วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 03:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2012, 19:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔
มหาวรรค ภาค ๑


พุทธปริวิตกกถา

[๑๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไปว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรนี้แล เป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปกติมานาน ถ้ากระไรเราพึงแสดงธรรมแก่อาฬารดาบส กาลามโคตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน. ทีนั้นเทพดาอันตรธานมากราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร สิ้นชีพได้ ๗ วันแล้วพระพุทธเจ้าข้า. แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรสิ้นชีพได้ ๗ วันแล้ว จึงทรงพระดำริว่า อาฬารดาบสกาลามโคตร เป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้ จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลัน.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรม แก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไปว่า อุทกดาบส รามบุตรนี้แลเป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปกติมานาน ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่อุทกดาบส รามบุตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน. ทีนั้น เทพดาอันตรธานมากราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า อุทกดาบส รามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า. แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบว่า อุทกดาบส รามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว จึงทรงพระดำริว่าอุทกดาบส รามบุตรนี้ เป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้ จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลัน.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไปว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะแก่เรามาก ได้บำรุงเราผู้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรอยู่ ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ก่อนครั้นแล้วได้ทรงพระดำริต่อไปว่า บัดนี้ ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ไหนหนอ. พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ ครั้นพระองค์ประทับอยู่ ณ อุรุเวลาประเทศตามควรแก่พุทธาภิรมย์แล้วเสด็จจาริกไปทางพระนครพาราณสี.

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดังนี้ จะเห็นว่า เหตุที่พระองค์ทรงระลึกถึงดาบสทั้งสองก่อนนั้น มิใช่เพราะเคยมีคุณแก่พระองค์มาก่อน แต่เพราะเห็นว่า เป็นผู้ฉลาด จะเป็นผู้บรรลุธรรมได้โดยฉับพลัน ผิดจากคำบางคำที่แพร่หลายอยู่ในขณะนี้

อย่างไรก็ดี ถึงแม้พระพุทธองค์จะได้ยกย่องอานิสงค์ของผู้ได้ฌาน สมาบัติ กสิณ ฯลฯ ว่าเป็นเลิศในโลก แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับการตรัสรู้พระนิพพาน อันเป็นธรรมอยู่เหนือโลก ไม่ข้องในโลก ดังนั้น ผู้หลงอยู่ในฌาน หรืออำนาจวิเศษในโลกต่างๆ ย่อมกล่าวได้ว่า เสื่อมจากธรรมอันประเสริญยิ่งกว่า คือ พระนิพพานธรรมนั่นเอง แต่ถึงกระนั้น ก็มิใช่เหตุแก่บุคคลทั่วไป ในการตำหนิธรรมเหล่านี้ เนื่องด้วย เป็นธรรมที่ผู้เข้าถึงอินทรีย์เหล่านี้แล้ว จึงจะเป็นผู้วินิจฉัยได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า วิสัยของผู้ได้ฌาน เป็นหนึ่งในอจินไตยสี่ ดังตอนหนึ่งในพระไตรปิฏก ดังนี้



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต


อจินติตสูตร

[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ





พระพุทธเจ้าเคยทำสมาธิที่ขั้นฌานขั้น 8 แต่พระองค์ก็เลิกทำ พระองค์คิดว่านี่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นจากทุกข์ พระองค์ก็หันไปวิปัสสนาภาวนา หรือเจริญปัญญา ให้รู้เห็นความจริงของธรรมชาติตามกฎไตรลักษณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2012, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


แนะนำอีกนัยหนึ่ง

ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคือปฐมฌานนี้ เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ในวินัยของพระอริยะ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 237&Z=1517

จากสูตรนี้จะเห็นได้ว่าฌานไม่ใช่เครื่องขัดเกลากิเลสเป็นแต่ทำให้อยู่เป็นสุข



ละอย่างหนึ่งติดอีกอย่างหนึ่ง(จากหลวงปู่ดูลย์)


ลูกศิษย์ฝ่ายคฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่ รายงานผลการปฏิบัติให้หลวงปู่ฟังด้วยความภาคภูมิใจว่า ปลื้มใจอย่างยิ่งที่ได้พบหลวงปู่วันนี้ ด้วยกระผมปฏิบัติตามที่หลวงปู่เคยแนะนำก็ได้ผลไปตามลำดับ คือ เมื่อลงมือนั่งภาวนาก็เริ่มละสัญญาอารมณ์ภายนอกหมด จิตก็หมดความวุ่น จิตรวม จิตสงบ จิตดิ่งสู่สมาธิ หมดอารมณ์อื่น เหลือแต่ความสุข สุขอย่างยิ่ง เย็นสบาย และจะให้อยู่ตรงนี้นานเท่าไรก็ได้

หลวงปู่ยิ้มแล้วพูด

"เออ ก็ดีแล้วที่ได้ผล พูดถึงความสุขในสมาธิมันก็สุขจริง ๆ จะเอาอะไรมาเปรียบไม่ได้ แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้น มันก็ได้แค่นั้นแหละ ยังไม่เกิดปัญญาอริยมรรค ที่จะตัดภพ ชาติ ตัณหา อุปาทาน ได้ ให้ละสุขนั้นเสียก่อน แล้วพิจารณาขันธ์ห้าให้แจ่มแจ้งต่อไป"

จากความหมายนี้ก็คือเมื่อได้สมาธิแล้วก็ให้เจริญวิปัสนาต่อนั่นเอง ไม่ใช่ติดอยู่แค่สมาธิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2012, 11:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="tonnk"]แนะนำอีกนัยหนึ่ง

ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคือปฐมฌานนี้ เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ในวินัยของพระอริยะ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 237&Z=1517

จากสูตรนี้จะเห็นได้ว่าฌานไม่ใช่เครื่องขัดเกลากิเลสเป็นแต่ทำให้อยู่เป็นสุข



ละอย่างหนึ่งติดอีกอย่างหนึ่ง(จากหลวงปู่ดูลย์)


ลูกศิษย์ฝ่ายคฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่ รายงานผลการปฏิบัติให้หลวงปู่ฟังด้วยความภาคภูมิใจว่า ปลื้มใจอย่างยิ่งที่ได้พบหลวงปู่วันนี้ ด้วยกระผมปฏิบัติตามที่หลวงปู่เคยแนะนำก็ได้ผลไปตามลำดับ คือ เมื่อลงมือนั่งภาวนาก็เริ่มละสัญญาอารมณ์ภายนอกหมด จิตก็หมดความวุ่น จิตรวม จิตสงบ จิตดิ่งสู่สมาธิ หมดอารมณ์อื่น เหลือแต่ความสุข สุขอย่างยิ่ง เย็นสบาย และจะให้อยู่ตรงนี้นานเท่าไรก็ได้

หลวงปู่ยิ้มแล้วพูด

"เออ ก็ดีแล้วที่ได้ผล พูดถึงความสุขในสมาธิมันก็สุขจริง ๆ จะเอาอะไรมาเปรียบไม่ได้ แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้น มันก็ได้แค่นั้นแหละ ยังไม่เกิดปัญญาอริยมรรค ที่จะตัดภพ ชาติ ตัณหา อุปาทาน ได้ ให้ละสุขนั้นเสียก่อน แล้วพิจารณาขันธ์ห้าให้แจ่มแจ้งต่อไป"

- เป็นความสงบขณะปฏิบัติเท่านั้น เลิกปฏิบัติเหมือนเดิม เมื่อจิตไม่สงบก็ทำใหม่ เมื่อทุกข์ก็ทำใหม่ ไม่ทุกข์ก็ไม่ทำ สงบต้องสงบตลอดเวลาเมื่อมีสิ่งมากระทบขณะปัจจุบันไม่หลงกับสิ่งกระทบทั้ง 6 ทางโลภ โกรธ หลง ไม่เกิด ดับทุกข์ถาวร จิตก็สงบ
การทำสมาธิถ้าไม่มีปัญญาประกอบเรียกว่า มิจฉาสมาธิ พึงระวังเป็นอย่างมากเพราะเราจะไปติดสุขจากการทำสมาธิ เพราะว่าสุข และสงบมากจนไม่อยากทำอะไรอีก อยากทำอย่างนั้นเป็นเวลานานๆ ไม่อยากเลิก เหมือนคนติดสิ่งเสพติดไม่อยากเลิก ไม่มีปัญญาดับทุกข์ ติดอยู่แค่ความสงบ และความสุขชั่วคราว เลิกทำทุกข์กลับมาเหมือนเดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 08:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b27:
มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่ทีถ้ำวัว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านบอกว่า
ความหมายของอัตตกิลมถานุโยค ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นเรื่องแรกในวันแรกแก่ปัญจวัคคีย์ก็คือ
การเจริญสมถะภาวนาหรือสมาธิโดยไม่มีปัญญาประกอบด้วย เพราะการเจริญแต่สติสมาธิโดยขาดปัญญานั้นจะเป็นการบังคับทรมาณตนเองตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเลยทีเดียว คือสมถะภาวนานี้เป็นการไปกำหนด สั่ง บังคับธรรมชาติให้อยู่ในอำนาจสั่งการ แต่การทำกับธรรมชาติที่เป็นอนัตตาเช่นนี้มันย่อมเป็นไปไม่ได้ มันจะดูเหมือนจริงเฉพาะตอนที่สติสมาธิยังมีกำลังหากสติสมาธิขาดเมื่อไหร่กฏพระไตรลักษณ์ก็จะมาทำลายความบังคับได้ที่สำคัญผิดในใจของนักสมถะทั้งหลายไปเสียสิ้น


อยากรู้ว่าสมถะภาวนาบังคับธรรมชาติไหม? ก็ลองสังเกตให้ดีตอนที่เรากำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ หรือพองหนอ ยุบหนอ หรือคาถาต่างๆ ลมหายใจจะไม่สามารถไหลเข้าออกตามธรรมชาติได้ นี่เริ่มทรมาณตนเองแล้ว
Kiss
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่เป็นส่วนประกอบสำคัญของการเข้าถึงความหลุดพ้น

สมาธิเป็นเหตุของปัญญา ปัญญาเป็นเหตุของความหลุดพ้น

ทิ้งสมาธิ คือทิ้งความหลุดพ้นครับ

ความเห็นส่วนตัวโปรดพิจารณา

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


หะ..หะ...หะ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านที่เข้ามาอ่าน อย่าหาว่าข้าพเจ้าขัดคอเจ้าของกระทู้เลยขอรับ
เจ้า"ไม่เที่ยงเกิดดับ" มันมั่ว(สงสัยใกล้จะ บ้....วิชาเต็มที) อวดรู้อวดฉลาด จนลืมสิ่งที่มันเคยเขียนไว้
ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่า ถ้าสมาธิ ไม่ใช่ทางหลุดพ้น แล้วอะไรคือทางหลุดพ้น
แล้ว สิ่งที่ผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา ควรปฏิบัติควรศึกษา เพื่อให้หลุดพ้น เขาเรียกว่าอะไร มีกี่ข้อ อะไรบ้าง
หัดอ่านภาษาไทย แล้วทำความเข้าใจในภาษาไทยให้รู้เรื่องรู้ความให้ดีซะก่อนเถอะ แล้วค่อยโอ้อวดไปทำความเข้าใจในพระไตรปิฎก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
หะ..หะ...หะ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านที่เข้ามาอ่าน อย่าหาว่าข้าพเจ้าขัดคอเจ้าของกระทู้เลยขอรับ
เจ้า"ไม่เที่ยงเกิดดับ" มันมั่ว(สงสัยใกล้จะ บ้....วิชาเต็มที) อวดรู้อวดฉลาด จนลืมสิ่งที่มันเคยเขียนไว้
ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่า ถ้าสมาธิ ไม่ใช่ทางหลุดพ้น แล้วอะไรคือทางหลุดพ้น
แล้ว สิ่งที่ผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา ควรปฏิบัติควรศึกษา เพื่อให้หลุดพ้น เขาเรียกว่าอะไร มีกี่ข้อ อะไรบ้าง
หัดอ่านภาษาไทย แล้วทำความเข้าใจในภาษาไทยให้รู้เรื่องรู้ความให้ดีซี่ะก่อนเถอะ แล้วค่อยโอ้อวดไปทำความเข้าใจในพระไตรปิฎก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



การวิปัสสนา คือ วิธีการทำให้เกิดปัญญา ปัญญาเอามาดับเหตุแห่งทุกข์ รู้ผิดชอบชั่วดี(สัมมาทิฐิ) ศีลเกิดขึ้น สมาธิเกิดขึ้น เมื่อมีปัญญาประกอบแล้ว จะนั่งทำสมาธิก็สามารถทำได้ สมาธิที่ได้จะเป็นสัมมาสมาธิเพื่อนำไปสู่มรรคผลนิพพานเร็วขึ้น หากคุณไม่มีปัญญาประกอบ สมาธิที่ได้จะเป็น มิจฉาสมาธิ ไม่ต่างอะไรกับไปนั่งตกปลาก็เป็นการฝึกสมาธิเหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2012, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
sriariya เขียน:
หะ..หะ...หะ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านที่เข้ามาอ่าน อย่าหาว่าข้าพเจ้าขัดคอเจ้าของกระทู้เลยขอรับ
เจ้า"ไม่เที่ยงเกิดดับ" มันมั่ว(สงสัยใกล้จะ บ้....วิชาเต็มที) อวดรู้อวดฉลาด จนลืมสิ่งที่มันเคยเขียนไว้
ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่า ถ้าสมาธิ ไม่ใช่ทางหลุดพ้น แล้วอะไรคือทางหลุดพ้น
แล้ว สิ่งที่ผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา ควรปฏิบัติควรศึกษา เพื่อให้หลุดพ้น เขาเรียกว่าอะไร มีกี่ข้อ อะไรบ้าง
หัดอ่านภาษาไทย แล้วทำความเข้าใจในภาษาไทยให้รู้เรื่องรู้ความให้ดีซี่ะก่อนเถอะ แล้วค่อยโอ้อวดไปทำความเข้าใจในพระไตรปิฎก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



การวิปัสสนา คือ วิธีการทำให้เกิดปัญญา ปัญญาเอามาดับเหตุแห่งทุกข์ รู้ผิดชอบชั่วดี(สัมมาทิฐิ) ศีลเกิดขึ้น สมาธิเกิดขึ้น เมื่อมีปัญญาประกอบแล้ว จะนั่งทำสมาธิก็สามารถทำได้ สมาธิที่ได้จะเป็นสัมมาสมาธิเพื่อนำไปสู่มรรคผลนิพพานเร็วขึ้น หากคุณไม่มีปัญญาประกอบ สมาธิที่ได้จะเป็น มิจฉาสมาธิ ไม่ต่างอะไรกับไปนั่งตกปลาก็เป็นการฝึกสมาธิเหมือนกัน


ท่านทั้งหลายอย่าหาว่าข้าพเจ้าดูถูกดูหมิ่น เจ้าคนใช้หลายชื่อผู้เขียนกระทู้นี้เลยขอรับ
มันจะใช้กี่ชื่อ กี่ชื่อ ส.ด. ของเขาก็ไม่เปลี่ยนตามชื่อดอกขอรับ
ความรู้เลอะเทอะ เขียนมั่วไม่มีหลักการ อธิบายอะไรก็คลุมเครือ ไม่ชัดเจน เขียนเอง งงเอง แถมยังขัดกันเองซะอีก
ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างผู้ใช้ชื่อว่า "ไม่เที่ยงเกิดดับ" อีกสักครั้งว่า
ถ้าเจ้าไม่มีสมาธิ เจ้ามันก็แค่.............หนึ่ง ที่หลงอยู่กับ ความไม่รู้ รู้แต่หากิน หานอน ก็เท่านั้น
เจ้าจะทำสิ่งใดก็ตาม เจ้าต้องมีสมาธินำหน้าเสมอ เจ้าจะมีศีล ถือศีล เจ้าก็ต้องมีสมาธินำหน้ามาก่อน ถ้าไม่มีสมาธิ เจ้าก็ไม่ใช่มนุษย์ปกติชนแล้วละเจ้าเอ๋ย
การวิปัสสนา ไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้เกิดปัญญาเสมอไป การอ่านหนังสือ ศึกษาพระธรรมในศาสนา ฟังผู้รู้ ได้รู้ได้เห็นการกระทำ พฤติกรรม ต่างๆรอบตัวเรา ก็สามารถเกิดปัญญาได้ ถ้ามีสมาธิ นั่นก็คือ มี "สติ สัมปชัญญะ"อยู่เสมอ
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ไม่เที่ยงเกิดดับ" เจ้าไม่รู้จักอายบ้างเลยหรือ. ....................ถึงไหน ความรู้เจ้ามันแค่เศษธุลี เจ้ากลับกล้าโอ้อวด อวดรู้ อวดฉลาด เที่ยวนำเอาความในพระไตรปิฎกมาตีความ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอยู่เป็นนิจ

ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างเจ้าเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับการอ่านพระไตรปิฎก
เจ้าจะต้องอ่านในหมวดนั้นๆ ให้จบความแล้วจึงจะวินิจพินิจคิดพิจารณา ไม่ใช่จับเอาความตอนใดตอนหนึ่งมาเป็นขออวดความโง่ ของเจ้า แก้ไขตัวซะบ้างเถอะ


แก้ไขล่าสุดโดย นายฏีกาน้อย เมื่อ 16 ก.พ. 2012, 23:22, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
ผิดกฏกติกา มารยาท ในการใช้บอร์ด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2012, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


admin เขียน:
กฎกติกา มารยาท ในการแสดงความคิดเห็น

(๑) โปรดงดเว้น การใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ใส่ความ
กล่าวหาให้ร้าย ดูหมิ่น หมิ่นประมาท สร้างความแตกแยก
หรือกระทบถึงสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
หรือครูบาอาจารย์ ตลอดจน บุคคลอันเป็นที่เคารพในสังคม


(๒) โปรดงดเว้น การนำเสนอรูปภาพ วิดีโอ หรือข้อความที่ลบหลู่ จาบจ้วง
ดูหมิ่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดๆ ก็ตาม


(๓) โปรดงดเว้น การนำเสนอรูปภาพ หรือข้อความอันส่อไปในทางลามก
อนาจาร น่ารังเกียจ หยาบคาย หรือแสดงถึงความรุนแรง

(๔) โปรดงดเว้น การนำเสนอรูปภาพ หรือข้อความที่เป็นการนินทา
ใส่ร้าย วิพากษ์วิจารณ์บุคคลอื่น หรือต้องการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเกลียดชัง

(๕) โปรดงดเว้น การนำเสนอรูปภาพ หรือข้อความที่เป็นการท้าทาย
ชักชวน หรือเจตนาที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายแก่สังคม

(๖) โปรดงดเว้น การนำเสนอรูปภาพ หรือข้อความพาดพิง
อันจะทำให้บุคคลอื่นเกิดความเสียหาย หรือเสื่อมเสียชื่อเสียง


(๗) โปรดงดเว้น การนำเสนอรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เกี่ยวข้อง
กับเนื้อหาหรือหัวข้อที่สนทนา ยกเว้นใช้อ้างอิงประกอบเป็นตัวอย่าง


(๘) โปรดงดเว้น การใช้ข้อความอวดอ้าง หรือบิดเบือนคัดค้าน
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยกเว้นในกรณีเกิดข้อสงสัย


(๙) โปรดงดเว้น การนำข้อความโฆษณาขายสินค้า และบริการทุกชนิด

(๑๐) คณะทีมงานผู้ดูแลขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น
โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
เพราะถือว่าได้ทำการตกลงเห็นชอบร่วมกันแล้ว


(๑๑) ลานธรรมจักรเป็นบอร์ดธรรมะ คณะทีมงานผู้ดูแลจึงขอความร่วมมือ
ให้สมาชิกทุกท่านแสดงความเห็นในเรื่องที่สร้างสรรค์ และจรรโลงหลักธรรมความดีงาม
อันจะก่อให้เกิดความอาจหาญ ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
สมาชิกไม่พึงประทุษร้ายผู้อื่นด้วยวาจาอันประกอบด้วย วจีทุจริต ๔ ประการ
กล่าวคือ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
สมาชิกพึงพูดคุยกันเยี่ยงบัณฑิตทั้งหลายคุยกัน มีเมตตามีความปรารถนาดีต่อกัน
ตลอดจน เคารพในเหตุผลของกันและกัน พร้อมที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน


(๑๒) ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านช่วยกันรณรงค์ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง

บทลงโทษ

๑) ตักเตือน
๒) ระงับการใช้ ๗ วัน
๓) ระงับการใช้ตั้งแต่ ๑ เดือนขึ้นไป
๔) ระงับการใช้ถาวร

หมายเหตุ : สมาชิกท่านใดกระทำการละเมิดกฎกติกา มารยาท
ในการใช้บอร์ดดังกล่าว บางกรณีอาจมีผลทำให้ต้องรับโทษตาม
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐
และ/หรือ ประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ
:b8: ทางคณะทีมงานผู้ดูแลจึงขอความร่วมมือจากสมาชิกทุกท่าน
ให้พึงสังวร และสำรวมระวังในการแสดงความคิดเห็นด้วย


การลงโทษในกรณีละเมิดกฎกติกา มารยาทในการใช้บอร์ด ถ้าพิจารณาเห็นว่าควรตักเตือน ก็จะส่งข้อความด้วยระบบของบอร์ดไปยังสมาชิกท่านนั้นให้รับทราบเป็นการส่วนตัว ถ้าตักเตือนแล้ว ยังละเมิดกฎกติกา มารยาท ในกรณีเดียวกันนั้นซ้ำอีก จะใช้วิธีการระงับการใช้งาน หรือแบนแบบชั่วคราว ๗ วัน, ตั้งแต่ ๑ เดือนขึ้นไป หรือแบบถาวร ตามแต่ทางคณะทีมงานผู้ดูแลจะพิจารณาเห็นสมควรลงโทษหนักเบาเพียงไร โปรแกรมเว็บบอร์ดมีระบบการแบน และมีการบันทึกการตักเตือนของสมาชิกแต่ละท่านไว้ นอกจากนี้ ยังแสดงรายชื่อของผู้ที่ถูกแบน โดยทุกท่านสามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อ วัน เวลา และเหตุผลของการแบนซึ่งได้แสดงไว้อย่างชัดเจน

ประกาศ ณ วันจันทร์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๔
admin/คณะทีมงานผู้ดูแลบอร์ดลานธรรมจักร



----------------------------------------------------------------
กฎกติกาที่นำมาแสดงข้างต้นนั้น ได้นำมาจากเว็บต่างๆ และผสมกับความคิดเห็นของสมาชิกที่ได้เสนอเข้ามา บางอย่างอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับความคิดเห็นส่วนตัวของบางท่าน หรือต้องการให้เพิ่มเติมตรงจุดนั้นจุดนี้ ก็กรุณาเสนอแนะเพิ่มเติมได้ครับ



ยังมีกฎกติกาหนึ่งที่ได้ไปเจอมาจากเว็บไซต์ดอยแสงธรรม พิจารณาเห็นว่าดีมาก และน่าจะนำมาประยุกต์ใช้กับเว็บบอร์ดลานธรรมจักร จึงขออนุญาตนำมาโพสเป็นตัวอย่างดังนี้

“เว็บบอร์ดนี้ สำหรับสมาชิกเว็บไซต์ดอยแสงธรรม ใช้แลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นในทางธรรม โดยมุ่งเน้นความรู้ความเห็นอันเกิดจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามแนวคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

เว็บไซต์นี้เป็นเว็บไซต์ธรรมะ จึงขอความร่วมมือให้สมาชิกทุกท่านแสดงความเห็นในเรื่องที่สร้างสรรค์ และจรรโลงหลักธรรมความดีงาม อันจะก่อให้เกิดความอาจหาญ ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติให้ยิ่งๆ ขึ้นไป สมาชิกไม่พึงประทุษร้ายผู้อื่นด้วยวาจาอันประกอบด้วย วจีทุจริต ๔ ประการ กล่าวคือ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล สมาชิกพึงพูดคุยกันเยี่ยงบัณฑิตทั้งหลายคุยกัน มีเมตตามีความปรารถนาดีต่อกัน เคารพในเหตุผลของกันและกัน พร้อมที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สมาชิกทุกท่านจะใช้เว็บบอร์ดนี้ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของทางเว็บไซต์ อนึ่ง ทางเว็บไซต์ขอสงวนสิทธิ์ที่จะลบข้อความใดๆ ที่ไม่เป็นธรรมเป็นวินัย ไม่สร้างสรรค์ ไม่มีมูลความจริง และเป็นเหตุกระทบกระเทือนต่อบุคคลอื่น อันจะก่อให้เกิดความแตกร้าวสามัคคี ทางเว็บไซต์ขอสงวนสิทธิ์ที่จะลบข้อความนั้นๆ ทิ้งไป โดยไม่จำเป็นต้องชี้แจงเหตุผล

เว็บบอร์ดเป็นสื่อสาธารณะอาจมีเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ในทุกกรณี ความเห็นที่แสดงในเว็บบอร์ดเป็นเรื่องของสาธารณชน ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์แต่อย่างใด หากท่านพบข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานเว็บมาสเตอร์เพื่อลบข้อความดังกล่าว อนึ่ง ทางเว็บไซต์ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ อันอาจจะเกิดขึ้นจากการแสดงความเห็นของผู้ใช้เว็บบอร์ด”


:b1:

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 07:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8: :b27:
.........
อยากรู้ว่าสมถะภาวนาบังคับธรรมชาติไหม? ก็ลองสังเกตให้ดีตอนที่เรากำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ หรือพองหนอ ยุบหนอ หรือคาถาต่างๆ ลมหายใจจะไม่สามารถไหลเข้าออกตามธรรมชาติได้ นี่เริ่มทรมาณตนเองแล้ว
Kiss
tongue


ตกลง....อโสกะ....ว่า...สมถะภาวนา.....การกำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยคำบริกรรม....เป็น...อัตตกิลมถานุโยค
ใช่มั้ย?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่ทีถ้ำวัว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านบอกว่า
ความหมายของอัตตกิลมถานุโยค ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นเรื่องแรกในวันแรกแก่ปัญจวัคคีย์ก็คือ
การเจริญสมถะภาวนาหรือสมาธิโดยไม่มีปัญญาประกอบด้วย เพราะการเจริญแต่สติสมาธิโดยขาดปัญญานั้นจะเป็นการบังคับทรมาณตนเองตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเลยทีเดียว คือสมถะภาวนานี้เป็นการไปกำหนด สั่ง บังคับธรรมชาติให้อยู่ในอำนาจสั่งการ แต่การทำกับธรรมชาติที่เป็นอนัตตาเช่นนี้มันย่อมเป็นไปไม่ได้ มันจะดูเหมือนจริงเฉพาะตอนที่สติสมาธิยังมีกำลังหากสติสมาธิขาดเมื่อไหร่กฏพระไตรลักษณ์ก็จะมาทำลายความบังคับได้ที่สำคัญผิดในใจของนักสมถะทั้งหลายไปเสียสิ้น

อยากรู้ว่าสมถะภาวนาบังคับธรรมชาติไหม? ก็ลองสังเกตให้ดีตอนที่เรากำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ หรือพองหนอ ยุบหนอ หรือคาถาต่างๆ ลมหายใจจะไม่สามารถไหลเข้าออกตามธรรมชาติได้ นี่เริ่มทรมาณตนเองแล้ว


คุณอโศกไม่ได้พูดเองครับ คือได้ฟังจำมาจากอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่ถ้ำวัว เชียงดาว ลองค้นดูๆ น่าจะชื่อหลวงพ่อธีใช่ไหมครัรบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B22.jpg
25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B22.jpg [ 12.45 KiB | เปิดดู 6726 ครั้ง ]
พระมหาบุรุษได้ทำทุกรกิริยามีขั้นตอนดังนี้

1.ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหาไว้ให้แน่น จนพระเสโทไหลออกจากพระกัจฉะ ทรงได้รับทุกขเวทนาอันกล้า เหมือนมีใครมาบีบคอไว้แน่น แต่ในที่สุดก็ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทาง จึงเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

2.ทรงผ่อนกลั้นอัสสาสะ ปัสสาสะ เมื่อลมเดินทางช่องพระนาสิกและช่องพระโอษฐ์ไม่ได้สะดวก ก็เกิดเสียงดังอู้ทางช่องพระกรรณทั้งสองข้าง ทำให้เสียดพระอุทร ร้อนพระวรกายเป็นกำลัง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ จึงทรงเปลี่ยนเป็นวิธีอื่น

3.ทรงอดพระกระยาหาร โดยเสวยวันละเล็กละน้อย จนไม่เสวยอะไรเลย จนพระวรกายเหี่ยวแห้ง พระฉวีวรรณเศร้าหมอง พระอัฐิปรากฏทั่วพระวรกาย เมื่อลูบพระวรกาย เส้นพระโลมาร่วงติดมือมา มีพระกำลังถดถอย จะเสด็จไปไหนก็ซวนเซล้ม แต่ก็ยังไม่สำเร็จอีก ทรงทำถึงขั้นนี้นับว่าถึงที่สุดแล้ว ก็ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณที่ทรงมุ่งหวัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ข้อสังเกตความแตกต่างระหว่างอานาปานสติ กับ วิธีฝึกหัดเกี่ยวกับลมหายใจของลัทธิอื่นๆ เช่น การบังคับควบคุมลมหายใจ และโยคะที่เรียกว่า “ปราณยาม” เป็นต้น ว่าเป็นคนละเรื่องกันทีเดียว โดยเฉพาะว่า อานาปานสติ เป็นวิธีฝึกสติ ไม่ใช่ฝึกหายใจ คืออาศัยลมหายใจเป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับฝึกสติ

ส่วนการฝึกบังคับลมหายใจนั้น บางอย่างรวมอยู่ในวิธีบำเพ็ญทุกรกิริยาที่พระพุทธเจ้าเคยทรงบำเพ็ญและละเลิกมาแล้ว"


ที่อาจารย์ซึ่งอยู่ที่ถ้ำวัว เชียงดาว เข้าใจนั้น เรียกว่า "ปราณยาม" คือวิธีบังคับลมหายใจ ซึ่งไม่ใช่อานาปานสติ และพอง-ยุบ ก็ไม่ใช่ปราณยาม แต่เป็นอานาปานสติ (โดยอ้อม) คือ ลมเข้าท้องพอง ลมออกท้องยุบ เป็นเสมือนเครื่องมือฝึกสติ เป็นต้น ผู้ปฏิบัติพึงตามดูรู้ทันทุกขณะที่มันพองมันยุบ ไม่ได้บังคับลมหายใจ...ซึ่งยังมีรายละเอียดภาคปฏิบัติอีกแต่จะข้ามไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 09:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่ทีถ้ำวัว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านบอกว่า
ความหมายของอัตตกิลมถานุโยค ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นเรื่องแรกในวันแรกแก่ปัญจวัคคีย์ก็คือ
การเจริญสมถะภาวนาหรือสมาธิโดยไม่มีปัญญาประกอบด้วย เพราะการเจริญแต่สติสมาธิโดยขาดปัญญานั้นจะเป็นการบังคับทรมาณตนเองตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเลยทีเดียว คือสมถะภาวนานี้เป็นการไปกำหนด สั่ง บังคับธรรมชาติให้อยู่ในอำนาจสั่งการ แต่การทำกับธรรมชาติที่เป็นอนัตตาเช่นนี้มันย่อมเป็นไปไม่ได้ มันจะดูเหมือนจริงเฉพาะตอนที่สติสมาธิยังมีกำลังหากสติสมาธิขาดเมื่อไหร่กฏพระไตรลักษณ์ก็จะมาทำลายความบังคับได้ที่สำคัญผิดในใจของนักสมถะทั้งหลายไปเสียสิ้น

อยากรู้ว่าสมถะภาวนาบังคับธรรมชาติไหม? ก็ลองสังเกตให้ดีตอนที่เรากำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ หรือพองหนอ ยุบหนอ หรือคาถาต่างๆ ลมหายใจจะไม่สามารถไหลเข้าออกตามธรรมชาติได้ นี่เริ่มทรมาณตนเองแล้ว


คุณอโศกไม่ได้พูดเองครับ คือได้ฟังจำมาจากอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่ถ้ำวัว เชียงดาว ลองค้นดูๆ น่าจะชื่อหลวงพ่อธีใช่ไหมครัรบ

พระท่านบอกว่า.....ไม่มีปัญญาประกอบ...

แต่...อโสกะ...บอกว่า....สมถะ...บังคับธรรมชาติไหม?

ดู...ดี..ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากมองภาพกว้างๆแล้ว เราจะบังคับธรรมชาติเด็ดขาดไม่ได้ (แต่รู้จักมันได้ เมื่อรู้จักแล้ว ต้องการอย่างไรก็ทำเหตุปัจจัยให้พอเหมาะพอดีกับธรรมชาตินั้น) เช่นว่า ฉันเอาปัญญานะครับ ไม่เอาสมถะนะคะ...ทำกสิณก็มีปัญญา แต่ท่านไม่เน้น จะเจริญวิปัสสนาก็มีสมถะ (หรือสมาธิ) แต่ท่านไม่เน้น และมิใช่มีเพียงเท่านั้น ยังมีสัมปยุตธรรมอีกมากที่เกิดร่วมกับมัน เช่น มนสิการ เจตนา ศรัทธา ผัสสะ เป็นต้น ซึ่งคอยหนุนเสริมกันและกัน แต่เราพูดเน้นย้ำแต่วิปัสสนา สมถะ ... เลยไม่เห็นความเป็นเหตุปัจจัยขององค์ธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร