ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่จากไปแล้วอย่างไร http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=39988 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | คนบนเขา [ 01 พ.ย. 2011, 10:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่จากไปแล้วอย่างไร |
เมื่อคนที่เรารักที่เคยอยู่เคยกินและใช้ชีวิตร่วมกันเช่น พ่อ แม่ และเมียที่จากไป เราคิดถึงมากๆ เราจึงหาอาหารการกินที่เขาชอบกิน ชอบทาน ไปทำบุญอุทิศให้เขา โดยมีของที่เราทำบุญนั้นมีเพียงชุดเดียว เช่นมี ข้าว 1 ถุง อาหาร 1อย่าง ของหวาน 1 อย่าง น้ำ 1 ขวด และ.......(หมายความว่าแต่ละอย่างมีเพียง 1อย่างเท่านั้น ) สมมุติผมจะทำบุญอุทิศของกินของทานดังกล่าวไปให้ทั้ง 3 คน มีพ่อ แม่ เมีย แต่ใช้ของกินของทานเพียงอย่างละ 1 ดังกล่าว ไม่ทราบว่าทั้ง 3 จะได้รับส่วนของกินของทานกันอย่างไรเพราะมีชุดเดียว เพราะหากผมจะซื้อมากๆคนละ 1 ชุดเท่าๆกัน เหมือนๆกันก็มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย จึงทำบุญไป 1 ชุดแต่อุทิศไปให้ทั้ง 3 คน ทำอย่างนี้จะได้ไหท และอยากทราบว่าของกินของทานที่เราทำบุญไปนั้นท่านที่จากไปทั้ง3จะได้รับเท่ากันหรือไม่อย่างไรครับ ( คำถามนี้อาจเป็นเรื่องตลกสำหรับท่านที่รู้แล้ว แต่สำหรับผมนั้นมีความเข้าใจอย่างนี้ จึงถามไปตามความเข้าใจอย่างนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ผิดถูกอย่างไรช่วยให้ความรู้ผมด้วย เวลาทำบุญครั้งต่อๆไปจะได้ทำถูกต้องและสบายใจครับ ขอบคุณครับ ) |
เจ้าของ: | กล่องธรรม [ 01 พ.ย. 2011, 10:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่จากไปแล้วอย่างไร |
มีปัญหาที่คาใจท่านพุทธศาสนิกส่วนใหญ่อยู่ข้อหนึ่ง ปัญหานั้นก็คือ "การทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย บุญนั้นจะถึงผู้ตายหรือไม่?" ทั้งที่ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เมื่อถึงคราวที่ญาติพี่น้องหรือผู้ที่เคารพนับถือตายลง ก็เต็มใจปฏิบัติตามประเพณี คือบำเพ็ญทักษิณานุปทาน ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายตามกำลังที่จะพึงทำได้ เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งกตัญญูกตเวทีเป็นครั้งสุดท้าย โดยเชื่อว่าบุญนั้นจะเป็นกำลังส่งให้ผู้ตายไปเกิดในสุคติ การทำบุญทั้งๆที่ยังพิจารณาเห็นผลไม่ชัดเจนด้วยตนเอง จะถือว่าทำบุญโดยไม่มีหลักก็ไม่ได้ เพราะผลบางอย่างเป็นสิ่งพ้นวิสัยที่ปุถุชนเช่นเราท่านจะพิสูจน์ได้ ก็ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ซึ่งก็อยู่ในหลักของศรัทธาความเชื่อ 4 อย่าง คือ 1. กัมมสัทธา เชื่อในกฏแห่งกรรม คือเชื่อว่าเมื่อทำอะไรลงไปโดยมีเจตนาแล้วย่อมเป็นกรรม 2. วิปากสัทธา เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วต้องมีผล ถ้าทำดีผลที่เกิดก็ต้องดี ถ้าทำชั่วผลที่เกิดก็ชั่ว 3. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ ต้องรับผิดชอบต่อผลกรรมที่เกิดขึ้น 4. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ศรัทธา 4 อย่างนี้มีมาในพระบาลีเฉพาะข้อ 4 อย่างเดียว (องฺ. 23/4/3) ส่วน 3 ข้อข้างต้นรวมลงในข้อ 4 ทั้งหมด ถ้ามีศรัทธาข้อ 4 ก็ทำให้มีศรัทธาอีก3 ข้อข้างต้นไปในตัวด้วย ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อเชื่อพระปัญญาของพระพุทธองค์ ก็เป็นอันเชื่อเรื่องที่พระองค์ทรงสอนทั้งหมด เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าพระพุทธองค์ได้ทรงสอนถึงเรื่องการทำบุญอุทิศแก่ผู้ตายว่าย่อมมีผลจริง แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขบางประการ ซึ่งเรื่องนี้ปรากฏหลักฐานในพระสุตตันตปิฎก ทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย (องฺ.ทสก. 24/166/290) จึงขอถอดความมาเล่าดังต่อไปนี้ มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อชาณุสโสณีเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นกล่าวคำปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! พวกข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ มีความเชื่อว่า ทานที่แล้วย่อมมีผลแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วหลังทำทานจึงอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับ ทานนั้นจะถึงแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับหรือไม่ ?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พราหมณ์ ! ทานที่ให้จะสำเร็จแก่ผู้ที่ล่วงลับหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้รับถ้าผู้รับอยู่ใน "ฐานะ" (โอกาส) ก็จะได้รับ ถ้าอยู่ใน "อฐานะ" (ที่มิใช่โอกาส) ก็ไม่ได้รับ" พราหมณ์ทูลถามต่อว่า "ที่ว่าอยู่ในฐานะและอฐานะนั้นคืออย่างไร" พระพุทธเจ้าตรัสสรุปไว้ว่า "ถ้าผู้ตายทำกรรมที่เป็นอกุศลไว้ และไปเกิดในภูมิที่ไม่เจริญ คือนรก เดรัจฉาน เป็นต้น หรือสร้างกุศลไว้แล้วไปเกิดในภูมิที่เจริญ เช่นมนุษย์สวรรค์ เป็นต้น ชื่อว่าเกิดในที่เป็น "อฐานะ" คือมิใช่สถานที่ที่จะได้รับส่วนบุญ เพราะอาหารของผู้ที่เกิดในที่นั้นๆ มิใช่ส่วนบุญที่บุคคลอุทิศไปให้ แต่ถ้าทำอกุศลไว้ แล้วไปเกิดในปิตติวิสัย คือภูมิแห่งเปรต และเฉพาะเปรตที่มีชื่อว่า "ปรทัตตูปชีวี" คือเปรตประเภทที่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้เป็นอาหารเท่านั้นจึงจะได้รับ แต่ต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ด้วยการอนุโมทนาด้วยตนเองของเปรตทั้งหลาย 1 ด้วยการอุทิศของทายกทั้งหลาย 1 ด้วยการถึงพร้อมด้วยทักขิเณยยบุคคล คือผู้รับไทยธรรมต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ 1. ส่วนเปรตอีก 3 ประเภทคือ อันตาสิกเปรต (เปรตที่มีอาเจียนเป็นอาหาร) ขุปปิปาสิกเปรต (เปรตที่มีความหิวกระหายเป็นประจำ) และ นิชฌามตัณหิกเปรต (เปรตที่มีไฟเผาตัวตลอดเวลา) ซึ่งแต่ละประเภทมีอาหารที่ไม่ใช่ส่วนบุญที่ญาติสาโลหิตอุทิศไปให้ ก็อยู่ใน "อฐานะ" คือไม่ได้รับส่วนกุศลที่อุทิศไปให้ พราหมณ์ทูลถามต่อไปว่า "ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครจะได้บริโภคส่วนบุญนั้นเล่า ?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พราหมณ์ ! ถ้าญาติสาโลหิตที่ล่วงลับไปไม่เข้าถึงฐานะนั้น ญาติสาโลหิตแม้เหล่าอื่นของทายกที่เข้าถึงฐานะนั้นมีอยู่ญาติเหล่านั้นย่อมบริโภคทานนั้น" พราหมณ์ทูลถามต่อว่า "ถ้าญาติสาโลหิตที่ล่วงลับไม่เข้าถึงฐานะนั้น ทั้งญาติเหล่าอื่นก็ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ทั้งญาติเหล่าอื่นก็ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครเล่าจะบริโภคทานนั้น ?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พราหมณ์ ! เวลาสังสารวัฏล่วงมาช้านาน โอกาสที่ญาติสาโลหิตของแต่ละคนไม่ตกอยู่ในฐานนั้นบ้าง เป็นไปได้ยาก แต่ถึงอย่างไร ผู้ให้ก็ย่อมไม่ไร้ผล" พราหมณ์ค้านว่า "ถ้าเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงตรัสแม้ในอฐานะหรือ ?" พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "ใช่ เรากล่าวกำหนดแม้ใน "อฐานะ" คือบุคคลบางคนในโลกประพฤติในอกุศลกรรมบถมีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น แต่ได้ทำบุญ ให้ข้าว น้ำ ยามาลา และของหอมเป็นต้น เมื่อตายไปเกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เช่น ช้าง ม้า เป็นต้น เขาย่อมได้ข้าว น้ำ และเครื่องประดับในกำเนิดที่เกิดนั้นๆ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกเว้นจากอกุศลกรรมบถ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ทั้งทำทานด้วยข้าว น้ำ ของหอม ที่นอน ที่พัก เป็นต้น เมื่อตายไปแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เขาย่อมได้กามคุณอันเป็นของมนุษย์ในมนุษยโลกด้วยกรรมนั้น แต่ถ้าด้วยอำนาจบุญที่ทำไว้ในโลกมนุษย์มีผลให้เกิดเป็นเทวดา เขาย่อมได้รับเบญจกามคุณ อันเป็นทิพย์ในเทวโลกนั้นด้วยกรรมนั้น พราหมณ์ ! แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผลด้วยประการฉะนี้" ข้อความข้างต้นนี้ถอดความมาจาก "ชาณุโสณีสูตร" ท่านที่มีความประสงค์จะอ่านโดยความพิสดาร โปรดหาอ่านได้ในพระไตรปิฎกที่อ้างถึง พระสูตรนี้น่าจะช่วยแก้ปัญหาคาใจดังกล่าวข้างต้นและทำให้มั่นใจในการทำบุญอุทิศแด่ผู้ล่วงลับได้ว่า เป็นสิ่งไม่ไร้ผลอย่างแน่นอน ที่มา: ทำบุญอุทิศส่วนกุศล มีผลถึงผู้ล่วงลับ?: http://www.watnamprai.com/index.php?mo=3&art=229180 โดย...นาวาเอก(พิเศษ) วุฒิ อ่อนสมกิจ: พิมพ์ลงในนิตยสาร “ธรรมจักษุ” : ปีที่ 89 ฉบับที่ 4 มกราคม 2548 |
เจ้าของ: | kokorado [ 01 พ.ย. 2011, 18:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่จากไปแล้วอย่างไร |
ขออนูโมทนา ที่ท่านว่าไว้ นั้นชอบเเล้ว |
เจ้าของ: | govit2552 [ 02 พ.ย. 2011, 05:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่จากไปแล้วอย่างไร |
อ่านจากที่พระพุทธองค์กล่่าวไว้ บุญทานต่าง ๆ หากไม่ได้ให้ผลแก่คนที่เราอุทิศให้ สุดท้าย ผู้ทำบุญเอง ก็ได้รับผลเอง ในอนาคต ไม่เสียเปล่า |
เจ้าของ: | ใจระลึกพระคุณ [ 09 พ.ย. 2011, 16:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่จากไปแล้วอย่างไร |
ธรรมสวัสดีค่ะ แต่ที่ฟังพระธรรมมา ท่านอาจารย์ท่านกล่าวว่า การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นั้น สิ่งที่ได้รับจะเป็น เปรต เท่านั้น แต่ถ้า เปรตตนนั้นไม่อนุโมทนาด้วย ก็จะไม่ได้รับกุศลที่เราแผ่ไปค่ะ จริงเท็จอย่างไรไม่แน่ใจนะคะ แต่ฟังมาอย่างนี้ แต่สิ่งที่เราทำแล้วเราสบายใจ ทำด้วยจิตที่เป็นกุศล ก็ดีแล้วค่ะ อนุโมทนาค่ะ |
เจ้าของ: | chatpracha [ 09 พ.ย. 2011, 22:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่จากไปแล้วอย่างไร |
คนบนเขา เขียน: เมื่อคนที่เรารักที่เคยอยู่เคยกินและใช้ชีวิตร่วมกันเช่น พ่อ แม่ และเมียที่จากไป เราคิดถึงมากๆ เราจึงหาอาหารการกินที่เขาชอบกิน ชอบทาน ไปทำบุญอุทิศให้เขา โดยมีของที่เราทำบุญนั้นมีเพียงชุดเดียว เช่นมี ข้าว 1 ถุง อาหาร 1อย่าง ของหวาน 1 อย่าง น้ำ 1 ขวด และ.......(หมายความว่าแต่ละอย่างมีเพียง 1อย่างเท่านั้น ) สมมุติผมจะทำบุญอุทิศของกินของทานดังกล่าวไปให้ทั้ง 3 คน มีพ่อ แม่ เมีย แต่ใช้ของกินของทานเพียงอย่างละ 1 ดังกล่าว ไม่ทราบว่าทั้ง 3 จะได้รับส่วนของกินของทานกันอย่างไรเพราะมีชุดเดียว เพราะหากผมจะซื้อมากๆคนละ 1 ชุดเท่าๆกัน เหมือนๆกันก็มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย จึงทำบุญไป 1 ชุดแต่อุทิศไปให้ทั้ง 3 คน ทำอย่างนี้จะได้ไหท และอยากทราบว่าของกินของทานที่เราทำบุญไปนั้นท่านที่จากไปทั้ง3จะได้รับเท่ากันหรือไม่อย่างไรครับ ( คำถามนี้อาจเป็นเรื่องตลกสำหรับท่านที่รู้แล้ว แต่สำหรับผมนั้นมีความเข้าใจอย่างนี้ จึงถามไปตามความเข้าใจอย่างนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ผิดถูกอย่างไรช่วยให้ความรู้ผมด้วย เวลาทำบุญครั้งต่อๆไปจะได้ทำถูกต้องและสบายใจครับ ขอบคุณครับ ) การอุทิศกุศลนั้นเป็นของดี เป็นทั้งเมตตาในพรหมวิหารสี่และทานบารมีในบารมีสิบทัศ ขึ้นอยู่กับทั้งสองส่วนคือผู้ให้และผู้รับ....ผู้ให้เต็มใจให้ สิ่งของที่ต้องการอุทิศให้ก็บริสุทธิ์ ผู้รับก็อยู่ในสภาวะที่รับได้หรือมีโอกาสโมทนาบุญได้ก็จะได้รับผล..เนื้อนาบุญก็มีส่วนสำคัญ....แตกต่างกันที่อาณิสงณ์ของผลบุญด้วย การถวายอาหารแล้วอุทิศให้ ผู้รับก็ได้กำลัง....ถวายผ้าไตรจีวร เครื่องนุ่งห่มแล้วอุทิศให้ ผู้รับก็ได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์...ถวายพระพุทธรูปแล้วอุทฺศให้ ผู้รับก็ได้แสงสว่าง...ในโลกทิพย์ เขาถือว่าดวงจิตที่มีแสงสว่างของอาทิสมานกายมาก..ถือว่าเป็นผู้ที่มีบุญมาก... |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |