วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 16:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2011, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
...สำคัญมั่นหมาย...

rolleyes rolleyes rolleyes

ขอบคุณเป็นอย่างสูง
กับสหายที่คอยผ่านเข้ามาฝากคำเตือน
เหมือนดั่งเงาคอยเฝ้าติดตาม... :b6: :b10: :b5: :b14:

:b22: :b9: :b13: :b13:


:b17: :b17: :b17: :b17:


เญ๊ๆๆ เย่ๆๆ เย๊ๆๆ น่าภาคภูมิใจมากเลยน๊ะข๊ะ
ฮิ๊วๆๆ
:b28: :b28: :b29: :b29: :b13: :b13:
:b9: :b6: :b32: :b29: :b17: :b17: :b4:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2011, 12:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลงซะ เขียน:
eragon_joe เขียน:
...สำคัญมั่นหมาย...

rolleyes rolleyes rolleyes

ขอบคุณเป็นอย่างสูง
กับสหายที่คอยผ่านเข้ามาฝากคำเตือน
เหมือนดั่งเงาคอยเฝ้าติดตาม... :b6: :b10: :b5: :b14:

:b22: :b9: :b13: :b13:


:b17: :b17: :b17: :b17:


เญ๊ๆๆ เย่ๆๆ เย๊ๆๆ น่าภาคภูมิใจมากเลยน๊ะข๊ะ
ฮิ๊วๆๆ
:b28: :b28: :b29: :b29: :b13: :b13:
:b9: :b6: :b32: :b29: :b17: :b17: :b4:

:b13:

การอยู่บนโลก แค่การมีอากาศให้ได้หายใจ ก็ถือว่าเป็นสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับ ได้แล้ว
แล้วประสาอะไร กับการสิ่งดี ๆ ที่ท่านอุตสาห์แสดงออกมาล่ะ

ขอบคุณ กับโอกาสที่ท่านหยิบยื่นให้ นะจ๊ะ


:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2011, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ปลงซะ เขียน:
eragon_joe เขียน:
...สำคัญมั่นหมาย...

rolleyes rolleyes rolleyes

ขอบคุณเป็นอย่างสูง
กับสหายที่คอยผ่านเข้ามาฝากคำเตือน
เหมือนดั่งเงาคอยเฝ้าติดตาม... :b6: :b10: :b5: :b14:

:b22: :b9: :b13: :b13:


:b17: :b17: :b17: :b17:


เญ๊ๆๆ เย่ๆๆ เย๊ๆๆ น่าภาคภูมิใจมากเลยน๊ะข๊ะ
ฮิ๊วๆๆ
:b28: :b28: :b29: :b29: :b13: :b13:
:b9: :b6: :b32: :b29: :b17: :b17: :b4:

:b13:

การอยู่บนโลก แค่การมีอากาศให้ได้หายใจ ก็ถือว่าเป็นสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับ ได้แล้ว
แล้วประสาอะไร กับการสิ่งดี ๆ ที่ท่านอุตสาห์แสดงออกมาล่ะ

ขอบคุณ กับโอกาสที่ท่านหยิบยื่นให้ นะจ๊ะ


:b13: :b13: :b13:


:b17: :b17: :b17:
น่าภาคภูมิใจเป็นที่สุดน่ะข๊ะ บุ๋ยๆ เญ๊ๆๆ
:b13: :b13: :b13:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2011, 00:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การตายลงทุกวันของนามรูป แต่ขันธ์5ยังไม่แยกจากกัน

การตายลงของนามรูป (ขันธ์5) คือการแยกแตกไปของขันธ์5 แต่สังขารยังอยู่

การประหารกิเลสให้ดับลงด้วยปัญญา สังขารดับ อวิชชาดับลงไปด้วย แต่ขันธ์5 ยังไม่แตกแยกกัน เป็นการดับลงของวงจรปฏิจจสมุปบาท

การแยกแตกของขันธ์5ในขบวนการดับของปฏิจจสมุปบาท ไม่เหลืออะไร

เป็นเชิงวิเคราะห์ ตามหลักครับผิดถูกก็ขออภัยมาณ ที่นี้ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2011, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


เรามี เพราะมีอุปาทาน
อุปาทานไม่มี เราก็ไม่มี

ความตายทางเนื้อหนัง เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวแล้วจบกัน
ส่วนความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน)ว่าเนื้อหนังร่างกายนี้เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา
ความยึดมั่นถือมั่นหรือความรู้สึกว่าเนื้อหนังร่างกายนี้เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรานี้นั้น
วันหนึ่งๆเกิดดับไม่รู้กี่หนจักกี่หน

หากทว่าความยึดมั่นถือมั่นหรือความรู้สึกว่าเนื้อหนังร่างกายนี้เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรานี้นั้น
ยังไม่ปรากฏ ความกลัวตายก็จะยังไม่ปรากฏแต่อย่างใด.

แต่เมื่อใดที่ ความยึดมั่นถือมั่นหรือความรู้สึกว่าเนื้อหนังร่างกายนี้เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรานี้นั้น
ปรากฏเกิดมีขึ้นมา ความกลัวตายก็จะปรากฏมีขึ้นมาเมื่อนั้น.

เราที่เป็นตัวตนจริงๆนั้น แท้จริงแล้วไม่มีแต่อย่างใดทั้งสิ้น ไม่ว่ากาลใดๆ
มีแต่เราที่เป็นความรู้สึกเข้าใจไปเอง มีแต่ความรู้สึกว่าเป็นเรา มีแต่ความคิดนึกว่าเป็นเรา...เท่านั้นเอง

ดังนั้นความพ้นไปจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในกาลปัจจุบัน
เพราะความเห็นที่ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีเรา ไม่มีตัวเราที่เป็นอัตตาตัวตนแต่อย่างใด ไม่ว่าในกาลใดทั้งสิ้น
มีแต่ขันธ์ทั้งห้า ที่เกิดและดับตามเหตุตามปัจจัย
มีแต่ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน เท่านั้นที่เกิดดับตามเหตุตามปัจจัย
มีแต่ความรู้สึก(อุปาทาน)ว่าร่างกายเนื้อหนังนี้คือตัวเรา คือตัวตนของเรา ที่เกิดดับตามเหตุตามปัจจัย
อยู่ทุกวินาที ตราบเท่าที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เรียกว่าขันธ์ทั้ง๕...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ท่านปล่อยรู้ว่า การตายทางเนื้อหนัง เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวก็จบกัน

อย่างนี้จะเรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ ได้รึเปล่า คือพอคนตายจากโลกไป ก็สูญกันไปเลย
จบกันไปเลยเพียงชาติเดียว

s004 s006 onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 19:55
โพสต์: 146


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบาง เขียน:
ที่ท่านปล่อยรู้ว่า การตายทางเนื้อหนัง เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวก็จบกัน

อย่างนี้จะเรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ ได้รึเปล่า คือพอคนตายจากโลกไป ก็สูญกันไปเลย
จบกันไปเลยเพียงชาติเดียว

s004 s006 onion


ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะดีไม่น้อยเลยท่าน เพราะตายแล้วก็ไม่ต้องเกิดอีก ไม่ว่าในภพภูมิใดๆ
หรือในสภาวะใดๆทั้งสิ้น จะได้ไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารตามที่พระพุทธ
เจ้าตรัสไว้ เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียวเป็นอันจบสิ้น จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ชาติแล้วชาติ
เล่าไม่จบสิ้น

.....................................................
เก็บธรรมใส่กล่อง.....เรียนรู้จากบัณฑิต.....คบหากัลยาณมิตร.....จิตอ่อนน้อมในพระธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่ท่านปล่อยรู้ว่า การตายทางเนื้อหนัง เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวก็จบกัน

อย่างนี้จะเรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ ได้รึเปล่า คือพอคนตายจากโลกไป ก็สูญกันไปเลย
จบกันไปเลยเพียงชาติเดียว



คน(เนื้อหนังหน้าตา)ที่เกิดมาใหม่ หาไม่พบที่จะเกิดมาเหมือนคน(เนื้อหนังหน้าตา)เดิม


อุจเฉททิฏฐิ มีความเชื่อมีความเห็นว่า ร่างกายจิตใจ(ขันธ์ทั้ง๕)นี้เป็นอัตตาตัวตน
เมื่อร่างกายนี้แตกดับสลายลงไป
จิตใจความรู้สึกต่างๆทั้งหลายที่เข้าใจว่าเป็นอัตตาตัวตนก็ดับสลายหมดสิ้นตามไปด้วย

ความเห็นผมนั้น ผมเห็นว่าร่างกายจิตใจหรือที่เรียกว่าขันธ์ทั้ง๕นี้นั้น
ไม่มีความเป็นอัตตาตัวตนแต่อย่างไรทั้งสิ้น
ความเห็นว่าเป็นอัตตาตัวตนเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้นเอง ครับ

:b45: ผมจึงไม่เห็นด้วยกับความเห็นที่เห็นว่า
ร่างกายนี้เมื่อถึงแตกดับลงไป แล้วมีจิตใจที่เป็นอัตตาตัวตนยังคงหลงเหลืออยู่
หรือเห็นว่า ร่างกายนี้เมื่อถึงแตกดับลงไป แล้วไม่มีจิตใจที่เป็นอัตตาตัวตนหลงเหลืออยู่
หรือเห็นว่า ร่างกายนี้เมื่อถึงแตกดับลงไป แล้วมีจิตใจที่เป็นอัตตาตัวตนยังคงหลงเหลืออยู่ก็มี
ไม่มีจิตใจที่เป็นอัตตาตัวตนหลงเหลืออยู่ก็มี... :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 19:55
โพสต์: 146


 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยรู้ เขียน:
อ้างคำพูด:
ที่ท่านปล่อยรู้ว่า การตายทางเนื้อหนัง เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวก็จบกัน

อย่างนี้จะเรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ ได้รึเปล่า คือพอคนตายจากโลกไป ก็สูญกันไปเลย
จบกันไปเลยเพียงชาติเดียว



คน(เนื้อหนังหน้าตา)ที่เกิดมาใหม่ หาไม่พบที่จะเกิดมาเหมือนคน(เนื้อหนังหน้าตา)เดิม


อุจเฉททิฏฐิ มีความเชื่อมีความเห็นว่า ร่างกายจิตใจ(ขันธ์ทั้ง๕)นี้เป็นอัตตาตัวตน
เมื่อร่างกายนี้แตกดับสลายลงไป
จิตใจความรู้สึกต่างๆทั้งหลายที่เข้าใจว่าเป็นอัตตาตัวตนก็ดับสลายหมดสิ้นตามไปด้วย


ความเห็นผมนั้น ผมเห็นว่าร่างกายจิตใจหรือที่เรียกว่าขันธ์ทั้ง๕นี้นั้น
ไม่มีความเป็นอัตตาตัวตนแต่อย่างไรทั้งสิ้น
ความเห็นว่าเป็นอัตตาตัวตนเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้นเอง ครับ

:b45: ผมจึงไม่เห็นด้วยกับความเห็นที่เห็นว่า
ร่างกายนี้เมื่อถึงแตกดับลงไป แล้วมีจิตใจที่เป็นอัตตาตัวตนยังคงหลงเหลืออยู่หรือเห็นว่า ร่างกายนี้เมื่อถึงแตกดับลงไป แล้วไม่มีจิตใจที่เป็นอัตตาตัวตนหลงเหลืออยู่หรือเห็นว่า ร่างกายนี้เมื่อถึงแตกดับลงไป แล้วมีจิตใจที่เป็นอัตตาตัวตนยังคงหลงเหลืออยู่ก็มี
ไม่มีจิตใจที่เป็นอัตตาตัวตนหลงเหลืออยู่ก็มี
... :b45:



ผมงงกับคุณปล่อยรู้มากๆเลยครับ

ด้านบนคุณปล่อยรู้ เห็นด้วยว่าเมื่อร่างกายนี้แตกดับสลายลงไปอัตตาตัวตนก็ดับสลายหมดสิ้นตาม
ไปด้วย

แต่พอมาด้านล่างคุณปล่อยรู้ กลับสรุปว่าคุณ ไม่เห็นด้วยในเรื่องสภาวะของอัตตา มีอัตตาก็ไม่เห็น
ด้วย ไม่มีอัตตาก็ไม่เห็นด้วย มีอย่างละนิดก็ไม่เห็นด้วย s006 s006 ซึ่งข้อสรุปของคุณนั้นขัด
แย้งกับการแสดงความคิดเห็นของคุณที่อยู่ด้านบนมากๆ ตรงกันข้ามกันเลย

คุณปล่อยรู้กำลังจะบอกว่า
เมื่อร่างกายนี้แตกดับสลายลงไปอัตตาตัวตนก็ดับสลายหมดสิ้นตามไป
เมื่อร่างกายนี้แตกดับสลายลงไปอัตตาตัวตนก็ไม่ดับสลายหมดสิ้นตามไป
เมื่อร่างกายนี้แตกดับสลายลงไปอัตตาตัวตนก็ดับสลายบ้าง ไม่ดับสลายบ้าง
สรุปว่าคุณปล่อยรู้กำลังจะบอกอะไรครับ ต้องการสื่อในเรื่องของอะไรครับ ช่วยชี้แจงด้วยครับ

.....................................................
เก็บธรรมใส่กล่อง.....เรียนรู้จากบัณฑิต.....คบหากัลยาณมิตร.....จิตอ่อนน้อมในพระธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย กล่องธรรม เมื่อ 21 ต.ค. 2011, 08:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนา ไม่ให้ความสำคัญเรื่องชีวิตหลังไปแล้ว
หลายครั้งที่มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังตาย
พระพุทธเจ้ามักจะหลีกเลี่ยงกับคำถามพวกนี้
เพราะคำตอบไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุกข์ที่กำลังเกิดกับชีวิตในปัจจุบันได้...

ทุกข์ทั้งหลายล้วนมีสาเหตุมาจากความอยาก(ตัณหา)
อยากให้ปรากฏ(เกิด) ไม่อยากให้ปรากฏ(ไม่เกิด)
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในภพภูมิใดๆก็ตาม ความอยากล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งสิ้น

ความอยากคือที่มาที่ทำให้เกิดอุปาทานความเข้าใจว่าเป็นอัตตาตัวตน
หากความอยากยังไม่ปรากฏ ความเข้าใจว่าเป็นอัตตาตนก็จะยังไม่ปรากฏ
พระพุทธศาสนาค้นพบความจริงในสิ่งนี้
ดังนั้นพระพุทธศาสานาจึงไม่มีความเห็นไม่เรื่องของความเชื่อต่างๆทั้งหลาย
ที่เชื่อกันว่าจิตหรือวิญญาณที่เป็นอัตตาตัวตนหลังจากร่างกายนี้แตกดับสลายลงไปแล้ว จิตวิญญาณที่เข้าใจอย่างนั้นจะไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2011, 07:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เรามี แต่เป็นแค่สภาวะธรรม อันเกิดขึ้นชั่วคราว ไม่ได้มีเราอยู่จริง ๆ เป็นตัวเป็นตนแต่อย่างใด

สิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป ..........................หรือเรียกสั้นๆ ว่า ขันธ์5

นั่นเป็นสิ่งที่มีจริง

เราไม่ใช่ เจตสิก เราไม่ใช่ อุปาทาน ตัวเดียว โดดๆ ...............พิจารณาให้ดี

ถ้าจิต ไม่ขึ้นสู่วิถี จะไม่มีความรู้สึกว่ามีเราเลย

ความรู้สึกว่ามีเรา ในชาตินี้ และชาติหน้า หรือชาติที่แล้วๆ มา .......... เป็นอย่างไร

ลองสังเกตุ เวลาที่นอนหลับแล้วฝัน

มีใคร ฝันต่อจากคืน ก่อนๆ ได้บ้าง

ขนาดคืนเดียวกัน ยังฝันแบบจับต้นชนปลาย ไม่ถูกเลย ............... นั่นคือสภาวะของความเป็นเรา

เราในชาตินี้ กับเราในชาติอนาคต ก็เช่นเดียวกัน .......... มันเป็นสิ่งที่เริ่มต้นใหม่

ไม่ปะติดปะต่อ

ลูกเมียทรัพย์สมบัติ ญาติพี่น้องในชาตินี้ ก็ส่วนของชาตินี้
ชาติถัดไป ก็เป็นบุคคลใหม่ มีชาติตระกูลใหม่ แม่แต่ร่างกาย ยังใหม่ๆ

การเสียชีวิต เป็นการละทิ้งทุกอย่าง แม้แต่คำว่า เรา ก็ต้องละทิ้ง

การเกิดใหม่ ก็เป็นเราใหม่

ดุจเดียวกับที่เรา ฝันแต่ละคืน มีเราใหม่ๆ เกิดขึ้นในฝัน ไม่ปะติดปะต่อ กับเราเมื่อคืนก่อนเลย
หรือแม้แต่ เมื่อตอนกลางวันก่อนนอนหลับฝัน ก็ไม่ปะติดปะต่อ กันเลย

เราในฝัน เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
เราในชาติหน้า ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

เราเป็นแค่สภาวะธรรม อันเกิดจาก จิตขึ้นสู่วิถี .......... เท่านั้น

เมื่อจิตไม่ขึ้นสู่ วิถี ก็จะไม่มีเราเลย ....................แม้แต่ที่ไหนๆ

ตอนกลางวัน จิตขึ้นสู่วิถีซะมาก สลับกับพ้นวิถีกินเวลาเร็วมาก แล้วขึ้นสู่วิถียาวนานกว่า

ความรู้สึกว่า เรามีความรู้สึกตัว จึงเกิดขึ้นตลอดเวลา

แต่ตอนที่เรานอน หลับ สนิท
จิตพ้นวิถีซะส่วนใหญ่ ขึ้นสู่วิถีน้อยมากกินเวลาเร็วมาก เราจึงไม่รู้สึกตัว

เวลาที่เรานอนหลับ ฝัน
จิต ขึ้นสู่วิถีทางมโนทวาร สลับกับพ้นวิถีกินเวลาสั้นมาก เราจึงรู้สึกตัวอยู่ในความฝัน

ไม่ว่า เรา อันเป็นแค่สภาวะธรรม ซึ่งเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว
หรือ จิต เจตสิก รูป อันมีจริง เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปอยู่ตลอดเวลา

ทุกอย่าง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ปรากฏว่าใครเป็นเจ้าของ

ต่าง เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ตามเหตุปัจจัย 24 อันพระผู้มีพระภาค ทรงได้แสดงแล้ว

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2011, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อัตตานุทิฏฐิ ความตามเห็นว่ามีอัตตาตัวตน เป็นไฉน

ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยะเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะเจ้า
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะเจ้า ไม่ได้เห็นสัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ

ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป
ย่อมเห็นเวทนาเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นสัญญาเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นสังขารเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นวิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตนในวิญญาณ

ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือเอาโดยวิปลาส อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อัตตานุทิฏฐิ ความตามเห็นว่ามีอัตตาตัวตน

....

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเล่าไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขตลอดกาลนาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนาไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ... สัญญาไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ... สังขารไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสีย วิญญาณนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? หญ้า ไม้ กิ่งไม้และใบไม้ใด ที่มีอยู่ในเชตวันวิหารนี้ ชนพึงนำหญ้า ไม้ กิ่งไม้และใบไม้นั้นไปเสีย เผาเสียหรือพึงทำตามควรแก่เหตุ. ท่านทั้งหลายพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ชนนำเราทั้งหลายไปเสีย เผาเสียหรือทำตามควรแก่เหตุบ้างหรือหนอ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร? เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ตนหรือสิ่งที่เนื่องกับตนของข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลายท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย. สิ่งนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน. บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญแม้อย่างนี้.

ท่านพระอานนท์ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่าโลกสูญ ดังนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า โลกสูญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ?

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ เพราะสูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่องกับตน ฉะนั้น จึงกล่าวว่า โลกสูญ. ดูกรอานนท์ สิ่งอะไรเล่าสูญจากตน หรือจากสิ่งที่เนื่องกับตน? จักษุสูญ รูปสูญ จักษุวิญญาณสูญ จักษุสัมผัสสูญ สุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี อทุกขมสุข เวทนาก็ดี ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้เวทนานั้นก็สูญจากตนหรือสิ่งที่เนื่องกับตน. หูสูญ เสียงสูญ จมูกสูญ กลิ่นสูญ ลิ้นสูญ รสสูญ กายสูญ โผฏฐัพพะสูญ ใจสูญ ธรรมารมณ์สูญ มโนวิญญาณสูญ มโนสัมผัสสูญ สุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี อทุกขมสุขเวทนาก็ดี ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้เวทนานั้นก็สูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่องกับตน. ดูกรอานนท์ เพราะสูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่องกับตนนั่นแล ฉะนั้น จึงกล่าวว่าโลกสูญ. บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญแม้อย่างนี้.


ดูกรคามณิ เมื่อบุคคลเห็นซึ่งความเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรม
ทั้งสิ้น ซึ่งความสืบต่อแห่งสังขารทั้งสิ้น ตามความเป็นจริง
ภัยนั้นย่อมไม่มี. เมื่อใด บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกเสมอ
หญ้าและไม้ด้วยปัญญา เมื่อนั้น บุคคลนั้นก็ไม่พึงปรารถนา
ภพหรืออัตภาพอะไรๆ อื่น เว้นไว้แต่นิพพานอันไม่มี
ปฏิสนธิ.

บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญแม้อย่างนี้.

ที่มา พระไตรปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2011, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ไม่เสียดาย หากต้องตาย ในตอนนี้
เพราะรู้ดี ไม่มีฉัน ที่ตายดับ
เพียงขันธ์ห้า ธาตุทั้งสี่ ที่ย่อยยับ
ไม่ใช่ฉัน ที่ตายดับ ลับหายไป

ไม่มีฉัน เลยไม่มี เรื่องได้เสีย
ทุกอย่างเคลีย ฉันไม่เกิด ฉันไม่ตาย
เรื่องเกิดตาย เรื่องของธาตุ ขันธ์ทั้งหลาย
ไม่ใช่ฉัน ที่เกิดตาย ที่ไหนเลย :b45:


"ศาสดาและสาวก ย่อมกล่าวตรงกันในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2011, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: ตายก่อนตาย ไม่เสียดาย กายที่เหลือ
ไม่หลงเชื่อ เยื่อใย ใจที่อยู่
ตายก่อนตาย คงเหลือไว้ ว่างให้ดู
ลมหายใจ ใฝ่เฝ้ารู้ อยู่ก่อนตาย

อยู่ก่อนตาย ให้ดำเนิน เดินทางมรรค
แจ้งประจักษ์ ผลสัมมา พาทุกข์หาย
มรรคทั้งแปด ปกป้องคลุม คุ้มครองใจ
ตายก่อนตาย ฝึกหัดไว้ ก่อนตายจริง... :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2011, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 139 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร