วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 12:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2011, 09:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ต.ค. 2011, 12:28
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเข้าใจธรรมชาติดีแล้ว ความตายเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าก่อนวันจริง ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2011, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ใช่ตายแล้วสูญ แต่เป็นสูญก่อนตาย
ใครเห็นได้ ไม่สงสัย สูญไม่สูญ
สูญก่อนตาย ถึงคราวตาย ไม่อาดูร
ตายแล้วสูญ ตายไม่สูญ ไม่ข้องใจ

เห็นสูญก่อน ที่จะตาย ไม่กังวล
ไม่เห็นตัว ไม่เห็นตน ที่ไหนๆ
สิ่งทั้งหลาย เกิดแต่เหตุและปัจจัย
ไม่มีอะไรที่ไม่สูญเลยซักอย่าง

กายและใจ สูญก่อนตาย ใช่ไหมหนา
ขันธ์ทั้งห้า ใช่อัตตา ให้เอ่ยอ้าง
ถ้าไม่สูญ จะให้ว่าง ไม่มีทาง
เหตุไม่ว่าง เพราะไม่เห็น เป็นสูญญา

ตายไม่สูญ ตายแล้วสูญ รู้ป่วยการ
เพราะรู้นั้น ไม่ทำให้ พ้นทุกขา
เพราะความทุกข์ นั้นเกิดก่อน ตายจะมา
สูญญตา จึงจำเป็น เห็นก่อนตาย

ทั้งความตาย ทั้งความเป็น เห็นสูญญา
เลิกกังขา รูปนาม ธรรมทั้งหลาย
เห็นสูญญตา ตั้งแต่ต้น จนจรดปลาย
นิพพานได้ ผ่านประสพ พบก่อนตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2011, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ตายก่อนตาย หายกลัวตาย สบายพ้น
เลิกกังวล เรื่องเกิดตาย คลายทุกข์ร้อน
เห็นกายใจ ไม่ใช่เรา เลิกเว้าวอน
หัดตายก่อน ก่อนตายจริง จะมีมา

ไม่เห็นเรา มีอยู่ใน กายและใจ
มัจจุราช มาเมื่อใด ไม่กลัวหนา
เป็นเพราะเหตุ ตายได้ก่อน ถึงเวลา
มรณา มาเมื่อไร ไม่กลัวเลย... :b45:

...............................................


:b41: เวทนา ย่อมเกิดมี ที่กายใจ
อันความตาย ย่อมเกิดใน กายใจนี้
ไม่ยึดถือ กายและใจ ว่าเรามี
ความตายนี้ จึงไม่มี อยู่ที่เรา

มีแต่ขันธ์ เท่านั้น ที่ผันแปร
เกิดเจ็บแก่ ไม่ใช่เรา ที่ตายเผา
เห็นปฏิจจฯ เห็นเรื่องตาย เป็นเรื่องเบา
เผาตัวเรา ให้ตายก่อน ถูกเผาจริง :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2011, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ยังมีคน ยังไม่พ้น มีเกิดตาย
มีเวียนว่าย ตายเกิด อยู่ทุกที่
ไม่มีคน เรื่องตายเกิด ก็ไม่มี
เพียงธาตุสี่ ขันธ์ทั้งห้า ลาลับไป

พระพุทธองค์ ทรงบอก มิใช่หรือ
ว่าอย่าถือ มั่นหมาย ใจและกาย
แค่ขันธ์ห้า หาใช่คน ตัวตนไม่
แค่ปัจจัย หมุนเวียน เปลี่ยนไปมา

ไม่มีคน มีแต่ธาตุ มีแต่ขันธ์
วันทั้งวัน ผันเปลี่ยนไป อย่างช้าๆ
ความรู้สึก นั้นเป็นเพียง แค่มายา
ให้หลงว่า เป็นอัตตา เป็นสัตว์คน

วางขันธ์ได้ เรื่องเกิดตาย ก็วางได้
ไม่สนใจ ว่าอะไร จะหลุดพ้น
ปฏิบัติ เพียงมุ่งหมาย คลายทุกข์ทน
ไม่สับสน เรื่องชีวิต หลังความตาย :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2011, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


..."ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายะตะนะนั้นมีอยู่
แต่ดิน น้ำ ลม ไฟ
อากาสานัญจายะตะนะ
วิญญานัญยะตะนะ
อากิญจัญญายะตะนะ
เนวะสัญญานัญสัญญายะตะนะ
โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และ พระอาทิตย์
ย่อมไม่มีในอายะตะนะนั้น.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายะตะนะนั้นว่า
เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปปัตติ
อายะตะนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ หาอารมณ์มิได้
นี้แล เป็นที่สุดแห่งทุกข์"...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2011, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


สรรพสิ่งใดๆ ในโลกนี้ ไม่มีตาย
เพียงแค่กลาย เปลี่ยนรูปลักษ์ ไปเท่านั้น
ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าพืช คนเหมือนกัน
ความตายนั้น มันไม่มี ที่ไหนๆ

เพียงแค่ธาตุ แยกจากกัน ผันแปรเปลี่ยน
ไหลหมุนเวียน ไปตามเหตุ ตามปัจจัย
ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีตาย
ใครเห็นได้ ก็สบาย หายหวาดกลัว

ตายไม่มี ไม่มีตาย หายใจโล่ง
จิตปลอดโปร่ง เบาสบาย ยิ้มได้ทั่ว
มัจจุราช หาเท่าใด ไม่พบตัว
ไม่มีหัว ไม่มีตัว ให้จับไป

ไม่มีตาย ตายไม่มี ที่ไหนๆ
เมื่อเข้าใจ ก็หายกลัว หัวเราะได้
เลิกคร่ำครวญ เลิกร้องไห้ เลิกเสียใจ
เลิกสงสัย ตายไปไหน กันเสียที...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2011, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ไม่พูดเรื่องตาย ไม่พูดเรื่องเกิด ประเสริฐสุด
ธรรมพระพุทธ ทรงดำรัส ตรัสไว้หนอ
เกิดหรือไม่เกิด ไม่สมควร ด่วนพูดต่อ
จะเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี นี้ก็ไม่สมควร

เกิดก็ใช่ ไม่เกิดก็ใช่ ก็ไม่บังควร
อย่าชักชวน พูดคุย กันล้วนๆ
ธรรมนี้ยาก เกินกว่าใคร จะใคร่ควร
รู้ครบถ้วน ดั่งพระพุทธองค์ ที่ทรงชี้

พูดบัญญัติ ก็มีสัตว์ ก็มีคน
พูดหลุดพ้น คนสัตว์ ต้องสลัดหนี
มีคนสัตว์ เรื่องเกิดตาย มันก็มี
เกิดตายไม่มี หากพูดกัน ที่ขันธ์ห้า

อัคคิวัจฉโคตรสูตร ไม่พูดเกิด
ไม่ชูเชิด คนสัตว์ ให้กังขา
พูดแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญา
ไม่พูดว่า คนไปเกิด คนไปตาย

ยังติดคน ยังไม่พ้น ยังต้องเวียน
ยังต้องเพียร ยังต้องพัก หักไม่ได้
เปรียบมหาสมุทร สุดหยั่งลึก ยากเพียงใด
ธรรมเกิดตาย ก็เช่นนั้น เหมือนกันเอย... :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2011, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เราจะเป็นเจ้าของขันธ์5 ได้อย่างไร
ในเมื่อ เรา เป็นแค่สภาวะธรรม ที่เกิดขึ้นชั่วคราว ตามเหตุตามปัจจัย

จะว่าไปแล้ว ขันธ์5 เป็นนายของเรา
เมื่อจิตในขันธ์5 ได้ขึ้นสู่วิถี ..................... เมื่อนั้นเราได้มีขึ้น
เมื่อจิตในขันธ์5 กลับสู่สภาวะพ้นวิถี ............ เมื่อนั้น เราหายไป
เมื่อเวทนา ในขันธ์5 ทำงาน .................... เมื่อนั้น เรารู้สึกสุข ทุกข์ เฉย
เมื่อสัญญา ในขันธ์5 ทำงาน .................... เมื่อนั้น เราจำได้หมายรู้
เมื่อสังขาร ในขันธ์5 ทำงาน .................... เมื่อนั้น เรามีความรู้สึกนึกคิด
เมื่อรูป ในขันธ์5 ทำงาน ......................... เมื่อนั้น เรารู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ด้วยจิต

ขันธ์5 เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะเหตุปัจจัย 24 ตลอดเวลา ตลอดวันตลอดคืน
แม้แต่ขันธ์5 ซึ่งเป็นนายเรา ยังไม่ใช่ตัวตน เป็นแค่สิ่งที่เกิดดับๆ เป็นขณะๆ ไป
แล้วเรา จะมีตัวตนได้อย่างไร

ทำไม ขันธ์5 จึงต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตลอดเวลา
เพราะเหตุปัจจัย ต่างๆ เช่น อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย วิปากปัจจัย สหชาตปัจจัย กัมมปัจจัย
และปัจจัยอื่นๆ เป็นต้น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2011, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 469

๘. สัลเลขสูตร

การละทิฏฐิ

[๑๐๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนจุนทะ ทิฏฐิเหล่านี้

มีหลายประการ ประกอบด้วยอัตตวาทะบ้าง ประกอบด้วยโลกวาทะบ้าง

ย่อมเกิดขึ้นในโลก ก็ทิฏฐิเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นในอารมณ์ใด ย่อมนอน

เนื่องอยู่ในอารมณ์ใด และฟุ้งขึ้นในอารมณ์ใด เมื่อภิกษุเห็นอารมณ์นั้น

ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เรา

ไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ดังนี้ การละทิฏฐิเหล่านั้น การสลัด

ทิ้งซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น ย่อมมีได้ด้วยอุบายอย่างนี้.

ขอถามคำว่า "นั่นไม่ใช่ของเรา" เป็นอย่างไร ?
"เราไม่ใช่นั่น" เป็นอย่างไร ?
"นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา" เป็นอย่างไร ?


อ้างคำพูด:
พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นการแสดงความเป็นจริง

ของสภาพธรรม ว่าเป็นเพียงสภาพธรรม เกิดขึ้นเพราะปัจจัย ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัว

ตน เราเขา เมื่อปัญญาเกิดขึ้นย่อมรู้ตามเป็นจริงว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น
"นั่นไม่ใช่ของเรา" "เราไม่ใช่นั่น" "นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา"

แต่ปุถุชนผู้บอดเขลาย่อมยึดถือสิ่งที่กำลังปรากฏด้วยอำนาจตัณหาว่า นั่นของเรา

ยึดถือด้วยอำนาจมานะว่า เราเป็นนั่น ยึดถือด้วยอำนาจของทิฏฐิว่า นั่นเป็นตัว

ตนของเราดังคำอธิบายในบาลีว่า

บทว่า เอตํ มม (นั่นของเรา) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญเพราะตัณหาเป็นมูล

บทว่า เอโสหมสฺมิ (เราเป็นนั่น) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะมานะเป็นมูล.

บทว่า เอโส เม อตฺตา (นั่นเป็นตัวตนของเรา) มีความสำคัญเพราะทิฏฐินั่นเอง.

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 296

คำว่า เอตํ มม นั่นของเรา เป็นการยึดถือด้วยอำนาจตัณหา.

ความวิปริตแห่งตัณหา ๑๐๘ เป็นอันถือเอาด้วยคำนั้น.

บทว่าเอโสหมสฺมิ เราเป็นนั่น เป็นการยึดถือด้วยอำนาจมานะ.

มานะ ๙ เป็นอันถือเอาด้วยคำนั้น. บทว่า เอโส เม อตฺตา นั่นคือ

อัตตาของเรา เป็นการยึดถือด้วยอำนาจทิฏฐิ. ทิฏฐิ ๖๒ ....

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 126 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron