วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2011, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 19:55
โพสต์: 146


 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากงานศพผ่านไป ก็นั่งคิดอยู่หลายวันว่าชีวิตนี่ไม่เที่ยง เอาอะไรแน่นอนไม่ได้จริงๆ ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นปุ๊บปั๊บจริงๆ นึกอยากจะเกิดมันก็เกิด นึกอยากจะดับมันก็ดับโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัวจริงๆ เพิ่งจะบ่นว่าน้าป่วยขนาดนั้นยังมีแรงด่าเราอีก แต่พอวันสองวันให้หลังเรากะว่าจะไปเยี่ยมไข้ซะหน่อยแต่น้าก็มาจากไปซะก่อน วันนั้นเลยได้ไปเยี่ยมที่วัดแทน อนิจจังวัฏสังขารา

คนมากมายเคยถามตัวเองว่า "ชีวิตคืออะไร คนเราเกิดมาทำไม" แต่คำตอบที่ได้ ก็ไม่เคยมีใครได้รับคำตอบตรงๆและชัดเจน 100% เวลาถามคำถามนี้จะได้คำตอบอ้อมๆ เสมือนว่าเป็นการให้กำลังใจกันซะมากกว่า คำตอบที่ได้ก็เช่น คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม เกิดมาเพื่อสร้างบุญ ชีวิตคือความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ชีวิตคือสิ่งไม่มั่นคงถาวร ฯลฯ ก็แล้วแต่ใครจะตอบนะ ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละคน แล้วแต่ใครจะเข้าใจชีวิตยังไง ต่างคนต่างตอบตามที่ตนเข้าใจ ซึ่งจริงๆแล้วนั่นไม่ใช่คำตอบที่ตรงประเด็นกับสิ่งที่ถาม เสมือนว่าคำถามนี้ไม่มีคำตอบตายตัว หรืออาจจะมีแต่มนุษย์ไม่มีความสามารถตอบได้นั่นเอง เพราะว่ามนุษย์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีเหตุผลอะไรที่ตนเองต้องเกิด เพราะเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องลี้ลับเกิดขีดจำกัดความสามารถในการรับรู้ของมนุษย์ที่จะไปล่วงรู้ รู้แต่ว่าเมื่อเกิดมาแล้ว ประสพการณ์จะสอนว่าเราควรจะดำเนินชีวิตยังไง ไม่มีใครตอบได้ 100 % หรอกว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด วนไปวนมา

คำถามที่ว่า "ชีวิตคืออะไร คนเราเกิดมาทำไม" จริงๆแล้วไม่มีใครรู้คำตอบ และไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้ เพราถ้ามนุษย์รู้ว่าตนเองเกิดมาทำไม เขาก็จะรู้อีกว่าใครส่งให้มาเกิด และรู้อีกว่าวิธีการเกิด ขั้นตอนของการเกิดเป็นยังไง และรู้อีกว่าใครสร้างโลก ใครสร้างชีวิต ใครสร้างจักรวาล ใครสร้างกาแลคซี่ รู้ไปถึงต้นตอของการกำเนิดจักรวาล ใครเป็นผู้สร้างระบบจักรวาล ถ้าหากว่ารู้ขนาดนั้นคงไม่ต้องมานั่งเรียนวิทยาศาสตร์แล้วล่ะครับ

เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่า "ชีวิตคืออะไร คนเราเกิดมาทำไม" คำถามเหล่านี้ทิ้งมันไปเถอะครับ เป็นคำถามที่ไม่สร้างสรร ไม่เจริญสติปัญญา รังแต่จะฉุดให้ตนเองต่ำลง เพราะมัวแต่งมงายอยู่กับการคิดหาคำตอบในสิ่งที่ลี้ลับเกิดขีดความสามารถที่มนุษย์จะตอบได้ คำตอบที่มนุษย์ไม่มีวันล่วงรู้ได้เลย คำตอบที่ไม่ชัดเจนตายตัว เพราะคำตอบที่ได้รับอย่างดีก็คือคำสอนและการให้กำลังใจ ไม่สู้เราเกิดมาแล้วสร้างสมคุณงามความดี สร้างคุณประโยชน์ให้กับตนเองและเพื่อนร่วมโลก ดำเนินชีวิตให้อยู่กับปัจจุบัน มีสติอยู่กับปัจจุบัน อันจะเป็นการเจริญสติปัญญาให้กับตนเองจะดีซะกว่า ดีกว่าเสียเวลาไปกับการหาคำตอบในสิ่งลี้ลับโดยไม่มีวันที่เราจะได้ล่วงรู้คำตอบและบั่นทอนคุณค่าของตนเอง

ถามโลกว่าชีวิตนั้นคือสิ่งใด โลกขานไขใดใดล้วนสุญตา
มีเหตุผลอันใดให้ชีพมาเกิด สดับเถิดธรรมว่าวัฏสงสาร
อย่างมงายค้นหาสิ่งป่วยการ จักบั่นทอนปัญญาสู่อาจม
เมื่อหายใจคุณความดีเร่งสร้างสม บ่มปัญญาปัจจุบันอันชัดเจน


หมั่นสร้างคุณความดี มีสติอยู่กับปัจจุบัน แม้ไร้คนสรรเสริญ แต่โลกก็ให้โอกาส

.....................................................
เก็บธรรมใส่กล่อง.....เรียนรู้จากบัณฑิต.....คบหากัลยาณมิตร.....จิตอ่อนน้อมในพระธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2011, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 19:55
โพสต์: 146


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ชีวิต .....มีกาลเวลาเป็นเจ้านาย
มีความเบื่อหน่ายเป็นเพื่อนแท้
มีความไม่แน่นอนเป็นประสพการณ์
มีบ้านคือกล่องสี่เหลี่ยมใบน้อย
มีพระเพลิงเป็นเครื่องห่อหุ้มร่างกาย
มีพระพรายเป็นที่พึ่งท้ายสุด

.....................................................
เก็บธรรมใส่กล่อง.....เรียนรู้จากบัณฑิต.....คบหากัลยาณมิตร.....จิตอ่อนน้อมในพระธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2011, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 08:25
โพสต์: 326


 ข้อมูลส่วนตัว


มีความเบื่อหน่ายเป็นเพื่อนแท้
มีความไม่แน่นอนเป็นประสพการณ์
มีบ้านคือกล่องสี่เหลี่ยมใบน้อย
มีพระเพลิงเป็นเครื่องห่อหุ้มร่างกาย
มีพระพรายเป็นที่พึ่งท้ายสุด

:b8: :b8: :b8: ชีวิตมีกรรมทำให้มาเกิด เพื่อชดใช้กรรม อนิจจา ชีวิตเราก็เท่านี้ จะเอาอะไรมากมาย อยู่เพื่อรอวันตายเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ใครกำหนด แล้วแต่กรรม :b8: :b8: :b8:

.....................................................
สุดปลายฟ้า... เชื่อมั่นและสัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ อย่างไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2011, 23:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กล่องธรรม เขียน:
เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่า "ชีวิตคืออะไร คนเราเกิดมาทำไม" คำถามเหล่านี้ทิ้งมันไปเถอะครับ เป็นคำถามที่ไม่สร้างสรร ไม่เจริญสติปัญญา รังแต่จะฉุดให้ตนเองต่ำลง ......


แต่....คนที่เคยมีคำถามนี้...กลับดลให้เขามาปฏิบัติธรรมจริงจังเพื่อการพ้นทุกข์

ก็มีมาแล้ว...

ดังนั้น...มันเป็นคำถามที่สร้างสรร...มากทีเดียวเชียวแหละ rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2011, 00:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


คำถามที่อยู่ในใจมาตลอดคือ
"ทำไมเราต้องเกิด?" แทนที่จะถามว่า "เกิดมาทำไม?"
ทั้งๆที่ถามตัวเอง...แต่ก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ :b10:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2011, 17:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็เคยคิดแบบท่านครับ และคิดว่า เดียวก็ตายแล้ว เอาอะไรไปก็ไม่ได้ และตอนนั้นเข้าใจว่า ทางสายกลาง ที่เขาพูดกันนั้น คือ การไม่มีทั้งสุข และทุกข์ เพราะเมื่อไหร่มีสุข แปลว่าทุกข์ก็ยังจะเกิดได้ จนทำให้ชีวิตไม่อยากจะทำอะไรเลย สุขไม่มี แต่ทุกข์กลับมากขึ้น จึงหาวิธีใหม่ จนพบวิธี ลดตัวกูของกูลง
จึงทำให้ ใจสงบลง ได้บ้าง ครับ (ผมพึงแค่เริ่มครับ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2011, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ คุณกล่องธรรม

การรู้ "เหตุแห่งทุกข์" จำเป็นสำหรับเรา...
ที่จะนำพาตนเองไปสู่หนทางแห่งความดับทุกข์...
...ก่อนที่เราจะเดินทางเข้าสู่เส้นทางแห่งธรรม เรามักมีคำถามเกิดขึ้นในหัวอยู่เป็นอาจิณ
คือ คนเราเกิดมาเพื่ออะไร...ทำไมจึงต้องเกิดมาใช้ชีวิตอยู่ในวงจรที่ซ้ำซาก...น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้...
...แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีคำถามนี้ก้องอยู่ในหัวเหมือนเช่นเมื่อก่อน...มันอันตรธานหายไปเพราะเราได้รู้เหตุ
ของการเวียนว่ายตายเกิด มันจึงไม่สงสัยอีก....
...อวิชชาหรือความไม่รู้ปิดบังความจริงแท้ของโลกและชีวิต...แต่ถ้าเราเข้าถึงความเป็นจริงแท้นั้นได้เราก็จะสามารถปฏิบัติและวางใจต่อสิ่งนั้นๆ ได้ถูกตรง... :b41:

ขอเจริญในธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไม่มีเรา

เราเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง

เราเป็นแค่สภาวธรรม

ความรู้สึกว่ามีเรา เกิดขึ้นเพราะการทำงานของขันธ์5

โดยที่จิต ในขันธ์ห้า ขึ้นสู่วิถี

แต่ถ้าเมื่อไร จิตในขันธ์ห้า พ้นวิถี............เมื่อนั้นไม่มีเราเลย

มีแต่ร่าง ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ................ไม่มีความรู้สึกนึกคิด

แต่เมื่อไร จิตขึ้นสู่วิถีอีกครั้ง ............ความรู้สึกนึกคิด ความจำได้หมายรู้ ได้คืนกลับมาอีกครั้ง

เรา ได้โลดแล่นอีกครั้ง
บางครั้ง เราก็ไปโลดแล่น อยู่ในความฝัน
บางครั้ง เราก็ไปโลดเล่น อยู่ในความนึกคิด

ขณะทีมีเรา แสดงว่าขณะนั้น เป็นช่วงวิถีจิต

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 23:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ไม่มีเรา

แต่เมื่อไร จิตขึ้นสู่วิถีอีกครั้ง ............ความรู้สึกนึกคิด ความจำได้หมายรู้ ได้คืนกลับมาอีกครั้ง



ขอกวนคุณโกวิท..สักนิดหน่อย :b3: :b3:

ยามใดที่พ้นวิถี....แล้วความรู้สึกนึกคิด...ความจำได้หมายรู้..เมื่อครู่..อยู่หนใด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2011, 06:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เป็น ข้อสงสัยที่พาให้คิด ดีครับ

นั่นแสดงให้เห็นว่า เรากับขันธ์5 คนละส่วนกัน เราอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง
เราอยู่ส่วนหนึ่ง รูป อยู่ส่วนหนึ่ง .......................ไม่ปะปนกัน

เมื่อจิตพ้นวิถี เราไม่มีความรู้สึกแล้ว เราไม่มีความจำใดๆ

แต่ขณะจิตพ้นวิถี ขณะนั้น ยังมี ขันธ์5

ขณะจิตพ้นวิถี ยังมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดดับ อยู๋เป็นปกติ

ขณะจิตพ้นวิถี เราหายไป เราไม่มีเลย ในสากลจักรวาล ไม่มีเราเลย

เจตสิก(คือ เวทนา สัญญา สังขาร) เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต อาศัยวัตถุเดียวกับจิต

เมื่อจิตพ้นวิถี เจตสิกก็พ้นวิถีเช่นกัน

เมื่อจิตเป็นวิถีจิต เจตสิกก็ขึ้นสู่วิถีเช่นกัน

ท่านกบ เคยเจ็บปวดทางกาย นานๆ บ้างไหม แบบข้ามวันข้ามคืน
เวลาที่เพลียหลับไป ถ้าหลับสนิทจริงๆ จิตพ้นวิถี

ความเจ็บปวด ไม่มีเลย เมื่อจิตพ้นวิถี
ความเจ็บปวดมันหายไปไหน ทั้งๆ ที่แผลก็ยังอยู่ แผลยังไม่หายเลย

โรคยังอยู่ โรคยังไม่หายเลย แต่ความเจ็บปวดไม่มีในช่วงจิตพ้นวิถี

แต่เมื่อไร รู้สึกตัวขึ้นมา (จิตขึ้นสู่วิถี) ความเจ็บปวดเหล่านั้น ก็คืนกลับมาอีก

ถามว่า ความเจ็บปวดเหล่านั้น มันไปซ่อนตัวอยุ่ที่ไหน ก่อนที่มันจะโผล่มาให้เจ็บปวดใหม่

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2011, 19:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
เป็น ข้อสงสัยที่พาให้คิด ดีครับ

นั่นแสดงให้เห็นว่า เรากับขันธ์5 คนละส่วนกัน เราอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง
เราอยู่ส่วนหนึ่ง รูป อยู่ส่วนหนึ่ง .......................ไม่ปะปนกัน
....


หมายความว่า...มันอยู่ที่ขันธ์....??

อื่มม..น่าคิด :b6: :b6: ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2011, 23:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าไม่มีเราไม่มีตัวตนก็รีบๆฆ่าตัวตายไปสิครับจะมานั่งโพสหลอกตัวเองหลอกชาวบ้านอยู่ไปทำอะไรกัน :b32: พวกอุทเฉทิฐิอภิธรรมปฏิรูป :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2011, 03:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไม่มีเรา
ไม่มีตัวตน

แล้วทำไมต้องฆ่าตัวตาย

ขันธ์5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ขันธ์5 คือ จิต เจตสิก รูป

ขันธ์5 เกิดขึ้้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุตามปัจจัย (ซึ่งมีมากมายหลายปัจจัย ให้ดูปัจจัย24)

จิต ในขันธ์5 บางครั้ง เป็นประเภท กุศลจิต
บางครั้งเกิดขึ้น เป็นประเภท อกุศลจิต
บางครั้งเกิดขึ้น เป็นประเภท กิริยาจิต
บางครั้งเกิดขึ้น เป็นประเภท วิบากจิต

คำว่า วิบากจิต นี่แล เกิดขึ้นเพราะผลกรรม อันได้เคยกระทำแล้วในอดีต

บุญ บาป มันส่งผลให้เกิดจิตประเภทต่างๆ ได้
ในขณะเดียวกัน จิตก็กระทำกรรมใหม่ คือ กุศลจิต หรือ อกุศลจิต

เหตุที่เกิด กุศลจิต หรือ อกุศลจิต ก็เพราะความมีกิเลส นั่นเอง
พระอรหันต์ ดับกิเลส ได้โดยสิ้นเชิง ท่านจึงไม่มีจิตประเภท กุศล และ อกุศล อีกแล้ว

การไม่มีตัวตน หรือการไม่ใช่ตัวตน
จึงไม่หนีพ้น บุญ บาป เวร กรรม ได้เลย

การไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน
ไม่ได้หมายความ ตายแล้วสูญ ซะเมื่อไร

ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัย ขันธ์5 ก็ยังจะคงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของมันต่อไป

ส่วนเรานั้น มีบ้าง หายไปบ้าง
จำได้บ้าง ลืมไปบ้าง ...............................ตลอดสังสารวัฏฏ์อันไม่มีจุดเริ่มต้น และจุดปลาย

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2011, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษา

ธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจ

สภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความ

เป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลัง

ปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น

จึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละ

คลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้

ในที่สุด ครับ.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2011, 06:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทั้วก็ตัว ทั้งหลายไม่ใช่ตัว ธรรมก็ธรรม ตัวก้ตัวคนละนัย ไม่ใช่ไม่มีตัวตน

ธรรมเขาแปลว่าทรงไว้
สัตว์นรกก้มีธรรมที่ทำให้มันเป้นสัตว์นรกทรงไว้เป้นสัตว์นรก
มนุษย์ก็ธรรมที่ทรงไว้ทำให้เป้นมนุษย์ เทวดาก้มีธรรมที่ทรงไว้ทำให้เป็นเทวดาๆลๆ

พระอรหันต์ก็มีธรรมที่ทรงไว้ให้เป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ไม่มีตัวตนเข้าใจ๋?


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร