กรรมที่ทำให้ฐานะร่ำรวย
ก็คือ การกระทำที่ทำให้เกิดมีฐานะร่ำรวยได้
การที่บุคคลเกิดมามีฐานะร่ำรวย ก็ด้วย บิดามารดา เสาะแสวงหาไว้ให้ จึงได้มีฐานะร่ำรวยตาม

แล้วบุคคลที่ไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด ก็ต้องมีวิธี การปฏิบัติ ประพฤติ หรือ พฤติกรรม หรือ การกระทำ หรือ มีกรรม ในอันที่จะทำให้ตนเองมีฐานะร่ำรวยขึ้นมา ในทางที่เป็นกุศล ในทางที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม บุคคลที่ ประพฤติ ปฏิบัติ หรือ การกระทำ หรือ มีกรรม อันจักทำให้เกิดฐานะร่ำรวย ก็ต้องมีความพอเพียง ต้องรู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักกาล รู้จักประมาณ รู้จักบุคคล และรู้จักชุมชน มีเงินหมื่น ก็เป็นผู้ร่ำรวยได้ มีเงินแสน ก็เป็นผุ้ร่ำรวยได้ มีเงินล้านก็เป็นผู้ร่ำรวยได้
ดังคำกล่าวสอนที่ข้าพเจ้าเคยได้รับจากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม นำมาเสียบไว้ที่เบาะนั่งบนรถทัวร์ บขส. ที่ว่า

[b]อ่อนน้อม ถ่อมตน อดทน ขยัน และ

-อย่านอนตื่นสาย (ขยัน)
-อย่าอายทำกิน (อดทน)
-อย่าหมิ่นเงินน้อย (หมั่นเก็บออม)
-อย่าคอยวาสนา (อย่าหลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เห็นว่าเป็นจริง)[/b]
ข้าพเจ้าก็เลยเติมเข้าไปนิดหนึ่งว่า รู้จักใช้จ่าย รู้จักกินรู้จักเที่ยว รู้จักแบ่งเวลา ก็เป็นกรรมที่จะทำให้ท่านทั้งหลาย มีฐานะร่ำรวยได้ จะรวยช้าหรือรวยเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับ สมองสติปัญญา เวลาและโอกาส อาชีพ และสภาพสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ถ้าหากท่านทั้งหลาย อยากจะเป็น บิดามารดาที่สร้างฐานะที่ร่ำรวยไว้ให้ลูกหลาน
และที่สุด อย่าหลงเชื่อ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่เห็น เพราะพุทธศาสนาสอนให้ผู้ศรัทธา รู้แจ้งเห็นจริง ในปัจจุบัน ไม่ใช่หลอกลวงให้ผู้ศรัทธาไปทำบุญบ้าง หลอกลวงให้หลงผิดไม่ทำมาหากินอะไร หมั่นทำบุญก็จะร่ำรวยได้ อย่าหลงงมงายขอรับ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
ผู้เขียน ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕

[๑๗๘] อริยสาวกย่อมไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ เป็นไฉน ดูกรคฤหบดีบุตร การประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในกลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การเที่ยว ดูมหรสพเป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 923&Z=4206



ดูกรคฤหบดี ประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เลี้ยงตนให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำบริหารตนให้เป็นสุขสำราญ เลี้ยงมารดาบิดาให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ บริหารให้เป็นสุขสำราญ เลี้ยงบุตร ภรรยา ทาสกรรมกร คนใช้ ให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำบริหารให้เป็นสุขสำราญ นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๑ ฯ
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เลี้ยงมิตรสหายให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ บริหารให้เป็นสุขสำราญ นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๒ ฯ
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม ป้องกันอันตรายที่เกิดแต่ไฟ น้ำ พระราชา โจร หรือทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก ทำตนให้สวัสดี นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๓ ฯ
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม ทำพลี ๕ อย่าง คือ
๑. ญาติพลี [บำรุงญาติ]
๒. อติถิพลี [ต้อนรับแขก]
๓. ปุพพเปตพลี [บำรุงญาติผู้ตายไปแล้วคือทำบุญอุทิศกุศลให้]
๔. ราชพลี [บำรุงราชการ คือบริจาคทรัพย์ช่วยชาติ]
๕. เทวตาพลี [บำรุงเทวดา คือทำบุญอุทิศให้เทวดา]
นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๔ ฯ
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม บำเพ็ญทักษิณา มีผลสูงเลิศ เกื้อกูลแก่สวรรค์ มีวิบากเป็นสุข ยังอารมณ์เลิศให้เป็นไปด้วยดีในสมณพราหมณ์ ผู้เว้นจากความมัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในขันติและโสรัจจะ ผู้มั่นคง ฝึกฝนตนให้สงบระงับดับกิเลสโดยส่วนเดียวนี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๕ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 001&Z=1054


พระพุทธเจ้าสอนแม้กระทั่งการใช้ทรัพย์ ถ้าเราศึกษาหาความรู้ในพระไตรปิฎก เราก็จะเจอคำตอบหลายๆอย่าง.

คุณจ่านี่พูดจายังไงน้า ฟังแล้วมันเอ๋อๆพิกล
พูดว่า "การกระทำที่ทำให้เกิดฐานะร่ำรวยได้" แบบนี้มันหมายถึง
การกระทำของตัวเองครับ จะรวยก็ต้องรวยด้วยตัวเอง
แล้วบิดา มารดาแสวงหาไว้ มันก็เป็นการกระทำของบิดามารดา
มันมาเกี่ยวอะไรกับเราครับ

พูดง่ายฟังยากนะจ่าเทวฯ ความพอเพียงมันเกี่ยวกับความร่ำรวยตรงไหน
ท่านทรงสอนให้มีความพอเพียง ก็เพื่อให่สำเหนียกครับว่า อย่าไปหลงไหลกับความร่ำรวย
คนเรามีพอกินพอใช้ ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร ชีวิตก็มีความสุขแล้ว

จ่าเทวฯเล่นเอาคำมาผสมกันมั่วแบบนี้ สักวันจะโดนพวกนักเรียนร.ด.มันถอนหงอกเอานะครับ
หรือไม่งั้นไปสั่งพวกทหารใหม่ ให้ซ้ายหันมันก็จะขวาหัน เป็นเพราะคำพูดของจ่าเทวฯ
ถ้าพูดซ้ายในความเป็นจริงมันคือขวา ถ้าพูดขาวมันก็คือดำ

จะสอนอะไรใคร ตัวผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจถึงยุคสมัยด้วย ไม่ใช่หยิบสำนวน
ที่ใช้กันสมัยปู่ย่าตายาย มาสอนเด็กสมัยนี้ มันจะทำให้เด็กไม่เข้าใจ หรือถ้าเจอเด็กที่
ฉลาดเกินอาจารย์ มันจะย้อนเอาได้ว่า..
อย่านอนตื่นสาย(ขยัน) ..ถ้าสมมุติทำงานเป็นยามกะกลางคืน
จะให้ทำอย่างไร

-อย่าอายทำกิน (อดทน) แบบนี้เป็นขอทานก็ไม่ต้องอายใคร
หรือเป็นนางแบบโป้ ก็ไม่ต้องอายใคร ใครจะว่าอย่างไรก็อย่าใส่ใจ อดทนเข้าไว้

-อย่าหมิ่นเงินน้อย (หมั่นเก็บออม) ทำงานได้ค่าแรงขั้นต่ำ
แต่มีภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาท เราก็ต้องทนห้ามหมิ่นว่าเงินน้อยหรือครับ
แล้วถามหน่อย ให้หมั่นเก็บออมจะเอาที่ไหนมาเก็บครับ
จ่าเทวฯนี่เพ้อเจ้อได้ดาวเลยครับ แต่ความเป็นจริงมันแค่เงี่ยงปลาทูสามเงี่ยงที่มีขีด
อยู่ข้างล่าง เพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่หมู่

-อย่าคอยวาสนา (อย่าหลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เห็นว่าเป็นจริง)
พูดงี้แล้วจะให้ชาวบ้าน เขาเชื่อคำพูดจ่าเทวฯได้ไงว่าจะเป็นจริง พูดไม่คิด


สรุปที่จ่าเทวฯพูดมาทั้งหมดเนี่ย จะให้ชาวบ้านเขาอยู่อย่างพอเพียง
หรือจะให้ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินไว้ให้ลูกหลาน แค่ตัวเองยังไม่พอนี่กะจะให้ชั่วลูกชั่วหลานเลยรึ
ไหนพูดให้พอเพียงๆๆๆไง

จ่าเทวฤทธิ์คำศัพท์คำไหนที่ไม่เข้าใจก็ข้ามๆมันไปเสียบ้าง
อย่าเห็นว่าฟังแล้วเพราะ ดูดี จะทำให้ตัวเองภูมิฐาน
ตรงกันข้ามมันอาจทำให้จ่าหน้าแหก เอ้ยไม่ใช่หน้าแตกได้นะครับ

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่าน ก็อย่าไปสนใจกับพวกปัญญาหน่อมแล้วยังอวดรู้อวดฉลาด แบบเจ้าผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ นะขอรับ
เขาเรียกว่า เขลาโง่ แล้วยังอวดฉลาด คิดแบบคนพาล ไม่รู้จักความหมายของภาษาไทย แล้วยังมีหน้ายกมาแสดงความโง่อีก ฮ่า ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ....... น่าสมเพช เวทน และน่าอนาถในความคิดของเจ้าคนนอกศาสนาอย่าง ผู้ใฃ้ชื่อว่า "โฮฮับ" ซะจริงๆ อิ อิ อิ อิ อิ หนังหน้ามันหนา เพราะมันคิดว่าไม่มีใครรู้จักมัน ข้าพเจ้ามองเห็นไม่ค่อยชัดนะขอรับ เห็นแว๊บๆ ว่ามันใส่หมวกไม่มีปีกสีขาว ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็นไม่ชัดขอรับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

แปลกคน มาสอนคนอื่นว่าไม่ให้สนใจ แต่ตัวเองยืนเท้าสะเอวยืดอกด่าเขาปาวๆ ดิ้นพล่านๆปาดจะขาดใจซะให้ได้ที่โดนคุณโฮฮับกระซวกต่อมกิเลสซะแตกดังโพล๊ะ แทนที่จะเก็บคำพูดที่คุณโฮฮับแนะนำไปหาข้อบกพร่องของตัวเอง แต่กลับดันทุรังวิ่งหนีตายน้ำตื้นด้วยความอับอาย จะบอกให้นะคุณศรีธัญญา น้ำน่ะมันตื้น หนียังไงก็หนีไม่รอดหรอก ก็คุณโฮฮับ เขามองเห็นคุณนี่นา ไม่ว่าคุณจะว่ายน้ำหนีทางไหนคุณโฮฮับเขาก็มองเห็นหมดแหละ ก็น้ำมันตื้นนี่นา ถ้าจะเปรียบก็ต้องเปรียบว่า คุณโฮฮับ เขารู้ไส้รู้พุงคุณหมดน่ะแหละ ทำไมไม่รู้จักยอมรับน๊า ชอบขัดขืนแล้วยืนทำเสียงแข็งเถียงข้างๆคูๆ ตอดเล็กตอดน้อยโผล่หน้าแพลมๆก็เอาเนาะคนเรา

ฮาฮ๊าฮา อุ๊!!! เขาป่าวน๊าาา

หึ หึ หึ หึ ที่แท้คุณมันก็มนุษย์ ประเภท ไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่ยังมีหน้าใส่ร้ายผู้อื่นไป พิจารณาความคิด และสภาพจิตใจของตัวคุณเถอะน่า คิดเอาเองแล้วยังมีหน้ากล่าวเพ้อเจ้อ ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันก็แค่พวกจิตทรามตัวหนึ่งเท่านั้นแหละน่า มันจะรู้เห็นอะไรกัน เจ้าโฮฮับนะ ระดับสมองสติปัญญาของมัน ก็แต่ขี้ฝุ่นใต้ฝ่าตีน ข้าพเจ้าเท่านั้น ก๊าก ก๊าก ก๊าก ก๊าก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ช่วงนี้...ลานธรรมจักรเป็นอะไรไปกันหมดหนอ...คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเพราะต้องการความสุขใจ..แต่ทำไมถึงมีแต่เรื่องเสียดสีกันไปกันมา...ไม่มีจบกันสักที....เห็นแล้วเศร้าใจจัง...

การเถียงกันเรื่องทิฐิเป็นเรื่องปกติครับ เมื่อก่อนผมก็เคยเถียงแต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเถียงเพราะขี้เกียจ ถ้าใครหาประโยชน์จากกระทู้ต่างๆได้ก็เป็นการดี ให้เปรียบเทียบกระทู้ต่างๆแล้วหาประโยชน์จากกระทู้นั้นๆให้ได้

แล้วทีนี้เข้าใจหรือยังครับว่า ทำไม่ศาสดาจึงมีองค์เดียว กุนซือจึงมีคนเดียว ผู้จัดการจึงมีคนเดียว ผู้บัญชาการจึงมีคนเดียว.

อุ๊ๆๆ เห็นจะจะ ยังกล้าว่าบอกเราใส่ร้ายอีกแน่ะ ดู๊ดู คนเรานะ เปรียบไม่ถูกว่าจะเปรียบกับอะไรดี จับได้คาหนังคาเขา เห็นอยู่เต็มตา จับได้ต่อหน้าต่อตาแท้ๆ ยังบอกว่าตัวเองไม่ได้ท๊ำ ไม่ได้ทำ ประมาณว่าหลักฐานคามือ เห็นกันจะจะ เห็นกันเป็นสิบคน แต่เจ้าตัวยังบอกว่าตัวเองไม่ผิด เพราะหลักฐานมันมีขา มันเดินมาอยู่บนมือเอง

ฮาฮ๊าฮา

ฮะ..ฮะ...ฮะ...ฮะ.....
คุณผู้ใช้ชื่อว่า ปลงซะ คุณมันก็เปรียบคล้าย สุนัขที่เห็นอาจมว่าเป็นของหอมฉันใดก็ฉันนั้น
คุณผู้ใช้ชื่อว่า ปลงซะ คุณบอกว่า คุณจับได้คาหนังคาเขา เห็นอยู่เต็มตา คุณจับใครจับอะไร คุณอ่านภาษาไทยแล้วรู้จักความหมายของภาษาไทยหรือไม่ ข้าพเจ้าเป็นผู้สอน ไม่ใช่เป็นผู้เรียนหรือเป็นผู้รับการสอน ข้าพเจ้าจะตอบโต้อย่างไรก็ได้ ตามแต่เห็นสมควร เพราะข้าพเจ้าไม่ได้สอนตัวข้าพเจ้า แต่แนะนำ หรือสอนให้ผู้อื่นที่เข้ามาอ่าน อย่าได้หลงตามคนโง่อวดฉลาด หรือสอนบุคคลที่ทำตัวเป็นเช่น สุนัขเห็น อาจม ว่าเป็นของหอม
แถมคุณยังทำตัวเป็นพวกบ่างช่างยุ ใส่ร้ายให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในตัวข้าพเจ้า หลักฐานก็มีอยู่ ทั้งๆที่คุณไม่ได้รู้สภาพสภาวะจิตใจ อารมณ์หรือความรู้สึกของข้าพเจ้าแม้แต่น้อย คุณมันแค่พวกที่ทำตัวเป็น คล้ายสุนัข ที่เห็นอาจมว่าเป็นของหอมนั่นแหละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ นั้น อวดรู้ อวดฉลาด แต่ความจริงเป็นบุคคลปัญญาหน่อม ค่อนข้างโง่เขลาด้วยซ้ำไป บางครั้งเขากล่าวว่า หลักธรรมข้อนั้น ต้องใช้แบบนั้นจึงจะถูก ,บางครั้งเขากล่าวว่า หลักธรรมนั้นต้องใช้จำเพาะเจาะจงเท่านั้น จะใช้กับพฤติกรรมการกระทำอย่างอื่นไม่ได้,บางครั้งบางครั้งเขากล่าวว่า อย่าตามคำในตำรา ต้องทำตามความเข้าใจของตัวเอง บางครั้ง เขาก็มุสา ผิดจากผู้มีศีลธรรมตามปกติ เพียงเพื่อต้องการชนะ ฯลฯ แล้วใครรู้จักใครมากกว่ากัน ใครเป็นผู้สอน ใครเป็นผู้แสดงความคิดเห็น เป็นหรือเปล่าละคุณ หรือว่า เป็นแต่จะทำตัวแบบที่ข้าพเจ้ากล่าวไป
จุีกกรู๊ จุ๊กกรู๊ โห่ โห่ โห่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

อุ๊ แม่เจ้า บะรู้ววววว...เห่าหอนซะยืดยาว นึกสภาพตอนหมาเหนื่่อย แล่บลื้น น้ำลายยืด อาการเหมื่อนคุณ ศรีธัญญาเตอนนี้ป๊ะเลย ปล๊งปลงล่ะหน่าย:b32:

เก็บไว้เป็นหลักฐาน เผื่อได้ลงจดหมายเหตุ

ฮา ฮ๊า ฮา

คนหนึ่งเป็นพระสีอาน อีกคนเป็นคนปลงโลก

มธุรสของทั้งสองน่ารักด้วยกันทั้งคู่

เฮอ...เฮอ....เฮอ... รู้ตัวก็ดีแล้ว ไปรักษาสมองที่ฟั่นเฟือน จนไม่รู้ภาษา ให้หายซะก่อนนะค่อยเข้ามาเสวนาธรรม เฮอ เฮอ เฮอ....ฮ่า ฮ่า

อุ๊ๆๆ แหมๆ ทำเป็นส่งไมค์เชียวนะ ปล๊งปลงอุตส่าห์ส่งไมค์ให้ดันส่งกลับซะงั้น ปล๊งปลงไม่รับกลับหรอกนะ มันยังไม่ถึงคิวปล๊งปลงน่ะ ขอบอก

ฮาฮ๊าฮา บ๊ะๆๆ

คนประเภทนี้มีไม่กี่คนหรอในบอร์ดนี้ อย่าไปใส่ใจเลย เพราะพวกนี้ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักสถานที่ ไม่รู้จักวางตัว อย่าให้ต้องด่า ต้องสอนเลยโตๆกันแล้ว หัดอายเดกๆบ้าง