ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ทุกข์
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=39974
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 31 ต.ค. 2011, 04:23 ]
หัวข้อกระทู้:  ทุกข์

การเข้าใจสภาพธรรมะเป็นสิ่งที่ดีคือเข้าใจในลักษณะของรูปนาม คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
เพื่อให้เข้าใจถึง พระไตรลักษณ์คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพราะฉะนั้นควรที่จัหั่นเจริญวิปัสสนาเพื่อให้พ้นจากความทุกข์
เพราะการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีแต่ทุกข์นั่นเอง เมื่อมีการเกิดก็ต้องมีทุกข์ เพราะฉะนั้นการรู้จักการเกิดดับของรูปนามนับเป็นสิ่งที่
น่าอนุโมทนาแป็นบุญกุศลที่หมั่นเจริญนั่นเอง


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ

เจ้าของ:  ทักทาย [ 31 ต.ค. 2011, 22:01 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

อนุโมทนาค่ะ :b8:

เจ้าของ:  รสมน [ 01 พ.ย. 2011, 05:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

ธรรมนั้น ๆ เหล่านี้แล เนื่องมาแต่กุศลส่วนเดียวไกลจากข้าศึกเป็น

โลกุตตระ อันมารผู้มีบาปหยั่งลงไม่ได้ ดูก่อนอานนท์เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

สาวกมองเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงควรใกล้ชิดติดตามศาสดา.

ท่านพระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์

มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเหตุ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแบบอย่าง

มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย ขอได้โปรดเถิดพระพุทธเจ้าข้า

เนื้อความแห่งพระภาษิตนี้แจ่มแจ้งเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น

ภิกษุทั้งหลายพึงต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักทรงจำไว้.

สาวกไม่ควรจะติดตามศาสดาเพียงเพื่อ

ฟังสุตตุ เคยยะ และไวยากรณ์เลย นั้น เพราะเหตุไร เพราะธรรมทั้งหลาย

อันพวกเธอสดับแล้ว ทรงจำแล้ว คล่องปากแล้ว เพ่งตามด้วยใจแล้ว

แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็น เป็นเวลานาน

แต่สาวกควรจะใกล้ชิดติดตามศาสดา

เพื่อฟังเรื่องราวเห็นปานฉะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องขัดเกลากิเลสอย่างยี่ง

เป็นที่สบายแก่การพิจารณาทางใจ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายส่วนเดียว

เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อดับกิเลส เพื่อสงบกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง


เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือ

เรื่องมักน้อย เรื่องยินดีของของตน เรื่องความสงัด

เรื่องไม่คลุกคลี เรื่องปรารภความเพียร เรื่องศีล เรื่องสมาธิ

เรื่องปัญญา เรื่องวิมุตติ เรื่องวิมุตติญาณทัสสนะ.

เมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีอุปัทวะของอาจารย์

อุปัทวะของศิษย์ อุปัทวะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์.

ดูก่อนอานนท์ ก็อุปัทวะของอาจารย์ย่อมมีได้อย่างไร

ดูก่อนอานนท์ ศาสดาบางท่านในโลกนี้ ย่อมพอใจเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า

โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำบนภูเขา ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้งและลอมฟาง

เมื่อศาสดานั้นหลีกออกแล้วอย่างนั้นอยู่ พวกพราหมณ์และคฤหบดี ชาวนิคม

และชาวชนบทจะพากันเข้าไปหา เมื่อพวกพราหมณ์และคฤหบดี ชาวนิคม

และชาวชนบท พากัน เข้าไปหาแล้ว ศาสดานั้นจะปรารถนาอย่างหมกมุ่น

จะถึงความวุ่นวาย จะเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก ดูก่อนอานนท์ ศาสดา

นี้เรียกว่า อาจารย์มีอุปัทวะด้วยอุปัทวะของอาจารย์ อกุศลธรรมอันลามก

เศร้าหมอง เป็นเหตุเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก

เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชรา มรณะต่อไปได้ฆ่าศาสดานั้นเสียแล้ว ดูก่อนอานนท์

อย่างนี้แล อุปัทวะของอาจารย์ย่อมมีได้.

ดูก่อนอานนท์ ก็อุปัทวะของศิษย์ย่อมมีได้อย่างไร ดูก่อน

อานนท์ สาวกของศาสดานั้นแล เมื่อเพิ่มพูนวิเวกตามศาสดานั้น ย่อมพอใจ

เสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำบนภูเขา ป่าช้า ป่าชัฏ

ที่แจ้งและลอมฟาง เมื่อสาวกนั้นหลีกออกแล้วอย่างนั้น อยู่พวกพราหมณ์และ

คฤหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท จะพากันเข้าไปหา เมื่อพวกพราหมณ์และ

คฤหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท พากันเข้าไปหาแล้ว สาวกนั้นจะปรารถนา

อย่างหมกมุ่นจะถึงความวุ่นวาย จะเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก

ดูก่อนอานนท์ สาวกนี้เรียกว่าศิษย์มีอุปัทวะด้วยอุปัทวะของศิษย์ อกุศลธรรม

อันลามก เศร้าหมอง เป็นเหตุเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์

เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชรามรณะต่อไป ได้ฆ่าสาวกนั้นเสียแล้ว

ดูก่อนอานนท์ อย่างนี้แลอุปัทวะของศิษย์ย่อมมีได้.

อุปัทวะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์

ดูก่อนอานนท์ ก็อุปัทวะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมี

ได้อย่างไร ดูก่อนอานนท์ ตถาคตอุบัติในโลกนี้ ได้เป็นผู้ไกลจากกิเลส

รู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ. ดำเนินไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถี

ผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึกอย่างหาคนอื่นยิ่งกว่ามิได้ เป็นครูของเทวดา และมนุษย์

ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้แจกธรรม ตถาคตนั้นย่อมพอใจเสนาสนะอันสงัด

คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำบนภูเขา ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และ

ลอมฟาง เมื่อตถาคตนั้นหลีกออกแล้วอย่างนั้นอยู่ พวกพราหมณ์และคฤหบดี

ชาวนิคมและชาวชนบท จะพากันเขาไปหา เมื่อพวกพราหมณ์และคฤหบดี

ชาวนิคมและชาวชนบท พากันเข้าไปหาแล้ว ตถาคตนั้นย่อมไม่ปรารถนา

อย่างหมกมุ่น ไม่ถึงความวุ่นวาย ไม่เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก ดูก่อน

อานนท์ ส่วนสาวกของตถาคตผู้ศาสดานั้นแล เมื่อเพิ่มพูนวิเวกตามคถาคตผู้

ศาสดา ย่อมพอใจเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ

บนภูเขา ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และลอมฟาง เมื่อสาวกนั้นหลีกออกแล้ว

อย่างนั้นอยู่ พวกพราหมณ์และคฤหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท จะพากัน

เข้าไปหา เมื่อพวกพราหมณ์และคฤหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท พากันเข้า

ไปหาแล้ว สาวกนั้นย่อมปรารถนาอย่างหมกมุ่น ถึงความวุ่นวาย เวียนมา

เพื่อความเป็นผู้มักมาก ดูก่อนอานนท์ สาวกนี้เรียกว่าผู้ประพฤติพรหมจรรย์

มีอุปัทวะด้วยอุปัทวะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ อกุศลธรรมอันลามก

เศร้าหมอง เป็นเหตุเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก

เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชรามรณะต่อไป ได้ฆ่าสาวกนั้นเสียแล้ว ดูก่อนอานนท์

อย่างนี้แล อุปัทวะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้.





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ

เจ้าของ:  ไม่เที่ยง เกิดดับ [ 03 พ.ย. 2011, 10:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

ทุกข์
1. ทุกข์ธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บตาย ตามกฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือ ไม่เที่ยง เกิดดับ สรรพสิ่งในจักรวาลนี้หนีไม่พ้น
2. ทุกข์เกิดการ การรู้ไม่เท่าทันสิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อินทรีย์ 6)

ทุกข์เกิดจากเหตุ (อิทัปปัจจยตา) ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ หรือบังเอิญเกิดขึ้น
1. วิธีดับทุกข์ธรรมชาติ คือ พิจารณาขันธ์ 5
2. วิธีดับทุกข์ที่มากระทบตัวเรา คือ พิจารณาอินทรีย์ 6 (สิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
นั้นก็คือ รูปที่เราเห็น เสียงที่เราได้ยิน จมูกที่เราได้กลิ่น การสัมผัสร้อน เย็น ตึง ไหว ใจคิดลึก
ให้ดำเนินปกติชีวิตประจำวันไม่มากระทบไม่พิจารณา เห็นเก้าอี้พิจารณาเก้าอี้ ไม่เที่ยง เกิดดับ
ย้อนมาที่ตัวเราพิจารณา ตัวเราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ ได้ยินเสียงพิจารณาเสียงไม่เที่ยง เกิดดับ
ย้อนมาพิจารณาตัวเราว่าตัวเราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นต้น นี่แหละครับคือการวิปัสสนาที่แท้จริงนำไปสู่ปัญญาดับทุกข์ของเราได้เราก็รู้ผิดชอบชั่วดี มีศีลเกิดขึ้นตามมาเราก็ทำแต่ความดี ทำบุญ ให้ทาน จิตเมตตากรุณา สมาธิก็เกิดขึ้นสมาธิก็นำไปสู่ความสงบ (ปัญญา ศีล สมาธิ) ตามองค์ธรรมที่ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน

เจ้าของ:  eragon_joe [ 03 พ.ย. 2011, 10:56 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

ทุกข์ดับ เมื่อไม่ต้องไปมัวนั่งพิจารณาอะไร

มัวแต่ไปนั่งคิด ก็เป็นการนำพาตัวเองกระโจนเข้าไปในกฎไตรลักษณ์

:b6:

:b14:

เจ้าของ:  ไม่เที่ยง เกิดดับ [ 05 พ.ย. 2011, 09:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

ทุกข์ที่เกิดจากตัวเราไปพอใจ ไม่พอใจกับสิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อินทรีย์ 6)

หน้าที่ของอินทรีย์ 6
หน้าที่หลัก หน้าที่ในการศึกษา เรียนรู้สิ่งต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน เราเรียนรู้มาตลอดตั้งแต่การกิน การเดิน การอาบน้ำ แต่งกาย การเรียนหนังสือ การทำงาน เป็นต้น
หน้าที่รอง หน้าที่ในการรับความรู้สึก รับอารมณ์

ที่เราทุกข์ก็เพราะเราใช้ิอินทรีย์ 6 ไม่ถูกต้องใช้หน้าที่รองไปเป็นหน้าที่หลักดังนั้นจึงเกิดปัญหาตามมาอยู่ตลอดเวลา

เจ้าของ:  eragon_joe [ 05 พ.ย. 2011, 13:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ทุกข์ที่เกิดจากตัวเราไปพอใจ ไม่พอใจกับสิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อินทรีย์ 6)

หน้าที่ของอินทรีย์ 6
หน้าที่หลัก หน้าที่ในการศึกษา เรียนรู้สิ่งต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน เราเรียนรู้มาตลอดตั้งแต่การกิน การเดิน การอาบน้ำ แต่งกาย การเรียนหนังสือ การทำงาน เป็นต้น
หน้าที่รอง หน้าที่ในการรับความรู้สึก รับอารมณ์

ที่เราทุกข์ก็เพราะเราใช้ิอินทรีย์ 6 ไม่ถูกต้องใช้หน้าที่รองไปเป็นหน้าที่หลักดังนั้นจึงเกิดปัญหาตามมาอยู่ตลอดเวลา


ขอเสริมตรรกะของท่าน
ด้วยพระสูตร เพื่อที่ผู้ที่ติดตามจะเข้าใจในแง่ที่สมบูรณ์
เพราะพระพุทธไม่ได้สอนให้สาวกเข้าใจอินทรีย์ และทุกข์ในลักษณะหน้าที่หลัก หน้าที่รองเช่นนั้น

:b8:

เพราะ อายตนะ ไม่ทำงานล่วงหน้าที่กัน ตา รูป เห็น , หู เสียง ได้ยิน เป็นต้น
รับรู้เวทนา/อารมณ์ เป็น เรื่องของใจ การสอนของพระพุทธองค์จำแนกหน้าที่ชัดเจน

ซึ่งพระพุทธองค์ สอนแยกแยะ โดยไม่หลุดไปจากสัจจะ
คือ อิทัปปัจยตา-ปฏิจจสมุปบาท อริยสัจ ไตรลักษณ์
นี่คือการแสดง กำลังปัญญา ของพระพุทธองค์ อันแสดงไว้ชัดแจ้งแล้ว
ไม่ว่าใครนำไปปฏิบัติ ผลที่ได้ย่อมเห็นเช่นนั้นไม่ผิดเพี้ยน

:b8:

Quote Tipitaka:
พระโสดาบัน รู้จักอินทรีย์หก
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อินทรีย์ ๖ อย่างเหล่านี้ มีอยู่.
๖ อย่างอะไรเล่า ? ๖ อย่างคือ
จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์
ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์
กายินทรีย์ มนินทรีย์
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่อใดแล อริยสาวก
มารู้จักความก่อขึ้นแห่งอินทรีย์หกเหล่านี้,
รู้จักความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งอินทรีย์หกเหล่านี้,
รู้จักรสอร่อยของอินทรีย์ทั้งหกเหล่านี้
รู้จักโทษอันร้ายกาจของอินทรียทั้งหกเหล่านี้
ทั้งรู้จักอุบายที่ไปให้พ้นอินทรีย์ทั้งหกเหล่านี้, ตามที่ถูก ที่จริง;
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่อนั้นแหละ อริยสาวกนั้น เราเรียกว่า
เป็น พระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้
ต่อพระนิพพาน จักตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๗๑/๙๐๒-๙๐๓.

________________
๑. อินทรีย์ แปลว่า อำนาจหรือความเป็นใหญ่; เมื่อรวมกับคำว่า ตา (จักขุนทรีย์)
ก็จะหมายถึง ความเป็นใหญ่ในเรื่องการมองเห็น หรือ ก็คือความเป็นใหญ่ใน
หน้าที่นั้น ๆ (เช่นการได้ยิน, การได้กลิ่น, ...)

.....

Quote Tipitaka:
สมณพราหมณสูตรที่ ๒
ว่าด้วยการรู้อินทรีย์ ๖
[๙๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่รู้ชัดซึ่ง
จักขุนทรีย์ ความเกิดแห่งจักขุนทรีย์ ความดับแห่งจักขุนทรีย์ และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่ง
จักขุนทรีย์ ไม่รู้ชัดซึ่งโสตินทรีย์ ... ฆานินทรีย์ ... ชิวหินทรีย์ ... กายินทรีย์ ... มนินทรีย์ ความเกิดแห่ง
มนินทรีย์ ความดับแห่งมนินทรีย์ และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งมนินทรีย์ สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้น เราไม่นับว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ หรือว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์
เพราะท่านเหล่านั้น ไม่กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะ หรือของความเป็นพราหมณ์
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
[๙๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ชัดซึ่ง
จักขุนทรีย์ ความเกิดแห่งจักขุนทรีย์ ความดับแห่งจักขุนทรีย์ และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่ง
จักขุนทรีย์ รู้ชัดซึ่งโสตินทรีย์ ... ฆานินทรีย์ ... ชิวหินทรีย์ ... กายินทรีย์ ... มนินทรีย์ ความเกิดแห่ง
มนินทรีย์ ความดับแห่งมนินทรีย์ และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งมนินทรีย์ สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้น เรานับว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ และว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ เพราะ
ท่านเหล่านั้น กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะและของความเป็นพราหมณ์ ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.


:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  eragon_joe [ 05 พ.ย. 2011, 13:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

ความเข้าใจในอายตนะเพิ่มเติม

http://sites.google.com/site/smartdhamm ... n-keid-dab

:b48: :b48: :b48: :b48:

อายตนะภายในภายนอก สังโยชน์ เกิดดับ
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร



http://onoi.org/images/stories/pdf/argarnjit/chap4.pdf

อายตนะ คือ แดนเกิดจิต
อบรมอาการจิต 10 : วันที่ 10 ธันวาคม 2547


o อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ่น กาย ใจ เป็นแหล่งเกิดจิต หรือเกิดวิญญาณ
วิญญาณมันจะเกิดทุกครั้งที่หูฟัง จมูกดม ลิ้นรับรส กายสัมผัส ตาเห็นรูป ใจรู้อารมณ์
แต่เป็นความรับรู้เฉย ๆ รับรู้โดยมิได้ปรุงแต่ง แต่ถ้าหากมีจิตปรุงด้วยมันก็เกิด เวทนา รับรู้อารมณ์ o



:b8: :b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  eragon_joe [ 05 พ.ย. 2011, 13:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

http://www.legendnews.net/index.php?lay ... =539343884

อายตนะภายนอก 6 อายตนะภายใน 6


การกำจัดความโกรธ…..หลวงปู่โต๊ะ (พระราชสังวราภิมณฑ์) วัดประดู่ฉิมพลี



หลวงปู่โต๊ะ (พระราชสังวราภิมณฑ์) ท่านเกิดในตระกูลรัตนคอน เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 4 ค่ำ ปีกุน อัฐศก ตรงกับวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2430 ที่บ้านคลองบางน้อย ต.บางพรหม อ.คนที จ.สมุทรสงคราม และท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2424 นับอายุได้ 93 ปี 11เดือน กับ 6 วัน

หลวงปู่โต๊ะ ท่านกล่าวถึงโทสะ หรือความโกรธว่า... เป็นหนึ่งในกามแห่งรากเหง้าความชั่วร้ายทั้งหลายในโลกนี้ (รากเหง้าความชั่วร้าย หรืออกุศลมูล มี 3 คือ โลภะ โทสะ โมหะ)

เมื่อความโกรธเกิดขึ้น หลวงปู่โต๊ะท่านสอนให้ดูว่า “เป็นเพราะอะไรจึงเกิดขึ้น” และท่านให้ไปดูที่จิต ดังที่กล่าวว่า จิตเป็นประธาน จิตเป็นใหญ่ จิตสำเร็จที่จิต จิต 3 ประการนี้มีสื่อเข้าไปรายงานอยู่ทุกๆ วินาที จิตต้องรับรู้ผู้ที่เข้ามา ดีก็รับไว้ ชั่วก็รับไว้ ไม่ดีไม่ชั่วก็ต้องรับไว้เพราะจิตเป็นประธานยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ทาง

ใครเป็นผู้รายงาน ใครเป็นสื่อ

อายตนะภายนอก 6 อายตนะภายใน 6 ตากระทบรูป รูปที่ดี ชอบ ใจชอบ รูปที่ไม่ดี ใจไม่ชอบ
เสียงที่ดี ใจชอบ กลิ่นที่ไม่ดี ไม่ชอบ รสที่ดี ชอบ รสที่ไม่ดี ไม่ชอบ สัมผัสที่นุ่มนวล ชอบ สัมผัสที่ไม่นุ่มนวลที่กระด้าง ไม่ชอบ อารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่าธัมมารมณ์ที่ดี ชอบ อารมณ์ที่เกิดขึ้นไม่ดี ไม่ชอบ

เป็นเพราะอะไร จึงเป็นอย่างนั้น นี่เราจะทำอย่างไร ทำจิตอย่างไรจึงจะไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้นได้ นี่ต้องมีคนสูงกว่าจิตอีกคนหนึ่ง เรียกว่าประธานเหนือประธาน....สติ

สติมีหน้าที่อะไร

มีหน้าที่คุมจิต เพราะจิตเขาชอบทำงาน เป็นคนขยัน ไม่เลือกงาน งานก็ดีก็ทำ งานไม่ดีก็ทำ เรียกว่าทำตามความพอใจของจิต

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำงานจึงมีความผิดบ้าง ความถูกบ้าง ที่จะรู้ว่าเราทำผิดหรือทำถูก ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาคิดสติมีที่อยู่ไหน ปัญญามีอยู่ที่นั่น เกิดขึ้นตัดสินได้เด็ดขาดว่า รูปที่ดีรูปที่ไม่ดีมาเกี่ยวข้องอะไรกับท่านด้วย

ถามจิตว่า มันมาเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย ปัญญากับสติเขาถาม มันเกี่ยวกับอะไรกับท่านด้วย ท่านจึงต้องไปรับรู้ในเรื่องจิต

เพราะฉะนั้น จิตจึงต้องมีสติสัมปชัญญะเข้ามาควบคุม ถ้าหากว่าปราศจากสติเมื่อใด ความผิดเกิดขึ้น เข้าใจว่าถูก ความดีเกิดขึ้นเข้าใจว่าผิด เพราะเขาทำตามความพอใจของจิต จิตก็ต้องเป็นไปตามความพอใจของจิตที่ไม่มีสติควบคุมไว้ จงทำกิจการอะไรเล็กใหญ่ไม่เลือก
โดยมากมีความผิด

ผิดเพราะอะไร

เพราะปราศจากสติเครื่องควบคุมของจิต จิตก็มีอำนาจด้วยไม่หวาดสะดุ้งใดๆ ธรรมชาติของจิตนั้นบริสุทธิ์หมดจด ไม่มีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาเคลือบแฝงบริสุทธิ์ เรียกว่าจิตบริสุทธิ์

ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นคือดีบ้างชั่วบ้าง

กิเลส กิเลสทำให้จิตมัว มาเคลือบอยู่ที่จิต เห็นผิดเป็นชอบไปได้ มาเคลือบอยู่ กิเลสมันก็สูงกว่าจิต เมื่อกิเลสสูงกว่าจิต อำนาจของจิตถอย ถอยกำลังลงไป กิเลสสูงกว่าก็บังคับเราได้ ทำตามอำนาจของกิเลสที่มาเคลือบอยู่ที่จิต จิตก็มัวหมองไม่ผ่องใส

ที่นี่จะทำอย่างไร

ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม มันเคล้าอยู่กับจิตเสมอ ต้องรู้เท่าทันความเกิดขึ้นของจิตที่เรียกว่าอารมณ์
รัก รักไว้ข้างในก่อน เกลียด เกลียดไว้ข้างในก่อน อย่าให้ความรักแสดงออกมาทางกายวาจา อย่าให้มันออกมา ความไม่พอใจก็ตาม หรือความพอใจก็ตาม อย่าเพิ่งให้มันแสดงออกมา ต้องให้มีสติควบคุม และปัญญารู้ถ่องแท้แน่ในใจแล้ว จึงปล่อยมันออกมา ที่เราปล่อยมันเข้าออกนั้นเขาเคยตัว เขาเคยเข้าได้ออกได้อย่างสบายโดยไม่มีอะไรมาติดขัดกับการเข้าออกของเขา เราไม่ยอม ยังไม่โกรธทีเดียว เรียกว่า ปฏิฆะ ข้อง

ข้องเป็นอย่างไร

มัวๆ ขุ่นมัว แต่ไม่ถึงกับแสดงความหยาบคายทางกายทางวาจา ไม่แสดงออกมาทนอยู่ได้ อดอย่างพอสมควรทนเอาบ้าง เรียกว่าขันติ ต้องทนทนในอารมณ์ที่เกิดขึ้น ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม
เพียงแต่ทำความรู้ไว้ว่า เอ้อ นี่ดี เอ้อ นี่ชั่ว แต่ไม่เก็บเอาไว้เพราะมีปัญญา สติรู้เท่าทันเขา รู้เท่าทันอารมณ์ที่มีอยู่ในตัว เขาขืนเก็บไว้นาน หนัก แบกไม่ไหว

เพราะฉะนั้นก็รู้ความเป็นไปว่านี่รูปดี นี่รูปไม่ดี แล้วก็ให้เขาผ่านไป

นี่เกิดอะไร

ปัญญารู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ทุกครั้ง ทุกตอน ทุกขณะ รูปเสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ก็รู้เท่าทันเขาหมด

เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ก็ต้องยึดหลักของขันติไว้ อดทนไว้ อย่าให้มันออกมาข้างนอก
ถ้าให้ออกมาข้างนอกแล้ว มันน่าเกลียด มันหลายอย่าง จับอาวุธยุทธภัณฑ์ด่าว่าหยาบคายด้วยประการต่างๆ โดยเราปราศจากสติ เพราะฉะนั้น อย่าให้มันออกมา อดทนไว้

เมื่อเราทนบ่อยๆ จึงเห็นโทษว่า การที่กระทำด้วยความไม่รู้ อาย

เกิดละอายขึ้นทางใจ ด้วยธรรมะที่เราปฏิบัติได้ปฏิบัติถึงนั่นเอง เกิดขึ้นเอง เห็นขึ้นเองได้ ได้ด้วยตนเอง นี่ธรรมะที่แท้ของเราๆ ต่างหาก

เราต้องการความดี ไม่ต้องการความชั่ว แต่ทำไมจิตจึงตกไปในทางที่ชั่วได้บ่อยๆ
เพราะอำนาจของกิเลสเขาสูงกว่าความเฉลียวฉลาดเขาสูงกว่า เขาก็หาทางจะมาล่อจิตของเราให้ตกลงไปในหลุมที่เขาต้องการ

เมื่อเรามีขันติใช้ได้สม่ำเสมอ ก็ชื่อว่ารู้โทษของจิตว่าจิต

โทสะนี้มันเป็นอย่างไร พระท่านว่าอย่างไร
โทสะนี่นะ หรือไฟสามกอง คือ ราคะ โทสะ โมหะ ท่านว่ามันเป็นไฟราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ มันเป็นไฟ

ธรรมดาของไฟมันเกิดขึ้นที่ไหน เขาต้องทำลายในที่เกิดนั้นก่อน

ถ้าเจ้าของรู้เท่าทันก็ไม่ลุกลามไปยังที่อื่น ถ้าหากเจ้าของรู้ไม่เท่าทันเรื่อยๆ ไป มันก็ไปกันใหญ่ เผาๆๆ เรา เผาใจให้เดือดร้อนเห็นผิดเป็นชอบไม่เป็นตัวของตัวเอง มีแต่โทษส่วนเดียว คุณหามีไม่เพราะความโกรธเกิดขึ้น

การโกรธ ไม่ใช่ว่าผลุนผลันแล้วโกรธอย่างที่พูดมาแล้วว่าปฏิฆะมันข้องอยู่ก่อน
เราก็ต้องอดกลั้น ไม่ตามอารมณ์ของความโกรธที่เกิดขึ้น

เมื่อบ่อยๆ เข้า ชำนิชำนาญเข้า ก็เตือนตนของตนได้ว่านี่ความโกรธไม่เดือดร้อน เราเดือดร้อนก่อนคนอื่นๆ

ความเดือดร้อนนั้นใครชอบบ้าง ไม่มีใครชอบ ตนเองก็ไม่ชอบ คนอื่นก็ไม่ชอบ
นี่ได้ผลตามความคิดของจิตที่ตั้งไว้ผิด ตัวเราเองก็ไม่เป็นตัวของเราเอง จิตของเราต้านทานอะไรที่คนเขามาอาศัยไม่ได้ เราสู้ไม่ได้ คืออารมณ์เขามาประเดี๋ยวเดียว มาทำที่อยู่ของเราแหลกลาญไปหมด บางทีเรานึก อื้อ เสียดาย แล้วจะทำอย่างไรมันหมดไปแล้ว

รู้ไหมว่าไฟไหม้บ้านแล้วมันเสียหายอย่างไร

ไม่อยากดู ดูเป็นอันตรายทุกอย่าง ไม่มีส่วนดีเลย

แล้วต่อไปข้างหน้าเราจะว่าอย่างไร

ต้องระวัง มันเกิดบ่อยๆ เราก็แย่ เครื่องใช้ไม้สอยอะไรต่ออะไรหมด ระวังไม่ให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ นัก เปรียบอย่างนั้น โทสะแหลกลาญหมดนี่ก็เห็นโทษ

ต่อไปก็เห็นโทษ มารๆๆ มีการเข็ดหลาบ เพราะเสียทรัพย์ไปหลายอย่างหลายประการด้วยกัน อย่าก่อไฟภายในเผาบ้านของตนเอง อย่าๆๆๆ

อาศัยบ้านของเราอยู่ กินนอนสบายทุกอย่าง เราต้องหูไวตาไว จึงจะรักษาบ้านของเราอยู่ได้นานๆ โดยไม่มีข้อครหาอะไรว่าบ้านนั้นทำอย่างนี้ บ้านนี้ทำอย่างนั้น มีแต่เสียงที่ไม่น่าฟัง พูดก็พูดเถอะ เจ้าคนที่เขารักษาบ้าน เขารู้เขาสรรเสริญว่าบ้านนี้เขาดี จะพูดจะพูดจา จะรับรองแขกที่ไปมาเรียบร้อยไปหมด

นั่นเขาสรรเสริญ เราว่าเรียบร้อย เพราะเรารู้ทัน ไม่ให้ไฟกองนั้นมาเผาบ้านของเราให้เสียหายทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง อดทนเรื่อยๆ ไป

ทีนี้เหตุการณ์ที่มันจะเกิดขึ้น เราก็รู้ทัน เคยโดนมาแล้ว ฉันเคยโดนมาแล้ว ก็มีการกวดขันขึ้นในตัวของเราเอง เคยโดนมาแล้วโทรมทุกที โดนเข้าเมื่อไร โทรมทุกที บางทีทำนอกบ้านเดือดร้อนมา ยังมาร้อนคนในบ้านอีก แล้วก็ร้อนไปที่อื่นๆ ไม่ดีเลย ต้องละเว้นไม่กระทำ ต่อไป ก็คุ้นกับความไม่กระทำความชั่ว

พูดก็พูดดี ทำก็ทำดี คิดก็คิดดี เป็นสุจริต เกิดมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาเกิดขึ้น

ได้ผลอย่างไร มีศีลมีสมาธิได้ผลอย่างไร

เป็นหน้าที่ของพระท่าน เพราะเราพึ่งพระท่าน กายวาจาใจก็ชั่วก็ถวายพระ กายวาจาใจที่ดีก็ถวายพระ ท่านจะบันดาลอย่างไรแล้วแต่พระท่าน

เมื่อกายวาจาใจของเราดี สิ่งที่ชั่วๆ ที่เราเคยล่วงมาแล้วท่านไม่ให้กระทำๆ มันไม่งาม เพราะเข้าในวงศ์ของพระแล้ว

ทีนี่เราก็เดินไปตามพระท่าน ความผิดพลาดหรือความไม่เฉลียวฉลาด พระท่านจะสอนเราเอง โดยเรากระทำของเราได้เองโดยเราเห็นของเราได้เอง โดยเราได้ยินของเราเอง ไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อความสามารถของตนว่า สามารถทำได้

มีหลักอะไรมาอ้างว่าสามารถทำได้ด้วยตนเอง

พระพุทธเจ้าเป็นหลัก อาจารย์ที่ไหนดี โน่น อยู่โน่น เมืองน้ำเมืองเหนือดี ไปหาหมด ท่านก็ไปลองดี ท่านองค์นี้ว่าอย่างนั้น ท่านองค์นั้นว่าอย่างนี้ก็ว่ากันไปต่างๆ ทรงทดลองดูหมด จึงถึงการตกลงพระทัยว่า ความดีไม่ได้อยู่กับคนอื่นหรอก ความชั่วก็ไม่ได้อยู่กับคนอื่น ตนของตนนั่นเองเป็นความดี เป็นคนทำความชั่ว

ก็ทรงทำ ทำที่โคนต้นโพธิ์ ทรงทำจนเห็นโทษของความชั่ว เห็นดีของความดี เพราะมันเป็นแค่ลมเท่านั้น มันเกิดขึ้นแล้วมันก็หายไป ดีก็ผ่านไปชั่วมันก็ผ่านไป



ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญสำหรับข้อมูลจาก : สาธุ

http://board.agalico.com/showthread.php?t=24520


:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  ไม่เที่ยง เกิดดับ [ 09 พ.ย. 2011, 11:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

eragon_joe เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ทุกข์ที่เกิดจากตัวเราไปพอใจ ไม่พอใจกับสิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อินทรีย์ 6)

หน้าที่ของอินทรีย์ 6
หน้าที่หลัก หน้าที่ในการศึกษา เรียนรู้สิ่งต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน เราเรียนรู้มาตลอดตั้งแต่การกิน การเดิน การอาบน้ำ แต่งกาย การเรียนหนังสือ การทำงาน เป็นต้น
หน้าที่รอง หน้าที่ในการรับความรู้สึก รับอารมณ์

ที่เราทุกข์ก็เพราะเราใช้ิอินทรีย์ 6 ไม่ถูกต้องใช้หน้าที่รองไปเป็นหน้าที่หลักดังนั้นจึงเกิดปัญหาตามมาอยู่ตลอดเวลา



เพื่อให้ปุถุชนคนธรรมดาเห็นสาเหตุของทุกข์เบื้องต้น คือเราใช้อินทรีย์ 6 ไม่ถูกต้อง ทุกข์ที่เราสะสมทุกวินาทีทุกวัน พอกพูนแล้วหาวิธีแก้ไขไม่ได้เกิดจากอินทรีย์ 6 ทั้งสิ้น ถ้าจะดับทุกข์ต้องพิจารณาอินทรีย์ 6 เท่านั้นนี่คือการดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นเอง
ดับทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องวิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) ทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว สุดท้ายก็แตกสลายหายไป ไม่มีตัวตนของเรา

*ผู้ปฏิบัติถูกต้องย่อมรู้เอง*
*ไม่เที่ยง เกิดดับ*

เจ้าของ:  eragon_joe [ 09 พ.ย. 2011, 14:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
eragon_joe เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ทุกข์ที่เกิดจากตัวเราไปพอใจ ไม่พอใจกับสิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อินทรีย์ 6)

หน้าที่ของอินทรีย์ 6
หน้าที่หลัก หน้าที่ในการศึกษา เรียนรู้สิ่งต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน เราเรียนรู้มาตลอดตั้งแต่การกิน การเดิน การอาบน้ำ แต่งกาย การเรียนหนังสือ การทำงาน เป็นต้น
หน้าที่รอง หน้าที่ในการรับความรู้สึก รับอารมณ์

ที่เราทุกข์ก็เพราะเราใช้ิอินทรีย์ 6 ไม่ถูกต้องใช้หน้าที่รองไปเป็นหน้าที่หลักดังนั้นจึงเกิดปัญหาตามมาอยู่ตลอดเวลา



เพื่อให้ปุถุชนคนธรรมดาเห็นสาเหตุของทุกข์เบื้องต้น คือเราใช้อินทรีย์ 6 ไม่ถูกต้อง ทุกข์ที่เราสะสมทุกวินาทีทุกวัน พอกพูนแล้วหาวิธีแก้ไขไม่ได้เกิดจากอินทรีย์ 6 ทั้งสิ้น ถ้าจะดับทุกข์ต้องพิจารณาอินทรีย์ 6 เท่านั้นนี่คือการดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นเอง
ดับทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องวิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) ทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว สุดท้ายก็แตกสลายหายไป ไม่มีตัวตนของเรา

*ผู้ปฏิบัติถูกต้องย่อมรู้เอง*
*ไม่เที่ยง เกิดดับ*


แต่ท่าทีการยึดมั่นในความเห็นของท่านนั้น มันไม่เป็นไปในทางเบื้องต้นเลย
มันออกไปในทาง ท่านเอาคำสอนพระพุทธองค์มาทอนออก สอดไส้แนวคิดตน
และพยายามจะยัดเยียดจำหน่าย พยายามจะให้คนทิ้งของเก่า
เปลี่ยนมาเชื่อตามสิ่งที่ท่านพยายามจะนำเสนอ

ในการปฏิบัติที่ท่านใช้กันอยู่ จริง ๆ มีส่วนที่เป็นกุศลอยู่เยอะ
และ ส่วนกุศลนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาพันตัว

ทั้งหมดทั้งมวลในพระไตรปิฏก เป็นทางไปสู่แก่นธรรม

แต่ท่านหยิบเอาไตรลักษณ์ธรรมมาอ้าง
แต่ภายใต้เป็นความเห็นส่วนสำนักหมดเลย

เพราะอะไรจึงทำอย่างนั้นล่ะ เพราะนั้นคือสิ่งที่ถูกที่สุดแล้ว
หรือเพราะ ทิฐิอันใด :b1:

เจ้าของ:  จางบาง [ 09 พ.ย. 2011, 21:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

เพราะเมตตา เพราะปราถนาดีไงจ๊ะ เอรากอน ท่านจึงทำอย่างนั้น
มาทักทายเอรากอน และมาอ่านเรื่องราวดีๆ และมาดูความเมตตาอารีย์ที่ดูเหมือนยังขาดๆเกิน

onion

เจ้าของ:  eragon_joe [ 10 พ.ย. 2011, 14:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทุกข์

จางบาง เขียน:
เพราะเมตตา เพราะปราถนาดีไงจ๊ะ เอรากอน ท่านจึงทำอย่างนั้น
มาทักทายเอรากอน และมาอ่านเรื่องราวดีๆ และมาดูความเมตตาอารีย์ที่ดูเหมือนยังขาดๆเกิน

onion


cool

เห็นคำร้องขอจากเรารึยังงงงง

:b16: :b16:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/