วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 19:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 15:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2012, 15:49
โพสต์: 20

ชื่อเล่น: ทะเล
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เข้าใจจริงๆครับว่า ในปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า อวิชชา ทำให้เกิดสังขาร เท่าที่ฟังมาคือหมายความว่า ความไม่รู้แจ้ง ทำให้เจตนาที่จะรับรู้เกิดกับอายตนะของเรา เช่นทำให้เกิดหูฟังเสียงแล้วเป็นเสียงขึ้น (ตรงข้ามกับเสียงผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่รับรู้เข้าไป อย่างตอนเรานอนหลับ) งงตรงที่ว่า ความไม่รู้ จะไปเกี่ยวอะไรกับ การทำงานของระบบประสาท ทำไมวงจรไม่เิ่ริ่มตรงสังขารเป็นจุดแรกเลยครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 16:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


สังขารในปฏิจจสมุปบาท คือการปรุงแต่งของชายและหญิง
วิญญาณจากที่อื่นมาปฏิสนธิในครรภ์
ทำให้เกิดร่างกายมนุษย์ขึ้นมานามรูป หรือ ขันธ์ 5
เมื่อมีขันธ์ 5 ทำให้เกิดสพายตนะ หรือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เมื่อมีสพายตนะ ย่อมมีการผัสสะ หรือ กระทบ ของสพายตนะกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ใจคิด
จึงทำให้เกิดเวทนา หรือ พอใจ ไม่พอใจ ทำให้เกิดตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ
ความโศกเศร้า ความทุกข์ ความคับแค้นใจ เพราะ้เกิดจากความไม่รู้ /อวิชชา ไม่รู้ความจริงว่าสรรพสิ่งต้องดับสลายหายไป ไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงปฏิจจสมุปบาทเป็นของยากอยู่แล้ว เช่น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ เจริญ ปฏิจจสมุปบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์ เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 455&Z=1887

สุรวุฒิ เขียน:
งงตรงที่ว่า ความไม่รู้ จะไปเกี่ยวอะไรกับ การทำงานของระบบประสาท

เคยได้ยินคำว่าตาต่อกับรูป หูต่อกับเสียงไหม หรือ เสียง+หู+วิญญาณทางหูไหม(ผัสสะ)

สุรวุฒิ เขียน:
ทำไมวงจรไม่เิ่ริ่มตรงสังขารเป็นจุดแรกเลยครับ

ถ้าไม่มีอวิชชาหรือวิชชามาก่อนแล้วสังขารจะปรุงแต่งได้อย่างไร

ผมก็ว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นของยากอยู่แล้ว บวกกับคำถามอันน่างงของคุณด้วย ยิ่งยากขึ้นไปอีก คราวหน้าตั้งคำถามใหม่ให้ฟังง่ายกว่านี้ แต่ผมก็พยายามตอบให้เท่าที่ตอบได้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเทียบกับระบบประสาทหรือ? คำมันตามตัวเลยนะ
เพราะความไม่รู้นี่แหละที่ทำให้เรายึดติดในกองทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 18:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12:
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร ตรงนี้ต้องตีความให้ดีๆ มิฉนั้นจะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนจากธรรม

คำว่าอวิชชา เราแปลกันว่า ไม่รู้ ไม่มีแสงสว่าง มืดบอด
เพราะไม่รู้ จึงเห็นผิด เห็นผิดอันแรกสุดคือความเห็นว่ามีก้อนสังขารอันเป็นสภาวรูปซึ่งเป็นที่ตั้งรู้ของนามธรรมตัวแรกคือ วิญญาณ เมื่อรูปสังขารเกิด วิญญาณไปรู้ จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า. ?.นาม...กับ.....รูป......ขึ้นมา แล้วเป็นปัจจัยสืบต่อไปจนครบวงแห่งปฏิจจสมุปบาท

สังขารที่เราเคยชินแปลกันมี 2 อย่าง คือ สังขารร่างกาย กับสังขาร ความนึกคิดปรุงแต่ง
สังขารที่ต่อจากอวิชชาน่าจะเป็นสังขารร่างกายอันเป็น รูปธรรมนั่นเองนะครับ
:b8: :b8: ห น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สังขารที่ต่อจากอวิชชาน่าจะเป็นสังขารร่างกายอันเป็น รูปธรรมนั่นเองนะครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เพราะไม่รู้ จึงได้กระทำกรรม

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


สุรวุฒิ เขียน:
ไม่เข้าใจจริงๆครับว่า ในปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า อวิชชา ทำให้เกิดสังขาร เท่าที่ฟังมาคือหมายความว่า ความไม่รู้แจ้ง ทำให้เจตนาที่จะรับรู้เกิดกับอายตนะของเรา เช่นทำให้เกิดหูฟังเสียงแล้วเป็นเสียงขึ้น (ตรงข้ามกับเสียงผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่รับรู้เข้าไป อย่างตอนเรานอนหลับ) งงตรงที่ว่า ความไม่รู้ จะไปเกี่ยวอะไรกับ การทำงานของระบบประสาท ทำไมวงจรไม่เิ่ริ่มตรงสังขารเป็นจุดแรกเลยครับ ขอบคุณครับ


อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี ๔ คือความไม่รู้อริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์), อวิชชา ๘ คือ อวิชชา ๔ นั้น และเพิ่ม ๕) ไม่รู้อดีต ๖) ไม่รู้อนาคต ๗) ไม่รู้ทั้งอดีตทั้งอนาคต ๘) ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท

สังขาร หมายถึง ๑.สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง, สิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัย เป็นรูปธรรมก็ตาม นามธรรมก็ตาม ได้แก่ขันธ์ ๕ ทั้งหมด, ตรงกับคำว่า สังขตะหรือสังขตธรรม ได้ในคำว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้เป็นต้น ๒.สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดีหรือชั่ว, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานที่ปรุงแต่งความคิด การพูด การกระทำ มีทั้งที่ดีเป็นกุศล ที่ชั่วเป็นอกุศล และที่กลาง ๆ เป็นอัพยากฤต ได้แก่เจตสิก ๕๐ อย่าง (คือ เจตสิกทั้งปวง เว้นเวทนาและสัญญา) เป็นนามธรรมอย่างเดียว, ตรงกับสังขารขันธ์ ในขันธ์ ๕ ได้ในคำว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง ดังนี้เป็นต้น; อธิบายอีกปริยายหนึ่ง สังขารตามความหมายนี้ยกเอาเจตนาขึ้นเป็นตัวนำหน้า ได้แก่ สัญเจตนา คือ เจตนาที่แต่งกรรมหรือปรุงแต่งการกระทำ มี ๓ อย่างคือ ๑.กายสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย คือ กายสัญเจตนา ๒.วจีสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา คือ วจีสัญเจตนา ๓.จิตตสังขาร หรือ มโนสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ คือ มโนสัญเจตนา ๓.สภาพที่ปรุงแต่งชีวิตมี ๓ คือ ๑.กายสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งกาย ได้แก่ อัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ๒.วจีสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งวาจา ได้แก่ วิตกและวิจาร ๓.จิตตสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งใจ ได้แก่ สัญญาและเวทนา (จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับพระธรรมปิฎกฯ)

เมื่อคุณทำความเข้าใจ ในความหมายของคำสองคำดังกล่าวแล้ว สิ่งที่คุณสงสัย ก็เหตุเพราะคุณเข้าใจความหมายของภาษาผิดพลาดไป
ความไม่รู้จริง หรือความหลงอันเป็นเหตุให้ไม่รู้จริงฯ หรือ อวิชชานั้น ทำให้เกิดสังขาร ในที่นี้ หมายถึง ในเมื่อคุณไม่รู้ คุณก็จะปรุงแต่ง ไม่ว่าจะการมอง การได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัส ย่อมเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการปรุงแต่ง ดังความหมายของสังขารที่ได้อธิบายไป
ความไม่รู้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบประสาทโดยตรง แต่หากเหตุปัจจัย ที่ได้รับการสัมผัสนั้น มีผลต่อ ความคิด การเดิน ยืน นั่ง นอน การมอง การได้ยิน หากคุณไม่รู้ว่า การที่ได้รับสัมผัส ความคิด การเดิน ยืน นั่ง นอน การมอง การได้ยิน คืออะไร ก็จะเกิด วิจิกิจฉา อันหมายถึง ความลังเลไม่ตกลงได้, ความไม่แน่ใจ, ความสงสัย, ความเคลือบแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย, ความลังเลเป็นเหตุไม่แน่ใจในปฏิปทาเครื่องดำเนินของตน (ข้อ ๕ ในนิวรณ์ ๕) (จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎกฯ) และทำให้ ความคิด การเดิน ยืน นั่ง นอน การมอง การได้ยิน ของคุณ เกิดความแปรปรวน
ดังนั้น อวิชชา คือ ความไม่รู้ จึงเกี่ยวข้อง กับระบบประสาท ในทางอ้อม แต่บางขณะ หรือ บางเรื่อง บางอย่าง อวิชชา คือ ความไม่รู้ ก็เกี่ยวข้อง กับระบบประสาท โดยตรง ขอรับ เช่น การได้ยินเสียงใด เสียงหนึ่ง ขณะคุณไม่นอนหลับ แล้วเกิดความโกรธ ความโลภ ความหลง นั่นแหละ อวิชชา คือ ความไม่รุ้ เกี่ยวข้องกับระบบประสาทโดยตรงละขอรับ แต่ไม่เกี่ยวกับ ระบบการทำงาน หรือ การปรุงแต่งหรือสังขาร ของสรีระร่างกายนะขอรับ เพราะ อวิชชา ความไม่รู้ เป็นเพียงเหตุ ปัจจัย ทำให้เกิด สังขาร ดังความหมายที่ได้กล่าวไปข้างต้น
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
๘ มีนาคม ๒๕๕๕
ผู้ตอบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาหลักใหญ่ๆมาอ่านกันให้จะแจ้งดีกว่า

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

๒. วิภังคสูตร

[๔] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดง จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาท
นั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
[๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท
เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขาร
เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป
เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ
เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของ
ความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่
หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ
เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน
มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาด
แห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ
มรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ
[๗] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง ๑- เกิด ๒- เกิด
จำเพาะ ๓- ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ
เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ
[๘] ก็ภพเป็นไฉน ภพ ๓ เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
นี้เรียกว่าภพ ฯ
[๙] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน ๔ เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน
สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ
[๑๐] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา ๖ หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา
คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา ฯ
[๑๑] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชา-
*เวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา ฯ
[๑๒] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส
โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ
[๑๓] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
นี้เรียกว่าสฬายตนะ ฯ
@๑. คือเป็นชลาพุชะหรืออัณฑชปฏิสนธิ ๒. คือเป็นสังเสทชปฏิสนธิ ๓. คือเป็น
@อุปปาติกปฏิสนธิ ฯ

[๑๔] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป นามและ
รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ
[๑๕] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ
โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า
วิญญาณ ฯ
[๑๖] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร ๓ เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร
จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร ฯ

[๑๗] ก็อวิชชาเป็นไฉน ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุเกิดแห่ง
ทุกข์ ความไม่รู้ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับทุกข์
นี้เรียกว่าอวิชชา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะ
สังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์
ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๑๘] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึง
ดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... &A=33&Z=87


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 22:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ในอวกาศแห่งจิต....มีแต่จิตเดิมแท้...ประภัสสร...ไม่มีอะไรนอกไปจากจิต..ไม่มีเลยสักนิด

รู้...รู้ว่าเราคือจิต...รอบ ๆ ข้างก็คือจิต
คิดได้...ก็ได้แค่คิดว่าเราคือจิต....สิ่งรอบ ๆ ข้างคือจิต
จำได้....ว่าเราคือจิต....สิ่งรอบ ๆ ข้างคือจิต
สื่อถึงจิตอื่นด้วย...อภิชฌา (เป็นสิ่งเดียวที่ส่งออกนอกจิตได้)


รู้...ก็รู้เท่านี้....คิดก็คิดแค่นี้...จำก็จำได้เท่านี้...เพราะทั้งอวกาศมีแค่นี้

วันหนึ่ง.....ความคิดหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในจักรวาลของจิตก็เกิดขึ้น....

หากมีอะไรที่นอกจากจิตแล้ว..จะเป็นยังงัยนะ... s006

( ความคิดที่ไม่มีที่มาที่ไปนี้....ถูกเรียกภายหลังว่า...อวิชชาจรมา)

ความคิดเล็ก ๆ ของจิตหนึ่ง...ก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วในอวกาศของจิต

ดวงจิตนับไม่ถ้วน....ต่างก็อยากจะรู้เช่นกัน....ว่ามันจะเป็นยังงัยบ้างนะ

ต่างก็ร่วมแรงร่วมใจ.....ด้วยกำลังแห่งอภิชฌา...ของแต่ละดวงจิต....

สิ่งแรกที่ไม่ใช่จิตก็ถือกำเนิดขึ้นในอวกาศของจิต....

เหมือนจิตแต่ไม่ใช่จิต...เพราะไม่มี...รู้...คิด..จำ...และอภิชฌาอย่างจิต

เรียกแทนสิ่งที่เกิดจากความคิดนี้ว่า...ความคิด(สังขาร)

สังขารนี้เกิดขึ้นมา..ก็ปลื่มใจ

พอสังขารนี่..สลายไป....ก็เสียใจ

จิตที่เคยประภัสสร..ที่มีแต่สงบ....ตอนนี้ก็สั่นไหวเสียแล้ว....เสียคุณภาพเดิมเสียแล้ว

ความจริง..จิตเริ่มเสียคุณภาพเดิมมาตั้งแต่ที่เริ่มคิดว่า....มีอะไรที่นอกจากจิต..แล้วจะเป็นยังงัย..นั้นแล้ว...เรียกจิตตอนนี้ว่า...จิตอวิชชา)

เรียกจิตอวิชชาที่หวั่นไหวรุนแรงนี้ว่า...วิญญาณ

อวิชชาเป็นปัจจัย...จึงมีสังขาร.....

สังขารเป็นปัจจัย...จึงมีวิญญาณ....


ก็ด้วยเหตุนี้...

จบนิทาน(ภาคแรก) :b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 08 มี.ค. 2012, 22:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ในปัจจยาการเหล่านั้น อวิชชา เป็นไฉน

ความไม่รู้ทุกข์
ความไม่รู้ทุกขสมุทัย
ความไม่รู้ทุกขนิโรธ
ความไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า อวิชชา

สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เป็นไฉน

ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร

    ในสังขารเหล่านั้น ปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน
    กุศลเจตนา เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร ที่สำเร็จด้วยทาน ที่สำเร็จด้วยศีล ที่สำเร็จด้วยภาวนา นี้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร

    อปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน
    อกุศลเจตนาเป็นกามาวจร นี้เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร

    อาเนญชาภิสังขาร เป็นไฉน
    กุศลเจตนาเป็นอรูปาวจร นี้เรียกว่า อาเนญชาภิสังขาร

    กายสังขาร เป็นไฉน
    กายสัญเจตนา เป็นกายสังขาร
    วจีสัญเจตนา เป็นวจีสังขาร
    มโนสัญเจตนา เป็นจิตตสังขาร

เหล่านี้เรียกว่า สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2012, 23:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ย. 2011, 10:31
โพสต์: 36


 ข้อมูลส่วนตัว


สุรวุฒิ เขียน:
ไม่เข้าใจจริงๆครับว่า ในปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า อวิชชา ทำให้เกิดสังขาร เท่าที่ฟังมาคือหมายความว่า ความไม่รู้แจ้ง ทำให้เจตนาที่จะรับรู้เกิดกับอายตนะของเรา เช่นทำให้เกิดหูฟังเสียงแล้วเป็นเสียงขึ้น (ตรงข้ามกับเสียงผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่รับรู้เข้าไป อย่างตอนเรานอนหลับ) งงตรงที่ว่า ความไม่รู้ จะไปเกี่ยวอะไรกับ การทำงานของระบบประสาท ทำไมวงจรไม่เิ่ริ่มตรงสังขารเป็นจุดแรกเลยครับ ขอบคุณครับ



อวิชชาไม่ได้ทำให้เกิดสังขาร แต่เป็นเพียงเหตุ-ปัจจัยส่งต่อเท่านั้นครับ

เพราะตามกฏของปฏิจจสมุปบาทแล้ว ในหนังสือปฏิจจสมุปบาทจากพระโอฐษ์ของหลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า "เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้" ต่างหาก นี่เป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าโดยตรง

ในปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยจาก อันหนึ่งไปสู่อีกอันหนึ่ง ซึ่งในที่นี้ คุณได้บอกเกี่ยวกับอายตนะ ต้องบอกว่า
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีอายตนะ ( จึงได้อายตนะก็ไ้ด้ แล้วแต่จะเรียก ของแต่ละบุคคล ซึ่งก็มีความหมายอันเดียวกันครับ)
และ เพราะอายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เมื่อถึงตรงนี้นะครับ กิเลส ยังไม่เกิดนะครับ แต่จะรู้ได้ว่า เป็นสุข หรือ ทุกข์ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์

หรือเีรียกว่า ทุกข์ยังไม่เกิดก็ได้ ยังประมวลไม่เสร็จ ต่อเมื่อ จิต มีความพอใจในสิ่งนั้นๆ ในที่นี้คือเสียง
หรือจะไม่พอใจก็ดี ตัวต่อไป จึงได้รับเหตุ-ปัจจัย จาก ตัณหานั่นเอง กล่าวคือ อุปาทาน เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ภพจึงเกิด เมื่อภพเกิด ชาติ จึงเกิด เมื่อ ชาติเกิด ทุกข์ คือ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ...อุปายาส จึงเกิด กองทุกข์ จึงครบวงจร ของมันนั่นเอง

ซึ่งที่กล่าวมานี้เป็นเพียงการ แยกให้เห็น คร่าวๆ เท่านั้น แต่การพิจารณาจริงๆ นั้น ลึกกว่า ครับ และเร็วกว่า ซึ่งทำให้เรา จับไม่ได้นั่นเอง แต่ถ้าสติเรามากพอ เราจะเห็น วงจร และนำมาพิจารณาได้ชัดเจนขึ้น
ไม่ใช่นึกเอา เดาเอา แต่เราจะเห็นไปตามความเป็นจริงของโลก ว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ

ส่วนที่ว่าทำไมไม่เริ่มตรงสังขารนั้น เริ่มตรงไหนก็ได้ครับ บางครั้ง พระพุทธเจ้า เรากล่าวว่า เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา พระองค์ยังกล่าวว่า นี่เป็นปฏิจจสมุปบาทได้เลย อันนี้ จากหนังสือ หลวงพ่อพุทธทาส นะครับ

ลองพิจารณาดูนะครับ ไล่ขึ้นลง บ่อยๆ แล้วจะเห็นเอง จะได้หายสงสัย
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


มีอยู่ พวกหนึ่ง ไม่กระทำกรรม

คือ พระอรหันต์

สิ่งที่พระอรหันต์ทำ คือ กิริยา ..................... เท่านั้น

เพราะพระอรหันต์ รวมถึงพระพุทธเจ้าด้วย ท่านไม่มีอวิชชาแล้ว สังขารจึงไม่มี

แต่..
ปุถุชน คนที่มีอวิชชาทั้งหลาย มีการกระทำกรรมอยู่ตลอดเวลา

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี

การที่กล่าวว่า พระอรหันต์ อยู่เหนือบุญเหนือบาป ก็เพราะความที่ไม่มีอวิชชาแล้วนั่นเอง

แต่ ยังรับกรรม อยู่นะ

จิตพระอรหันต์ บางครั้งเป็น กิริยาจิต บางครั้งเป็น วิบากจิต ..........สลับ กันไป ตลอดเวลา

ช่วงที่รับผลกรรมเก่า คือ ช่วง วิบากจิต

ช่วงที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบสัมผัส ....... นี่แหละ เป็นช่วงวิบากจิต(คือรับผลกรรมเก่า)

รับผลกรรมเก่า ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย

ย้ำอีกทีว่า พระอรหันต์มีจิตแค่สองประเภทเท่านั้นคือ กิริยาจิต และ วิบากจิต

ส่วนปุถุชน คนธรรมดา มีครบสี่ประเภทคือ กุศล อกุศล วิบาก และกิริยา

คือ คนธรรมดา ได้รับวิบากทาง(ตา หู จมูก ลิ้น กาย)มาแล้ว ก็หลงกระทำกรรมใหม่(คือกุศล อกุศล)

คำว่า หลง ก็คือ อวิชชา นั่นเอง

หลง สร้างบุญ สร้างบาป

.................... เพราะ อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี .....................

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 08:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


potikul เขียน:
สุรวุฒิ เขียน:
ไม่เข้าใจจริงๆครับว่า ในปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า อวิชชา ทำให้เกิดสังขาร เท่าที่ฟังมาคือหมายความว่า ความไม่รู้แจ้ง ทำให้เจตนาที่จะรับรู้เกิดกับอายตนะของเรา เช่นทำให้เกิดหูฟังเสียงแล้วเป็นเสียงขึ้น (ตรงข้ามกับเสียงผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่รับรู้เข้าไป อย่างตอนเรานอนหลับ) งงตรงที่ว่า ความไม่รู้ จะไปเกี่ยวอะไรกับ การทำงานของระบบประสาท ทำไมวงจรไม่เิ่ริ่มตรงสังขารเป็นจุดแรกเลยครับ ขอบคุณครับ



อวิชชาไม่ได้ทำให้เกิดสังขาร แต่เป็นเพียงเหตุ-ปัจจัยส่งต่อเท่านั้นครับ

เพราะตามกฏของปฏิจจสมุปบาทแล้ว ในหนังสือปฏิจจสมุปบาทจากพระโอฐษ์ของหลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า "เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้" ต่างหาก นี่เป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าโดยตรง

ในปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยจาก อันหนึ่งไปสู่อีกอันหนึ่ง ซึ่งในที่นี้ คุณได้บอกเกี่ยวกับอายตนะ ต้องบอกว่า
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีอายตนะ ( จึงได้อายตนะก็ไ้ด้ แล้วแต่จะเรียก ของแต่ละบุคคล ซึ่งก็มีความหมายอันเดียวกันครับ)
และ เพราะอายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เมื่อถึงตรงนี้นะครับ กิเลส ยังไม่เกิดนะครับ แต่จะรู้ได้ว่า เป็นสุข หรือ ทุกข์ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์

หรือเีรียกว่า ทุกข์ยังไม่เกิดก็ได้ ยังประมวลไม่เสร็จ ต่อเมื่อ จิต มีความพอใจในสิ่งนั้นๆ ในที่นี้คือเสียง
หรือจะไม่พอใจก็ดี ตัวต่อไป จึงได้รับเหตุ-ปัจจัย จาก ตัณหานั่นเอง กล่าวคือ อุปาทาน เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ภพจึงเกิด เมื่อภพเกิด ชาติ จึงเกิด เมื่อ ชาติเกิด ทุกข์ คือ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ...อุปายาส จึงเกิด กองทุกข์ จึงครบวงจร ของมันนั่นเอง

ซึ่งที่กล่าวมานี้เป็นเพียงการ แยกให้เห็น คร่าวๆ เท่านั้น แต่การพิจารณาจริงๆ นั้น ลึกกว่า ครับ และเร็วกว่า ซึ่งทำให้เรา จับไม่ได้นั่นเอง แต่ถ้าสติเรามากพอ เราจะเห็น วงจร และนำมาพิจารณาได้ชัดเจนขึ้น
ไม่ใช่นึกเอา เดาเอา แต่เราจะเห็นไปตามความเป็นจริงของโลก ว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ

ส่วนที่ว่าทำไมไม่เริ่มตรงสังขารนั้น เริ่มตรงไหนก็ได้ครับ บางครั้ง พระพุทธเจ้า เรากล่าวว่า เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา พระองค์ยังกล่าวว่า นี่เป็นปฏิจจสมุปบาทได้เลย อันนี้ จากหนังสือ หลวงพ่อพุทธทาส นะครับ
smiley

ลองพิจารณาดูนะครับ ไล่ขึ้นลง บ่อยๆ แล้วจะเห็นเอง จะได้หายสงสัย
:b8:
smiley
อนุโมทนาสาธุกับคุณโพธิกุล ที่ทำความละเอียดในเรื่องปฏิจจสมุปบาทและเรื่องของปัจจัยการทั้ง 12 อย่างได้ถึงตรงนี้
สิ่งที่น่าจะได้ทำการค้นคว้าวิเคราะห์วิจัยต่อไปเพื่อความสมบูรณ์พร้อมแห่งปัญญาก็คือ......อะไร..คือ...เหตุ.....
ป ัจจัยทั้งหมดกระทบเหตุอันซ่อนอยู่จึงทำให้เกิดปฏิจจสมุปบาทครบองค์ เหตุนั้นคืออะไรหนอ........
:b10: :b20: จ ท


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 13:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2012, 15:49
โพสต์: 20

ชื่อเล่น: ทะเล
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปอย่างนี้ได้หรือเปล่าครับ (สรุปแบบตีความปฏิจจสมุปบาทเป็นภพเดียว ไม่ใช่แบบข้ามภพข้ัามชาติ)
เพราะไม่รู้แจ้งในอริยสัจ คือจิตไม่ประภัสสร (คืออวิชชา) จึงเป็นปัจจัยให้เจตนาต่างๆเกิดขึ้น (คือมีสังขาร ตามที่คุณ FLAME ช่วยยกมาตอบ) ทำให้การรับรู้ของตา หู ลิ้น ฯลฯ เกิดการทำงาน (คือมีวิญญาณ) ซึ่งทำให้ ร่างกายและใจทำงานตามไป มีความหมายเป็นร่างกายและใจที่ทำงานได้ (คือนามรูป) ตอนนี้สวิทช์ก็เปิดแล้ว(เจตนา) สายไฟก็เชื่อมแล้วครบระบบ(วิญญานและนามรูป) อายตนะจึงสมบูรณ์ที่จะทำงานเป็นตัวรับสัญญาน ...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 140 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร