วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 12:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑
๙. เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก [๑๒๖]


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงปรารภบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ." เป็นต้น.

พวกนักเลงชวนเศรษฐีบุตรให้ดื่มเหล้า

ดังได้สดับมา บุตรเศรษฐีนั้นเกิดแล้วในตระกูลผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิในกรุงพาราณสี. ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขาคิดว่า "ในตระกูลของเรามีกองโภคะเป็นอันมาก เราจักมอบกองโภคะนั้นไว้ในมือบุตรของเรา ทำให้ใช้สอยอย่างสบาย กิจด้วยการงานอย่างอื่นไม่ต้องมี." ดังนี้แล้ว จึงให้เขาศึกษาศิลปะสักว่าการฟ้อนขับและประโคมอย่างเดียว.
ในพระนครนั้นแล แม้ธิดาคนหนึ่งก็เกิดแล้วในตระกูลอื่น ซึ่งมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ. บิดามารดาแม้ของนางก็คิดแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็ให้นางศึกษาก็ได้ศิลปะสักว่าการฟ้อนขับและประโคมอย่างเดียว. เมื่อเขาทั้งสองเจริญวัยแล้ว ก็ได้มีการอาวาหวิวาหมงคลกัน ต่อมาภายหลัง มารดาบิดาของคนทั้งสองนั้นได้ถึงแก่กรรมแล้ว. ทรัพย์ ๑๖๐ โกฏิ ก็ได้รวมอยู่ในเรือนเดียวกันทั้งหมด.
เศรษฐีบุตรย่อมไปสู่ที่บำรุงพระราชาวันหนึ่งถึง ๓ ครั้ง
ครั้งนั้น พวกนักเลงในพระนครนั้น คิดกันว่า "ถ้าเศรษฐีบุตรนี้ จักเป็นนักเลงสุรา, ความผาสุกก็จักมีแก่พวกเรา เราจะให้เธอเรียนความเป็นนักเลงสุรา."
พวกนักเลงนั้นจึงถือเอาสุรา มัดเนื้อสำหรับแกล้ม และก้อนเกลือไว้ที่ชายผ้า ถือหัวผักกาด นั่งแลดูทางของเศรษฐีบุตรนั้น ผู้มาจากราชสกุล เห็นเขากำลังเดินมา จึงดื่มสุรา เอาก้อนเกลือใส่เข้าในปาก กัดหัวผักกาด กล่าวว่า "จงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปีเถิด นายเศรษฐีบุตร, พวกผมอาศัยท่าน ก็พึงสามารถในการเคี้ยวและการดื่ม."
บุตรเศรษฐีฟังคำของพวกนักเลงนั้นแล้ว จึงถามคนใช้สนิทผู้ตามมาข้างหลังว่า "พวกนั้น ดื่มอะไรกัน?"
คนใช้. น้ำดื่มชนิดหนึ่ง นาย.
บุตรเศรษฐี. มีรสชาติอร่อยหรือ?
คนใช้. นาย ธรรมดาน้ำที่ควรดื่ม เช่นกับน้ำดื่มนี้ ไม่มีในโลกที่เป็นอยู่นี้.

บุตรเศรษฐีหมดตัวเพราะประพฤติอบายมุข

บุตรเศรษฐีนั้นพูดว่า "เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้เราดื่มก็ควร" ดังนี้แล้ว จึงให้นำมาแต่นิดหน่อยแล้วก็ดื่ม ต่อมาไม่นานนัก นักเลงเหล่านั้นรู้ว่าบุตรเศรษฐีนั้นดื่ม จึงพากันแวดล้อมบุตรเศรษฐีนั้น เมื่อกาลล่วงไป ก็ได้มีบริวารหมู่ใหญ่.
บุตรเศรษฐีนั้นให้นำสุรามาด้วยทรัพย์ ๑๐๐ บ้าง ๒๐๐ บ้าง ดื่มอยู่ ตั้งกองกหาปณะไว้ในที่นั่งเป็นต้นโดยลำดับ ดื่มสุรา กล่าวว่า "จงนำเอาดอกไม้มาด้วยกหาปณะนี้, จงนำเอาของหอมมาด้วยกหาปณะนี้ ผู้นี้ฉลาดในการขับ, ผู้นี้ฉลาดในการฟ้อน ผู้นี้ฉลาดในการประโคม จงให้ทรัพย์ ๑ พันแก่ผู้นี้, จงให้ทรัพย์ ๒ พันแก่ผู้นี้"
เมื่อใช้สุรุ่ยสุร่ายอย่างนั้นต่อกาลไม่นานนัก ก็ยังทรัพย์ ๘๐ โกฏิอันเป็นของตนให้หมดไปแล้ว เมื่อเหรัญญิกเรียนว่า "นาย ทรัพย์ของนายหมดแล้ว." จึงพูดว่า "ทรัพย์ของภรรยาของข้าไม่มีหรือ?" เมื่อเขาเรียนว่า "ยังมีนาย" จึงบอกว่า "ถ้ากระนั้น จงเอาทรัพย์นั้นมา" ได้ยังทรัพย์ แม้นั้นให้สิ้นไปแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วขายสมบัติของตนทั้งหมด คือนา สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ยานพาหนะ เป็นต้นบ้าง โดยที่สุด ภาชนะเครื่องใช้บ้าง เครื่องลาด ผ้าห่มและผ้าปูนั่งบ้าง โดยลำดับเคี้ยวกิน.

เศรษฐีต้องเที่ยวขอทาน

ครั้นในเวลาที่เขาแก่ลง เจ้าของเรือนจึงไล่เขาออกจากเรือน ที่เขามีโภคะหมดแล้ว ขายเรือนของตัว (แต่ยัง) ถืออาศัยอยู่ก่อน, เขาพาภรรยาไปอาศัยฝาเรือนของชนอื่นอยู่ ถือชิ้นกระเบื้องเที่ยวไปขอทาน ปรารภจะบริโภคภัตที่เป็นเดนของชนแล้ว.
ครั้งนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน คอยรับโภชนะที่เป็นเดนอันภิกษุหนุ่มและสามเณรให้ ในวันหนึ่ง จึงทรงแย้มพระโอษฐ์.
ลำดับนั้น พระอานนทเถระทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มกะพระองค์.
พระศาสดา เมื่อจะตรัสบอกเหตุที่ทรงแย้ม จึงตรัสว่า
"อานนท์ เธอจงดูบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากผู้นี้ ผลาญทรัพย์เสีย ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเที่ยวขอทานอยู่ในนครนี้แล: ก็ถ้าบุตรเศรษฐีไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดสิ้น จักประกอบการงานในปฐมวัย ก็จักได้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศในนครนี้แล และถ้าจักออกบวช ก็จักบรรลุอรหัต แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในอนาคามิผล,
ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย. จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๒. ออกบวชจักได้เป็นอนาคามี แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในสกทาคามิผล
ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้สิ้นไป ประกอบการงานในปัจฉิมวัย จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๓ แม้ออกบวชก็จักได้เป็นสกทาคามี แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.

แต่เดี๋ยวนี้ บุตรเศรษฐีนั่นทั้งเสื่อมแล้วจากโภคะของคฤหัสถ์ ทั้งเสื่อมแล้วจากสามัญผล, ก็แลครั้นเสื่อมแล้ว จึงเป็นเหมือนนกกระเรียนในเปือกตมแห้งฉะนั้น"
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=21&p=9


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tonnk เขียน:
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑
๙. เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก [๑๒๖]


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงปรารภบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ." เป็นต้น.

พวกนักเลงชวนเศรษฐีบุตรให้ดื่มเหล้า

ดังได้สดับมา บุตรเศรษฐีนั้นเกิดแล้วในตระกูลผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิในกรุงพาราณสี.


บุตรเศรษฐีหมดตัวเพราะประพฤติอบายมุข



เศรษฐีต้องเที่ยวขอทาน

ครั้นในเวลาที่เขาแก่ลง เจ้าของเรือนจึงไล่เขาออกจากเรือน ที่เขามีโภคะหมดแล้ว ขายเรือนของตัว (แต่ยัง) ถืออาศัยอยู่ก่อน, เขาพาภรรยาไปอาศัยฝาเรือนของชนอื่นอยู่ ถือชิ้นกระเบื้องเที่ยวไปขอทาน ปรารภจะบริโภคภัตที่เป็นเดนของชนแล้ว.
ครั้งนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน คอยรับโภชนะที่เป็นเดนอันภิกษุหนุ่มและสามเณรให้ ในวันหนึ่ง จึงทรงแย้มพระโอษฐ์.
ลำดับนั้น พระอานนทเถระทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มกะพระองค์.
พระศาสดา เมื่อจะตรัสบอกเหตุที่ทรงแย้ม จึงตรัสว่า
"อานนท์ เธอจงดูบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากผู้นี้ ผลาญทรัพย์เสีย ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเที่ยวขอทานอยู่ในนครนี้แล: ก็ถ้าบุตรเศรษฐีไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดสิ้น จักประกอบการงานในปฐมวัย ก็จักได้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศในนครนี้แล และถ้าจักออกบวช ก็จักบรรลุอรหัต แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในอนาคามิผล,
ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย. จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๒. ออกบวชจักได้เป็นอนาคามี แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในสกทาคามิผล
ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้สิ้นไป ประกอบการงานในปัจฉิมวัย จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๓ แม้ออกบวชก็จักได้เป็นสกทาคามี แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.

แต่เดี๋ยวนี้ บุตรเศรษฐีนั่นทั้งเสื่อมแล้วจากโภคะของคฤหัสถ์ ทั้งเสื่อมแล้วจากสามัญผล, ก็แลครั้นเสื่อมแล้ว จึงเป็นเหมือนนกกระเรียนในเปือกตมแห้งฉะนั้น"
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=21&p=9



นี่เขาเรียก มาสว่างแต่ไปมืด :b9:

ดูเอาแล้วกันว่าแม้สมัยที่พระพุทธองค์ดำรงค์พระชนม์อยู่ก็มีผู้ไม่เข้าถึงธรรมนี้จำนวนมากขนาดบุตรเศรษฐีผู้มาถึงหน้าประตูอาราม ก็สนใจแค่เศษอาหารมิได้สนใจในธรรมเลย

ส่วนเราผู้เกิดในกาลนี้ล่วงสมัยพุทธกาลแล้วยังมีวาสนาได้มาพบธรรมก็ควรขวนขวายอย่าปล่อยให้เวลาล่วงไป อย่าพลาดแดนธรรมอันเกษมปราศจากทุกข์ใดๆนี้เลย สาธุ :b16:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 20:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นี้แหละภัยของวัฏฏะสงสาร...

อย่าคิดว่า...เรามีบุญมาก...ตายไปแล้วเป็นเทวดาก็ปฏิบัติธรรมต่อได้

เกิดใหม่...ก็มีขันธ์ชุดใหม่มาครอบ...

คิดรึว่า...มันจะคิดเหมือนเดิมเด๊ะ...

กว่าบุญจะตักเตือนให้เข้าทางเดิม...ไม่แน่ว่ามันอาจไปไกลเกินกว่าจะกู้กลับมา

นี้แหละ...ภัยแห่งวัฏฏะสงสาร...

พึงระลึก...อย่าประมาท...เถิดพี่น้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 16:39
โพสต์: 209


 ข้อมูลส่วนตัว


เจอกระทู้แบบนี้ไม่รู้เป็นไรขี้เกียจอ่านจัง..... :b5: :b5:

.....................................................
_______________(-_-) (๑_๑)____________(^_^) (^ ^)_____________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:
เจอกระทู้แบบนี้ไม่รู้เป็นไรขี้เกียจอ่านจัง..... :b5: :b5:

ขี้เกียจก็ไม่ต้องอ่าน บอกทำไม ใครอยากทราบ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 16:39
โพสต์: 209


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
อยู่กับความมืด เขียน:
เจอกระทู้แบบนี้ไม่รู้เป็นไรขี้เกียจอ่านจัง..... :b5: :b5:

ขี้เกียจก็ไม่ต้องอ่าน บอกทำไม ใครอยากทราบ :b32:


:b21: :b21:

.....................................................
_______________(-_-) (๑_๑)____________(^_^) (^ ^)_____________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 21:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้อยู่ว่าจะนำเสนอไปทางไหน....

แต่...เราก็กลับมามองทางของเราให้ได้...ก็สิ้นเรื่อง

ชิล...ชิล... huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
นี้แหละภัยของวัฏฏะสงสาร...

อย่าคิดว่า...เรามีบุญมาก...ตายไปแล้วเป็นเทวดาก็ปฏิบัติธรรมต่อได้

เกิดใหม่...ก็มีขันธ์ชุดใหม่มาครอบ...

คิดรึว่า...มันจะคิดเหมือนเดิมเด๊ะ...

กว่าบุญจะตักเตือนให้เข้าทางเดิม...ไม่แน่ว่ามันอาจไปไกลเกินกว่าจะกู้กลับมา

นี้แหละ...ภัยแห่งวัฏฏะสงสาร...

พึงระลึก...อย่าประมาท...เถิดพี่น้อง

อืมเห็นด้วย ไม่อยากเกิดอีกเลย กลัวชาติหน้าเกิดมาแบบ มาสว่างแต่ไปมืด นี่อันตรายเลย แต่ก็สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงหันหน้าเข้าหาธรรมมะ ด้วยแรงศรัธทราตั้งแต่ อายุแค่27มันเร็วไปแถมยังเข้าถึงธรรมแบบรวดเร็ว รึว่าเป็นเพราะบุญเก่าที่สะสมมา อิอิ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2012, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:
เจอกระทู้แบบนี้ไม่รู้เป็นไรขี้เกียจอ่านจัง..... :b5: :b5:

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าขี้เกียจ ที่บวชอยยู่เนี่ยก็เพราะเหตุผลนี้แหล่ะ
ขี้เกียจ แต่อยากได้โน้น อยากได้นี้ไม่รู้จักพอแต่ไม่รู้จักทำแฮ่ๆ
:b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 126 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร