วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 14:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
พระพุทธเจ้าเคยทำสมาธิที่ขั้นฌานขั้น 8 แต่พระองค์ก็เลิกทำ พระองค์คิดว่านี่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นจากทุกข์ พระองค์ก็หันไปวิปัสสนาภาวนา หรือเจริญปัญญา ให้รู้เห็นความจริงของธรรมชาติตามกฎไตรลักษณ์


เออ เรารู้ละถ้าคุณ 11 โมงครึ่งนั่งสมาธิแล้วยังไม่ถึงนิพพาน คุณ11โมงครึ่ง ก็ลอง นอนสมาธิ หรือไม่ก็วิ่งสมาธิ หรือไม่ก็คลานสมาธิดูดิ่ อาจถึงก็ได้นะ แต่เราแนะนำวิ่งสมาธิดีกว่านะ ถึงไวดี ลองเอาไปทำดูนะ 11โมงครึ่ง เราทำดูแล้วล่ะ เหนื่อยนิดนึง อ่อ ไม่ต้องขอบใจเราหรอกนะ ด้วยความยินดี

ฮา ฮ๊า ฮา ฮัลเลวังก้า ตะแง๊วๆ ฮัลเลวังก้า:b13: :b13: :b13:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 17:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ก[
กบนอกกะลา เขียน:
ทำมาจนขี้เกียจแล้วละ...คุณเอ๋ย....

จะบอกคุณ...ยังขี้เกียจเลย...
:b32:

ไอ้คนที่เป็บแบบคุณว่านั้นนะ...มันไม่เป็น...คนไม่เป็นเริ่ม ๆ ก็เป็นอย่างนี้

เอาเรื่องของคนไม่เป็นมาพูด...แล้วมันจะได้อะไร

:b7: :b7: :b7:

น่าเศร้าแทนอโสกะ..จริง จริ้ง...

:b12: ก็ยังมัวแต่เลียบค่ายอยู่นั่นแหละ ถ้าทำมาจนขนาดนั้นแล้วก็เอามาเล่าสู่กันฟังเลยซิ ตอบคำถามมาเลยซิมัวอ้อมค้อมอวดภูมิอยู่ทำไมล่ะครับ
อธิบายสภาวธรรมจริงที่ทำได้นั้นมาเล้ย,,,,,,,,
:b12: .


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บังเอิญได้อ่านเจอธรรมะของหลวงพ่อชา ซึ่งอัฐฐิของท่านเป็นพระธาตุ คุณคนธรรมดา ๆ ได้ช่วย Postไว้พอดีในเวปนี้ตาม Link ด้านล่าง คิดว่าน่าจะช่วยเป็นแสงสว่างนำทางให้ผู้ใฝ่ในธรรมทุก ๆ ท่านได้บ้างไม่มากก็น้อยเพื่อไปสู่หนทางแห่งความพ้นทุกข์กันต่อไป...ขอจงเจริญในธรรมทุกๆ ท่าน :b8:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41290


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 19:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b12:
ฟุ้งไปใหญ่เลยนะคุณกบ แถมยังใส่ร้ายผู้คนไปมากมายอีกด้วยว่าไม่เคารพ และดูถูกพระรัตนตรัย เรื่องนี้ต้องคิดลึกๆ สังเกตพิจารณากันไปนานๆด้วยความสุขุมรอบคอบนะครับระวังบาปจะเกิดเกับปากและใจของคุณกบเอง

ไม่ได้ใส่ร้ายใคร...มีแต่อโสกะที่ใส่ร้าย...
อโสกะบอกเอง..ว่าสมถะทั้งหมด...เป็นอัตตกิลมถานุโยค ...นี้งั้ยที่อโสกะใส่ร้าย grin grin

แถมดูแคลนพระพุทธเจ้าด้วยปัญญาอันมืดบอดว่า...บัญญัตกรรมฐาน 36 เพียงเพราะโยคีทำมาก่อน
ลืมคำของตัวเองแล้วรึจ๊ะ :b32: :b32:


หากผมสรุปคำคลาดเคลื่อนยังงัย....ก็ลองยกคำเต็ม ๆ ของตัวเองมาซิจ๊ะ....
แล้วก็ช่วยยืนยันด้วยว่าคำสรุปของกระผม....มันคลาดเคลื่อนยังงัย
:b12: :b12: :b12:
อ้างคำพูด:
asoka เขียน:
[b]ถามจริงๆว่าคุณกบได้เคยลงนั่งหลับตาพิสูจน์ดูแล้วหรือยังว่า เวลาคุณบริกรรมพุทโธตามลมหายใจเข้าออกนั้น ลมหายใจจะไม่สามารถไหลเข้าออกตามธรรมชาติได้แต่จะเป็นไปตามจังหวะของการบริกรรมพุทโธ :b8:


ก็อโสกะทำไม่เป็นนี้จ๊ะ...

เคยได้ยินอะเปาว่า...หายใจเข้ายาวก็รู้..สั้นก็รู้...นี้มันเป็นสติปัฎฐานกายในกาย...ได้เลยนะจ๊ะ

:b32: :b32: :b32:


หากลอกตำรา...เขาก็ต้องว่า...พุทโธ...เป็นพุทธานุสติ....จ๊ะ...อโสกะจ๊า :b32:

นี้ก็อีกหนึ่ง...ที่อโสกะใส่ร้ายพุทโธ...พุทธานุสติ...ว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค
สรุปจาก..

พุทโธ...จะไม่สามารถหายใจเข้าออกไม่เป็นธรรมชาติ

ขัดธรรมชาติเป็น...อัตตกิลมถานุโยค


สรุปผิดอีก...ก็บอกนะ.. :b32:


อีกที.... s006 s006 s006


เอ้า..เอาอีกที..... :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 19:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32: :b32:
อโสกะผู้ไม่เคยมีใจสงบ....รึ...สงบแต่หลงว่าเป็นวิปัสสนา

:b32:

อ้างคำพูด:
55555 สงสัยผมจะไปแหย่รังแตนเข้าให้เสียแล้ว

ก็แน่ละ....ก็อโสกะดูถูกพระพุทธเจ้า....ดูถูกพระธรรม...ดูถูกพระอริยะสงฆ์...นี่นา

อ้างคำพูด:
กรณีแรกของคุณกบ ที่ถาม ผมก็ตอบยืนยันว่า สมถภาวนาทั้งหลายเป็นการควบคุมบังคับธรรมชาติให้เป็นไปตามที่ตนเอง(อัตตา)กำหนด จึงถือได้ว่าเป็นการทรมาณบังคับตนเองทั้งหมด เป็นอัตตกิลมถานุโยค


อ้างคำพูด:
ที่พระบรมศาสดายังทรงจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงกรรมฐาน 36 แล้วทรงบัญญัติเพิ่มอีก 4 คือพุทธานุสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสติ วูปสมานุสติ ก็เพราะผู้คนในสมัยพุทธกาลล้วนเป็นเหล่าบรรดาฤาษีชีไพร อเจลกะ นิคฤนธ์ทั้งหลายซึ่งล้วนแต่เป็นนักสมถะกันทั้งสิ้น พระองค์จึงทรงจำเป็นต้องเชื่อมโยงความรู้ทางด้านสมถภาวนาของคนเหล่านั้นให้มาสู่การเจริญปัญญาคือวิปัสสนาภาวนา นี่เป็นการแสดงถึงพระปรีชาญาณของพระบรมครูที่ทรงแยบคายในการถ่ายทอดธรรม

นี้คือ...ดูถูกพระพุทธเจ้า....

สูเจ้าคิดว่า...พระพุทธเจ้า...จำเป็นต้องกล่าวถึงกรรมฐานทั้งหลาย...จำเป็นต้องไปอ่อ..ออ...ห่อหมก...กับสิ่งที่ผิด...สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์...[/size]เพราะกลัวเขาไม่มาฟังพระองค์หรือ...

อย่าใช้แค่สมองไปวิเคราะห์พระพุทธเจ้า....

[size=150]สูเจ้ายังแยกไม่ออกเลยว่า...ฟุ้งซ่านในธรรม...กับ...กายในกาย..เวทนาในเวทนา...จิตในจิต...ธรรมในธรรม...ของจริง....ทางมันแยกที่ตรงไหน


มันแยกกันที่ตรงไหน..บอกมา

สูเจ้าฟุ้งซ่านก็ไม่รู้ว่าฟุ้งซ่าน...ฟุ้งไปไม่หยุด

บอกให้เอาบุญ....วิตก..วิจารณ์..ปิติ...สุข...เอกัคคตา

ยังมีอีก...สัมมาแยกกันที่ตรงไหน....

ก็เพราะเป็นแบบนี้....ผลมันถึงยังไม่เคยมีงัย....ผลมีมันจะไม่เป็นอย่างนี้....ผู้ที่เขารู้...เขาดูออก

ขนาดพระพุทธเจ้า....พระอริยะเจ้าแม้จะเป็นแบบสุขวิปัสโก....ท่านยังไม่เคยตำนิสมถะธรรมเลย

หรือแม้ใครก็ตาม....มีผลแม้แต่น้อยนิด...จะไม่สงสัยในธรรมข้อนี้เลย

สูเจ้าเป็นใคร....ยังฟุ้งซ่านไปตำนิพระพุทธเจ้า...อรหันตเจ้า

อ้างคำพูด:
หลายคนจึงยังไปทรมาณตนเองโดยวิธีต่างๆ อย่างการอดข้าวแข่งกันที่กำลังนิยมกันอยู่ในป่า เลียนแบบเจ้าชายสิทธัตถะซึ่้งพระพุทธองค์คงไม่ประสงค์ให้พุทธสาวกทำเช่นนั้น เพราะมีวิธีที่แยบคายชาญฉลาดไม่ต้องไปทรมาณตนเองปานนั้นก็สามารถจะทำลายมิจฉาทิฏฐิ พอกพูนสัมมาทิฏฐิได้

พระบางองค์....จะไปที่ถ่ำบ้าง..ที่หน้าผาบ้าง...ไปแล้วจิตมันดี...มันทำภาวนาสะดวก...มันก้าวหน้าได้ง่าย

บางองค์...อดอาหารแล้ว...ภาวนาดี...นี้ตัวอย่างคือหลวงตา

อดข้าวอยากให้เขาชมว่าดีว่าเคร่งว่าเก่ง...ต่างหากพระท่านห้าม....เป็นอาบัติ

แต่อดข้าว...เพื่อสะดวกในการภาวนา....พระท่านไม่ห้าม

นี้คือการฝึก...นี้แหละคือ....มัชฌิมาปฏิปทา...

ของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก....บุญกรรมสะสมมาต่างกัน...แต่ลงอยู่ในกรอบมรรค 8

พวกที่เหมือนกัน...ผลเหมือนกัน...ทุก ๆ ฉาก...ทุก ๆ ตอน...มันโกหก


ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 20:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

:b12: ก็ยังมัวแต่เลียบค่ายอยู่นั่นแหละ ถ้าทำมาจนขนาดนั้นแล้วก็เอามาเล่าสู่กันฟังเลยซิ ตอบคำถามมาเลยซิมัวอ้อมค้อมอวดภูมิอยู่ทำไมล่ะครับ
อธิบายสภาวธรรมจริงที่ทำได้นั้นมาเล้ย,,,,,,,,
:b12: .


ใครกานที่เลียบ ๆ เคียง ๆ ... :b13:

คนที่ว่ากรรมฐาน ที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนเป็นอัตตกิลมถานุโยค...คนพวกนี้...เราจะเอาอะไรไปคุยกับมันได้...
grin grin grin

แยกอาการฟุ้งซ่านในธรรม...กับ.....พิจารณาธรรม...ได้เมื่อไร

ตอนนั้นแหละ..พอจะคุยกันรู้เรื่อง :b31: :b31: :b31:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 26 ก.พ. 2012, 20:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 20:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่คนพวกนี้...เวลาฝอยนะ....ฝอยธรรมะได้สวยหรูเชียวแหละ...ฝอยได้ทั้งวัน

ฟุ้งซ่าน..ก็ไม่รู้ว่าฟุงซ่าน....มันว่ามันวิปัสสนา... :b32: :b32: :b32:

เราสู้มันไม่ได้หรอก :b15: :b15: :b15:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 13:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

:b12: ก็ยังมัวแต่เลียบค่ายอยู่นั่นแหละ ถ้าทำมาจนขนาดนั้นแล้วก็เอามาเล่าสู่กันฟังเลยซิ ตอบคำถามมาเลยซิมัวอ้อมค้อมอวดภูมิอยู่ทำไมล่ะครับ
อธิบายสภาวธรรมจริงที่ทำได้นั้นมาเล้ย,,,,,,,,
:b12: .


ใครกานที่เลียบ ๆ เคียง ๆ ... :b13:

คนที่ว่ากรรมฐาน ที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนเป็นอัตตกิลมถานุโยค...คนพวกนี้...เราจะเอาอะไรไปคุยกับมันได้...
grin grin grin

แยกอาการฟุ้งซ่านในธรรม...กับ.....พิจารณาธรรม...ได้เมื่อไร

ตอนนั้นแหละ..พอจะคุยกันรู้เรื่อง :b31: :b31: :b31:

cool cool
เ ริ่มเป็นเผือกเป็นมันขึ้นมาแล้วเน๊าะสันณิษฐานว่าปฏิฆะคงขึ้นมาบ้างแล้วละมั้ง
ภาวนามาจนขี้เกียจนี่ดูไม่ค่อยคุ้มกับเวลาที่เสียไปเลย
ตามธรรมแล้ววิธีการปฏิบัติถูกต้องจะยิ่งพบความสุขเย็น เบา สบาย และขยันภาวนายิ่งขึ้น ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยหรือกลางวันกลางคืน แต่ถ้ามาเป็นขี้เกียจภาวนาอย่างนี้เห็นทีว่าควรจะต้องประเมินผล วิเคราะห์ วิจัยกันดูให้ดีๆว่ามีอะไรที่ไม่ถูกธรรมแทรกซ่อนอยู่หรือเปล่าแล้วรีบแก้ไข

การปฏิบัติที่ถูกต้องตามธรรมนั้น สักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิควรจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่พอกแน่นจนเกิดเป็นโทสะ ปฏิฆะอย่างที่เห็น

อี กประการหนึ่งการที่ไปพยายามย้ำว่าasoka ป รามาสพระพุทธเจ้านั้น..................รออ่านต่อนะครับ ก อ ด ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เราขออย่าทำความรู้ ความเห็นและความประพฤติทุกด้านเหมือนเราไม่มีป่าช้าอยู่กับตัว
อยู่กับบ้านเมืองเรา อยู่กับญาติมิตรของเรา บทถึงคราวเป็นอย่างโลกที่มีป่าช้าทั่ว ๆ ไปขึ้นมา
จะแก้ตัวไม่ทัน แล้วจะจมลงในที่ตนและโลกไม่ประสงค์อยากลงกัน
จะคิดจะพูดจะทำอะไร ควรระลึกถึงป่าช้าคือความตายบ้าง เพราะกรรมกับป่าช้าอยู่ด้วยกัน
ถ้าระลึกถึงป่าช้า ในขณะเดียวกันได้ระลึกถึงกรรมด้วย พอทำให้รู้สึกตัวขึ้นบ้าง
อย่าอวดตัวว่าเก่งทั้ง ๆ ที่ไม่เหนืออำนาจของกรรม แม้อวดไปก็เป็นการทำลายตัว
ให้ล่มจมไปเปล่า ๆ ไม่ควรอวดเก่งกว่าศาสดาผู้รู้ดีรู้ชอบทุก ๆ อย่าง
ไม่ลูบ ๆ คลำ ๆ เหมือนคนมีกิเลสที่อวดตัวว่าเก่ง
สุดท้ายก็จนมุมของกรรมคือความเก่งของตัว


กดLikeให้ข้อความของคุน คนธรรมดา ด้วยนะค่ะ เรารู้สึกว่าเราเจอมิตรแท้แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 00:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การระลึกถึงป่าช้า...คือการระลึกถึงความตาย

ความตายที่ระลึกได้....ทำให้เห็นถึงความเป็นอนิจจัง...ทุกขัง..อนัตตา..เห็นทุกข์...เห็นโทษการเกิดในวัฏฏะสงสาร....เป็นอารมณ์ละสักกายทิฏฐิอย่างอ่อน ๆ...

หากน้อบน้อมต่อพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง...

มีศีลสมบูรณ์....

มีอารมณ์แห่งการระลึกถึงความตาย..เสมอ ๆ

วันหนึ่ง...ท่านอาจละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ข้อแรก...เข้าอริยะบุคคลผู้มีคติที่แน่นอน...จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ล่มจมอย่างแท้จริง

การระลึกถึงความตาย...จึงมีอานิสงค์มาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 08:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b26:
มาฟังกันต่อเรื่องคำกล่าวหาว่าไม่เค ารพพระพุทธเจ้าเพราะไปกล่าวว่าสมถะกรรมฐานทั้งหมดเป็น...อัตตกิลมถานุโยค
ค วามข้อนี้เป็นเรื่องที่คุณกบเขาวินิจฉัยและตัดสินเอาเองโดยมิได้เอาธรรมเป็นใหญ่หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่เคารพพระธรรม
ถ้าคุณกบเขาเคารพพระธรรมและเคารพพระพุทธเจ้าเขาจะต้องพิสูจน์ธรรมเสียก่อนตามคำเชื้อเชิญของผมว่าให้นั่งลงหลับตาพิสูจน์ว่าลมหายใจที่มีคำบริกรรมกำกับอยู่นั้นไม่สามารถจะเข้าออกอย่างเป็นธรรมชาติได้นั้นเป็นความจริงหรือไม่ หรือท่านผู้ติดตามอ่านจะลองพิสูจน์กันดูก็ดีนะครับ
เมื่อได้พิสูจน์ธรรมกันแล้วค่อยมาตัดสินว่าการทำสมาธิโดยวิธีสมถะภาวนาเป็นการควบคุมบังคับธรรมชาติซึ่งถือว่าเป็นการทรมาณตนเองอย่างหนึ่งหรือไม่
ที่ต้องมาทำความละเอียดกันในเรื่องนี้ก็เพราะว่ามีวิธีปฏิบัติที่ดีกว่านี้ที่ไม่ต้องบังคับธรรมชาติทรมาณตนเองเลยคือทางสายกลางซี่งพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและเน้นยำ้ไว้ตั้งแต่วันแรกที่ทรงแสดงปฐมเทศนาอันได้แก่การเจริญมรรค 8 หรือวิปัสสนาภาวนานั่นเองซึ่งจะมีพร้อมสมบูรณ์ไว้แล้วทั้งหมดทั้ง ปัญญา ศีลและสมาธิ

การพยายามยัดเยียดข้อหาให้กับผู้ที่เคารพธรรมและเคารพปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในกาลามสูตรพฤติกรรมเช่นนั้นเป็นอกุศลก่อให้เกิดความเศร้าหมองในจิตของเจ้าของและผู้ที่มาพบเห็นไม่เป็นมงคลกับชีวิตเลยพึงเลิกการกระทำบาปเช่นนั้นเสียเถอะ จะได้เจริญในธรรมต่อไปไม่มีอุปสรรคมากั้นขวางทางสู่มรรค ผล นิพพานค


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 12:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b6:

ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถูกหรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 15:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เพราะเห็นรูปปั้นพระพุทธเจ้าในวัด คิดว่าท่านคงนั่งทำสมาธิก็คงจะทำให้บรรลุ เพราะความไม่รู้ก็เลยเอามาปฏิบัติทันที โดยที่ไม่รู้ว่าที่พระองค์นั่งสมาธิก็เพราะท่านมีปัญญาแล้ว หรือสัมมาทิฐิแล้ว ปัญญาท่านได้มาจากการเห็นความจริงของธรรมชาติ หรือธรรมะ ตามกฎไตรลักษณ์ ผู้ไม่มีปัญญาประกอบในการทำสมาธิก็ได้แค่ มิจฉาสมาธิ หรือความสงบเฉย ความนิ่งเฉย ความวางเฉย การไม่สนใจ หรือการละงับ โลภ โกรธ หลง ชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าการที่จะละโลภ โกรธ หลง ให้สิ้นนั้นทำอย่างไร ไม่ให้เกิดขึ้น หรือกลับมาอีก (ละโลภ โกรธ หลงถาวร)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การได้ชี้ว่าอะไรธรรมะ...อะไรไม่ใช่...นี้เป็นบุญมากนะ..

แต่เมื่อเห็นยาพิษซ่อนอยู่ในคำว่าธรรมแล้ว...อยู่เฉย ๆ...นี้ซิทุกข์

หากมีใครได้ทำตรงนี้แล้ว...กระผมก็จะอยู่เฉย ๆ สบายดี...ตามประสาคนขี้เกียจ

ก็ต้องขอบคุณ...คุณอโสกะ....ที่ทำให้คนขี้เกียจได้ทำบุญ :b12: :b12:

ความผิดพลาดทั้งมวลของคุณ...อโสกะ...มันอยู่ตรงนี้

asoka เขียน:
:b12: :b26:
เมื่อได้พิสูจน์ธรรมกันแล้วค่อยมาตัดสินว่าการทำสมาธิโดยวิธีสมถะภาวนาเป็นการควบคุมบังคับธรรมชาติซึ่งถือว่าเป็นการทรมาณตนเองอย่างหนึ่งหรือไม่

ตอนไม่เป็นมันก็เป็นอย่างนี้...

มีเพื่อนสมาชิกเขาบอกว่า...เขาทำแล้วไม่เป็น...อโสกะก็ไม่ฟัง

มีใจเป็นธรรมม๊าก...มาก s002 s002

แต่หลักใหญ่แล้ว...คุณอโสกะใช้ตรรกะ.....ที่ผิด

ผิดที่ว่า...การควบคุมธรรมชาติเป็นการทรมานตน....ทรมานตนเป็นอัตตกิลมถานุโยค

ก็เมื่อธรรมชาติ..คือธรรมชาติของกิเลส...จะไหลตามมันหรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระโมคคลานะ...ง่วงนอน...นี้คือธรรมชาติ...ท่านพยายามแก้อาการง่วงนอน...นี้ฝืนธรรมชาติมั้ย..ทรมานตนมั้ย?....นี้ทางสายพอดีของท่าน

พระจุกษุบาล...อธิฐานอยู่พรรษาปฏิบัติธรรมในสามอิริยาบถ คือ ยืน เดิน และนั่ง โดยไม่นอน...ตาอักเสบ...หมอให้นอนหยดตายาจึงจะซึมเข้าตาได้....แต่ท่านก็เลือกรักษาสัญญา...ตาเลยบอดแต่ก็บรรลุธรรม.....ฝืนธรรมชาติมาก..แต่ทรมานตนมั้ย?...นี้คือทางพอดีของท่าน

ท่านโคธิกะ....จิตเสื่อมถึง 6 ครั้ง...ทนไม่ได้...จึงเชือดคอฆ่าตัวตาย...เห็นเลือด...พิจารณาเลือด...สำเร็จพระอรหันต์ก่อนตายพอดี...มารรู้อยู่ก่อนแล้วมาทูลบอกพระพุทธเจ้า...พระองค์ก็ทรงทราบแต่ยังเสด็จไปตอนตายแล้วพอดี....นี้คือทางพอดีของท่านโคธิกะ

พระโสณโกฬิวิสะปรารถความเพียรเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก...แต่ก็ไม่บรรลุธรรม...จนท้อจะสึกกลับไปครองสมบัติเศรษฐี...พระบรมศาสดาทรงทราบ...จึงได้ตรัสสอน ปรารภความเพียรแต่พอประมาณ เจริญวิปัสสนาไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล .....นี้คือทางอันพอดีของท่าน

ทางสายกลาง...คือทางที่พอเหมาะพอดีกับอินทรีย์...บารมีธาตุขันธ์..ของแต่ละคน

มีมรรคแปดเป็นกรอบ...กว้าง ๆ

จะไปเลียนแบบท่านเป๊ะ....มันเป็นความโง่
การที่จะไปบอกว่า..ต้องมาทางนั้นทางนี้ทำได้ผลง่ายที่สุด....เป็นบรมโง่

แต่เรื่องของพระอรหันต์ท่านทั้งหลายฟังใว้เป็นคติเตือนใจ...เมื่อเราปฏิบัติไปถึงไหนก็ให้นำธรรมบทที่เข้ากับขณะนั้น...เตือนตน...สอนตน...ทำตนให้รู้...เพื่อพาตนให้ผ่านพ้นตรงนั้นไป

มิใช่เอาเรื่องความ...ง่าย ๆ ง่าย ๆ ..สบาย ๆ ...สบาย ๆ ...มาโฆษณาเหมือนยาสีฟัน

อะไรที่มันยาก...ก็หันหัวเรือเสีย...คิดอย่างนี้..เสร็จกิเลสหมด

มีใครไม่ชอบสบายบ้าง ละ...ไม่มีหรอก..กระผมละคนหนึ่ง

แต่บุญกรรมทำมาแบบไหนใครจะรู้

เห็นใครทำอะไรยาก ๆ...ลำบาก. ๆ ..ก็ว่าทรมานตนไปเสียหมด...มันจึงไม่ถูก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 62 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร