ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ไม่รู้ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=40763 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | ปัตติปิตา [ 14 ม.ค. 2012, 14:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | ไม่รู้ |
หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่ จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 14 ม.ค. 2012, 15:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
ในอุปจารสมาธิ...มีปีติ..5...หนึ่งในนั้นคืออาการโยกโคลง..นะครับ ![]() |
เจ้าของ: | student [ 14 ม.ค. 2012, 15:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
ปัตติปิตา เขียน: หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่ จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย แล้วแยกรูปว่าสัีกแต่ว่ารูปไหม เวลาเกิดสมาธิ จะสามารถกำหนดรู้ความชัดเจนของรูปได้ เช่น มีสติวิญญาณอยู่ที่นิ้วมือย่อมปรากฏความชัดเจนของนิ้วมือ ต้องมีการต่อยอดด้วยการพิจารณาให้เห็นโครงสร้างเช่นกระดูก เอ็น เลือด(เข้าสู่ นาม) ด้วยสัญญา พิจารณาผัสสะที่เกิดขึ้นเช่น อุ่นอยู่ ชาอยู่ พิจารณาว่าเมื่อกำหนดรู้ที่แห่งใดด้วยสติ เห็นด้วยวิญญาณ รับรู้ด้วยผัสสะ เกิดเวทนา(ไม่แน่ใจว่าสังขารดับลงหรือปล่าวต้องรอผู้รู้ เพราะตัวผมเองสังเกตุว่าสังขารดับลง คือไม่มีอารมณ์) ย่อมนับเป็นการรู้สภาวะธรรมในปัจจุบัน เป็นการตัดอดีตที่ผ่านไปแล้ว เป็นการไม่คำนึงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ที่เจอนั้นที่แท้คือสังขาร(ก็ยังไม่แน่ใจครับผม) ที่เกิดขึ้นเพราะสภาวะธรรมตรงหน้า จนไม่สนใจใน ผัสสะ เวทนา วิญญาณ รูป และสัญญา เป็นการวิเคราะห์ที่อาศัยประสบการณ์ส่วนตัว โปรดพิจารณานะครับ |
เจ้าของ: | ไม่เที่ยง เกิดดับ [ 14 ม.ค. 2012, 16:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
เกิดจากความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 |
เจ้าของ: | ปัตติปิตา [ 14 ม.ค. 2012, 16:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
*กบนอกกะลา* ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามัน แค่นิดเดียวเองอ่ะ คือ ตัวโยกนิดเดียวแล้วสติมันรู้ทันเลยอ่ะ ไอ้ความโยกนั้นมันก็หมดไปทันทีเลย -โยกแล้วรู้ โยกแล้วรู้ *student* ไม่ได้แยกอ่ะครับ แยกยังไงทำไม่เป็น อ่านเจอมาเยอะแล้ว (ญาณ๑ นามรูปปริเฉท หมายถึงตัวนี้หรือเปล่า);ผัสสะเกิดขึ้นตลอดครับ รู้แต่ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร คือสิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า มันคอยดึงให้ผมสนใจตลอดเวลา |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 14 ม.ค. 2012, 16:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
ปัตติปิตา เขียน: หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่ จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย ก็สักแต่ว่าเป็นสิ่งที่ได้รู้ ใช้มั้ยครับ ตั้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็แปรไป ก็สักว่ารู้ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 14 ม.ค. 2012, 18:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
ปัตติปิตา เขียน: *กบนอกกะลา* ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามัน แค่นิดเดียวเองอ่ะ คือ ตัวโยกนิดเดียวแล้วสติมันรู้ทันเลยอ่ะ ไอ้ความโยกนั้นมันก็หมดไปทันทีเลย -โยกแล้วรู้ โยกแล้วรู้ ถ้า..โยกแล้วรู้ โยกแล้วรู้..นั้นมันสติถอยออกมาแล้วละครับ...เพราะเรากำหนดรู้ลมหายใจแต่แรกใช่มั้ย...มันปล่อยลมหายใจมารู้...โยก..นะ..โยกก็รู้...โยกก็รู้...สติก็ถอนออกมานะซิ...สติถอนอาการปีติก็หายไป....ตั้งสติอีก...ก็โยกอีก...รู้อีก..ก็ถอนอีก มันเข้า ๆ ออก ๆ ..หยักแหย่หยักยัน...นะครับ ![]() นี้คือหลักฐาน.... อ้างคำพูด: ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามัน แค่นิดเดียวเองอ่ะ
|
เจ้าของ: | ลูกพระป่า [ 14 ม.ค. 2012, 19:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
ปัตติปิตา เขียน: หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่ จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย สวัสดีครับพี่ปัตติปิตา ![]() ผมอถามพี่หน่อยนะครับว่าที่พี่บอกว่า "เพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า" ช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยได้มั้ยครับว่ามันเป็นยังไงตอนนั้น สภาวะตอนนั้นจิตพี่กำลังทำอะไรครับ ขอบคุณครับ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 14 ม.ค. 2012, 20:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
ปัตติปิตา เขียน: ..... และจะจัดการกับมันอย่างไร กลับมาที่ลมหายใจ...อย่างที่ตั้งใว้แต่แรก..ครับ อาการอะไรจะเกิด..ก็อย่าไปสน ไอ้สภาวะข้างหน้า...นี้แหละ..ตัวดี ไม่ต้องไปรู้มัน..ชั่งมัน ยังมีอะไรจะมายั่วยวนเราอีกเยอะ... ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ปัตติปิตา [ 14 ม.ค. 2012, 20:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
อย่าหาว่าผมชวนทะเลาะนะ ผมเข้ามาถามก็เพื่อความสิ้นสงสัย *กบนอกกะลา* ผมไม่เข้าใจที่ท่านว่า สติถอน ;เพราะผมรู้สึกว่า สติผมนั้นมีอยู่ เลยดึงไม่ให้อาการโยกโคลงนั้นเกิดขึ้น กลับมาอยู่กับสภาวะตรงหน้าได้ กล่าวคือ ผมไม่ยอมให้มันเกิด จึงพยายามดึงไว้ (อาจเป็นความเข้าใจผิดของผมได้) ยังไงก็ขอขอบคุณสำหรับวิธีการจัดการนะ แต่ผมเข้าใจว่าการที่ผมดึงไม่ให้อาการโยกนี้เกิด คือ สิ่งที่ท่านกำลังบอกผม *ลูกพระป่า* อย่าเรียกผมว่าพี่เลย ผมอายุ๑๗ปีเอง เว้นแต่ท่านจะเด็กกว่า เรื่องที่ว่าเพลินน่ะ คือผมไม่รู้ว่าจะใช้คำอะไร แต่อาการที่เป็นน่ะ ผมขออธิบายอย่างไม่อ้างตำรานะ คือ รู้สึกเหมือนนั่งคนเดียวอ่ะ แบบว่า มันสงบจากสิ่งรบกวน สงบจากความคิด จากเสียงรอบข้าง จากความเจ็บปวด เลยเรียกว่า นั่งคนเดียว และอารมณ์ตรงนี้เอง ที่ผมรู้สึกว่า มันน่าจดจ่อ มันน่าอยู่ด้วยกว่า ความโยกโคลง ความเจ็บปวด หรือเสียงของความคิด จึงบอกว่าเพลินกับอารมณ์ หรืออาการนี้ ยังไงก็ขอคำแนะนำนะ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 14 ม.ค. 2012, 21:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
เปลี่ยนมาเป้น..สมาธิถอน..ก็ได้ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 14 ม.ค. 2012, 21:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
โยกโคลง...ผมว่า...ไม่น่าจะไปบังคับให้กลับมาตั้งตรงนะ... ให้เราวิ่งเลย..ไปเลย ปีติมันจะหายไปเอง...ถ้าสมาธิลึกขึ้น หากเราไปบังคับ...นั้นแหละ...สมาธิถอนตัว จะดำน้ำดูปะการัง...ก็อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีอากาศหายใจ ดำลงไปเลย... เดียวก็ได้เห็นปะการังสวย ๆ .....เอง ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ลูกพระป่า [ 14 ม.ค. 2012, 21:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
สวัสดีครับน้องปัตติปิตา งั้นผมก็แก่ว่า 10 ปีเลยแฮะ ![]() **ลองเอาคำแนะนำของพี่กบนอกกะลาไปปฏิบัติดูก็ได้ครับ คือถ้าตัวมันจะโยกก็ให้มันโยกไปถ้ามันจะล้มก็ช่างมัน ให้สติของเราจดจ่ออยู่แต่อารมณ์ภาวนาตรงหน้าเท่านั้น บังคับมันเรื่อยๆฝืนมันเรื่อยๆ ที่เรียกว่าทำให้มากเจริญให้มากนั่นแหละครับ ให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ถ้าผ่านได้มันก็ทางสะดวกแล้วครับ...แต่ถ้าทำยังไงๆก็ยังผ่านตรงนี้ไม่ได้ผมแนะนำให้คุณกลับไปที่พื้นฐานใหม่เลยครับ คือไปหาคำบริกรรมมาให้จิตเรามีหลักยึดซะ คือฝึกฝนตัวสติของเราใหม่ให้มันมีกำลังตั้งมั่นกว่าเดิม การทิ้งคำบริกรรมสำหรับผู้ฝึกใหม่ๆที่ยังไม่ชำนาญการเข้าสมาธิหรือไม่เคยสัมผัสความสงบในสมาธินั้น ผมว่าเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณนะครับ อุปมาเหมือนเดินเข้าป่าไปตัวเปล่าโดยไม่พกเข็มทิศหรือเครื่องมือเครื่องใช้ในป่านั่นแหละครับ ถ้าโชคดีก็ผ่านไปสู่อีกฝากได้แต่ถ้าโชคร้ายก็ติดอยู่ในป่าตลอดนั่นแหละครับ **จะลองทำแบบที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ก่อนก็ได้นะครับ ขอแค่ถ้าทำจนแล้วจนรอดก็ยังติดอยู่ที่เดิมก็อย่าท้อจนตัดพ้อแล้วเลิกทำเลิกปฏิบัติก็พอ แต่ถ้าเกิดมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาก็ขอให้ลองกลับไปเริ่มต้นที่คำบริกรรมดูนะครับ ขอยคุณครับ ![]() |
เจ้าของ: | student [ 15 ม.ค. 2012, 01:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
ปัตติปิตา เขียน: *กบนอกกะลา* ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามัน แค่นิดเดียวเองอ่ะ คือ ตัวโยกนิดเดียวแล้วสติมันรู้ทันเลยอ่ะ ไอ้ความโยกนั้นมันก็หมดไปทันทีเลย -โยกแล้วรู้ โยกแล้วรู้ *student* ไม่ได้แยกอ่ะครับ แยกยังไงทำไม่เป็น อ่านเจอมาเยอะแล้ว (ญาณ๑ นามรูปปริเฉท หมายถึงตัวนี้หรือเปล่า);ผัสสะเกิดขึ้นตลอดครับ รู้แต่ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร คือสิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า มันคอยดึงให้ผมสนใจตลอดเวลา ถูกต้องครับผม เช่นการหายใจเข้าออก มีสติหายใจเข้าแล้วสังเกตุ มีสติหายใจออกแล้วสังเกตุ จะมีการทำงานทั้งรูปคือระบบหายใจ และนามคือการกระทบของจิต ลองดูครับ |
เจ้าของ: | asoka [ 15 ม.ค. 2012, 08:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่รู้ |
ปัตติปิตา เขียน: หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่ จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย ![]() อนุโมทนาสาธุกับประสบการณ์จริงในการทำภาวนาของคุณปัตติปิตา ดูข้อความท่อนนี้ของคุณ "หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณา" แสดงว่าคุณกำลังพยายามยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนา เมื่อเป็นวิปัสสนาภาวนา สติ สัมปชัญญะ (ปัญญา)จึงมาทำงานร่วมกัน ต่างกับตอนทำสมาธิ ซึ่งจะมีแต่สติรู้อยู่กับองค์กรรมฐาน อย่างของคุณคือลมหายใจ เมื่อสติและปัญญามาทำงานร่วมกันแล้ว สติจะทำหน้าที่รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ถึงสิ่งที่ถูกอบรมมาว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ลืมที่จะควบคุมกายใจให้เป็นไปตามสิ่งที่ถูกอบรมมา ปัญญา สัมมาสังกัปปะ จะทำหน้าที่ สังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์นั้นๆเพื่อค้นหาคำตอบหรือความจริงหรือเหตุ ผล ปัญญาสัมมาทิฐิจะเป็นผู้รู้ปัจจุบันอารมณ์นั้น ดู และเห็นอารมณ์นั้น อารมณ์ที่เกิดมาและเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดตามที่คุณเล่ามานั้นคือที่ตั้งรู้ของสติและปัญญา ถ้าสติและปัญญาของคุณได้ถูกอบรมมาด้วยหลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาที่ถูกต้อง สติก็จะเตือนคุณว่าให้มั่นอยู่กับการนิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไปโดยระวังมิให้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆกับปัจจุบันอารมณ์ เพียงแค่นั้น วิปัสสนาภาวนาของคุณก็จะเจริญขึ้นไปตามลำดับๆ จนได้รู้ได้เห็นความเป็นจริงทั้งหมดของอารมณ์ว่า มันมีแต่ความ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรอื่น เมื่อภาวนาครั้งไรก็ได้พบเห็นว่าความรู้สุดท้ายก็ซ้ำซากเป็นอันเดียวกัน คือเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้ อนัตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไร้แก่นสาร ตัวตน ที่สุดคุณจะกิดความเบื่อหน่ายในธาตุขันธ์อันเป็นของหลอกนี้ แล้วจะเกิดแรงผลักดันให้ค้นหาและพยายามที่จะพ้นจากสภาวะอันน่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบสิ้นนี้ จนค้นพบทางออกว่ามีวิปัสสนาภาวนาทางเดียวเท่านั้นที่จะพาคุณหลุดพ้นไปได้ เมื่อพบทางออก ทีนี้คุณก็จะขยันทำวิปัสสนาภาวนาอย่างไม่มีอะไรมากั้นได้แล้วคุณก็จะได้ไปสัมผัสสภาวะอนัตตาที่แท้จริงด้วยใจของคุณ ได้อนัตตา ก็ได้กุญแจ หรือสะพานที่จะทอดข้ามเข้าสู่พระนิพพาน |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |