุณเข้าใจคำว่า "ตัวตน" ว่าเป็นวัตถุ กินที่กินเวลา ไปไหนมาไหนได้ ที่ถึงวันหนึ่งมันหายไป จึงมาตั้งคำถามว่าสิ่งที่มันไม่มีรูปร่าง ไม่กินที่กินเวลา แล้วมันจะไปกินที่กินเวลาในนิพพานได้อย่างไร ซึ่งก็แสดงให้เห็นอีกว่าคุณเข้าใจว่า นิพพานเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ยังสามารถไปๆมาๆได้

ก่อนจะเข้าใจเรื่องอัตตา ต้องทำความเข้าใจเรื่อง รูปธรรม/นามธรรม เสียก่อน ต้องรู้ว่าส่วนประกอบที่จะมาเป็น
มนุษย์นี้ มันประกอบกันขึ้นมาจากอะไร เข้าใจความเป็นเราเสียก่อน ถึงจะพอเข้าใจว่าอะไรคือ "เรามี" หรือ "เราไม่มี" ที่ว่ามี/ไม่มี
มัน "มี"ในความหมายแบบไหน
"ไม่มี" ในความหมายแบบไหน

เจ้าของ:  ขณะจิต [ 07 ก.ค. 2011, 00:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

สาธุ :b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  ปฤษฎี [ 07 ก.ค. 2011, 04:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

จากมัญชุศรีปรัชญาปารมิตาสูตร

พ. “ดูก่อนมัญชุศรี เธอเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเข้านิพพานหรือไม่?”
ม. “พระพุทธเจ้าก็คือนิพพานลักษณะ (ลักษณะแห่งความดับสนิทกิเลสไม่กำเริบอีก เย็นเพราะไม่ร้อนเพราะกิเลสทั้งปวง) อันนิพพานลักษณะนั้นก็มิได้มีการเข้า แลมิได้มีการไม่เข้า”

เจ้าของ:  govit2552 [ 07 ก.ค. 2011, 05:26 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

คุณ frame ครับ งั้น
คำว่า เข้านิพพาน มันมาจากที่ใด
มาจากต้นฉบับใด
แปลมาโดยใคร
มีปรากฏเบื้องต้นที่ไหน

หรือมีคนหยิบยกคำพูดนี้ มาจากนิทาน
อยากทราบอยู่เหมือนกัน

เจ้าของ:  อนัตตาธรรม [ 07 ก.ค. 2011, 09:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

ขณะจิต เขียน:
อยากสอบถามความเห็นของผู้ปฏิบัติทุกท่านว่าเมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน หวังจะได้รับคำวิสัชชนาอันลึกซึ้งจากทุกท่าน :b8: :b8: :b8:

cool

อนัตตาธรรม.........
จิต เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพราะเหตุและปัจจัย

ความเห็นผิด(มิจฉาทิฐิ)ว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู และมานะทิฐิ ความถือตัวถือดี อวดเก่ง ถือรู้ ทำให้เกิด กิเลส ตัณหา ภาระ และความหมุนเวียนเกิด ตาย ไม่รู้จบของจิต

เมื่อค้นพบความจริงว่า อัตตา ตัวกู ของกู นั้นไม่มีอยู่จริง แต่ความ เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกูของกู นั้นเป็นความจริงที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ความเบื่อหน่าย คลายจาง ละวางความยึดถือ ละวางความเห็นผิดจึงเกิดขึ้นกับจิต จนในที่สุดสลัดคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้กับธรรมชาติ สิ้นสุดการเกาะกุมเป็นจิตหรือเป็นอะไรต่อมิอะไร

เหตุ คือความเห็นผิดเป็นกูเป็นเรา และมานะทิฐิ หมดสิ้น เป็นสญญะ ปัจจัยคือผัสสะทั้ง 6 จึงไม่มีที่จะเกิด

สุญญะ เอวัง นิพพาน อสังขตัง ปรมัตถัง สัจจัง จึงเป็นชื่อเรียกสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด ต้องสัมผัสรู้ที่ใจที่ยังคงเหลืออยู่ไว้เลี้ยงธาตุขันธ์ด้วยกิริยาจิต อันจะสลายตัวหมดสิ้นเป็นสูญ เมื่อหมดกำลังแห่งวิบาก

เอวัง โดยพิสดาร

ฟังยาวๆดูบ้างก็ได้นะครับ เพราะคำตอบสั้นนั้นซึ้งแก่ใจคุณขณะจิตแล้ว
สาธุ ภันเต

:b8:
:b1:

ไฟล์แนป:
IMG0230A_resize.jpg
IMG0230A_resize.jpg [ 31.48 KiB | เปิดดู 9126 ครั้ง ]

เจ้าของ:  Supareak Mulpong [ 07 ก.ค. 2011, 20:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

ความไม่มีตัวตน เป็นการกล่าวกับแบบย่อๆ ถ้าจะได้ความโดยสมบูรณ์ จะใช้คำว่า ไม่มีตัวตนเป็นของตน หรือว่างจากตัวตน ... ไม่ได้แปลว่า มันไม่มี

ยกตัวอย่าง เก้าอี้ไม้ที่เราเห็น ๑ ตัว ถ้าเราแยกออกมาเป็นชิ้นๆ จะได้กองไม้ กองตะปู สี แลคเกอร์ อยู่เป็นกองๆ สิ่งที่เราเรีกว่า เก้าอี้ จริงๆ แล้ว จึงไม่มี หรือ คำว่า เก้าอี้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกสมมุติขึ้นมา เพื่อสื่อถึงวัตถุถุที่มีรูปร่างลักษณะอย่าง เก้าอี้ที่เรารู้จักกัน

ถ้าเราเอาไม้มาแยก เอาตะปูมาแยก เอาสีมาแยก เอาแลคเกอร์มาแยก จนแยกไม่ได้ สิ่งที่เราจะได้ ก็คือ อณุภาคขนากเล็กมากๆ ที่ปัจจุบันเราเรียกว่า อะตอม และถ้าแยกอะตอมอีก เราจะก็ได้ประจุไฟฟ้า มีอิเลคตรอน โปรตรอน นิวตรอน พลังงาน เหมือนกัน ในภาษาโปราณ เราเรียกส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของวัตถุว่า ธาตุดินน้ำลมไฟ หรือ ฝุ่นละอองทุลีอวกาศ

ในที่สุด ไม้ก็ไม่มี ตะปูก็ไม่มี ฯ ทั้งหมด เป็นเพียงฝุ่นละอองที่มารวมตัวกันชั่วคราวเพราะเหตุปัจจัยเท่านั้น หมดเหตุปัจจัยก็แยกแตกออกจากกันเป็นดินน้ำลมไฟ เหมือนเดิม

วัตถุธรรม จึงเป็นเพียงสภาพชั่วคราวของดินน้ำลมไฟในโครงสร้างแบบใดแบบหนึ่ง ปกติก็มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนตลอดเวลา ไม่เคยหยุกอยู่กับที่ ประกอบรวมตัวกันอย่างหลวมๆ คั่นด้วยช่องว่าง ฯ

แล้วตัวเราละ มีใหม? ชี้ตรงใหนที่บอกว่าเป็นตัวเรา? อะไรคือนายศุภฤกษ์? ชี้หัว ก็เป็นเนื้อหนังกระดูกฯ ชี้หัวใจ ก็เป็นเลือดเนื้อหนังฯ เลือดเนื้อกระดูกฯ ก็ยังไม่พ้นมาจากดินน้ำลมไฟ มีที่มาไม่ต่างจากเก้าอี้ แล้วตัวเราอยู่ใหน? แขนขาดไปแล้ว ยังเรียกว่าแขนเราอยู่หรือเปล่า?

ความรู้สึก ความจำ ความคิด ความรู้ ของเราหรือเปล่า? ..... ฯลฯ

เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า ตัวเราจริงๆ ไม่มี เป็นเพียงขันธ์ ๕ หรือ การเข้ามาประชุมกันชั่วคราวของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เท่านั้น หมดเหตุปัจจัยที่จะทำให้อยู่รวมกันได้ ก็เลิกประชุม

กองทุกข์ทั้งหลาย ก็มาจากเราไปติดว่า ขันธ์ ๕ คือเรา (อุปทานขันธ์ ๕)

แล้วอะไรไปนิพพาน? ก็ไม่มีอะไรไปนิพพาน เพราะนิพพาน หมายถึง หมดเชื้อ หมดเหตุปัจจัยในการเวียนว่ายตายเกิด สภาพที่พ้นจากอุปทานขันธ์

เจ้าของ:  ~๐opd~๐ [ 07 ก.ค. 2011, 21:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

Supareak Mulpong เขียน:
ความไม่มีตัวตน เป็นการกล่าวกับแบบย่อๆ ถ้าจะได้ความโดยสมบูรณ์ จะใช้คำว่า ไม่มีตัวตนเป็นของตน หรือว่างจากตัวตน ... ไม่ได้แปลว่า มันไม่มี

ยกตัวอย่าง เก้าอี้ไม้ที่เราเห็น ๑ ตัว ถ้าเราแยกออกมาเป็นชิ้นๆ จะได้กองไม้ กองตะปู สี แลคเกอร์ อยู่เป็นกองๆ สิ่งที่เราเรีกว่า เก้าอี้ จริงๆ แล้ว จึงไม่มี หรือ คำว่า เก้าอี้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกสมมุติขึ้นมา เพื่อสื่อถึงวัตถุถุที่มีรูปร่างลักษณะอย่าง เก้าอี้ที่เรารู้จักกัน

ถ้าเราเอาไม้มาแยก เอาตะปูมาแยก เอาสีมาแยก เอาแลคเกอร์มาแยก จนแยกไม่ได้ สิ่งที่เราจะได้ ก็คือ อณุภาคขนากเล็กมากๆ ที่ปัจจุบันเราเรียกว่า อะตอม และถ้าแยกอะตอมอีก เราจะก็ได้ประจุไฟฟ้า มีอิเลคตรอน โปรตรอน นิวตรอน พลังงาน เหมือนกัน ในภาษาโปราณ เราเรียกส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของวัตถุว่า ธาตุดินน้ำลมไฟ หรือ ฝุ่นละอองทุลีอวกาศ

ในที่สุด ไม้ก็ไม่มี ตะปูก็ไม่มี ฯ ทั้งหมด เป็นเพียงฝุ่นละอองที่มารวมตัวกันชั่วคราวเพราะเหตุปัจจัยเท่านั้น หมดเหตุปัจจัยก็แยกแตกออกจากกันเป็นดินน้ำลมไฟ เหมือนเดิม

วัตถุธรรม จึงเป็นเพียงสภาพชั่วคราวของดินน้ำลมไฟในโครงสร้างแบบใดแบบหนึ่ง ปกติก็มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนตลอดเวลา ไม่เคยหยุกอยู่กับที่ ประกอบรวมตัวกันอย่างหลวมๆ คั่นด้วยช่องว่าง ฯ

[size=200]แล้วตัวเราละ มีใหม? ชี้ตรงใหนที่บอกว่าเป็นตัวเรา? อะไรคือนายศุภฤกษ์? ชี้หัว ก็เป็นเนื้อหนังกระดูกฯ ชี้หัวใจ ก็เป็นเลือดเนื้อหนังฯ เลือดเนื้อกระดูกฯ ก็ยังไม่พ้นมาจากดินน้ำลมไฟ มีที่มาไม่ต่างจากเก้าอี้ แล้วตัวเราอยู่ใหน? แขนขาดไปแล้ว ยักเรียกว่าแขนเราอยู่หรือเปล่า?ความรู้สึก ความจำ ความคิด ความรู้ ของเราหรือเปล่า? ..... ฯลฯ[/size]
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า ตัวเราจริงๆ ไม่มี เป็นเพียงขันธ์ ๕ หรือ การเข้ามาประชุมกันชั่วคราวของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เท่านั้น หมดเหตุปัจจัยที่จะทำให้อยู่รวมกันได้ ก็เลิกประชุม

กองทุกข์ทั้งหลาย ก็มาจากเราไปติดว่า ขันธ์ ๕ คือเรา (อุปทานขันธ์ ๕)

แล้วอะไรไปนิพพาน? ก็ไม่มีอะไรไปนิพพาน เพราะนิพพาน หมายถึง หมดเชื้อ หมดเหตุปัจจัยในการเวียนว่ายตายเกิด สภาพที่พ้นจากอุปทานขันธ์



ก็เข้าใจอ่ะนะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา แต่ข้องใจนิดหนึ่งเรื่องที่ว่าให้ชี้ว่าคนอยู่ใหน ก็ในเมื่อคำว่าคนคือจะต้องประกอบด้วยธาตุ4และอวัยวะต่างๆจนเป็นรูปร่างขึ้นมาถึงจะเรียกว่าคน ถ้ามีเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะไม่เรียกว่าคน เรียกเป็นอีกอย่างไป ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วยังจะให้ชี้ว่าคนอยู่ใหน ถ้าคุณให้ผมชี้ว่าคนอยู่ใหนผมก็จะชี้ว่าทั้งหมดนี้ไงคนผมจะไม่ชี้ไปที่ส่วนไดส่วนหนึ่ง เพราะคุณให้ผมชี้ว่าคนอยู่ใหน ไม่ได้บอกให้ผมชี้ว่าหัวคนอยู่ใหน แขนคนอยู่ ขาคนอยู่ใหน ผมจึงต้องชี้ไปทั้งหมดว่านี้ไงคน :b13: :b13: หวังว่ากระทู้จะไม่ถูกลบอีก :b10: :b10:

เจ้าของ:  ปฤษฎี [ 07 ก.ค. 2011, 23:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อไม่มีตัวตนแล้วใครเล่า เข้าสู่นิพพาน

วชิราสูตร
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ครั้งนั้น เวลาเช้า วชิราภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในกรุงสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัตกลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง.

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้วชิราภิกษุณีบังเกิดความกลัวความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไปหาวชิราภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะวชิราภิกษุณีด้วยคาถาว่า

" สัตว์นี้ใครสร้าง ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน สัตว์บังเกิดในที่ไหน สัตว์ดับไปในที่ไหน. "

ลำดับนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าว คาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมมุษย์.
ทันใดนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู่มีบาปใคร่จะให้เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้ เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา. ครั้นวชิราภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาป แล้วจึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาปด้วยคาถาว่า

" ดูก่อนมาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์
ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์
เหมือนอย่างว่า เพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้าเสียงว่ารถย่อมมี ฉันใด.
เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมี ฉันนั้น
ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์เท่านั้นย่อมตั้งอยู่และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ."


ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า วชิราภิกษุณีรู้จักเราดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
จบวชิราสูตร
พระสุตตันตปิฎก(มหามกุฏฯ) สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ ๑ ภาคที่ ๒ หัวข้อที่ ๕๕๒ - ๕๕๔

___________________________________________________________________________

อีกสำนวนหนึ่งของมหาจุฬา ฯ
"มารเอ๋ย ทิฏฐิของเจ้าเชื่อว่าอะไรเป็นสัตว์
กองแห่งสังขารล้วน ๆ นี้
บัณฑิตจะเรียกว่าสัตว์ไม่ได้เลย
เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ก็มีได้
เหมือนคำว่ารถมีได้เพราะประกอบส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
อนึ่ง ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้นดำรงอยู่และแปรผันไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีสิ่งอื่นเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรอื่นดับไป"

หน้า 1 จากทั้งหมด 11 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/