วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 11:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เราสับสนระหว่างนิกายเถรวาท ยึดตัวบท เป็นใหญ่ เพื่อป้องกันการคลาดเคลื่อนในอนาคต ส่วนนิกายมหายาน ถือการตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าตามครูบาอาจารย์ตนเป็นใหญ่ เป็นคำสอนที่พญามารหลอกลวงเราโดยผ่านสมมุติสงฆ์ ผู้เข้าไม่ถึงธรรม ให้ไปบอกต่อให้ประชาชนต่อไป
ความรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหมดอยู่ที่ "ตัวรู้" ตัวหนังสือ ความจำ และสมอง เป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะเรียนรู้ สิ่งที่จะเข้าใจหลักธรรมคือจิต คือตัวรู้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้โดยการ รู้แจ้ง เห็นจริงแสดงว่า รู้แจ้งเห็นจริงด้วยสติปัญญาใช่หรือไม่ค่ะ

ทำไมเรามีความคิดเอนเอียงไปในทางนี้ ซึ่งจากเนื้อหานี้เราคัดลอกมากจากชายผู้หนึ่งแต่คนอื่นกลับมองเค้าว่าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาอ้างอิงมาบิดเบือนด้วย สับสนโปรดชี้แนะด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 03:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเจ้าของกระทู้ลองพิจารณาพระสูตรเรื่อง "กลองอานกะ" ดูครับ

คำสอนถ้าดีแล้ว จะเป็นของใครก็ดีทั้งนั้น

ประเด็นคือเราจะรู้ได้ยังไงว่าคำสอนอันไหนดีไม่ดี

ถ้ายังไม่รู้ ยังดูไม่ออกว่าของใครดีของใครไม่ดี ก็เอาศรัทธานำไปเอาเวอร์ชั่นต้นตำรับของพระพุทธองค์เถอะครับ ท่านมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกหมดแล้ว

ลองศึกษาเวบ 84000.org ครับ

ของต้นตำรับมีไม่ใช้ น่าเสียดายว่าไหมครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 05:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกท่านมีมันอยู่แล้ว

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณที่ชี้แนะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 12:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 191


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของจิต เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมจำแนกแจกแจงไว้อย่างละเอียดเหมือนกัน คำสอนของพระองค์จึงมีมากมายหลากหลายทั้งที่ทรงแสดงไว้แก่บุคคลบ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง สถานที่หลายๆแห่งบ้าง พระองค์มิได้ทรงแสดงทีเดียวหมดทุกธรรมทุกข้อเลย แต่พระองค์ทรงแสดงตามแต่ละบุคคลควรจะได้รับ และพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายที่สุดคือ ทำให้ผู้ฟัง ผู้ปฏิบัติตาม หลุดพ้นจากทุกข์ ตามลำดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 14:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2012, 15:49
โพสต์: 20

ชื่อเล่น: ทะเล
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้แจ้งเห็นจริงคงไม่ใช่ด้วยการคิดด้วยสมองเฉยๆ ไม่งั้นทางตะวันตกคงมีอรหันต์แยะเชียว เพราะการคิดด้วยตรรกะเป็นเรื่องเอกของเขาเชียวหละ ทางพุทธใช้การฝึกจิต (สติปัฏฐาน 4)และปฏิบัติตามมรรค 8 จนทำให้จิตหลุดพ้น นั่นแหละครับจึงถึงคำว่า รู้แจ้ง แต่คงไม่ใช่ว่าเราไม่คิดนะครับ เวลาพิจารณาธรรมก็คิดนั่นแหละครับ แต่เราคิดแล้ว เราได้เห็นของจริงไปด้วย ในการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ตรรกะเฉยๆ

ส่วนจะเถรวาท หรือมหายาน ช่างเถอะครับ ในสมัยของพระพุทธเจ้าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็น เช่นเดียวกับพิธีกรรม และพระเครื่องรางของขลัง ไม่น่าจะช่วยให้จิตเราเป็นประภัสสรหรอกครับ ฝึกจิตและปฏิบัติตามมรรค 8 ดูจะเป็นทางตรงสุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วแต่ศรัทธานะท่าน

สมัยก่อนทำไมบรรลุธรรมง่ายกันจัง แม้พระพุทธเจ้าไม่ได้โปรดสอนด้วยพระองค์เอง หนังสือก็ไม่ใช่ว่ามีให้เรียนกันเป็นล่ำเป็นสันเหมือนสมัยนี้ พระอรหันต์บางองค์ก็ดับกิเลสด้วยอิริยาบทที่ต่างกันไป เช่น พระอานนท์ระหว่างกำลังจะพักนอน พระจูฬปันถกก็ขณะทำความสะอาด พระสีวลีระหว่างที่ปลงเกสา บางท่านก็ขณะฟังธรรม

ท่านตรัสรู้ด้วยมรรคมีองค์แปด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เราสับสนระหว่างนิกายเถรวาท ยึดตัวบท เป็นใหญ่ เพื่อป้องกันการคลาดเคลื่อนในอนาคต ส่วนนิกายมหายาน ถือการตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าตามครูบาอาจารย์ตนเป็นใหญ่ เป็นคำสอนที่พญามารหลอกลวงเราโดยผ่านสมมุติสงฆ์ ผู้เข้าไม่ถึงธรรม ให้ไปบอกต่อให้ประชาชนต่อไป
ความรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหมดอยู่ที่ "ตัวรู้" ตัวหนังสือ ความจำ และสมอง เป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะเรียนรู้ สิ่งที่จะเข้าใจหลักธรรมคือจิต คือตัวรู้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้โดยการ รู้แจ้ง เห็นจริงแสดงว่า รู้แจ้งเห็นจริงด้วยสติปัญญาใช่หรือไม่ค่ะ

ทำไมเรามีความคิดเอนเอียงไปในทางนี้ ซึ่งจากเนื้อหานี้เราคัดลอกมากจากชายผู้หนึ่งแต่คนอื่นกลับมองเค้าว่าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาอ้างอิงมาบิดเบือนด้วย สับสนโปรดชี้แนะด้วย



เถรวาทหรือมหายาน ก็เป็นเพียงแค่ชื่อ อย่าติดแค่ชื่อที่เป็นดังเปลือก จงศึกษาลึกเข้าไปถึงเนื้อแท้ จะพบว่ามีเพียงพุทธะเท่านั้น เราเกิดในเมืองแห่งเถรวาทย่อมเข้าใจเรื่องเถรวาทดี ก็จงเริ่มศึกษาบนพื้นฐานแห่งเถรวาท เมื่อมองดูดีๆจะเห็นว่ามีเถรวาทที่ผิดเพี้ยนมากมาย บางคราวออกแนวไสยศาสตร์ก็มี บางทีบวชมานมนานก็ยังเต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลง สารพัด มหายานก็เช่นกันย่อมมีทั้งแท้และเทียม จงมองเลยเข้าไปที่ธรรมแท้ดีกว่าธรรมแท้เมื่อทำถูกย่อมดับทุกข์ได้จริง พระพุทธเจ้าสอนธรรมเพื่อการนี้ ชาติ ภาษา ผิวพรรณ เป็นแค่เปลือกของคน จิตที่สุขทุกข์ได้นั่นแล คือเนื้อแท้ที่ต้องมีธรรม

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
nongkong เขียน:
เราสับสนระหว่างนิกายเถรวาท ยึดตัวบท เป็นใหญ่ เพื่อป้องกันการคลาดเคลื่อนในอนาคต ส่วนนิกายมหายาน ถือการตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าตามครูบาอาจารย์ตนเป็นใหญ่ เป็นคำสอนที่พญามารหลอกลวงเราโดยผ่านสมมุติสงฆ์ ผู้เข้าไม่ถึงธรรม ให้ไปบอกต่อให้ประชาชนต่อไป
ความรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหมดอยู่ที่ "ตัวรู้" ตัวหนังสือ ความจำ และสมอง เป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะเรียนรู้ สิ่งที่จะเข้าใจหลักธรรมคือจิต คือตัวรู้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้โดยการ รู้แจ้ง เห็นจริงแสดงว่า รู้แจ้งเห็นจริงด้วยสติปัญญาใช่หรือไม่ค่ะ

ทำไมเรามีความคิดเอนเอียงไปในทางนี้ ซึ่งจากเนื้อหานี้เราคัดลอกมากจากชายผู้หนึ่งแต่คนอื่นกลับมองเค้าว่าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาอ้างอิงมาบิดเบือนด้วย สับสนโปรดชี้แนะด้วย



เถรวาทหรือมหายาน ก็เป็นเพียงแค่ชื่อ อย่าติดแค่ชื่อที่เป็นดังเปลือก จงศึกษาลึกเข้าไปถึงเนื้อแท้ จะพบว่ามีเพียงพุทธะเท่านั้น เราเกิดในเมืองแห่งเถรวาทย่อมเข้าใจเรื่องเถรวาทดี ก็จงเริ่มศึกษาบนพื้นฐานแห่งเถรวาท เมื่อมองดูดีๆจะเห็นว่ามีเถรวาทที่ผิดเพี้ยนมากมาย บางคราวออกแนวไสยศาสตร์ก็มี บางทีบวชมานมนานก็ยังเต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลง สารพัด มหายานก็เช่นกันย่อมมีทั้งแท้และเทียม จงมองเลยเข้าไปที่ธรรมแท้ดีกว่าธรรมแท้เมื่อทำถูกย่อมดับทุกข์ได้จริง พระพุทธเจ้าสอนธรรมเพื่อการนี้ ชาติ ภาษา ผิวพรรณ เป็นแค่เปลือกของคน จิตที่สุขทุกข์ได้นั่นแล คือเนื้อแท้ที่ต้องมีธรรม


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 01:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้สนทนากันนานนะครับคุณ Nongkong ช่วงนี้ใจคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ

ผมอยากจะขอใช้โอกาสนี้ ขอให้คุณลองถามตัวเองว่าที่คุณเข้ามาที่นี่คุณเข้ามาหาสิ่งใด คุณศึกษาพระธรรมเพื่อสิ่งใด

และขอให้คุณใช้โอกาสนี้พิจารณาดูว่าคุณเผลอลืมจุดหมายเดิมไปบ้างหรือเปล่า

กระแสการสนทนาธรรม ก็คือกระแสความคิด ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือที่เราจะเจอบุคคลที่มีแนวคิดต่างไป

แต่จำเป็นหรือที่เราจะต้องโต้เถียงเอาชนะ หรือพยายามแสดงให้เห็นว่าเราเป็นฝ่ายถูกทุกครั้ง หรือต้องตอบโต้ เวลามีคนด่าว่าเราเสียๆหายๆ

หากเราตอบโต้กลับ เราก็กำลังทำสิ่งนั้นที่เราไม่ชอบใส่คนอื่นใช่หรือเปล่า แบบนั้นแล้วเราภูมิใจในตัวเองได้หรือ

ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับได้ เวลามีคนบอกว่าตัวเองมีจุดอ่อน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเปิดกว้างพร้อมรับความคิดเห็นที่ต่างไป พระพุทธเจ้ายังช่วยคนไม่ได้ทุกคนเลย แล้วเราละเป็นใคร จุดอ่อนของใคร คนนั้นก็ต้องแก้เอง

ที่สำคัญคุณเข้ามาที่นี่ เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาตัวเองไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงปล่อยใจตัวเองให้ถูกความอยากเอาชนะและความสะใจครอบงำเล่า

โต้เถียงกันด้วยคำเผ็ดร้อน ใจคุณสงบดีหรือ คุณมีความสุขดีหรือ

คุ้มกันหรือหากคุณชนะ คุณสะใจ คุณมีคนเห็นด้วย แต่ใจคุณเองเศร้าหมองลงทุกๆวัน

อย่าเสียเวลามองออกไปข้างนอกอยู่เลย อย่าเสียเวลาพยายามปรับแก้ผู้อื่นเลย ใครอยากจะทะเลาะกับโลก โลกก็จะทะเลาะตอบเขา

เอาเวลามองเข้ามาในตัวเองจะดีกว่าไหม เพื่อที่เราจะได้ปรับความคิดของตัวเองให้ตรง ให้เป็นผู้ที่มีความสุขยิ่งๆขึ้นไป

หากเป็นที่รำคาญใจต้องขออภัย ผิดถูกอย่างไรโปรดพิจารณา

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 02:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกคน..มีช่วงเวลาของตน

ข้าว....มันก็มีช่วงหว่านกล้า....ช่วงกล้าอ่อน....ปักดำ...ตั้งตัว....ตั้งท้อง...ออกรวงอ่อน...รวงแก่

ในแต่ละช่วงเวลา....ก็ต้องการน้ำที่แตกต่างกัน

จะไปบังคับให้มันกระโด่ดข้ามขั้นตอน..ก็ไม่ได้

คน...ที่สนใจศึกษาพระธรรม..ก็เช่นกัน

มี อนุบาล.... มี ป.1...มี ม. 3 ม. 6..มี ป.ตรี

ในแต่ละช่วงชั้น....ก็มีความตื้นลึกหนาบางในธรรมะที่ต่างกัน

ข้าว...มันขยับสับเปลี่ยนฐานะไปได้เองตามพันธุกรรม

แต่..คน...จะเปลี่ยนแปลงสถานะได้ก็ด้วยความไม่พอใจในที่..ที่ตนเป็นอยู่

ในทางธรรม..คือ...คนต้องเห็นทุกข์ในขั้นภูมิของตนที่เป็นอยู่

หากไม่เห็นว่ามันทุกข์....กลับเห็นว่ามันสุขอยู่....แล้วอะไรจะไปเปลี่ยนแปลงได้

หากปุถุชน...ไม่ทุกข์....ก็คงไม่คิดจะเป็นโสดา

หากโสดา..ไม่ทุกข์..ก็คงไม่คิดจะเป็นอนาคา

หากอนาคา..ไม่ทุกข์...ก็คงไม่คิดจะเป็นอรหันต์


แม้ทุกข์...เป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก....แต่การเห็นทุกข์มีคุณอนันต์

กัลยาณมิตร...ช่วยชี้ว่า...นี้คือทุกข์...นั้นคือทุกข์...เป็นทานเป็นกุศล

แต่..ผู้ที่ต้องเห็นทุกข์...ก็ยังต้องเป็นผู้นั้นเห็นเอง...จึงจะเป็นมหากุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 02:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอ อนุโมทนา สาธุนะเจ้าค่ะ ที่ช่วยเตือนสติ ดิฉันคิดแต่เพียงว่ามีมารแล้วมารนี่แหละทำให้เกิดกิเลิศและอยากจะเอาชนะพวกมารให้ได้แต่หารู้ไม่ว่า อันที่จริงแล้วมารก็คือจิตของดิฉันเองที่ยังควบคุมไม่ได้ดิฉันยังไม่สามารถเอาชนะมารในใจของดิฉันไปได้เจ้าค่ะ ดิฉันกำลังศึกษาและทำความเข้าใจกับ สัมมาสติอยู่เจ้าค่ะ ตอนนี้จิตดิฉันยัง ถูกตรึงอยู่กับความยินดีและยินร้ายอยู่เจ้าค่ะ จิตดิฉันไปจับเอาความยินร้ายมาทำให้เกิดกิเลสเจ้าค่ะ ซึ่งดิฉันรู้ตัวนะเจ้าค่ะว่าทำอะไรลงไป เพราะดิฉันไตร่ตรองและพิจราณาก่อนทุกครั้งไม่ได้ละเลงโทสะลงไปนะเจ้าค่ะ มีอะไรพอจะช่วยชี้แนะดิฉันก็อย่าได้เกรงใจนะเจ้าค่ะ เพราะถ้าดิฉันรู้ผิดก็อาจจะเดินในทางธรรมที่ผิด :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย nongkong เมื่อ 16 มี.ค. 2012, 02:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 02:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
ผมอยากจะขอใช้โอกาสนี้ ขอให้คุณลองถามตัวเองว่าที่คุณเข้ามาที่นี่คุณเข้ามาหาสิ่งใด คุณศึกษาพระธรรมเพื่อสิ่งใด
และขอให้คุณใช้โอกาสนี้พิจารณาดูว่าคุณเผลอลืมจุดหมายเดิมไปบ้างหรือเปล่า

กระแสการสนทนาธรรม ก็คือกระแสความคิด ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือที่เราจะเจอบุคคลที่มีแนวคิดต่างไป

ต้องขอโทษคุณเจ้าของความเห็นนี้ก่อนครับ ก่อนที่ผมจะวิจารณ์ความเห็น

ผมชอบประโยคที่ว่า....
"ขอให้คุณลองถามตัวเองว่าที่คุณเข้ามาที่นี่คุณเข้ามาหาสิ่งใด คุณศึกษาพระธรรมเพื่อสิ่งใด"

ถ้ามองแบบผิวเผิน คำบอกกล่าวที่คุณบอกคุณคิงคองแก ดูดีมีประโยชน์ครับ
แต่ถ้ามองให้ลึกซึ่งแล้ว มันเป็นคำพูดที่ซุกซ่อนกิเลสไว้ครับ

การมองกิเลสของคู่สนทนาต้องให้บุคลที่สามเป็นผู้มองจึงจะมองออก
เฉกเช่นการมองการสนทนาของกลุ่มคนสามคน ก็ต้องให้บุคคลที่สี่เป็นผู้มองครับ

คุณคนธรรมดาครับ ผมอยากเอาประโยคที่คุณบอกคุณคิงคอง
ย้อนถามไปว่า "คุณเข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด คุณศึกษาพระธรรมเพื่อสิ่งใดครับ"


เมื่อคุณเห็นคำพูดของผมแล้ว คุณลองมองดูจิตที่ใจตัวเองซิว่า
ก่อนที่คุณจะเอ่ยปากสอนคุณคิงคองนั้นน่ะ ในใจมันมีอะไรเป็นตัวนำ
ทำให้คุณแสดงอาการคำพูดแบบนี้กับคุณคิงคอง

ผมว่าคุณดูไม่ออกหรอกครับ นั้นเป็นเพราะคุณกำลังหลงครับ
มันมีกิเลสตัวใหญ่ครอบง้ำคุณอยู่ จิตของคุณมันมีความอยากครับ
มันปรุงแต่งเสียจนคุณคิดว่า ไอ้ความเป็นอกุศลที่คุณกำลังแสดงมันเป็นกุศล
แท้จริงแล้ว มันเกิดการปรุงแต่งตัณหา ด้วยความคิดที่เป็นตัวหนังสือ
ไอ้สภาวะแบบนี่แหล่ะครับเข้าเรียก การปรุงแต่งของกิเลส

คุณคนธรรมดา ก็บอกเองว่ากระแสความคิดมันเป็นเฉพาะตัวบุคคล
แล้วทำไมไม่เอาคำของตัวมาพิจารณาก่อนที่จะแสดงความเห็นตัวเองออกไป
หรือกล่าวอีกนัย ทำไมไม่สอนใจตัวเองก่อน ที่จะสอนคนอื่น
คุณคิงคองเข้าโต้เถียงกับคนอื่น ก็ด้วยความคิดของตนเอง
แล้วมันผิดตรงไหน แต่ดูคุณซิครับ เข้ามาเจ้กี้เจ้าการความคิดคนอื่น
แล้วยังมีหน้า มาบอกว่าความคิดเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคน เป็นธรรมดา


บางครั้งบุคคลมักจะเข้าใจผิด นึกไปเองว่าการกระทำของตัวเองเป็นกุศล
แท้จริงแล้ว มันเป็นอกุศล มันเป็นกิเลสที่ครอบด้วยโมหะจนหลงเข้าใจผิดไป
ว่าคำพูดที่ถูกปรุงแต่งออกมานั้นมันเป็นกุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 09:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทุกคน..มีช่วงเวลาของตน
.......
ข้าว...มันขยับสับเปลี่ยนฐานะไปได้เองตามพันธุกรรม

แต่..คน...จะเปลี่ยนแปลงสถานะได้ก็ด้วยความไม่พอใจในที่..ที่ตนเป็นอยู่

ในทางธรรม..คือ...คนต้องเห็นทุกข์ในขั้นภูมิของตนที่เป็นอยู่



เขียนเอง...แต่ไม่ใช่ของตัวเอง..
ก็แปลกดี... :b12: :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 127 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร