วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 00:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2012, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านผู้บรรลุธรรมแล้ว ผู้อื่นจะทราบได้หรือไม่โดยทางใดนั้น
ย่อมทราบได้โดยทางเหตุผลของการโต้ตอบสนทนาระหว่างผู้ปฏิบัติ
ด้วยกันและรู้ด้วยกัน หนึ่ง ทราบได้จากการบรรยายธรรมในภาค
ปฏิบัติทางจิตตภาวนา หนึ่ง ทราบได้จากการอธิบายธรรมให้ผู้มา
ศึกษาจิตตภาวนาที่กำลังติดขัดอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งตามภูมิของตน
จนเข้าใจหายสงสัยในจุดนั้นๆ หนึ่ง เช่น ผู้ปฏิบัติกำลังติดขัดอยู่ใน
อวิชชาว่า ขณะจิตจะหลุดพ้นจากอวิชชาจริง ๆ นั้น จิตปฏิบัติต่อ
อวิชชาอย่างไรจึงหลุดพ้นไปได้ ผู้ที่หลุดพ้นอวิชชาไปแล้วย่อมตอบ
ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แม้ผู้กำลังจะก้าวจากภูมิอวิชชาอยู่แล้ว
ก็เข้าใจความหมายไปโดยลำดับ หรืออาจเข้าใจและก้าวล่วงไปตาม
อุบายที่ท่านให้นัยในขณะนั้นก็ได้ แต่ถ้าจิตยังไม่หลุดพ้นจะอธิบาย
ไม่ถูกกับจุดของอวิชชาอย่างแท้จริงเลยแม้เรียนอวิชชามาจนช่ำชอง
เพราะอวิชชาในความจำกับอวิชชาแท้ไม่เหมือนกัน หรือไม่ใช่
อันเดียวกัน
ผู้รู้อวิชชาตัวจริงแล้ว แม้ไม่ได้เรียนลวดลายเล่ห์เหลี่ยม
ของอวิชชาอย่างกว้างขวางมากมายก็ไม่สงสัย และไม่ติดอวิชชา
เช่นเดียวกับผู้รู้อภิธรรมแท้แล้วแม้ไม่เรียนอภิธรรมอย่างกว้างขวาง
พิสดาร ก็ไม่สงสัยและไม่ติดอภิธรรม ผิดกับผู้เรียนอวิชชาและ
เรียนอภิธรรม แต่ไม่รู้ตัวจริงของอวิชชาและตัวจริงของอภิธรรมเป็น
ไหน ๆ นอกจากทั้งเรียนทั้งรู้จริงแล้ว แม้ไม่มีใครบอกก็เข้าใจ
เพราะผู้ไม่เข้าใจกับผู้เข้าใจธรรมเหล่านั้นอยู่ในฉากเดียวกัน จึงหมด
ทางอยากรู้อยากเห็นว่าธรรมเหล่านั้นเป็นอะไรต่อไปอีก เช่นเดียว
กับเจ้าของโคอยากพบตัวโค แล้วติดตามรอยโคไปไม่ลดละจนถึง
ตัวโค ย่อมหยุดตามรอยโคในขณะที่พบตัวโคทันทีฉะนั้น เมื่อท่านอ่านมาพบโวหารป่า กรุณาให้อภัยผู้เขียนซึ่งเป็นป่าเอามาก ๆ
ด้วยที่เพ้อไปไม่เข้าหลักเข้าเกณฑ์ เพราะภายในตัวพระป่ามีแต่ธรรม
เพ้อจนน่าเวียนศีรษะ ไม่ค่อยมีธรรมที่น่าเพลินแฝงอยู่เลย
กรุณาปฏิบัติด้วยตัวเองจนรู้ขึ้นกับตัวนั่นแล จะเป็นที่แน่ใจ
และภาคภูมิยิ่งกว่าการอ่านการฟังจากผู้อื่น เพราะการทราบจาก
คำบอกเล่าหรือตำรับตำรา จำต้องตกอยู่ในห้วงแห่งความวิพากษ์
วิจารณ์กว่าจะยุติลงปลงใจเชื่อได้ ก็ต้องรบกับคำติชมที่เกิดขึ้น
ภายในอย่างหนัก ดีไม่ดีอาจแพ้ตัวเองได้โดยเข้าใจว่าตนเป็นฝ่าย
ได้เปรียบ เพราะการตัดสินหรือการให้คะแนนจากการวิจารณ์นั้น
ก็ได้ เพราะปกติจิตสามัญเรามักส่งออกข้างนอกมากกว่าส่งเข้า
ข้างใน ผลที่ได้รับจึงมักแพ้ตัวเองเสมอ
วิธีท่านแก้จิตท่านเองและหญิงคนนั้น ให้คลายจาก
ปฏิกูลสัญญาความเบื่อหน่ายในอาหาร และในชีวิตความเป็นอยู่
แห่งอัตภาพร่างกายของตนและของผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
สำหรับพวกเราที่กำลังตกอยู่ในปัญหานี้ ซึ่งอาจจะเจอเข้าวันใดก็ได้
จึงได้นำมาลงไว้เล็กน้อยเท่าที่จำได้ดังนี้ ขณะพิจารณาอาหาร
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ท่านว่าท่านกับท่านหญิงคนนั้นมี
ความรู้สึกต่ออาหารคล้ายคลึงกัน คือพอพิจารณาเป็นปฏิกูลทั้ง
อาหารใหม่ที่กำลังผสมอยู่ในบาตร ทั้งอาหารเก่าที่ผสมกันอยู่
ภายในร่างกาย และนำสิ่งเหล่านั้นมาเทียบเคียงกัน โดยถือภายใน
เป็นหลักยืนตัวแห่งความเป็นปฏิกูล เมื่อพิจารณาหนักเข้าและ
เทียบเคียงกันหนักเข้า อาหารที่อยู่ในบาตรค่อยเปลี่ยนสภาพ
จากความเป็นอาหารที่น่ารับประทานไปโดยลำดับ จนกลายเป็น
สิ่งปฏิกูลไปเช่นเดียวกับส่วนภายในอย่างชัดเจน และเกิดความสลดใจเบื่อหน่ายขึ้นเป็นกำลัง
แต่เดชะเวลานั้นท่านอยู่เพียงองค์เดียว จึงมีโอกาสได้
พิจารณาแก้ไขกันเต็มความสามารถอยู่พักใหญ่ จิตจึงได้ยอมรับ
ความจริงและฉันได้ปกติธรรมดา แต่จะรอไว้ลงตอนท่านสั่งสอน
หญิงคนนั้นซึ่งมีเนื้อธรรมอย่างเดียวกัน นับแต่วันนั้นมาท่านจึงได้
เห็นความผาดโผนของจิตว่าเป็นได้ต่าง ๆ ไม่มีประมาณ และเพิ่ม
ความระมัดระวังต่อการพิจารณาขึ้นอีกเพื่อความละเอียดถี่ถ้วน
โดยใช้อุบายพลิกแพลงหลายเล่ห์หลายเหลี่ยมหลายสันพันนัย
จนเป็นที่แน่ใจต่องานนั้นๆ ไม่ให้ผิดพลาดไปได้ จิตก็นับวันฉลาด
แยบคายต่อการพิจารณาไม่มีสิ้นสุด
เมื่อท่านมาพักอยู่วัดหนองผือก็มีหญิงคนดังกล่าวมา
เล่าถวาย ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ท่านจึงได้อธิบายให้เธอฟัง
ในเวลานั้น บรรดาพระและเณรก็พลอยได้ฟังธรรมพิเศษจากท่าน
โดยยกท่านขึ้นเป็นต้นเหตุแห่งการแสดงว่า เรื่องทำนองที่โยม
เป็นนี้อาตมาเคยเป็นมาแล้ว และเข้าใจกลมารยาของกิเลสประเภท
สวมรอยหรือประเภทบังเงามาแล้ว ถ้าเทียบก็นี่แลคือมหาโจรระดับ
คนชั้นผู้ดี ซึ่งแต่งตัวสวยงามโก้หรูราวกับท้าวสักกเทวราชและ
นางสุชาดามาจากแดนสวรรค์ เดินผ่านผู้คนสังคมชั้นไหนไม่มีใคร
สงสัยว่าเป็นสัตว์นรกในร่างแห่งมนุษย์เลย เขาจึงสนุกอยู่และไปไหน
มาไหนได้อย่างองอาจ ราวกับนักปราชญ์ในแดนมนุษย์ผู้บริสุทธิ์
ผุดผ่องไม่มีใครจับตัวได้ง่าย ๆ เพราะแผนการที่ทำนั้นเกินกว่า
ความรู้สึกของมนุษย์ทั่วไปจะนึกสงสัย นอกจากผู้มีนัยน์ตาแหลมคม
มีปัญญาฉลาด และได้รับการศึกษากลมารยาของพวกนั้นในทางนี้
มาโดยเฉพาะ เช่นเจ้าหน้าที่ จึงจะรู้เท่าทันและจับตัวมาลงโทษได้ นอกนั้นมันลูบศีรษะเอาจนเกลี้ยงไม่มีผมเหลือค้างอยู่เลย
กิเลสประเภทนี้มีลักษณะอย่างนั่นแล มันคอยแทรกเข้ากับ
ความปฏิกูลแห่งธรรมที่ปัญญาหยั่งไม่ถึงจนได้ ส่วนความมุ่งหมาย
ของธรรมที่พิจารณาให้เป็นปฏิกูลนั้น เพื่อตัดความโลภความหลงใน
อาหาร ซึ่งเป็นเครื่องผูกพันจิตใจให้กังวลหม่นหมองต่างหาก มิได้
เป็นปฏิกูลเพื่อส่งผลให้คนอดตายและฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นเรื่องของ
กิเลสพวกนี้มาบังเงาแห่งธรรม ทำหน้าที่ของตนแบบโลกที่ถูกกิเลส
ชักจูงทำกัน แต่เป็นปฏิกูลแบบธรรม คือ ส่วนปฏิกูลก็รับทราบว่า
เป็นปฏิกูล ส่วนที่ต้องอาศัยก็ยอมรับว่าต้องอาศัยกันไปตลอดกาล
ของขันธ์ ดังร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งความปฏิกูล อาหารก็เป็น
ส่วนหนึ่งแห่งความปฏิกูล ของปฏิกูลด้วยกันอยู่ด้วยกันก็ได้ ไม่เป็น
ข้าศึกต่อกัน ไม่ควรแยกจากกันโดยการไม่ยอมรับประทานอาหาร
ซึ่งเป็นความเห็นผิดไปตามกิเลสประเภทสวมรอยหรือบังเงา ส่วน
ผู้พิจารณาคือใจ ก็เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากสิ่งปฏิกูลนั้น ๆ มิได้
มีส่วนแปดเปื้อนด้วยสิ่งดังกล่าว พอจะให้เกิดความเบื่อหน่าย
เกลียดชังขนาดลงกันไม่ได้
ธรรมคือความพอดีทุกแขนงของธรรม การพิจารณา
ทั้งหลายไม่ว่าส่วนใดหรือสิ่งใด ก็เพื่อลงสู่ธรรมคือความพอดี
ไม่ปีนเกลียว การพิจารณาปีนเกลียวจนอาหารกับร่างกายและกับใจ
ลงกันไม่ได้นั้น คือเรื่องของกิเลสโดยตรง ไม่สงสัยว่าเป็นสิ่งที่ควร
ติดใจและดำเนินต่อไป ต้องพิจารณาจนความปฏิกูลทั้งข้างใน
ข้างนอกลงกันได้ ใจเป็นกลางอยู่สบายนั่นแล จึงถูกกับความ
มุ่งหมายของธรรม ไม่ลำเอียงดังที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้ ความปฏิกูล
ก็เป็นธรรมเครื่องแก้ความลืมตัวที่ไปสำคัญว่าสิ่งนั้นสวยงามสิ่งนี้เอร็ดอร่อยน่ารักน่ารับประทานนั่นเอง เมื่อพิจารณาจนจิต
ผ่านความลืมตัวขั้นนี้ไปแล้ว ใครจะไปหาบหามกอบโกยเอาความ
ปฏิกูลไปนิพพานด้วยเล่า เพราะเหล่านี้เป็นเพียงทางเดินเพื่อ
พระนิพพานอันเป็นธรรมไม่เกาะเกี่ยวข้องแวะกับสิ่งใดในสมมุติ
เมื่อจิตติดความสวยงาม ก็เอาธรรมปฏิกูลมาแก้ จิตติดชังก็
เอาธรรมเมตตามาแก้ ติดโลภก็พิจารณาความเห็นแก่ตัวจัดมาแก้กัน
ติดหลง คำว่าหลงนี้ลึกซึ้งมาก แต่จะอธิบายย่อ ๆ พอได้ความเอา
โอปนยิกธรรม คือ พิจารณาดูใจตัวลุ่มหลงกับสิ่งเกี่ยวข้องอันเป็น
อุบายรู้ตัวและแก้กันไปโดยลำดับ ติดโกรธก็พิจารณาตัวโกรธที่กำลัง
เป็นไฟเผาตัวอยู่ภายในก่อนจะระบาดออกไปเผาผู้อื่น จนเห็นโทษ
แห่งความโกรธของตัว เมื่อพิจารณาแก้ถูกจุด สิ่งเหล่านั้นก็ค่อยเบา
ลงและดับไปเอง เพราะไม่มีเครื่องส่งเสริม มีแต่เครื่องตัดรอน กิเลส
จะได้อาหารที่ไหนมาเลี้ยงให้อ้วนหมีพีมันสืบอายุต่อไป เมื่อไม่มีใคร
ยินดีด้วยช่วยประคับประคอง มันต้องตายแบบสัตว์ไม่มีเจ้าของ
แน่นอนไม่ต้องสงสัย
เคยเห็นมิใช่หรือ พระประวัติของพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน
ท่านส่งเสริมหรือท่านฆ่ามันเล่า ผลของท่านที่ได้รับเป็นอย่างไรบ้าง
อัศจรรย์ไหม ใครบ้างในโลกเสมอเหมือนท่าน แต่พวกเราทำไมมีแต่
พากันตั้งหน้าส่งเสริมประคองเลี้ยงดูมันจนเหลือเฟือ แต่ตัวเองกลับ
จะตาย ยังไม่สนใจคิดกันบ้าง บ้านเรือนตึกห้างเรือนโรงต่าง ๆ ก็
อยากได้ร้อยชั้นพันชั้น เครื่องประดับตกแต่งต่าง ๆ ก็อยากได้ดาว
บนฟ้ามาประดับให้งามระยับจับตาถูกใจกิเลสตัวไม่มีความอิ่มพอ
เงินทองก็อยากได้กองใหญ่สูงจรดฟ้า มองมาจากทิศใดก็ให้เห็นแต่
กองสมบัติของตนคนเดียว แม้สถานที่จะเต็มไปด้วยกองสมบัติจนเจ้าของไม่มีที่อยู่หลับนอนก็ยอมทนทุกข์เอา ขอแต่ให้มีให้ได้อย่าง
ใจกิเลสก็เป็นพอ สามีภรรยาหญิงชายมีเท่าไรในโลกก็อยากเที่ยว
กว้านมาเป็นของตัวคนเดียว ไม่ยอมให้ใครมายุ่งเกี่ยว เพราะจะ
ผิดใจกิเลสตัวมหาโลโภที่เป็นจอมโลภบนหัวใจ
ว่าอย่างไร จะยอมอดตายไปกับความปฏิกูลจำพวกสวมรอย
หรือจะยอมรับประทานไปตามความพอดีคือธรรม ด้วยสติปัญญา
เป็นเครื่องแบ่งสันปันส่วน อาตมาเคยเป็นมาแล้วและเคยรบจน
เห็นดำเห็นแดงกันมาแล้ว จึงกล้าพูดอย่างไม่อายและไม่กลัวใครจะ
ว่าบ้าหรือว่าอะไรทั้งสิ้น นี่แลคือความรู้แฝงธรรม จงทำความเข้าใจ
ไว้เสียแต่บัดนี้ นักภาวนาที่เกิดความรู้ความเห็นไปต่าง ๆ บางราย
ที่เป็นขึ้นในแง่ธรรมอื่นๆ ไม่มีผู้เตือนจนน่าสมเพชเวทนาของ
พาหิรชนและชาวพุทธด้วยกัน ก็เพราะความรู้ประเภทนี้แล นี่ยังดีมี
ผู้เตือนไว้ก่อน ยังไม่ถึงขนาดยอมอดตาย หรือร้องตะโกนว่าเบื่อ
อาหาร เบื่อร่างกายของตัว เบื่อโลกที่เต็มไปด้วยของปฏิกูลเกลื่อน
แผ่นดินถิ่นอาศัย ตลอดที่นอนหมอนมุ้ง ส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่วพิภพ
ความจริงกลิ่นที่ว่านั้นไม่มี แต่เป็นขึ้นเพราะสัญญาความสำคัญ
หลอกลวงตน จนกลายเป็นความเชื่อมั่นจมดิ่งที่ยากจะถอนตัว
นี่เป็นคำสรุปของการแสดงที่จวนท่านจะยุติอันเป็นเชิง
ซักถาม แล้วแสดงต่อไปเล็กน้อยก็จบลง พอการแสดงธรรมจบลง
หญิงคนนั้นแสดงอาการ ยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับมิใช่หญิงคนที่
แบกทุกข์ เพราะความเบื่อหน่ายมาหาท่านนั้นเลย เท่าที่จำได้ก็
นำมาลงเพียงเล็กน้อย น่าเสียดายธรรมกัณฑ์นี้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง
จากใครที่ไหนมาก่อนเลย เพิ่งมาประสบเอาโดยบังเอิญ ตอนที่ท่าน
แสดงแก่หญิงคนที่มาเล่าถวายท่านเท่านั้น แต่ก่อนก็ไม่เคยมีใครมาเล่าถวายท่านพอได้ฟังบ้างเป็นขวัญใจ ธรรมนี้ผู้เขียนให้ชื่อว่า
“ธรรมขวัญใจ” เพราะฟังแล้วจับใจไพเราะเหลือจะพรรณนาให้
ถูกกับความจริงที่ท่านแสดงได้ จากนั้นท่านก็ไม่เคยแสดงแก่ใคร
ที่ไหนอีกเลย
การทำวัตรสวดมนต์
ของพระกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่น
กิจนี้คล้ายกับเป็นขนบธรรมเนียม ที่ท่านอาจารย์เสาร์
ท่านอาจารย์มั่น พาบำเพ็ญมา คือ วันปกติธรรมดา ท่านไม่นัดให้
มีการประชุมไหว้พระสวดมนต์เลย จะมีเฉพาะวันอุโบสถปาติโมกข์
เท่านั้น ที่ท่านพาทำวัตรก่อนลงอุโบสถเป็นประจำทุกอุโบสถ
วันธรรมดาแม้จะมีการประชุมอบรม พอถึงเวลาพระมารวมกัน
พร้อมแล้ว ท่านก็เริ่มธรรมบรรยายเป็นภาคปฏิบัติไปเลยทีเดียว
ตอนก่อนหรือหลังจากการอบรม ท่านที่มีข้อข้องใจก็เรียนถามท่าน
ได้ตามอัธยาศัย พอถามปัญหาจบลง ท่านก็เริ่มชี้แจงให้ฟังจนเป็นที่
เข้าใจ หลังจากการอบรมถ้าไม่มีปัญหาสอดแทรกขึ้นมา ต่างก็
พร้อมกันกราบเลิกประชุมและไปสถานที่อยู่ของตน
เท่าที่ทราบมาที่ท่านไม่นัดประชุมทำวัตรเช้าเย็นนั้น ท่าน
ประสงค์ให้พระเณรทำวัตรและสวดมนต์ตามอัธยาศัยโดยลำพัง จะ
สวดมากน้อยหรือถนัดในสูตรใดและเวลาใด ก็ให้เป็นความสะดวก
ของแต่ละรายไป ดังนั้นการทำวัตรสวดมนต์ของท่านจึงเป็นไปโดย
ลำพังแต่ละรายตามเวลาที่ต้องการ และเป็นภาวนาไปในตัว เพราะ
ความระลึกอยู่ภายในอย่างเงียบ มิได้ออกเสียงดังเช่นทำด้วยกัน
หลายคน บางองค์ท่านสวดมนต์เก่งเป็นชั่วโมง ๆ ก็มี ท่านว่าท่านเพลินไปกับบทธรรมที่สวดนั้น ๆ กว่าจะจบสูตรที่สวดในคืนหนึ่ง ๆ
จึงกินเวลานาน ท่านสวดตามความถนัดใจในสูตรต่าง ๆ ทั้งสูตรสั้น
สูตรยาว
สมัยท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่น ท่านชอบสวดมนต์
มากและสวดทีละนาน ๆ ขณะสวดจิตก็มิได้กังวลไปกับอะไร มี
ความเพลิดเพลินไปกับบทธรรมที่สวดจนจิตสงบเย็นไปในเวลานั้น
ท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่นท่านสวดมนต์เก่งแต่ไหนแต่ไรมา
จนกระทั่งหมดความสามารถที่จะสวดได้ในเวลาป่วยหนัก ขณะที่
ท่านเริ่มสวด จะได้ยินเสียงพึม ๆ เบา ๆ เรื่อยไปไม่ขาดวรรค
ขาดตอน จนจบการสวดซึ่งเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็นั่งสมาธิ
ภาวนาต่อไปจนถึงเวลาพักจำวัด ซึ่งเป็นกิจประจำท่านจริง ๆ
แต่ตกมาสมัยนี้ซึ่งเป็นสมัยคนฉลาด พระกรรมฐานทั้ง
ท่านและเราซึ่งออกมาจากคน ก็อาจจะฉลาดและเปลี่ยนแปลง
ความคิดเห็นไปต่าง ๆ เช่น เปลี่ยนเป็นแบบสุกเอาเผากินก็ไม่มี
ใครทราบได้ ดังนั้นการไหว้พระสวดมนต์อันเป็นสิริมงคลและ
ความดีงามแก่ตนและผู้อื่นที่ครูอาจารย์พาดำเนินมา จึงอาจถูก
เปลี่ยนแปลงไปโดยเห็นเป็นของล่าช้าล้าสมัย และบั่นทอนความ
ขี้เกียจอ่อนแอที่กำลังพอกพูนบนหัวใจให้น้อยลงได้ ซึ่งจะขาด
ความสุขประจำนิสัยที่เคยได้รับจากสิ่งเหล่านั้นมาเป็นประจำก็
เป็นได้ ส่วนท่านที่พยายามตะเกียกตะกายตามปฏิปทาที่ท่าน
พาดำเนินมา ก็ขอเทิดทูนไว้บนเศียรเกล้าสมความเมตตากรุณาที่
ท่านได้อุตส่าห์อบรมสั่งสอนด้วยความเอ็นดูตลอดมา ทั้งนี้พอทราบ
ได้ในเวลามีท่านผู้ใดก็ตาม ประพฤติผิดพลาดทั้งภายในภายนอก
ขณะที่มาอยู่อาศัยใต้ร่มเงาแห่งความเมตตาของท่าน จะถูกดุด่าสั่งสอนไปตามกรณี ไม่ปล่อยให้หมักดองไว้จนกลายเป็นไอเสีย
ไปนาน
ขนบธรรมเนียมหรือพิธีการต่าง ๆ
เกี่ยวกับพระกรรมฐาน
ขออภัย เรียนตามความจริงที่เป็นไปโดยมาก พระกรรมฐาน
สายนี้รู้สึกจะคร่ำครึอยู่มากเกี่ยวกับพิธีการหรือขนบธรรมเนียม
ต่าง ๆ ของสังคม ดังนั้นเวลาท่านถูกนิมนต์มาในงานพิธีต่าง ๆ
จึงอาจได้พบเสมอในความไม่สันทัดจัดเจนของพระกรรมฐานสายนี้
ที่แสดงอาการเก้อ ๆ เขิน ๆ อยู่ในพิธีนั้น ๆ เช่นในงานศพ งาน
สวดมนต์ฉันเช้า เป็นต้น เวลาท่านถูกนิมนต์มาเฉพาะวงคณะ
พระกรรมฐานด้วยกันก็ดี มาสับปนกับพระอื่น ๆ ที่ท่านมีความ
สันทัดจัดเจนในพิธีนั้น ๆ ก็ดี ความระเกะระกะไม่น่าดูต่าง ๆ จะ
มารวมอยู่กับพระกรรมฐานทั้งสิ้น บางทีท่านผู้เป็นเจ้าภาพอาจทน
อายแขกเหรื่อทั้งหลายที่อุตส่าห์สละเวลามาให้เกียรติในงานไม่ได้ก็มี
เพราะท่านไม่เคยชินกับสังคมและพิธีการต่าง ๆ ว่านิยมกัน
อย่างไรบ้าง เนื่องจากท่านไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าพิธีและสังคม
ต่าง ๆ ที่ประชาชนนิยมกัน อยู่แต่ในป่าในเขากับพวกชาวป่า
ชาวเขา ซึ่งไม่ค่อยมีพิธีและขนบธรรมเนียมสำคัญ ๆ อะไรนัก
เวลาถูกนิมนต์มาในงานต่าง ๆ ในบ้านใหญ่เมืองหลวง จึงมัก
ปฏิบัติไม่ถูกกับกาลเทศะที่โลกนิยมกัน ท่านไม่ทราบจะจับด้าย
สายสิญจน์มือไหน จับพัดมือไหน ชักบังสุกุลมือไหนอย่างไรจึงจะ
ถูกตามความนิยม บางครั้งท่านยังจับพัดเอาข้างในของพัดออก
ข้างนอก และเอาข้างนอกของพัดเข้ามาข้างใน จนประชาชนและคณะลูกศิษย์ที่นั่งดูอยู่ทนไม่ได้ ต้องหันหน้าเข้าฝาก็มีเพราะอาย
แทนท่าน ส่วนท่านเองยังคงอยู่สบายและวางเฉยราวกับไม่มีอะไร
เกิดขึ้น ทั้งที่ประชาชนทนดูไม่ไหวแทบมุดศีรษะลงพื้นไปตาม ๆ
กัน พระกรรมฐานท่านเป็นอย่างนี้เอง
ผู้เขียนนี้ก็ตัวสำคัญ ที่ถูกนิมนต์ไปขายหน้าเจ้าภาพและ
คณะลูกศิษย์บ่อยที่สุด โดยมากในกรุงเทพฯ ที่ถูกนิมนต์มาใน
งานศพบ้าง พิธีอื่น ๆ บ้าง ขอร้องไม่ให้นิมนต์มาเพราะจะมา
ขายหน้าลูกศิษย์เปล่า ๆ ก็ไม่ฟัง ไปนิมนต์มาจนได้ สุดท้ายก็
ขายหน้าจริง ๆ ด้วย แต่ก็ไม่ยอมเข็ดกัน ยังขยันไปนิมนต์อยู่เสมอ
เรื่องเช่นนี้แม้คณะลูกศิษย์พอจะทนอายแทนได้ แต่อาจารย์เองก็
ทนอายไม่ไหวจึงไม่อยากมา คิดดูก็เหมือนจับลิงป่าโยนเข้าในสังคม
มนุษย์เราดี ๆ นี่เอง จะสวยงามน่าดูที่ตรงไหน มีแต่จะน่าอาย
ทั้งสองฝ่ายนั่นเอง ขนาดโดนเอา ๆ ยังไม่จำ จึงโดนบ่อยกระทั่ง
ทุกวันนี้ งานไหนงานนั้นเป็นไม่พ้นไปได้ เมื่อคิดถึงหมู่เพื่อนและ
ครูอาจารย์ทั้งหลายที่อาจถูกนิมนต์มาในพิธีต่าง ๆ ในเมืองหรือใน
กรุงจึงอดจะอายไว้ก่อนแต่เนิ่น ๆ ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าพระกรรมฐานสายนี้ถูกนิมนต์แล้ว
ต้องเป็นทำนองดังกล่าวแน่นอน เพราะทราบเรื่องของกันและกันได้
ดีว่าคร่ำครึจริงๆ เนื่องจากไม่ได้สำเหนียกศึกษาทางนี้มาก่อน พอ
ถูกนิมนต์ทีไรจึงต้องโดนเอาๆ แทบทุกงานและทุกองค์ไม่ว่าแก่หรือ
อ่อนพรรษา บางทีเสร็จงานแล้วออกมา ลูกศิษย์ฝ่ายฆราวาสสงสาร
ยังตามมากระซิบบอกว่า ท่านทำไมทำอย่างนั้น น่าอายจริง ๆ แต่
ท่านเองยังไม่ทราบว่าทำผิดอะไรเสียอีก จนเขาต้องกระซิบบอกว่า
ให้ทำอย่างนั้น ๆ อย่าทำอย่างนั้นต่อไปมันผิด เดี๋ยวเขาจะขโมย




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2012, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ใดก็ตามที่่สามารถปฏิบัติ หรือฝึกตนในทางศาสนาใดใดก็ตาม หากบุคคลนั้นๆ สามารถบรรลุธรรม หรือสามารถเข้าใจในหลักศาสนาใดใดเหล่านั้นได้จริงแท้จริงแล้ว บุคคลผู้นั้น ย่อมสามารถขจัดคลื่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ออกจากร่างกายได้ และขณะขจัดคลื่นความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะมีแสงสีเปล่งออกมาจากร่างกาย เป็นแสงสีแตกต่างกันไป ตามคลื่นที่ขจัดออกมา
ที่ข้าพเจ้ากล่าวไปข้างต้นนั้น ข้าพเจ้า หมายความถึง ศาสนาทุกศาสนา สามารถขจัดอาสวะหรือขจัด คลื่นความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้เหมือนกัน ทุกศาสนา แต่วิธีการ และหลักการอาจแตกต่างกันไปตามหลักการของศาสนานั้นๆ
ส่วนการวัดที่การพูด หรือการเสวนาธรรมนั้น ไม่สามารถจะวัดได้อย่างแท้จริงเพราะมนุษย์ สามารถเสแสร้งแกล้งทำ หรือแสดง ให้ได้รู้ ให้ได้ยิน ตามความรู้ที่มีอยู่ แต่เขาผู้นั้น อาจจะไม่สามารถบรรลุธรรมได้เลย เป็นเพียงแค่รู้ตามตำราแต่มิได้คิดพิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจ หรือเพื่อให้เกิดความรู้อย่างถ่องแท้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2012, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นชื่อห้องว่า"เรื่องราว" เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรคะ ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ เพราะไม่รู้ว่าเรื่องราวอะไรเลยไม่อยากอ่านน่ะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2012, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


หญิงไทย เขียน:
เห็นชื่อห้องว่า"เรื่องราว" เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรคะ ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ เพราะไม่รู้ว่าเรื่องราวอะไรเลยไม่อยากอ่านน่ะคะ


โอ้ โอ่... เจ้าหล่อนไม่ตอบคุณละมั้ง เพราะข้าพเจ้าไม่เคยเห็น เจ้าหล่อนตอบกระทู้ของใครเลย ไม่เคยเห็นตอบโต้เสวนากับใครเลย เพราะเจ้าหล่อนมีความหลังที่ฝังใจ จึงได้ไหลหลงในสิ่งที่ตัวเจ้าหล่อนคิดว่าทำให้สบายใจ เป็นสุข ขอรับ รับรองว่า การทำนายของข้าพเจ้าไม่มีผิดเพื้ยนอย่างแน่นอน ขอรับ......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2012, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


รสมน เขียน:

ท่านผู้บรรลุธรรมแล้ว ผู้อื่นจะทราบได้หรือไม่โดยทางใดนั้น
ย่อมทราบได้โดยทางเหตุผลของการโต้ตอบสนทนาระหว่างผู้ปฏิบัติ
ด้วยกันและรู้ด้วยกัน หนึ่ง

ทราบได้จากการบรรยายธรรมในภาคปฏิบัติทางจิตตภาวนา หนึ่ง

ทราบได้จากการอธิบายธรรมให้ผู้มา
ศึกษาจิตตภาวนาที่กำลังติดขัดอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งตามภูมิของตน
จนเข้าใจหายสงสัยในจุดนั้นๆ หนึ่ง

เช่น ผู้ปฏิบัติกำลังติดขัดอยู่ใน
อวิชชาว่า ขณะจิตจะหลุดพ้นจากอวิชชาจริง ๆ นั้น จิตปฏิบัติต่อ
อวิชชาอย่างไรจึงหลุดพ้นไปได้ ผู้ที่หลุดพ้นอวิชชาไปแล้วย่อมตอบ
ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แม้ผู้กำลังจะก้าวจากภูมิอวิชชาอยู่แล้ว
ก็เข้าใจความหมายไปโดยลำดับ หรืออาจเข้าใจและก้าวล่วงไปตาม
อุบายที่ท่านให้นัยในขณะนั้นก็ได้ แต่ถ้าจิตยังไม่หลุดพ้นจะอธิบาย
ไม่ถูกกับจุดของอวิชชาอย่างแท้จริงเลยแม้เรียนอวิชชามาจนช่ำชอง
เพราะอวิชชาในความจำกับอวิชชาแท้ไม่เหมือนกัน หรือไม่ใช่
อันเดียวกัน


:b8: :b8: :b8:

คนจริง...พูดถูก
คนไม่จริง...ก็พูดไปแล้ว...ท่วมทุ่ง
:b8:

แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า...คนจริงพูดถูกนี้...เป็นพระอาจารย์ท่านใด?

เดาได้...แต่ไม่อยากจะเดา :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2012, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


หัวเราะเอา วันนี้ผมก็หน้าชาไปบ้างเหมือนกันพอเห็นท่านทำ... ซึ่ง
พระที่นี่ท่านมิได้ทำกันดังนี้ พอไปทีหลัง ก็โดนอย่างใดอย่างหนึ่ง
เข้าอีกแล้ว ยิ่งกว่าเด็กเสียอีก ไม่รู้จักจดจำบ้างเลย เรื่องเป็นอย่างนี้
แลพระกรรมฐานสายนี้ที่ถูกนิมนต์เข้ามาในงานพิธีต่าง ๆ
แต่ทางวินัยอันเป็นระเบียบขนบธรรมเนียมของพระนั้น
ท่านรู้สึกปฏิบัติถูกต้องแม่นยำดี ไม่ค่อยผิดพลาดเหมือนพิธีการ
ต่าง ๆ อันเป็นขนบธรรมเนียมที่โลกนิยมกัน ที่น่าชมท่าน
ก็คือ ท่านไม่ถือเป็นอารมณ์ข้องใจ บางทีก็พวกเดียวกันใส่ปัญหา
หยอกเล่นกันเสียเอง เวลามองไปเห็นองค์หนึ่งกำลังจับพัดหันรี
หันขวาง จับข้างในของพัดออกข้างนอก และจับข้างนอกเข้าข้างใน
ตัวเอง แล้วหลับตาให้ศีลเขาอยู่อย่างสบายวางเฉยอุเบกขา องค์ผู้
มองเห็นเองอดขำไม่ได้โดยสุดวิสัยที่จะเตือนท่าน เพราะอยู่ห่างไกล
กัน ต้องทนอายและนั่งเฉยไปจนเสร็จพิธี
เวลากลับออกมาจึงพูดหยอกเล่นกันว่า แหม วันนี้ทำเสีย
เต็มยศเทียวนะ ผู้ทนดูแทบใจขาดตาย ส่วนท่านองค์นั้นไม่ทราบจึง
ถามว่า เต็มยศอะไรกัน ก็ท่านจับพัดหันหลังพัดออกสู่แขก หันหน้า
พัดเข้าสู่ตัวแล้วหลับตาให้ศีลเฉยอยู่ได้ จะไม่ให้ว่าเต็มยศก็รู้สึกจะ
ใจดำน้ำขุ่นเกินไป ก็จำต้องชมเชยกันบ้างเพื่อสมศักดิ์ศรีกรรมฐาน
ไงล่ะ ท่านองค์นั้นงงและยิ้มเล็กน้อย แล้วถามว่าอย่างนั้นจริง ๆ
หรือ ก็ไม่ได้สนใจนี่นา นึกว่าพัดแล้วก็จับยกขึ้นว่าไปเลย มิได้
สะดุดใจคิดว่าด้านหน้าด้านหลังเป็นด้านไหนอะไรกันนี่
นี่แลเรื่องกรรมฐานมักจะขายหน้าอยู่ทุกแห่งทุกหนในงาน
พิธีต่าง ๆ จะว่าขายกันก็ยอมรับ เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น แม้
ผู้เขียนก็เคยเป็นมาเสียยิ่งกว่าเคย เนื่องจากการสำเหนียกศึกษาหนักไปคนละทาง ส่วนทางระเบียบวินัยแล้วท่านรู้สึกองอาจ
ไม่ค่อยสะทกสะท้านหวั่นไหวในสังคมทั่วไป เพราะท่านศึกษา
และปฏิบัติอยู่เป็นประจำอิริยาบถ ส่วนขนบธรรมเนียมหรือ
พิธีการต่าง ๆ นั้น นาน ๆ ถึงจะมีครั้งหนึ่ง และไม่อยู่ในข่ายแห่ง
ความสนใจนัก จึงมีการเคลื่อนคลาดบาดตาอยู่เสมอ สำหรับผู้เขียน
เคยโดนมาจนน่าอับอายและเข็ดหลาบ แต่ก็ยังไม่วายที่จะโดนอยู่
เรื่อยมาจนบัดนี้
พูดมาถึงนี้ ก็ควรจะได้อ่านเรื่องกรรมฐานเสียบ้าง พอทราบ
ความเป็นไปของป่าและบ้านว่าต่างกันอย่างไรบ้าง คือ ราว พ.ศ.
๒๔๗๖-๒๔๗๗ มีพระกรรมฐานองค์หนึ่งนับแต่บวชมาท่าน
ไม่เคยเข้าอยู่ในเมือง ชอบบำเพ็ญอยู่แต่ในป่าเรื่อยมา ท่านมิได้
เรียนและสอบเหมือนพระทั้งหลาย เรียนเฉพาะกรรมฐาน ๕ และ
อาการ ๓๒ กับอาจารย์แล้วก็เข้าบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่ากับอาจารย์
และหมู่คณะ โดยมุ่งมั่นทางสมาธิภาวนาเป็นที่ตั้ง เพราะอายุ
ก็ร่วมเข้า ๔๐ ปีแล้ว กลัวสังขารจะไม่อำนวยไปนานอาจตาย
เสียก่อน วันหนึ่งเพื่อนนักปฏิบัติด้วยกันมาพูดคุยเรื่องพระ
กรรมฐานทางโคราชให้ฟังว่า เวลานี้มีพระกรรมฐานมากผิดปกติ
สถานที่บำเพ็ญก็มีเยอะ ตามป่าและภูเขาแถบทิศใต้และตะวันตก
ของโคราช เช่น เขาพริก เขาใหญ่ เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นที่สงัดวิเวก
และสะดวกแก่การสมาธิภาวนามาก
พอเพื่อนเล่าให้ฟังท่านเลยคิดอยากไป จึงตกลงใจไปกับท่าน
องค์นั้น โดยเธอเองเป็นผู้นำทางจนถึงจุดที่หมาย พอไปถึงโคราช
ก็เข้าพักที่วัดป่าสาลวัน ซึ่งสมัยนั้นวัดป่าสาลวันเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ๆ
มีท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเจ้าอาวาส ตอนเช้าท่านก็ออกบิณฑบาตสายในเมืองกับพระที่นั่น เผอิญวันนั้นศรัทธา
ญาติโยมห่อเม็ดอะไรใส่บาตร ซึ่งท่านเองก็ไม่เคยพบเคยเห็น
มาก่อนนับแต่วันเกิดมา เพราะกำเนิดภูมิลำเนาเดิมท่านเป็น
คนบ้านนอกทางภาคอีสานอยู่แล้ว จึงยากที่จะได้พบเห็นสิ่งดังกล่าว
นั้น นับแต่ขณะที่เขาเอาห่อเม็ดอะไรนั้นใส่บาตรท่านแล้ว ทำให้
เกิดความสงสัยข้องใจอยู่ไม่วาย
เพราะขณะที่เปิดฝาบาตรออกรับบาตรทีไร จะปรากฏกลิ่น
อะไรพิกลฉุน ๆ จมูกอยู่เสมอ แต่ไม่กล้าปริปากพูดให้ใครฟัง ทำให้
นึกสงสัยไปถึงความไม่ดีไม่งามต่าง ๆ ของศรัทธาญาติโยมว่า จะ
ทำได้ลงคอละหรือ เราเป็นพระซึ่งปราศจากความอิจฉาเบียดเบียน
ใคร ๆ ตลอดสัตว์ทั่วไปหมดแล้ว ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรเพื่อมรรคผล
นิพพานอย่างเดียว ไม่น่าจะมาทำพระอย่างเราได้ลงคอ ชะรอยจะ
มีพระบางองค์ที่ประพฤติตัวไม่ดีทำตัวให้เป็นที่รังเกียจของประชาชน
ก็ได้ เขาจึงเกลียดชังและทำได้อย่างนี้ เดินบิณฑบาตก็ครุ่นคิดไป
กลิ่นฉุน ๆ นั้นก็เตะจมูกเรื่อยไป ขณะเปิดฝาบาตรเพื่อรับไทยทาน
ศรัทธาทุกระยะไป พยายามอดใจไว้ไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้
ใครทราบ เพราะตนก็เพิ่งมาอยู่ใหม่ๆ และมาเจอเอาเรื่องอย่างนี้
เข้าด้วยจึงควรอดทน
พอพ้นหมู่บ้านออกมาแล้วทนไม่ไหว จึงเปิดฝาบาตรออก
ค้นหาดูห่อสำคัญที่เกิดเรื่องกันมาตลอดทาง ก็ไปเจอเอาห่อเม็ด
ทุเรียนที่เขาแกะห่อใส่บาตรด้วยศรัทธาเข้า จึงอุทานขึ้นมาทันทีว่า
โธ่ พ่อคุณ เรานึกว่า...ตัวส่งกลิ่นฟุ้งที่เขาห่อใส่บาตรดัดสันดานพระ
เรานึกโมโหทั้งน้อยใจและเสียใจมาตลอดทาง ที่ไหนได้มันเป็นเม็ด
ขนุนเน่าได้สามปีกับสี่เดือนนี้เองหรือ ทำเอาเราจนใจ ไม่เป็นใจพระกลายเป็นใจอะไรไป แทบไม่ได้สติประคองตัวเสียนาน พร้อมกับ
โยนเม็ดขนุนเน่าห่อนั้น (เม็ดทุเรียนนั่นเอง) ลงในคลองข้างทางตูม
แล้วก็ไปอย่างสบายหายห่วง และหายสงสัยในปัญหาทั้งมวล เพียง
แต่วิพากษ์วิจารณ์ผลไม้ไปต่าง ๆ ตามความรู้สึกว่า ขนุนเน่าเมืองนี้
กับขนุนเน่าเมืองเราต่างกันมาก ขนุนเน่าเมืองเราแม้จะเน่าขนาด
เปื่อยเละเพียงไร ก็มิได้ส่งกลิ่นฉุนมากมายแทบทนไม่ไหวเหมือน
ขนุนเมืองนี้ ผู้ใส่บาตรแม้ไม่มีเจตนาร้ายต่อพระ คงขาดความสังเกต
พิจารณาและเอาใจใส่อยู่บ้าง จึงหาญเอาเม็ดขนุนเน่าจนใช้ไม่ได้มา
ใส่บาตรพระให้ทนดมมาตลอดทาง
เรื่องเม็ดขนุนเน่านี้ท่านคงเป็นอารมณ์ให้คิดมากพอดู จึง
ทำให้ระบายให้พระที่ไปด้วยกันฟังในตอนบ่าย โดยตั้งปัญหาขึ้นว่า
ทำไมจังหวัดนี้กับจังหวัดโน้นซึ่งเป็นภาคอีสานอันเดียวกัน ดินฟ้า
อากาศจึงแตกต่างกันมากมาย ถึงกับผลไม้ชนิดเดียวกันต้องมีกลิ่น
ต่างกันมาก พระองค์นั้นจึงถามขึ้นบ้างว่า อะไรต่างกันและต่างกัน
อย่างไร ท่านตอบ ก็ขนุนเมืองเราแม้เน่าจนเละฉันไม่ได้ ยังมิได้
ส่งกลิ่นอะไรเลย ส่วนขนุนเมืองนี้ดูก็ไม่เห็นสุกจนเละ แต่ทำไมจึงส่ง
กลิ่นฉุนนักหนาจนแทบทนไม่ไหว ขนุนที่ไหนเป็นอย่างนั้น ผมยัง
ไม่เคยเห็นเลย ก็ขนุนที่เขาใส่บาตรมาเมื่อเช้านี้ไงล่ะท่าน จะให้
ส่งกลิ่นขนาดไหนจนผมทนเอามาวัดไม่ไหว ต้องโยนทิ้งลงคลอง
ข้างทาง ขนุนนี้เขาไม่ได้ใส่บาตรท่านบ้างหรือ เพราะท่านเดินออก
หน้าผมน่าจะได้นี่
ที่เขาใส่เมื่อเช้านี้หรือ นั่นมันมิใช่ขนุนท่าน โอตายจริง
ท่านนี่น่าจะยังไม่เคยเห็นทุเรียนเสียแล้วกระมังนี่ นั่นหรือที่ท่านเอา
โยนลงคลองน่ะ ใช่ เพราะเหลือจะทน ใครจะสะพายไปทำไมองค์นั้นออกอุทาน ต๊ายตายท่านนี่แย่จริง ท่านไม่รู้จักทุเรียนหรือ
ที่เขาใส่บาตรเมื่อเช้านี้คือทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีค่าสูงสุดใน
เมืองไทย คนไม่มีสตางค์ไม่มีวาสนาร้องไห้อยากกินก็ไม่ได้กิน ตาย
ทิ้งเปล่า ๆ นั่นแล นี่เขาอุตส่าห์ใส่บาตรมาด้วยศรัทธาจริง ๆ
ทำไมท่านโยนทิ้งเสีย น่าจะถามผู้อื่นบ้างสักคำก่อนจะโยนของดีทิ้ง
ทั้งที แล้วกัน ท่านไม่เคยเห็นทุเรียนมาก่อนบ้างหรืออย่างไร
เปล่าเพิ่งจะมาเจอเอาเมื่อเช้านี้เอง แทบเป็นลมทนไม่ไหว
ใครจะว่าดีวิเศษขนาดไหนก็ตาม จมูกเรามีไม่ยอมให้ใครมาโกหกได้
ก็เช้านี้ผมทราบด้วยจมูกผมเองขนาดทนไม่ไหวถึงได้โยนทิ้ง แล้ว
ยังจะมาเสกสรรว่าเป็นของดิบดีวิเศษอะไรกันอีก เพราะจมูกคน
กับจมูกสุนัขมันต่างกันนี่ท่าน จมูกสุนัขมันว่าไปอย่างหนึ่ง แต่คน
ฉลาดกว่าสุนัข จะขืนเอาความรู้ของสุนัขมาลบล้างความรู้คน ผม
ไม่เห็นและลงใจด้วย เม็ดพรรค์นี้มันตั้ง...จริง ๆ ไม่ว่าแต่มันจะ
ราคาแพง ๆ เลย ให้เปล่า ๆ ผมยังไม่ยอมรับ ไม่งั้นจะโยนทิ้ง
ทำไม ก็เพราะมันทนไม่ไหวนั่นเอง จึงต้องหาทางออกด้วยวิธีนั้น
ท่านองค์นั้นมีแต่ยิ้มขัน ๆ แล้วพูดว่า ท่านนี่น่าจะเกิดไม่หมดชาติ
เสียแล้ว เห็นของดีมีค่าก็ไม่ทราบว่าเป็นของดี ยังหาว่าเป็นของเก๊
ไปได้ ผมก็หมดปัญญาจะอธิบายอะไรให้ท่านฟังอีกแล้ว ท่าน
ขนุนเน่าเป็นเพียงยิ้ม แต่พูดอย่างหนักแน่น ไม่สนใจกับคำพูด
ยกย่องชมเชยทุเรียนขององค์นั้นเลย
เท่าที่เล่ามานี้ ท่านผู้อ่านพอจะทราบได้กระมังว่า กรรม
ฐานป่าแท้ ๆ ท่านยอมฟังเสียงใครเอาง่าย ๆ เมื่อไร นอกจาก
ไม่ฟังแล้ว ท่านยังโต้แย้งยืนยันอย่างหนักหน่วงอีกด้วย ดังท่าน
ขนุนเน่าเป็นตัวอย่าง ดังนั้นคนป่าพระป่ากับคนบ้านพระในเมืองจึงรู้สึกต่างกันอยู่มาก เพียงเจอทุเรียนก็เข้าใจว่าขนุนเน่าถึงกับโยนลง
คลอง ถ้าเป็นผู้ใช้ความสังเกตพิจารณาบ้างสมกับตำหนิเขาว่า
ขาดความสังเกตและความเอาใจใส่ ตัวเองควรอุตส่าห์สะพายบาตร
ที่ปิดฝาดีแล้วไปถึงวัด เพื่อถามผู้อื่นดูก่อนจะโยนทิ้ง อันเป็น
ลักษณะของความขาดปัญญา
ความจริงก็น่าเห็นใจเพราะไม่เคยเห็นทุเรียนเนื่องจากอยู่
ในป่า การคมนาคมสมัยโน้นผิดกับสมัยนี้อยู่มาก จึงไม่มีทางได้เห็น
สิ่งแปลก ๆ เหมือนทุกวันนี้ นี่แลพระป่าเข้ามาในงานนิมนต์ใน
เมืองหรือในกรุง ต้องเป็นลักษณะพระป่ามาเจอขนุนเน่าเข้าจนได้
แต่ท่านที่เป็นกรรมฐานประเภทคล่องแคล่วทันสมัยเสียจนเข็ดฟัน ก็
อาจมีสับปนกันไปเหมือนดีกับชั่วนั่นแล ความคร่ำครึเกินไปก็ดี
ความคล่องแคล่วทันสมัยเกินไปก็ดี คงตกอยู่ในความไม่เหมาะสม
น่าดูเช่นกัน เพราะผิดกับหลักมัชฌิมาแห่งธรรมที่เป็นความพอดี
เหมาะสมโดยแท้ แต่คร่ำครึแบบนี้ก็น่าสงสาร
การสนทนาธรรมของพระกรรมฐาน
เท่าที่เป็นมา การสนทนาธรรมของพระกรรมฐานเป็นที่น่า
เลื่อมใส และให้คติแก่ผู้ฟัง สมดังมงคลสูตรบทว่า “กาเลน ธมฺม
สากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมตามกาลเป็นมงคล
อันสูงสุด” เพราะเป็นกิริยาที่แสดงออกแต่ละฝ่ายอย่างน่าชม
เนื่องจากเป็นความมุ่งอรรถมุ่งธรรม เพื่อประโยชน์จากการศึกษา
ไต่ถามกันทั้งสองฝ่าย โดยไม่นิยมว่าแก่หรืออ่อนพรรษา ข้อนี้
ผู้เขียนขอชมธรรมสากัจฉาท่านว่า เป็นไปตามทางของปราชญ์ที่
น่าเลื่อมใสจริง มิได้เป็นไปแบบ...ซึ่งเห็นแล้วเอือมระอาและยิ่งนับวันมีมากดาษดื่น จนบางท่านให้นามสภาประเภทนี้ว่า “สภา
น้ำลายไหลนอง ถ้าเป็นสภาธรรมตามหลักธรรมสากัจฉา ก็ควรจะมี
ยุติกันด้วยเหตุผลและการยอมรับ”
การกล่าวนี้โดยทราบว่าชาวพุทธเราต่างมีกิเลสด้วยกัน แต่
เป็นผู้มุ่งต่ออรรถธรรมด้วยกัน จึงเมื่อทราบดีชั่วประการใดก็นำมาลง
จากการติชมของผู้อื่น ลำพังเราติชมตัวเองคงไม่สามารถยังกิเลส
ความเห็นแก่ตัวให้ไหวตัวได้บ้างเลย จำต้องอาศัยผู้อื่นช่วยอยู่โดยดี
หากเป็นผู้มุ่งชำระสิ่งไม่ดีในตัวจริงแล้ว คำติกับคำชมเชยน่าจะ
ถือเอาประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เรื่องผิดถูกดีชั่วของ
พระกรรมฐาน ผู้เขียนจึงกล้านำมาลง เพราะหวังประโยชน์จาก
สิ่งทั้งสองนั้น มิได้ตำหนิเพื่อเหยียบย่ำทำลายแต่อย่างใด การ
สนทนาธรรมของพระกรรมฐานท่าน ที่น่าชมเชยก็เพราะท่าน
มุ่งเพื่อยึดคติจากธรรมของกันและกันจริง ๆ ไม่มีทิฐิมานะเข้าแฝง
เลย แม้ต่างคนต่างยังมีกิเลสด้วยกัน
การสนทนาธรรมนั้น ท่านสนทนาตามภูมิจิตภูมิธรรมที่
ปรากฏขึ้นจากจิตตภาวนาซึ่งตนบำเพ็ญมา เริ่มแต่ขณิกสมาธิ
อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ตามขั้นที่บำเพ็ญ และสงสัยก็ศึกษา
ไต่ถามกันเป็นระยะไป ท่านที่เข้าใจก็อธิบายให้ฟังตามลำดับ
แห่งความสงสัยจนอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ และปัญญาเป็นขั้น ๆ
เช่นเดียวกับสมาธิ ผู้สงสัยในปัญญาขั้นใดเกี่ยวกับสิ่งที่กำลัง
พิจารณายังผ่านไปไม่ได้ ท่านที่เข้าใจหรือผ่านไปแล้วก็อธิบายให้ฟัง
เป็นตอน ๆ ไปตามที่สงสัย จนเป็นที่เข้าใจเหมือนภูมิอื่น ๆ ที่
ผ่านมา การสนทนาธรรมระหว่างกันและกันของพระกรรมฐาน รู้สึก
รื่นเริงไปตามธรรมขั้นนั้น ๆ เพราะผู้ถามก็ถอดออกจากใจที่ปฏิบัติรู้เห็นมาอย่างไรบ้าง ผู้อธิบายก็ถอดถอนจากใจที่ปฏิบัติรู้เห็นมา
เช่นเดียวกัน ต่างได้พยานหลักฐานความจริงจากการปฏิบัติด้วยกัน
และเป็นคติต่อเติมกันไปไม่มีสิ้นสุด
วันหนึ่งท่านองค์หนึ่งมาสนทนาเรื่องหนึ่ง อีกวันหรือเวลา
หนึ่งท่านองค์หนึ่งมาสนทนาอีกเรื่องหนึ่ง สับเปลี่ยนถ่ายทอดกัน
ไปเรื่อย ๆ เพราะต่างองค์ต่างปฏิบัติ ต่างองค์ต่างรู้ในลักษณะ
ต่าง ๆ กันทั้งภายนอกภายใน การสนทนาธรรมที่เกิดจากความรู้
ภายในใจ แม้ผู้มาเล่าและเรียนถามปัญหาจะมีพรรษาอ่อนกว่ากัน
อยู่มาก แต่การเล่าและการไต่ถามนั้น แฝงอยู่ด้วยความอาจหาญ
มั่นใจในความรู้และปัญหาของตน ไม่พรั่นพรึงหวั่นไหวหรือประหม่า
กลัวท่านจะซักหรือทักท้วงแต่อย่างใด พูดไปและถามไปตาม
ความรู้สึกของตน และยอมรับกันโดยทางเหตุผลของแต่ละฝ่าย ถ้า
ตอนใดเหตุผลยังลงกันไม่ได้ ก็ซักซ้อมกันอยู่ในจุดนั้น จนเป็นที่
เข้าใจแล้วค่อยผ่านไป โดยไม่มีฝ่ายใดสงวนศักดิ์ศรีดีชั่วของตน
อันเป็นลักษณะโลกแฝงธรรม ให้นอกเหนือจากความหวังเข้าใจ
ต่อกัน ผิดหรือถูกประการใด ผู้เล่าหรือไต่ถามจะดำเนินไปตาม
ความถนัดใจที่รู้เห็นมา โดยไม่คิดว่ากลัวจะผิด ผู้ฟังก็ตั้งใจฟังไปตาม
จุดที่ผู้นั้นถามและเล่าให้ฟังด้วยความสนใจ และไม่สนใจกับอะไร
ยิ่งไปกว่าปัญหาธรรมที่กำลังเป็นไปอยู่เฉพาะหน้า
ไม่ว่าท่านผู้ใดสนทนาและฟัง ต่างมีความสนใจเอื้อเฟื้อ
ต่อธรรมของกันโดยสม่ำเสมอ แต่ต้นจนอวสานแห่งปัญหาธรรม
ไม่แสดงความอิดหนาระอาใจ ไม่แสดงความดูถูกเหยียดหยามด้วย
ภูมิจิตภูมิธรรมของกันและกัน ต่างสนทนากันด้วยความบริสุทธิ์ใจ
หวังความรู้และความอนุเคราะห์จากกันจริง ๆ เมื่อผู้เล่าและเรียนถามถูกคัดค้านจากผู้รับฟังในเรื่องใดตอนใด เรื่องนั้นตอนนั้น
ต้องกลายเป็นปัญหาการบ้านของเจ้าของปัญหาทันที ที่จะนำไป
ขบคิดเพื่อแก้ไขดัดแปลงต่อไปจนเป็นที่แน่ใจ จนกว่าปัญหานั้นเป็น
ที่สนิทใจไม่ขัดแย้งจากอาจารย์ผู้ให้อุบาย และตนก็เข้าใจตามนั้น
จึงจะปล่อยให้ผ่านไป
ตามธรรมดาผู้ถูกคัดค้านแทนที่จะเสียใจ แต่กลับเพิ่ม
ความสนใจยิ่งขึ้นในปัญหาที่ถูกคัดค้านนั้น ๆ ดังนั้นการสนทนา
ธรรมระหว่างผู้ปฏิบัติด้วยกันในลักษณะนี้ จึงน่าจะเกิดมงคลได้ตาม
หลักธรรมว่า การสนทนาธรรมตามกาลย่อมเป็นมงคลอันสูงสุด
การสนทนาที่เป็นข้าศึกหรือทำลายธรรมบทว่า กาเลน ธมฺมสา
กจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ นั้น น่าจะได้แก่การสนทนาที่ทำให้เกิด
กิเลส หรือสนทนาอวดกิเลสกันมากกว่ามุ่งประโยชน์ในธรรม แต่นี้
กล่าวตามความด้นเดาของวิสัยป่าไปอย่างนั้นเอง กรุณาอย่าได้ถือ
เป็นหลักเกณฑ์นัก เพราะคำว่าป่าหรือเถื่อนก็เป็นคำประกาศตัว
อยู่แล้วว่า เป็นสภาพเช่นนั้นอยู่ในตัวเอง
อะไรจะเกิดประโยชน์โดยธรรมแก่ตนด้วยวิธีใด ควร
พยายามตักตวงวิธีนั้นให้เต็มกำลังความเพียรของตน แม้วิธีนั้นจะ
อยู่ในท่ามกลางแห่งความตำหนิของใคร ที่มีกิเลสประเภทชอบติ
เพื่อยกตนหรือทำลายมากกว่าความเป็นธรรม ก็ไม่สามารถลบล้าง
วิธีนั้นได้ หากสามารถลบล้างได้ พระพุทธเจ้าซึ่งทรงบำเพ็ญอยู่ใน
ท่ามกลางเจ้าทิฐิทั้งหลายที่ควรเรียกได้ว่าคลังกิเลส คงไม่เล็ดลอดมา
เป็นศาสดาของพวกเราชาวพุทธของพระองค์ได้ มีความจริงเท่านั้น
ชนะสิ่งจอมปลอมทั้งหลายได้ คือชนะตนได้ก็เพราะความจริง
ชนะโลกได้ก็เพราะความจริง หนีความจริงไปไม่พ้น ผู้มั่นในศาสนาพุทธ จึงควรมั่นในความจริงซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา
ดังนั้นการสนทนาธรรมและปฏิบัติธรรมจะเป็นวิธีใดก็ตาม
ถ้าทำลงไปกิเลสกลัวและหลุดลอยออกจากใจได้ การทำนั้นก็เป็น
มงคลแก่ตน แม้กิเลสจะไม่เห็นเป็นมงคลด้วยก็ไม่เป็นปัญหา แต่
โดยมากพวกเรามักทำตัวให้เป็นมงคลแก่กิเลสมากกว่าเป็นมงคล
แก่ตัว จึงควรจะระวังมงคลชนิดนี้ ถ้าขืนให้เป็นมาก ๆ อาจจมไป
ทั้งที่เข้าใจว่าตัวเจริญ ดังแบบเที่ยวคดโกง จี้ ปล้น รีดไถสมบัติ
ของคนอื่นมาเป็นสมบัติและมงคลแก่ตน โดยเข้าใจว่าตัวฉลาดมี
บุญมาก มีอำนาจวาสนามาก รวยเงินกองเท่าภูเขา บัญชีเงินฝาก
ธนาคารอ่านทั้งวันไม่จบ แต่ความจริงก็คือมงคลชั่วลมหายใจ มงคล
ดินเหนียวติดศีรษะที่จะพาให้จมย่อยยับ โดยไม่มีท่านผู้รู้ใดสงสัยกัน
ว่านั่นคือมงคลอะไรกันแน่
ความจริงการวินิจฉัยมงคล ท่านสอนให้วินิจฉัยความ
เคลื่อนไหวเพื่อการกระทำของตน ว่าเป็นไปในทางใดในวันเวลา
หนึ่ง ๆ ความเคลื่อนไหวนั้น ๆ จะเป็นขึ้นที่กายวาจาใจของเรา
แต่ละราย ความเป็นมงคลหรืออัปมงคลซึ่งเป็นส่วนผล จะตามมา
กับความเคลื่อนไหวนั้น ๆ อย่างแยกไม่ออก ที่ผ่านมากล่าว
ความเป็นมงคลของการสนทนาธรรมที่ถูกกับสุขลักษณะทางใจ
นับว่าเป็นที่น่ายินดีในวงปฏิบัติที่ท่านสนทนาธรรมตามเยี่ยงอย่าง
ของธรรมสากัจฉา ซึ่งเป็นผลยังกันและกันให้รื่นเริงตามธรรมกถา
เครื่องบรรเทาและกำจัดกิเลสภายในโดยลำดับ
เวลาสบโอกาสที่ต่างท่านต่างลงมาจากภูเขาและจากป่า
อันเป็นที่ให้ความสุขความสำราญทางใจมารวมกันในบางกาล เวลา
นั้นเป็นโอกาสอันดีที่ท่านต้องสนทนาปกิณกธรรมต่อกันด้วย




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและเมื่อวานนี้ได้ก่อเจดีย์ทรายถวายพระรัตนตรัยและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน ก่อเจดีย์ทรายถวายพระรัตนตรัย
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2012, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ความหิวกระหาย เพราะนาน ๆ จะมีสักครั้ง ขั้นเริ่มแรกโดยมาก
ก็เป็นปัญหาของพระที่อ่อนพรรษาเริ่มต้นก่อน โดยพระอาวุโส
เริ่มอารัมภบทกำหนดรายองค์เป็นผู้ริเริ่มปัญหาก่อนด้วยภาคปฏิบัติ
คือ จิตตภาวนาตามที่รู้เห็นมา พอองค์นั้นเล่าจบ บางทีพระอาวุโส
ก็ซักและแทรกธรรมลงในระหว่างบ้าง เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องและ
ส่งเสริมธรรมที่ท่านองค์นั้นกล่าวถูกต้องแล้วให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
องค์นอกนั้นเมื่อยังไม่ถึงเวลาของตนก็นั่งฟังในท่าสงบ เพื่อฟังอุบาย
ต่าง ๆ จากการสนทนากันระหว่างองค์แรกกับท่านที่คอยให้นัย
ตอนที่ท่านสนทนากันนี้เป็นที่ประหลาดและอัศจรรย์อย่าง
ไม่คาดฝันว่า ธรรมที่ต่างคนต่างปฏิบัติ ต่างคนต่างรู้เห็นอยู่คนละ
ทิศทาง แต่เวลามาพูดขึ้นกลับเป็นธรรมกลมกลืนกันได้กับที่ตนรู้เห็น
มาในบางแขนง ราวกับว่าใจดวงเดียวกัน ธรรมแท่งเดียวกัน ทั้งที่
ธรรมก็มีหลายแขนง ใจก็มีหลายดวง เพราะต่างคนต่างมี ไม่น่าจะ
มาตรงกันอย่างเหมาะสมเช่นนั้นได้ พูดเรื่องภูตผีก็ดี เรื่องเทพก็ดี
เรื่องสัจธรรมบางแขนงก็ดี เรื่องอุบายปัญญาบางแขนงก็ดี หรือเรื่อง
กิเลสชนิดต่าง ๆ ก็ดี ท่านเข้าใจกันได้ราวกับได้เห็นในขณะเดียวกัน
ฉะนั้นผู้นั่งฟังก็ดี ผู้เล่า ผู้ถามก็ดี ผู้รับฟังเพื่อวินิจฉัยก็ดี ย่อมมี
ส่วนได้รับประโยชน์จากปัญหานั้นเช่นเดียวกับท่านชี้แจงให้ตนฟัง
โดยเฉพาะ นอกจากความสามารถอันเป็นเรื่องของแต่ละรายไป
เท่านั้นที่ยิ่งหย่อนต่างกัน จึงอาจเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
เวลาฟังคำชี้แจงเฉพาะปัญหาที่ยกขึ้นนั้น สามารถอำนวย
ประโยชน์แก่ผู้ฟังได้โดยทั่วถึง เพราะอยู่ในฐานะที่ควรได้รับเสมอกัน
ดังในตำราว่าพระพุทธเจ้าทรงกำลังแก้ปัญหาธรรมแก่ผู้ใดผู้หนึ่งอยู่
ขณะนั้นยังมีผู้ได้รับประโยชน์จนสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ ทั้งที่เป็นปัญหาของผู้อื่นและกำลังทรงแก้ปัญหาเพื่อผู้อื่นอยู่ ทั้งนี้เพราะ
ธรรมเป็นศูนย์กลางของโลก จึงสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ควรได้รับ โดย
ไม่เลือกกาลสถานที่บุคคลที่อยู่ในฐานะควรได้รับ
การสนทนาธรรมในเวลาที่นั่งอยู่ด้วยกันหลายองค์ ย่อมเกิด
ประโยชน์แก่ผู้ฟังโดยทั่วกัน แต่ปัญหามีหลายชนิด มีทั้งเกี่ยวกับ
ภายนอกและภายในเอาประมาณไม่ได้ ที่ควรแก่สาธารณะก็มี ที่
ไม่ควรก็มี จึงยากที่จะพูดและฟังโดยทั่วไปได้ จะเป็นปัญหาชนิดใด
ก็ตามผู้เป็นเจ้าของย่อมทราบเอง ถ้าเป็นปัญหาชนิดที่ควรแก่
สาธารณะ ผู้อื่นก็มีโอกาสได้ฟังด้วย ถ้าเป็นปัญหาเฉพาะผู้เป็น
เจ้าของ ก็หาโอกาสเล่าและเรียนถามครูอาจารย์โดยลำพังตาม
ความเหมาะสม ปัญหาที่กล่าวเหล่านี้เป็นปัญหาทางจิตตภาวนา
ล้วน ๆ เพราะการบำเพ็ญอยู่เสมอในอิริยาบถต่าง ๆ ทั้งด้าน
สมาธิและด้านปัญญา ปัญหาจึงเกิดขึ้นเสมอโดยไม่เลือกอิริยาบถ
ปัญหาหรือธรรมบางอย่างเมื่อปรากฏขึ้นมาจากใจ เจ้าของ
ทราบได้ชัดเจนในขณะนั้นก็มี บางอย่างก็พอแก้ไขได้โดยลำพัง
ไม่ต้องให้ผู้อื่นช่วย บางอย่างเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องใช้เวลาพิจารณา
นานพอควรจึงเข้าใจและผ่านไปได้เป็นระยะ ๆ แต่ปัญหาบางอย่าง
เมื่อเกิดขึ้นแล้วตัวเองไม่ทราบวิธีแก้ไข ต้องอาศัยท่านผู้อื่นช่วย
แนะนำ ปัญหาบางอย่างล่อแหลมต่ออันตรายต้องรีบแก้ไข ถ้า
ไม่สามารถแก้ด้วยตัวเอง ต้องรีบไปหาครูอาจารย์ช่วยแก้ไข ขืน
ปล่อยไว้อาจทำให้หลงผิดและเสียไปได้ อย่างไรก็ตามสติปัญญาเป็น
ธรรมสำคัญทุกกรณีแห่งการแก้ไขหรือส่งเสริมปัญหาที่เกิดขึ้นกับตน
ต้องนำสติปัญญามาทดสอบพิจารณาจนเป็นที่แน่ใจ ทั้งฝ่ายที่เข้าใจ
ว่าผิดหรือถูกโดยทางเหตุผล มิใช่โดยความเข้าใจหรือชอบกับอารมณ์ของตนแล้วก็ยึดถือว่าเป็นถูก ก่อนจะยอมรับกัน แต่ละ
ปัญหาต้องผ่านการพิสูจน์ด้วยปัญญาโดยทางเหตุผล
ดังนั้นพระกรรมฐานจึงแสวงหาครูอาจารย์ และเคารพ
เลื่อมใสเชื่อฟังอาจารย์มากผิดกับทางปริยัติ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น
จากจิตตภาวนาเป็นปัญหาสำคัญโดยเฉพาะ ต้องเป็นหน้าที่
ของอาจารย์ที่เคยผ่านมาแล้วเท่านั้นจะสามารถแก้ได้ ผู้ไม่เคย
ภาวนา แม้ได้ศึกษามามากก็ไม่อาจแก้ได้ เพราะปัญหาที่เกิดทาง
จิตตภาวนาโดยมากไม่ค่อยตรงกับปริยัติที่เคยเรียนมา หากมี
แอบ ๆ แฝง ๆ เลียบ ๆ เคียง ๆ กันไปนั่นแล จะว่าผิดกับปริยัติ
ไปเลยทีเดียวก็ไม่ใช่ จะว่าถูกกันทีเดียวก็ไม่เชิง จึงลำบากในการ
วินิจฉัยหาความจริงอยู่ไม่น้อยสำหรับผู้ไม่เคยผ่าน การพูดเช่นนี้
ท่านที่ไม่เคยปรากฏและไม่เคยภาวนาอาจไม่เข้าใจ หรืออาจหัวเราะ
ก็ได้ว่า พูดป่า ๆ เถื่อน ๆ ไม่มีหลักเกณฑ์ แต่ความจริงก็เป็น
อย่างนั้นในวงปฏิบัติ สำหรับท่านที่เคยปรากฏจากหลักภาวนา
มาแล้ว พอแย้มออกก็เข้าใจได้ทันที
ปัญหาที่เกิดขึ้นในวงสมาธิกับวงปัญญาต่างกัน
คำว่าปัญหาเป็นคำกลาง ๆ ยังไม่บ่งชัดลงไปว่าปัญหาอะไร
บ้าง เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเกิดขึ้นในระยะใดบ้าง จึงขอชี้แจงไว้
พอเป็นแนวทางสำหรับท่านที่เป็นนักจิตตภาวนาเพื่อเป็นข้อคิด
เวลาปรากฏกับตัวเองจะพอมีทางแก้ไข โดยอาศัยยึดหลักที่อธิบาย
ไว้เป็นแนวทางทดสอบแก้ไข ปัญหาที่เกิดในวงสมาธิ มักจะเกิดแก่
รายที่จิตสงบลง แล้วถอยออกไปรู้สิ่งต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้องไม่มี
ประมาณ เพื่อตัดปัญหาความยุ่งยากเกินภูมิแห่งขั้นเริ่มแรกของตนที่เริ่มฝึกหัด ควรย้อนจิตเข้าสู่ภายในองค์สมาธิเสีย ไม่ตามวินิจฉัย
ใคร่ครวญสิ่งที่มาปรากฏนั้น ๆ ต่อไป
ขณะจิตเข้าสู่ความสงบ ควรมีสติระวังให้จิตอยู่กับความสงบ
นั้น ไม่ยอมให้ความผลักดันพาจิตออกสู่ภายนอก เช่น พาเหาะ
เหินเดินฟ้าเที่ยวชมนรกสวรรค์วิมาน หรือความคะนองในสมาธิ
คิดอยากดูจิตของผู้อื่นในขณะที่จิตสงบ เหล่านี้เป็นเครื่องเขย่า
ก่อกวนจิตให้กระเพื่อมตัวออกสู่อารมณ์ ควรให้จิตเป็นสุขสงบ
อารมณ์อยู่ในองค์สมาธิ คือความสงบในเวลานั้น จะได้ชมความสุข
อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรรบกวนชวนให้ยุ่งและเกิดปัญหาขึ้นมาโดย
ไม่มีประโยชน์ เพราะยังมิใช่กาลเวลาและฐานะที่ควรจะรู้และได้รับ
ประโยชน์จากปัญหานั้น ๆ
เรื่องบาปบุญมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง นิพพานมีจริง
หรือไม่ เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาใจแตก หรือโลกภายในใจแตก จึง
ควรสร้างสมาธิ สร้างปัญญา อันเป็นทางรู้บุญรู้บาป รู้นรกรู้สวรรค์
และรู้นิพพานให้มั่นคง สิ่งเหล่านี้จะไม่พ้นวิสัยของใจที่ขัดเกลาด้วยดี
หรือขัดเกลาดีแล้วไปได้ ต้องรู้ประจักษ์ยิ่งกว่าการคาดคิดซึ่งเป็น
ปัญหาทำลายหัวใจเป็นไหน ๆ และควรทราบว่า ท่านที่มาชี้แจง
บาปบุญ นรก สวรรค์ นิพพาน ให้พวกเราด้นเดาจนหัวเสียไป
ตาม ๆ กัน แบบเด็กขึ้นบนบ้านโดดชูชีพด้วยร่มกันแดดกันฝน
สิ่งที่ได้รับคือขาหักสลบเหมือดไปพักหนึ่ง นั้นท่านรู้ด้วยหลักใจ
หลักธรรมเป็นเครื่องพาให้รู้ให้เห็น ท่านจึงรู้ได้ชัด พูดได้ชัด ชี้แจง
ได้ชัด ไม่ผิดพลาดจากความจริง
แม้สิ่งนั้นจะมีจริงจากความรู้ความเห็นจริงท่าน แต่พวกเรา
ยังด้นเดาไม่ถูก สิ่งที่ถูกอย่างปฏิเสธไม่ได้ก็คือความเหลวไหลไร้สาระและคำปฏิเสธว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี แล้วก็สร้างกรรมพอกพูนทับถม
ตัวเองจนหาบขนไปไม่ไหว แม้เช่นนั้นก็ยังกล้าด้นเดาและปฏิเสธ
ต่อไปอีก ด้วยความลูบคลำกำมือว่าตายแล้วก็สูญเท่านั้น ไม่มีอะไร
มาคอยรับผลแห่งกรรมเหล่านี้สืบต่อไปอีก โดยมิได้คำนึงว่าโลกที่
เกิดมาบ่นว่าทุกข์กันนั้น ถ้าเสียงบ่นให้ความทุกข์ทรมานที่ทับถมจน
หาทางออกมิได้ ดังเหมือนเสียงฟ้าเสียงระเบิดแล้ว โลกนี้คงตับแตก
หัวใจวายตายฉิบหายป่นปี้กันไปหมด เพราะเสียงระเบิดแห่งความ
บ่นดังสนั่นแผดเผาทั่วโลกธาตุ ไม่มีกาลสถานที่พอให้หายใจได้บ้าง
เลย แม้ต่างคนต่างบ่นให้กับทุกข์ที่อยู่บนหัวใจของตัวด้วยกัน ยัง
ไม่ทราบว่ากรรมมีและกรรมให้ผลมาตลอดสายแต่อดีต ปัจจุบัน
ตลอดอนาคตไม่มีสิ้นสุด แล้วก็ยากจะหากรรมดีชั่วให้เจอได้ในนรก
สวรรค์วิมานหลังไหนกัน
ผู้เขียนก็อยู่ในแดนแห่งทุกข์ด้วยกัน จึงไม่มีปัญญาจะแนะ
บอกวิธีให้เห็นกรรมและผลของกรรม ตลอดสถานที่อยู่ของผู้มีกรรม
ที่ต้องรับเสวยได้ นอกจากจะบอกว่าตัวทุกข์อยู่ที่ไหน ตัวกรรมก็อยู่
ที่นั่นเท่านั้น ใครสิ้นทุกข์ผู้นั้นก็สิ้นกรรม ดังพระพุทธเจ้าและสาวก
ทั้งหลายที่ทรงสิ้นทุกข์ไปแล้ว กรรมจึงไม่มีอำนาจตามบังคับให้ทรง
รับเสวยได้เช่นโลกจอมบ่นทั้งหลาย
ที่กล่าวมาเกี่ยวกับการคิดเรื่องนรกสวรรค์เป็นต้น นั้นคือต้น
ปัญหาทำลายจิตใจ ควรระวังอย่าด่วนให้เกิดขึ้น แต่พยายามทำใจ
ให้รู้แจ้งแทงตลอดสิ่งปกปิดกำบังทั้งหลาย หากจะรู้ไปเองปิดไม่อยู่
ต้องรู้แน่นอน สิ่งมีอยู่เหล่านั้นไม่ปิดบังตัวเอง นอกจากโลกปิดบัง
ตัวเองไม่มีอะไรมาปิดบัง โลกมีจักษุคือตาในเปิดเผยก็เห็นเอง
สมาธิจิตอาจให้เกิดปัญหาได้หลายทาง แต่ปัญญาคือฝั่งหรือทำนบกั้นนั้น ปัญหาทุกชนิดพ้นไปไม่ได้ ถ้านำมาใช้ต้องเห็นผลทันตา แต่
การเริ่มแรกปฏิบัติไม่ควรวิตกให้เกิดปัญหาสลับซับซ้อนก่อนปัญหา
จะเกิดดังที่กล่าวมา ปกติธรรมดาถ้าจิตมีความสนใจอยู่เฉพาะ
บทธรรมที่บริกรรมและรวมสงบตัวลงอยู่ด้วยความสงบสุขเท่านั้น ก็
ไม่ค่อยเกิดมีปัญหาต่าง ๆ มารบกวนให้จิตฟุ้งซ่าน สำคัญที่ชอบคิด
ไม่มีเหตุผลจึงมักก่อความกังวลใส่ตนอยู่เสมอ ปัญหาทางสมาธิ
มีมาก แต่ขอยุติไว้เพียงนี้เพื่ออธิบายปัญหาทางปัญญาต่อไป
แต่ก่อนจะอธิบายปัญหาทางด้านปัญญา จะขอเล่าเรื่อง
ผลของปัญหาทางสมาธิที่อบรมดีแล้วให้ท่านฟังพอเป็นคติต่อไป
เพราะภูมิสมาธิและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากสมาธิของรายที่มีจิต
ผาดโผน เมื่อฝึกอบรมถูกทางแล้ว ย่อมใช้ทำประโยชน์ได้ลึกซึ้งและ
กว้างขวางผิดธรรมดา ดังที่เคยทราบจากประวัติท่านอาจารย์มั่น
เป็นต้น ซึ่งเป็นอาจารย์ที่มีจิตผาดโผนในขั้นฝึกทรมาน และเป็นจิต
อาชาไนยหลังจากท่านฝึกดีแล้ว แต่ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นผู้หญิง
ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการอบรมมาจากท่านในขั้นต้น ขณะนี้
หญิงคนนั้นเป็นอุบาสิกานุ่งขาวห่มขาวแล้วและยังมีชีวิตอยู่ จิต
ของแกมีนิสัยผาดโผนคล้ายคลึงกับท่านอาจารย์มั่นอยู่หลายแขนง
ซึ่งพอจะนำมาลงไว้เป็นข้อคิดแก่ท่านนักปฏิบัติได้พิจารณาหาสาระ
เท่าที่ควรเป็นได้
สมัยแกยังเป็นสาว ท่านอาจารย์มั่นเคยไปจำพรรษาอยู่ที่
บ้านแกหนึ่งพรรษา พร้อมพระเณรเป็นจำนวนมาก ทราบว่านับแต่
ตั้งบ้านนั้นมาเพิ่งมีพระมาอยู่จำพรรษาราว ๔๐–๕๐ องค์ คราวนั้น
เอง พระเถรานุเถระที่มีอายุพรรษามากซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่านก็มีมา
จำพรรษาด้วยหลายองค์ องค์ที่มีความรู้ทางปรจิตตวิชชา รู้วาระจิตของคนอื่นก็มี และทำหน้าที่ช่วยดักจับพระที่ชอบขโมยเก่ง ๆ
(จิตพระที่ชอบขโมยคิดออกนอกลู่นอกทาง) อีกด้วย คือก่อนท่าน
จะแสดงธรรมอบรมพระในเวลากลางคืน บางครั้งท่านสั่งพระองค์
ที่มีความสามารถในทางปรจิตตวิชชานั้นว่า วันนี้ท่านช่วยผมปราบ
ขโมยหน่อยนะ ขณะเทศน์ผมไม่ค่อยมีโอกาสดักจับขโมยเหล่านี้
แม้จับได้ก็ไม่ถนัดดังที่คอยซุ่มดักจับอยู่ที่ประตู (คอยกำหนดจิตดัก
จับจิตที่คิดต่างๆ ของผู้อื่นอยู่โดยเฉพาะ ไม่มีงานอื่นเข้ามาแทรก)
เนื่องจากผมทำหน้าที่แสดงธรรมไม่มีเวลาคิดอย่างอื่น กว่าจะย้อน
จิตมาตรวจจับ ขโมยก็รีบไปกว้านเอาอะไรแล้วรีบกลับมาเสียก่อน
เรื่องจึงมักจะเย็นไปไม่ได้คาหนังคาเขา จึงขอให้ท่านช่วยจับให้ได้
คาหนังคาเขาให้หน่อย ขโมยพวกนี้เก่งนัก คอยด้อมออกเวลาเรา
มีธุระจำเป็น คอยดักเอาตัวเก่ง ๆ ที่ฉลาดให้ได้
พอสั่งเสร็จก็เริ่มแสดงธรรมต่อไปโดยไม่สนใจกับอะไรอีก
สักประเดี๋ยวขโมยก็ด้อมออกเที่ยวเพ่นพ่านตามเคย และก็ได้ยิน
เสียงท่านองค์ทำหน้าที่ปราบทักขึ้นในเวลาต่อมาว่า ท่าน ...คิด
อะไรอย่างนั้น ท่านอาจารย์หยุดเทศน์ชั่วคราว และช่วยเสริม
การปราบของท่านองค์นั้นว่า มันต้องอย่างนั้นจึงจะทันกับพวก
พรรค์นี้ที่แสนรวดเร็ว แล้วก็แสดงธรรมต่อไป สักครู่ต่อมาขโมย
รายใหม่ก็โผล่ออกมาอีก ท่านองค์ปราบก็ทักอีกว่า ท่าน....คิดอะไร
อย่างนั้นล่ะ จงกำหนดจิตให้อยู่กับตัวซิ อย่าส่งจิตออกไปคิดเรื่อง
ต่าง ๆ อย่างนั้นมันผิด ขโมยกลับกลัวท่านและเข็ดหลาบไม่กล้า
ออกเที่ยวเพ่นพ่านเหมือนแต่ก่อน
ท่านทักไม่กี่รายโจรผู้ร้ายก็สงบลงเห็นกับตา แต่บางราย
กลับกลัวท่านมากทั้งในขณะนั้นและวาระต่อไป ไม่กล้าส่งจิตออกเที่ยวนักเหมือนแต่ก่อน นี่ท่านสั่งให้ทำเป็นครั้งคราว ส่วนจะมี
ความหมายอย่างไรบ้างนั้นพวกเราทราบไม่ได้ เพราะท่านไม่บอก
แม้องค์ที่เคยช่วยท่าน ถ้าท่านไม่สั่งก็ทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็น
ราวกับว่าไม่รู้อะไร แต่พระเณรก็กลัวท่านมากรองท่านอาจารย์ลงมา
นี่เขียนออกนอกลู่นอกทางยิ่งกว่าขโมยพระเสียอีก จึงขอย้อนกลับ
เข้ารอยเดิมที่วางแนวเอาไว้
หญิงสาวคนนั้น ก่อนที่จะเริ่มฝึกหัดภาวนาก็เนื่องจากท่าน
อาจารย์ไปจำพรรษาที่นั้น และแกก็เคยไปวัดกับชาวบ้านอยู่เสมอ
ท่านจึงสั่งให้ทำภาวนาและแนะวิธีให้ไปทำที่บ้าน ได้ผลอย่างไร
ให้ออกไปเล่าให้ท่านฟังเพื่อท่านจะได้อธิบายต่อให้ ตอนบวชเป็นชี
แล้วแกเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า พอท่านสั่งแล้วสั่งอีกหลายครั้งหลายหน
ให้ทำภาวนา แกจึงคิดสะดุดใจว่าชะรอยเราจะพอมีวาสนาอยู่บ้าง
กระมัง ท่านอาจารย์จึงมักเมตตาเราเป็นพิเศษเสมอมา ถ้าไม่มีอะไร
ดีอยู่บ้าง ท่านจะมาสนใจอะไรกับเราที่เป็นเพียงเด็กกลางบ้าน
คนหนึ่ง ซึ่งเทียบกับหมาตัวหนึ่งเราดี ๆ นี้เอง ไม่มีอะไรดียิ่งกว่า
นั้น ต่อไปนี้เราควรทำภาวนาตามวิธีที่ท่านเมตตาแนะนำ แกเล่าว่า
ท่านแนะให้ภาวนาพุทโธ
กลางคืนวันหนึ่ง พอทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็เตรียมเข้า
ห้องนอนแต่หัวค่ำ ความมุ่งหมายจะเข้าที่ทำภาวนาอย่างเอาจริง
เอาจังตามคำท่านสั่ง พอไหว้พระเสร็จก็เริ่มเข้าที่ภาวนาตามวิธีที่
ท่านแนะ พอเริ่มบริกรรมภาวนาพุทโธ ๆ ไปได้ราว ๑๕ นาที จิตก็
สงบรวมลงไป แต่แกเองไม่ทราบว่าจิตของตัวรวมเพราะไม่เคยเห็น
ไม่เคยเป็นมาก่อน เพิ่งมาเป็นเอาวันนั้น ขณะที่จิตรวมลงนั้น
เหมือนตัวเองตกลงไปก้นบ่อลึก พับเดียวแล้วหายเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นปรากฏว่าตัวแกเองตายจริง ๆ คือภาพตัวแกเองมาตายอยู่
ต่อหน้า มองเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นตัวแกจริงตายอยู่ต่อหน้า และเชื่อ
แน่ในขณะที่เห็นภาพนั้นว่าตัวเองตายแล้วจริง ๆ
แต่สิ่งหนึ่งนึกขึ้นมาว่า โอหนอ เราตายเสียแล้วบัดนี้
วันพรุ่งนี้ใครจะนึ่งข้าวใส่บาตร (ทางภาคอีสานทานข้าวเหนียวกัน
โดยมาก) แทนเราหนอ เวลาท่านอาจารย์มาบิณฑบาตไม่เห็นเรา
ใส่บาตรท่านก็จะถามถึง แล้วใครจะเรียนตอบท่านแทนได้ว่า เรา
ตายเสียแล้วตอนนั่งภาวนาคืนนี้ เลยนึกตัดสินใจในขณะนั้นว่า เอ๊า
ตายเป็นตาย คนและสัตว์ทั้งโลกล้วนจะตายเช่นเดียวกับเรานี่แล
ไม่มีใครจะมาจับจองครองโลกแต่ผู้เดียวได้ไม่ยอมตาย
พอตัดสินใจได้แล้ว ก็ย้อนจิตมาสนใจกับภาพศพตัวเองที่
กำลังนอนตายอยู่ต่อหน้าไม่เลือนรางหายไปไหน ราวกับเตือนให้
รู้สึกตัวว่าตายแล้วไม่มีทางสงสัย ขณะที่กำลังรำพึงการตายของ
ตัวเองยังไม่ถึงไหน ชาวบ้านพากันมาหามศพนั้นไปป่าช้าในขณะ
นั้น พอไปถึงป่าช้าก็มองเห็นท่านอาจารย์มั่นกับพระทั้งหลายกำลัง
เดินตรงเข้ามาที่ศพซึ่งนอนอยู่ เฉพาะองค์ท่านอาจารย์มั่นพูดกับ
พระว่า นี่เด็กหญิงคนนี้ตายแล้ว เอ๊า พวกเรามาติกา แต่คำมาติกา
นั้นเป็นคำของท่านอาจารย์มั่นพูดออกมาองค์เดียว ในท่ามกลาง
พระสงฆ์ที่กำลังยืนมุงดูอยู่ ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารร่างกาย
ตายแล้วใช้งานอะไรไม่ได้ แต่จิตไม่ตายยังใช้งานได้ตลอดไป
นอกจากจะนำไปใช้ในทางที่เสียใจก็เป็นภัยแก่ตัวเอง ว่าสามหน
ซ้ำ ๆ กันอยู่ประโยคเดียว
เสร็จแล้วปรากฏว่าท่านเอาไม้เท้าท่านเขี่ยไปตามร่างศพ
เบา ๆ พร้อมกับพูดว่า ร่างกายไม่เที่ยงเกิดแล้วต้องตาย แต่จิตใจเที่ยงไม่มีเกิดไม่มีตายไปกับร่างกาย เป็นเพียงหมุนไปตามเหตุปัจจัย
พาให้เป็นไป และพูดซ้ำซากไปมา แต่ไม้ท่านเขี่ยไปถึงที่ใด เนื้อหนัง
มังสังเปื่อยออกไปถึงนั่น จนเปื่อยไปหมดทั้งร่าง เพราะท่านเขี่ยไป
ทั่วร่างของศพนั้น จนเหลืออยู่เฉพาะหมากหัวใจท่านจึงหยิบเอา
หมากหัวใจออกมา และพูดว่าหัวใจนี้ทำลายไม่ได้ ถ้าทำลายต้อง
ตายไม่มีฟื้นอีก ตัวแกก็ดูอยู่ด้วยตลอดเวลาแต่ขณะแรกปรากฏ จึง
คิดขึ้นมาว่า ก็คนตายจนเปื่อยไปหมดทั้งร่างแล้ว ยังเหลือแต่กระดูก
จะเอาอะไรมาฟื้น ท่านตอบความคิดนึกของแกทันทีแต่ไม่ได้มองดู
หน้าแกว่า ต้องฟื้นซิ ไม่ฟื้นอย่างไร เพราะสิ่งที่จะพาให้ฟื้นยังมีอยู่
จวนสว่างพรุ่งนี้ก็ฟื้นเท่านั้นเองดังนี้
นับแต่ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับศพแต่หัวค่ำจนเรื่องจะยุติลง และ
ท่านอาจารย์กับพระสงฆ์จะจากไปกินเวลานานแสนนานแกว่า แก
เล่าเหตุการณ์ของแกยืดยาว ผู้เขียนจำไม่ค่อยหมด แกว่าจิตเริ่ม
ปรากฏแต่ขณะสงบลงทีแรก และต่อเรื่องราวไปจนจวนสว่างจึงถอน
ขึ้นมา พอจิตถอนรู้สึกตัวขึ้นมาจึงได้ยินเสียงไก่ขันกระชั้นจวนสว่าง
มองดูตัวยังนั่งอยู่ตามปกติมิได้ตายดังที่เข้าใจในเวลานั้น จึงกลับดีใจ
คืนมาว่าตัวมิได้ตายไปกับเรื่องที่ปรากฏ เมื่อทราบเรื่องของตัว
โดยตลอดว่าไม่ตายจริง ๆ แล้วก็มานึกตำหนิตัวเองว่า ท่านให้นั่ง
ภาวนา แต่ทำไมเราจึงนั่งหลับ และหลับเสียจนฝันว่าตัวตายไป
ทั้งคืนก็ยังไม่ตื่น แหม คืนนี้ภาวนาเลวจริง ๆ
พอรุ่งเช้าวันต่อมา ท่านอาจารย์มาบิณฑบาตก็สั่งแกใน
ขณะนั้นว่า ประมาณพระฉันเสร็จให้ออกไปหา โดยที่แกมิได้เรียน
อะไรให้ท่านทราบไว้ก่อนเลย แม้แต่ก่อนท่านก็ไม่เคยสั่งให้แกออก
ไปหา เพิ่งมีครั้งนั้นเท่านั้น จึงเป็นที่น่าประหลาดว่าท่านต้องทราบ




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2012, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของตนแต่ตอนกลางคืนแล้วอย่างชัดเจน พอออกไปท่านก็ถาม
ทันทีว่า เป็นอย่างไรภาวนาเมื่อคืนนี้ แกเรียนตอบว่าภาวนาไม่ได้
เรื่องอะไรเลย พอภาวนาพุทโธ ๆ ไปได้ราว ๑๕ นาที จิตก็ตกลง
ไปก้นบ่อแล้วหลับ และฝันไปเลยเกือบตลอดคืน จวนสว่างตื่น
ขึ้นมาจึงรู้สึกเสียใจไม่หายจนบัดนี้ กลัวหลวงพ่อจะดุเอาว่าภาวนา
ไม่เป็นท่าได้แต่หลับ พอทราบเท่านั้นท่านก็หัวเราะชอบใจและถาม
ทันทีว่า มันหลับอย่างไรและฝันอย่างไรบ้าง ลองเล่าให้ฟังดูที
แกเล่าถวายท่านดังกล่าวมา ท่านยิ่งหัวเราะใหญ่และพูด
ออกมาด้วยความชอบใจว่า นั่นไม่ใช่หลับ ไม่ใช่ฝัน นั่นแลจิตสงบ
จิตรวม จงจำไว้ ที่ว่าฝันมิใช่ฝัน แต่เป็นนิมิตที่เกิดจากสมาธิภาวนา
ต่างหาก นี่แลที่ท่านว่าภาวนาเห็นนิมิตต่าง ๆ นั้นคือเห็นอย่างที่
หนูเห็นนั่นเอง ท่านอธิบายให้ฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้วก็บอกให้พากัน
กลับบ้าน และสั่งกำชับให้ภาวนาต่อไป และบอกว่าจิตจะรู้เห็นอะไร
ก็ปล่อยให้มันเห็นไปไม่ต้องกลัว หลวงพ่อไม่ให้กลัว อะไรผ่านมา
ในขณะภาวนาจงกำหนดรู้ให้หมด เวลาหลวงพ่ออยู่ที่นี่ไม่เป็นอะไร
ไม่ต้องกลัว เวลาภาวนารู้อะไรเห็นอะไรให้ออกมาเล่าให้ฟัง จากนั้น
มาแกก็พอใจภาวนา เหตุการณ์เป็นไปเรื่อย ๆ ในลักษณะ
ต่าง ๆ กัน
จนเวลาท่านจะจากไปจึงสั่งให้ออกไปหา และสั่งกำชับให้
หยุดภาวนาไปพักหนึ่งก่อน เมื่อถึงกาลแล้วจะค่อยเป็นไปเอง คือ
เวลาท่านจากไปห้ามไม่ให้ภาวนา ท่านคงคิดพอแล้วว่าแกมีนิสัย
ของจิตผาดโผน หากเป็นอะไรขึ้นเวลาท่านไม่อยู่จะไม่มีผู้ช่วยแนะ
แก้ไขอาจมีทางเสียได้ จึงห้ามไม่ให้ทำต่อไป ตัวแกเองก็ไม่ทราบ
ความหมายแต่เชื่อตามท่านสั่ง จึงมิได้ภาวนาต่อไปทั้งที่อยากทำแทบใจจะขาด จนอายุแกจวนย่างเข้า ๔๐ ปี จึงได้สละครอบครัว
ออกบวชและฝึกหัดภาวนาต่อไป นิสัยที่เคยรู้เคยเห็นสิ่งต่าง ๆ ก็
ปรากฏรู้เห็นเรื่อยมา ตอนแกพบผู้เขียนและเล่าภาวนาให้ฟัง จึง
ทราบนิสัยและทราบความมุ่งหมายของท่านอาจารย์ที่ห้ามไม่ให้แก
ภาวนา เพราะเป็นนิสัยผาดโผน ถ้าไม่มีผู้รู้ที่เหนือกว่าจะรั้งไว้ไม่อยู่
เวลาเป็นขึ้นมา เนื่องจากไม่มีอุบายจะรั้งนั่นเอง อาจมีทางเสียได้
จึงขอสรุปเรื่องของแกเอาแต่ใจความ มาประกอบกับปัญหา
ทางสมาธิและปัญญาเท่าที่ควร ความรู้แปลก ๆ ของแกมีมากพอ
สมควร แม้ตอนท่านอาจารย์มั่นป่วยหนักคราวจะมรณภาพ แกก็
ทราบทางสมาธิเหมือนกัน ทั้งที่อยู่คนละจังหวัดระยะทางห่างไกล
กันมาก คือตอนกลางคืนเวลาเข้าที่สมาธิ ปรากฏท่านอาจารย์มั่น
เหาะมาทางอากาศ มายับยั้งอยู่บนอากาศ แล้วประกาศก้องลงมา
ว่า พ่อป่วยหนัก จงรีบไปเยี่ยมพ่อเสียแต่เนิ่น ๆ พ่อจะลาโลก
เพราะการป่วยครั้งนี้แน่นอน ที่ท่านเหาะมาโดยทางอากาศนั้น
แกทราบโดยทางสมาธิภาวนาแทบทุกคืน โดยมาเตือนให้รีบไปเดี๋ยว
จะไม่ทันเห็นร่างของพ่อ จะตายก่อน ยิ่งจวนวันท่านจะมรณภาพ
เท่าไร ก็ยิ่งมาปรากฏให้เห็นทุกคืนไม่มีวันเว้นเลย
ตามปกติเวลาแกบวชแล้วก็เคยไปกราบนมัสการเยี่ยมท่าน
เพื่อฟังการอบรมทุกปีมิได้ขาด ในระยะที่ปรากฏเห็นองค์ท่าน
อาจารย์มาปรากฏบ่อยนั้น จะว่ากรรมหรืออะไรก็ยากจะเดาถูก
เพราะขณะปรากฏทางสมาธินิมิตก็ได้เล่าให้หมู่เพื่อนฟังอยู่เสมอว่า
ท่านอาจารย์ป่วยหนักจวนเต็มทีแล้ว ท่านอุตส่าห์เมตตาเหาะมา
บอกแทบทุกคืน และต่อมาก็มาปรากฏทุกคืน พวกเรายังไม่ได้ไป
กราบเยี่ยมท่านเลย ยังติดธุระนั่นนี่อยู่ไม่มีวันสร่างซา พอนัดกันวันนั้นวันนี้ว่าจะออกเดินทางไปกราบเยี่ยมท่านก็ไม่สำเร็จ พอ
วันสุดท้ายที่กำหนดออกเดินทางก็เป็นวันท่านมรณภาพมาถึง
และก็คืนนั่นแลท่านได้เหาะมาทางอากาศยามดึกสงัด
มายืนประกาศกึกก้องอยู่บนอากาศว่า เห็นไหม พ่อบอกหลายครั้ง
แล้วว่าให้รีบไปเยี่ยมพ่อ บัดนี้หมดเวลาเสียแล้ว จะพากันนอนจม
กองมูตรกองคูถอยู่ที่นี่ก็ตามใจ ถ้าไม่สนใจคำของพ่อก็เป็นอัน
หมดหวังเพียงวันนี้ ไม่ได้พบร่างพ่ออีกแล้ว บัดนี้พ่อลาโลกไป
เสียแล้ว พากันทราบหรือยัง ถ้ายังก็คอยฟังข่าวเสีย พ่อบอก
ความจริงให้แล้วไม่เชื่อ ไปก็เห็นแต่ซากนั่นแลที่ไม่มีอะไรรับรู้เหลือ
อยู่แล้ว บัดนี้พ่อลาโลกแล้วนะเชื่อหรือยัง หรือยังไม่เชื่ออยู่อีก
เพราะกรรมเกิดจากความประมาทตัวเดียวนั่นแลพาโลกให้ผิดหวัง
พ่อลาโลกในคืนวันนี้แล้วไม่สงสัยดังนี้ แล้วก็หายไปในอากาศ
พอจิตถอนออกจากสมาธิก็จวนสว่าง ตัวแกเองทนไม่ไหว
เพราะเห็นท่านเมตตาโปรดทุกคืนในระยะจวนจะลาโลกลาขันธ์ ต้อง
ร้องไห้อยู่คนเดียวหลังจากสมาธิแล้ว พอสว่างก็รีบมาบอกหมู่คณะ
ว่า ท่านอาจารย์มั่นนิพพานไปเสียแล้วเมื่อคืนนี้ ฉันทราบทาง
นิมิตภาวนาอย่างชัดเจนไม่สงสัย ดังที่เคยเตือนให้ทราบอยู่เสมอมา
และร้องไห้ต่อหน้าหมู่เพื่อนอย่างไม่อาย จนใครก็งงงันไปตาม ๆ
กัน ถ้าจะว่าแกเป็นบ้าหรือก็ไม่ถนัดใจ เพราะความรู้ทางสมาธิ
ของแกเคยแม่นยำมาแล้ว จนเชื่ออย่างตายใจยิ่งกว่าจะมาคิดว่าแก
เป็นบ้า
ขณะที่พูดสนทนากันยังไม่ขาดคำ ก็มีคนวิ่งตารีตาขวาง
ออกมาบอกว่า ท่านอาจารย์มั่นมรณภาพเสียแล้วเมื่อคืนนี้ คุณแม่
ทราบหรือยัง วิทยุทางอำเภอประกาศเมื่อเช้านี้เวลา ๘ นาฬิกาว่าท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ องค์ลือนามในวงปฏิบัติสมัย
ปัจจุบันได้มรณภาพเสียแล้วแต่เวลา ๒.๓๓ น. ที่วัดสุทธาวาส
จังหวัดสกลนคร ผมทราบเพียงเท่านี้ก็รีบกลับมาบ้านบอกใครต่อ
ใครบ้าง แล้วก็วิ่งมาเรียนให้คณะคุณแม่ทราบ เกรงว่าจะยังไม่ทราบ
กันดังนี้ พอทราบความแน่นอนในวาระที่สองว่าท่านอาจารย์มั่น
มรณภาพแล้วจริง ๆ เท่านั้น สำนักแม่ชีได้กลายเป็นสภาน้ำตา
ขึ้นมาอีกวาระหนึ่ง หลังจากพากันหลั่งน้ำตาไปแล้วในตอนเช้าที่
แม่ชีคนนั้นเล่านิมิตให้ฟัง
แม่ชีคนนี้แกมีความรู้ทางสมาธิแปลก ๆ ผิดธรรมดาอยู่
หลายแขนง ทราบว่าแกเพลินติดความรู้ประเภทนี้อยู่เป็นเวลา
สิบกว่าปี วันใดภาวนาไม่รู้เห็นสิ่งต่าง ๆ โดยทางสมาธินิมิต แก
ถือว่าวันนั้นไม่ได้รับประโยชน์ทางสมาธิภาวนาเลย แกติดทางนี้
จนฝังใจว่าการเห็นนิมิตต่าง ๆ เป็นทางมรรคผลของการภาวนา
จริง ๆ ต่อเมื่อมีพระที่เป็นสายท่านอาจารย์ไปพักจำพรรษาที่นั่น
และอบรมสั่งสอนทั้งด้านนิมิตและด้านอื่น ๆ จนเป็นที่แน่ใจและ
รู้วิธีปฏิบัติต่อสมาธินิมิต และทางดำเนินอันเป็นทางมรรคทางผล
จนกลายเป็นความราบรื่นดีงามตลอดมา ไม่กำเริบเป็นต่าง ๆ ดังที่
เคยเป็นอยู่เสมอ แกจึงยอมแก้ไขดัดแปลงไปตาม และเห็นผลเป็นที่
พอใจ ไม่ตื่นเต้นอับเฉาไปตามนิมิตต่าง ๆ ที่มาปรากฏ ดำรงตน
อยู่ด้วยสติปัญญาอันเป็นทางดำเนินเพื่อความพ้นภัยไร้ทุกข์ แกจึง
ได้รับความสะดวกในการบำเพ็ญตลอดมาจนปัจจุบันทุกวันนี้ การ
ปฏิบัติต่อสมาธินิมิตของแกจึงไม่มีอะไรที่น่าวิตกอีกต่อไป สมาธิ
ประเภทนี้จึงกลายเป็นความสำคัญขึ้นในการทำประโยชน์ตนและ
ส่วนรวม แกมีความรู้แปลก ๆ ที่นักปฏิบัติทั้งหลายไม่ค่อยมีกันเรื่องเหตุการณ์ในอดีต อนาคต เปรต ภูตผี เทวดา จำพวก
กายทิพย์ประเภทต่าง ๆ แกรู้ได้ดีพอสมควร จะขอยกตัวอย่าง
มาลงโดยสังเขป พอเป็นข้อคิดเกี่ยวกับตาในใจทิพย์ของผู้ปฏิบัติ
ที่มีนิสัยในทางนี้ คือ
คืนวันหนึ่งแกนั่งภาวนา ปรากฏมีสัตว์ชนิดหนึ่งเข้ามาหา
ในภาพแห่งบุรุษ มาร้องทุกข์ว่า เธอเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านนี้ไม่ได้รับ
ความเป็นธรรมจากเจ้าของ ว่าใช้สอยแกมาตั้งแต่พอลากคราด
ลากไถใส่ล้อใส่เกวียนได้เรื่อยมา แทนที่จะเห็นบุญคุณแกบ้าง
นอกจากทรมานเฆี่ยนตีในเวลาลากเข็นและเวลาปกติธรรมดาแล้ว
ยังถูกจูงไปมัดคอใส่ต้นไม้แล้วฆ่าแทงแกจนตายและกินเนื้อกินหนัง
เสียอีก ซึ่งเป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณสิ้นมนุษยธรรมเสียจริง ๆ
ก่อนจะตายก็ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสทนไม่ไหว จึงได้ตายทั้งที่
ไม่อยากตาย รู้สึกมีความเคียดแค้นในเจ้าของเป็นอย่างมากแทบ
ไม่มีที่ปลงวางจิตใจเวลานี้ จึงได้เดินโซซัดปัดเป๋มาหาคุณแม่ให้ช่วย
บรรเทาทุกข์ และขอพึ่งบุญบารมีแบ่งส่วนกุศลผลบุญที่คุณแม่ได้
บำเพ็ญมา พอมีส่วนได้ไปเกิดเป็นมนุษย์กับเขา พอมีทางหายใจ
ระบายทุกข์บ้าง ไม่ถูกกดขี่บังคับทรมานจนเกินไปดังที่เป็นมาเวลานี้
การเกิดเป็นสัตว์ลำบากทรมานมากเหลือเกิน เพราะถูก
บังคับทรมานด้วยประการต่าง ๆ ทั้งจากมนุษย์และจากสัตว์ด้วยกัน
การเกิดเป็นมนุษย์แม้จะอดอยากกันดาร สองวันหิวสามวันอิ่มปาก
อิ่มท้องครั้งหนึ่ง ก็ยังดีกว่ามาเกิดเป็นสัตว์ ซึ่งมีความทุกข์ลำบาก
ทรมานอยู่ตลอดเวลา แม่ชีจึงถามบุรุษนั้นบ้างว่า ทำไมว่าเขาไม่รู้จัก
บุญคุณของเราและว่าเขาไม่มีมนุษยธรรมในใจ ฆ่าตีทรมาน
โดยประการต่าง ๆ จนถึงกับผูกโกรธผูกแค้นจองกรรมจองเวรในเขามิใช่เราไม่ดีไปเที่ยวหาลักขโมยสิ่งของหวงแหนที่เขาปลูกไว้ตามไร่นา
รั้วสวนมากินละหรือ อยู่ดี ๆ ทำไมเขาจะเอาตัวมาเฆี่ยนตีทรมาน
และนำตัวไปฆ่า มนุษย์แถวนี้ก็ปรากฏว่าดีมีศีลธรรมพอเชื่อถือได้
ทำไมเขาจะทำได้ลงคอถ้าเรายังดีอยู่ นี่น่ากลัวจะไปเที่ยวทำ
ไม่ดีอย่างแม่ว่ากระมัง เขาจึงได้ทำอย่างนั้นให้เราเพื่อสาสมกับ
ความไม่ดีของตน เราได้ทำดังที่แม่ว่าบ้างหรือเปล่าล่ะ
เขาตอบน่าสงสารจับใจว่า ก็เพราะความหิวโหยอดอยาก
เกี่ยวกับปากท้องอันเดียวนี่แลเป็นสำคัญในมวลสัตว์โลก เห็นอะไรก็
เข้าใจว่าเป็นอาหารจะพอประทังชีวิต จึงไม่ทราบว่าอะไรเป็นสมบัติ
ของใคร อะไรใครหวงแหนหรือไม่หวงแหน พอคว้าถึงปากก็กัด
ก็แทะกินไปตามประสาสัตว์อย่างนั้นเอง ถ้ารู้ภาษาอยู่บ้างเหมือน
มนุษย์ก็คงไม่ทำและไม่มาเกิดเป็นสัตว์ให้เขาฆ่าตีทำลายดังที่เป็นอยู่
เวลานี้ ส่วนมนุษย์ผู้มีความฉลาดกว่าสัตว์ก็น่าจะเห็นใจให้อภัยบ้าง
ไม่ทำตามอำนาจจนเกินไปซึ่งผิดจากศีลธรรมของมนุษย์ มนุษย์ผู้ดี
เขาไม่ทำอย่างนี้ เพราะเป็นความอุจาดบาดใจขายชาติของตัวเอง
ที่ว่ามนุษย์แถวนี้เป็นคนดีมีศีลธรรมเขาคงไม่ทำชั่วแก่สัตว์ได้ลงคอ
นั้น จริงสำหรับมนุษย์ที่มีธรรมดังคุณแม่ว่า แต่มนุษย์คนชื่อว่า…..
ที่เป็นเจ้าของของผมนี้ มิใช่มนุษย์ที่ดีมีศีลธรรมติดใจพอเป็น
เชื้อสายของมนุษย์บ้างเลย มันเป็นเพียงเศษมนุษย์มาเกิดต่างหาก
ฉะนั้นเขาจึงมีใจโหดร้ายทารุณที่อะไร ๆ จะให้อภัยเขาไม่ได้ แม้แต่
มนุษย์ด้วยกันเขาก็ทำร้ายได้ อย่าว่าแต่สัตว์ซึ่งอาภัพวาสนาเลย
แม่ชีจึงให้โอวาทสั่งสอนเขาด้วยความเมตตาสงสาร และ
แบ่งส่วนกุศลให้เขาด้วยใจเอ็นดูอย่างถึงใจ พร้อมกับให้ศีลให้พร
ขอให้กุศลผลเมตตาของแม่ที่แบ่งให้นี้ จงเป็นเสบียงเครื่องหล่อเลี้ยงส่งเสริม และนำทางให้คุณได้ไปเกิดในสุคติสถาน มีอาหารทิพย์และ
วิมานทองเป็นที่อยู่เสวยเถิด พอเขาสาธุรับส่วนกุศลแล้ว ก็ลา
คุณแม่เขาไปด้วยอาการอันแช่มชื่นเบิกบาน ราวกับจะได้ไปเกิดใน
กำเนิดและสถานที่อันสมหวังในขณะนั้น
พอรุ่งขึ้นก็เรียกหลานชายในบ้านมากระซิบบอกว่า คืนนี้
แม่นั่งภาวนาปรากฏ…ขอให้แกหาอุบายไปสืบดูพฤติการณ์
ของนาย……ให้แม่ที จากคนใดคนหนึ่งที่พอทราบได้ (นาย.. คือ
คนที่สัตว์ลึกลับระบุชื่อว่าเป็นผู้ที่นำเขาไปฆ่า) แต่อย่าให้เขารู้ตัวว่า
แม่สั่งให้ไปสืบถาม เดี๋ยวเขาจะอายเราหรืออาจคิดไม่ดีต่อเราแล้วจะ
เป็นบาปหนักเพิ่มขึ้นอีกก็ยิ่งจะแย่ใหญ่ พอเรียกหลานมากระซิบ
สั่งดังนั้น หลานก็บอกขึ้นทันทีเพราะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับ
อีตาคนนั้น และทราบเรื่องนี้ได้ดีว่า คุณแม่จะให้ผมไปถามให้
เสียเวลาทำไม ก็เมื่อคืนนี้ราวสองทุ่ม แกลากเอาควายของแกไปฆ่า
อยู่ที่…เสียงควายร้องเพราะความทุกข์ทรมานได้ยินถึงไหนโน่น
เสร็จแล้วก็เอาเนื้อมันมากินเลี้ยงกันใหญ่ เสียงเอ็ดตะโรโฮเฮ
จนเกือบสว่างจึงได้สงบลง ป่านนี้มันตื่นนอนกันหรือยังก็ไม่รู้ ผมรู้
เรื่องนี้ดีจึงอย่าให้ไปสืบถามให้เสียเวลาเลยดังนี้ ความจริงที่แม่ชี
เล่าให้ฟังเป็นอย่างนี้ การปรากฏนิมิตก็ปรากฏในคืนเดียวกัน
เป็นเพียงแกปรากฏตอนดึกสงัดซึ่งผิดเวลากันเล็กน้อย จึงเป็นเรื่อง
ที่น่าคิดสำหรับพวกเราที่กำลังตกอยู่ในห้วงวัฏฏะ ซึ่งมีทางเป็นได้
ด้วยกันโดยไม่เลือกกาลสถานที่และใคร ๆ
เรื่องที่สองนี้เป็นหมูป่า นี้ก็น่าประหลาดไปอีกทางหนึ่ง คือ
หมูป่าตัวนี้ก็เที่ยวหากินมาตามชายเขาโดยลำพัง ไม่นึกว่าจะมีคน
ดักซุ่มอยู่ตามบริเวณนั้น เพราะอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก นัยว่านายพรานไปดักซุ่มยิงสัตว์ป่าที่มาหากินน้ำในแอ่งหินชายภูเขา
เผอิญคืนนั้นกรรมของหมูป่าตัวนี้มาถึง จึงลงไปกินน้ำในแอ่งหินที่
เขากำลังนั่งห้างคอยทีอยู่ก่อนแล้ว พอมาถึงน้ำก็โดนยิงตายในขณะ
นั้น จวนสว่างหมูตัวนั้นก็มาหาแม่ชีซึ่งกำลังนั่งสมาธิภาวนาอยู่
ด้วยเพศแห่งบุรุษเช่นเดียวกัน แม่ชีจึงถามว่า มีเหตุทุกข์ร้อนอะไร
หรือถึงได้มาหาเรา บุรุษนั้นก็เล่าเหตุการณ์ที่เป็นมาให้ฟังว่า ตนได้
ถูกนาย….ยิงตายเสียแล้วขณะที่มากินน้ำเพราะความหิวโหย แม่ชี
ถาม ตอนลงกินน้ำมิได้คิดระวังเนื้อระวังตัวบ้างหรือ การระวังก็
ระวังอยู่ตลอดเวลาไม่เคยเผลอตัวเพราะกลัวอันตราย ความเป็น
สัตว์นี้ลำบากมากไม่มีอิสระในตัวเอง ไปที่ไหนก็มีแต่ภัยแต่เวรรอบ
ด้าน ต้องระวังตัวอยู่เสมอ แม้เช่นนั้นก็ยังถูกเขาฆ่าจนได้
แต่การตายคราวนี้ก็มิได้ติดใจเสียดายอะไร ยิ่งกว่าการไป
เกิดในภพต่อไป กลัวจะไปเกิดเป็นสัตว์อีกดังที่เคยเกิดมาแล้ว ซึ่ง
แสนทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากและการระวังภัยนั่นแลพาให้
เกิดทุกข์ จนกลายเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความระแวงระวังอยู่รอบ
ด้านไม่เป็นอันกินอยู่หลับนอน ที่ตะเกียกตะกายมานี้ก็เพราะความ
กลัวการเกิดจะผิดพลาดไม่อาจห้ามได้ หากไม่มีบุญช่วยค้ำชูอุดหนุน
จึงได้กระเสือกกระสนมาหวังพึ่งบุญบารมีคุณแม่ผู้บำเพ็ญธรรมมีบุญ
ค้ำหนุนโลก ได้ช่วยอนุเคราะห์เมตตาสัตว์ผู้อาภัพอับวาสนาในคราว
นี้ด้วยเถิด อาจได้ไปเกิดในที่และกำเนิดอันสมหวัง
ผมไม่มีสมบัติใดติดตัวพอเป็นเครื่องอบอุ่นมั่นใจในคติภพ มี
แต่ร่างกายเนื้อหนังที่ถูกทำลายตายไปเมื่อคืนนี้เท่านั้น พอได้ถวาย
เป็นทานบูชาธรรมแด่ท่านผู้ทรงธรรมบำเพ็ญพรหมจรรย์ จึงได้มา
กราบเรียนวิงวอนไว้เพื่อคุณแม่ทราบเหตุการณ์และอนุเคราะห์ด้วยคือเวลาเขาเอาอวัยวะเครื่องภายในอันเป็นของมีค่า และเนื้อหนัง
มังสังอวัยวะภายนอกของผมมาให้ท่านที่นี่ ขอคุณแม่ได้โปรดเมตตา
บริโภคขบฉันให้ผมด้วยเถิด เผื่อบุญอันเกิดแต่ทานนี้จะได้เป็นเครื่อง
อุดหนุนเชิดชู ให้ผมได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในภพต่อไปสมความมุ่ง
ปรารถนา สิ่งที่เป็นน้ำใจอันประสงค์อยากถวายทานอย่างยิ่งของผม
นั้นคือ เครื่องในแห่งอวัยวะของหมูที่ตายอันเป็นตัวผมเอง
แต่มนุษย์มีความละโมบโลภมากกว่าสัตว์ทั้งหลาย จึงกลัว
ว่าเนื้อชิ้นใดที่ดี ๆ เขาจะเก็บสั่งสมไว้เพื่อพุงของตัวมากกว่าเพื่อ
ทำบุญ แล้วไม่นำมาให้ทาน เพราะกลัวจะหมดจากลิ้นจากปากด้วย
อำนาจกิเลสตัวโลโภพาให้เป็นไป ผมจึงมีความวิตกกังวลมากเกรง
ไม่สมใจที่อยากให้ทานในวาระสุดท้าย แม่ชีได้เมตตาอบรมสั่งสอน
เขาพร้อมกับให้ศีลให้พรและแผ่ส่วนกุศลแก่เขา ขอให้ได้ไปเกิดใน
กำเนิดที่มุ่งหมายตามใจหวัง เขารับอนุโมทนาส่วนบุญแล้วได้ลาจาก
ไปในขณะนั้น
พอรุ่งเช้าแกก็มากระซิบบอกคณะแม่ชีด้วยกันว่า แกนั่งทำ
สมาธิภาวนาอยู่ตอนดึกราว ๓ นาฬิกา ได้มีนิมิตปรากฏเห็นบุรุษ
คนหนึ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางที่มีความทุกข์ทรมานใจมาก เมื่อถูก
ถามก็ได้ความว่าบุรุษนั้นเป็นหมูป่าอาศัยอยู่ในภูเขา….มาหลายปี
คืนนี้ขณะหมูป่าตัวนั้นลงมากินน้ำที่แอ่งหินชายภูเขา จึงถูก
นาย….อยู่หมู่บ้าน…ซึ่งนั่งห้างคอยทีอยู่ยิงตายในขณะนั้น จาก
ร่างหมูตัวที่ตายนั้นจึงนิรมิตเพศเป็นมนุษย์มาหาฉัน แสดงความ
ประสงค์อยากอุทิศร่างกายอวัยวะของตัวที่ถูกเขาฆ่า ให้ทานแก่
พวกเราเพื่อรับประทานเนื้อหนังมังสังของเขา เผื่อภพต่อไปเขาจะได้
เกิดเป็นมนุษย์เพราะผลแห่งทานนี้ จึงได้เล่าเหตุการณ์ให้ทราบล่วงหน้าว่า เมื่อเขานำเนื้อหนังมังสังส่วนใดก็ตามมาให้ทานที่นี่
ขอให้พวกเราอนุเคราะห์เมตตาบริโภคให้เขาด้วย เพื่อบุญนี้
ได้เกื้อหนุนเขาได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติต่อไป ทำไมจึงเป็น
อย่างนี้ก็ไม่ทราบ ฉันเองก็ไม่เคยปรากฏเช่นนี้มาก่อนเลย ที่สัตว์
เดียรัจฉานคิดใจบุญอยากให้ทานเนื้อหนังของตนดังหมูป่าตัวนี้
ถ้าเป็นความจริง คอยสังเกตดูต่อไป จะจริงหรือเท็จประการใดบ้าง
ก็ทราบกันคราวนี้เอง
เป็นที่น่าประหลาดและอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยถ้าตามเหตุผล
ที่เป็นมานี้ คือพอสายหน่อยประมาณ ๘ นาฬิกา ก็เห็นผู้หญิง
สองสามคนกับภรรยาของนาย…..นั่นเอง คนหนึ่งนำเนื้อหมูป่ามา
ให้ทานที่นั่น พอคณะแม่ชีมองเห็นเนื้อที่เขานำออกแสดงก็ทราบ
กันโดยนัยว่า ต้องเป็นเนื้อหมูป่าตัวนั้นแน่นอนไม่สงสัย เมื่อถาม
เขาก็ทราบเป็นความจริงทุกประการ แม้ผู้ยิงหมูป่าตัวนั้นก็เป็น
นาย….จริง ๆ ด้วย นี่คือนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดในสมาธิของนักปฏิบัติ
บางราย และปัญหาที่เกิดจากสมาธิก็มีมากดังกล่าวมา จึงขอยุติ
ไว้เพียงเท่านี้
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นตามขั้นปัญญายิ่งมีมากกว่าสมาธิ ทั้ง
ลึกซึ้งและสลับซับซ้อนกว่าสมาธิอีกมากมาย วันหนึ่ง ๆ เกิดได้ไม่มี
กำหนด ต้องอาศัยปัญญาเป็นผู้คลี่คลายแยกแยะแก้ไขเป็นตอน ๆ
ไป มิฉะนั้นไม่มีทางผ่านพ้นไปได้ นอกจากไม่สามารถผ่านไปได้แล้ว
ยังทำให้เกิดงงงันอั้นตู้อยู่เป็นพัก ๆ เป็นวัน ๆ เพราะปัญหา
แต่ละข้อมีความหนักเบาต่างกัน นักภาวนาจำต้องเป็นนักใคร่ครวญ
ไปในตัวโดยไม่มีใครมาบังคับ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละปัญหา
หากเป็นเครื่องเขย่าสติปัญญาให้ตื่นตัวไปเอง นับแต่ขั้นอสุภะจนถึง




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2012, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ขั้นนามธรรมอันเป็นส่วนละเอียด ย่อมเป็นทางเดินของสติปัญญา
โดยแท้ นักปฏิบัติต้องเกิดปัญหาและปัญญาในตอนนี้แล มากกว่า
ทุกขั้นทุกตอนที่ผ่านมา
ถ้าเข้าใจว่าตนมีภูมิจิตภูมิธรรมละเอียดคล่องแคล่วใน
อสุภธรรม และนามธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
แต่ปัญหามิได้เกิดขึ้นมารบกวนใจ เลยคิดภาคภูมิว่าตนเป็นประเภท
สุขา ปฏิปทา คือ ปฏิบัติสะดวก นั่นคือการภาคภูมิในความนอนใจ
ของการปฏิบัติเพื่อรื้อถอนรากแก้วรากฝอย หรือรากเหง้าเค้ามูล
ของกิเลสทั้งปวงโดยไม่รู้สึกตัว เพราะการแก้กิเลสด้วยปฏิปทาเริ่มแต่
ขั้นสมาธิถึงขั้นปัญญาตามลำดับขั้นนั้น ๆ โดยมากต้องเกิดปัญหา
ต่าง ๆ แทรกขึ้นในระหว่างเป็นระยะไป ซึ่งเป็นการปลุกหรือเขย่า
สติปัญญาให้ตื่นตัวไปในขณะเดียวกัน ผู้ปฏิบัติธรรมไม่มีปัญหา
ใด ๆ เกิดขึ้นบ้างเลย นั่นน่าจะปฏิบัติสะดวกเกินไป ถ้าเป็นชิ้นเนื้อ
ต่าง ๆ ก็ชนิดเขียงกลัวไปตาม ๆ กัน ไม่กล้าเข้ามารองรับให้
สับหั่น นี่ก็น่ากลัวตัวประมาทนอนใจหรือตัวโมหะพากันกลัวไป
ตาม ๆ กัน ไม่กล้ารับเข้าในบัญชี กลัวจะไปทำลายจำพวกโมหะที่มี
อยู่มากพอแล้วให้แตกคอกแหวกแนวไปเสียหมดนั่นเอง
เฉพาะขั้นปัญญาโดยตรงด้วยแล้ว ต้องเป็นเรือนรังแห่ง
ปัญหาแง่ต่างๆ จะพึงเกิดขึ้นเสมอในวันเวลาหนึ่ง ๆ ขณะที่ปัญหา
ต่าง ๆ เกิดขึ้น สติปัญญาจะนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ เพราะถูกปัญหา
นั้น ๆ เขย่าเซ้าซี้อยู่ไม่หยุดจนทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ จำต้องทำการ
พิจารณาแก้ไขให้ลุล่วงไปเป็นตอน ๆ ซึ่งเป็นการดำเนินผ่านพ้นไป
ด้วยในขณะที่ปัญหาแต่ละข้อตกไป อุบายแยบคายต่าง ๆ ย่อม
เกิดขึ้นเสมอ โดยสติปัญญาที่ขุดค้นคลี่คลายพาให้เป็นไปการปฏิบัติที่ไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นบ้างเลย ย่อมแสดงถึง
ความนอนใจของผู้ปฏิบัติเองว่า ไม่แสวงหาทางหลุดพ้นด้วย
ความสนใจเท่าที่ควร เพราะโดยมากปัญหาย่อมเกิดขึ้นจากการ
ใคร่ครวญไตร่ตรองหาเหตุ จิตเป็นตัวการคอยรับเหตุดีชั่วอยู่ตลอด
เวลา เมื่อสังเกตใคร่ครวญอยู่บ้าง ย่อมต้องเจอสิ่งที่จะให้เกิดปัญหา
เรื่องต่างๆ ขึ้นมา อันเป็นทางให้เกิดปัญญาในอันดับต่อไป สำหรับ
ผู้สนใจต่อปัญญาเครื่องตัดฟันกิเลส
จึงขอเรียนตามความรู้สึกว่า นักปฏิบัติใดที่ไม่มีปัญหาใด ๆ
เกิดขึ้นจากการปฏิบัติบ้างเลยนับแต่ขั้นสมาธิเป็นต้นไป นักปฏิบัติ
นั้นมิได้ปฏิบัติเพื่อปัญญาความรู้แจ้งในสัจธรรมทั้งหลายอย่าง
แท้จริง และย่อมจะหาทางหลุดพ้นไปไม่ได้ เพราะสัจธรรม
ฝ่ายผูกมัดจิตอันมีสมุทัยเป็นสำคัญนั้น คือแหล่งแห่งปัญหา
เครื่องปลุกหรือเขย่าทั้งมวล และมรรคมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ
เป็นสำคัญ เป็นแหล่งแห่งปัญญาทุกขั้นซึ่งเป็นเครื่องแก้ปัญหาที่เกิด
จากสมุทัยสัจ ธรรมทั้งสองนี้ต้องทำหน้าที่ต่อกันอย่างเต็มภูมิ
ก่อนจะผ่านไปได้แต่ละขั้นละภูมิ การที่สติปัญญาทำหน้าที่ต่อสมุทัย
อันเป็นต้นเหตุแห่งปัญหานั้น เรียกว่าปัญหาเกิด และเรียกว่า
แก้ปัญหาในวงปฏิบัติของนักภาวนาทั้งหลาย ดังนั้นผู้ก้าวเข้าสู่
ความสงบบ้างแล้ว จึงควรใช้ปัญญาหาเหตุผลในลำดับต่อไป หรือ
เรียกว่าเริ่มต้นหาเรื่องให้เกิดปัญหา เพื่อปัญญาจะได้มีงานทำต่อไป
ไม่ว่างงาน อันเป็นลักษณะของคนขี้เกียจ ทำความสนิทติดจมอยู่
กับความนอนใจที่เรียกว่าโมหะ กล่อมให้หลับตลอดเวลาไม่มีวันตื่น
เอาเลย ซึ่งมิใช่ทางเดินของสมาธิ ปัญญา อันเป็นทางหลุดพ้น
ตามหลักของผู้แก้กิเลสด้วยสติปัญญาแต่จะอธิบายระบุว่าปัญหาที่เกิดต้องเป็นปัญหานั้น ต้องเกิด
ในลักษณะนั้น และปัญญาที่จะนำมาแก้ไขปัญหาต้องเป็นปัญญา
เช่นนั้น ต้องใช้อุบายอย่างนั้นดังนี้ย่อมไม่ได้ เรื่องทำนองนี้ต้องเป็น
เทคนิค คือความแยบคายของแต่ละรายจะคิดผลิตขึ้นเพื่อเหมาะแก่
กรณีนั้น ๆ เป็นข้อ ๆ และเป็นราย ๆ ไป เพราะคำว่าปัญหาก็ดี
ปัญญาก็ดี มีมากมายและสลับซับซ้อนไปตามกลมารยาของกิเลส
สมุทัย และความแยบคายของสติปัญญา ดังนั้นจึงลงไว้เท่าที่ควร
ไม่ฟั่นเฝือเรื้อรังเกินไปจนทำให้ท้อถอยน้อยใจก่อนจะลงมือปฏิบัติ
อย่างไรก็ตามการปฏิบัติทางใจเพื่อเหตุเพื่อผลจริง ๆ จำต้องมี
ปัญหาและปัญญาเป็นข้าศึกศัตรูกันตลอดไป จนถึงที่สุดของเหตุ
และผลโดยสมบูรณ์แล้วนั่นแล ปัญหาเกี่ยวกับสมุทัยก็ดี ปัญหา
เกี่ยวกับมรรคเครื่องแก้ก็ดี ย่อมหมดไปตาม ๆ กัน
ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายจึงกรุณาหนักแน่นในสติกับปัญญา
ที่จะพิสูจน์ปัญหาแง่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวในทางสมาธิ และทาง
ความรำพึงไตร่ตรองหรือทางปัญญา ให้ลุล่วงไปด้วยความมีเหตุผล
เป็นเครื่องดำเนิน กิเลสที่แทรกอยู่กับปัญหานั้น ๆ จะหลุดลอย
ไปด้วยขณะที่ปัญหาสิ้นสุดลงแต่ละข้อ การอธิบายปัญหาที่จะพึง
เกิดขึ้นโดยทางสมาธิและทางปัญญา ที่คิดว่าพอเป็นแนวแก่ท่าน
ผู้สนใจก็นับว่าพอสมควร จึงยุติไว้เพียงนี้
การสนทนาธรรมของพระกรรมฐาน ย่อมมีการเกี่ยวโยง
ไปถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากด้านสมาธิและด้านปัญญาอย่างแยก
ไม่ออก จึงได้นำเรื่องที่ควรคิดหรือเป็นตัวอย่างบางตอนของผู้มี
ประสบการณ์จากการปฏิบัติมาลงไว้ ดังเรื่องของแม่ชีคนนั้นเป็นต้น
ที่นำมาลงนี้เพียงเอกเทศเท่านั้น มิได้กว้างขวางมากมายนัก ดังที่ปรากฏกับท่านผู้ปฏิบัติเองเป็นราย ๆ ไปที่มีนิสัยต่าง ๆ กัน
การสนทนาธรรมของท่านจึงรู้สึกสลับซับซ้อนมาก ตามภูมิของ
ผู้ปฏิบัตินั้น ๆ จะรู้เห็นไปในแง่ต่าง ๆ กัน ปัญหาที่เกี่ยวกับสมาธิ
ที่รวมลงแล้วมีลักษณะแสดงออกอย่างไรในขณะนั้นบ้าง รวมลงแล้ว
หยุดอยู่ในขั้นใด เช่น ขั้นขณิกะ อุปจาระ อัปปนา บ้าง ขณะที่
รวมลงเพียงขั้นอุปจาระ จิตออกไปสัมผัสรับรู้กับอะไรบ้าง ซึ่งเป็น
สมาธิที่มักมีปัญหามากกว่าสมาธิอื่น ๆ บ้าง
เหล่านี้เป็นแหล่งแห่งปัญหาที่ผู้ปฏิบัติอาจปรากฏเป็น
บางราย แล้วนำมาสนทนากับหมู่คณะหรือครูอาจารย์ที่ตนเคารพ
เชื่อถือ ด้วยความจำเป็น ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับภูมินี้หรือภูมิปัญญา
เป็นขั้น ๆ ก็นำมาสนทนาต่อกัน เพื่อทดสอบความรู้ความเห็น
ให้เป็นที่แน่ใจทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายผู้มาศึกษาไต่ถามก็แน่ใจว่าไม่มี
ความล่อแหลมต่อความผิดพลาดในบรรดาปัญหาที่สนทนาผ่าน
มาแล้ว ฝ่ายผู้ให้การศึกษาก็แน่ใจว่าปัญหาของท่านนั้นเป็นไป
ในร่องรอยเพื่อการถอดถอนกิเลส และเป็นเครื่องส่งเสริมใน
การพิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามความจำเป็น
ปัญหาเกี่ยวกับความติดขัดในการพิจารณาเพื่อผ่านไปเป็น
พัก ๆ นี้สำคัญมาก ขณะพิจารณานั้นจิตติดอยู่กับอะไร จะควร
พิจารณาแก้ไขอย่างไรจึงจะถูกและจะผ่านไปได้ คู่สนทนาหรือ
อาจารย์ต้องพยายามชี้แจงวิธีแก้ไขจุดนั้น ๆ จนเป็นที่เข้าใจ เพื่อ
ผู้นั้นจะนำไปปฏิบัติถูกและได้ผลเป็นระยะไป ปัญหาต่าง ๆ
ที่ปรากฏขึ้นแต่ละปัญหาทั้งด้านสมาธิและด้านปัญญาขั้นนั้น ๆ
ย่อมสร้างความหนักใจแก่เจ้าของได้พอดู นอกจากจะวินิจฉัยด้วย
ตัวเองแล้ว ยังต้องอาศัยท่านที่เคยผ่านมาแล้วเป็นคู่ปรึกษาเป็นทอด ๆ ไป เพื่อความแน่ใจในการปฏิบัติ และปัญหาที่วินิจฉัยและ
ปรึกษาแล้วนั้นเป็นความมั่นใจด้วยเหตุผลสมบูรณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้
พระกรรมฐานจึงมักมีการสนทนาธรรมกันอยู่เสมอ เนื่องจาก
การปฏิบัติเป็นไปอยู่ตลอดเวลา
เวลาท่านสนทนากันอย่างถึงพริกถึงขิง ถึงเหตุผลอรรถธรรม
จริง ๆ นั้น ท่านมักสนทนากันระหว่างสองต่อสอง การสนทนา
แบบนี้ต้องเป็นโอกาสเหมาะ ๆ และนาน ๆ ท่านจะได้มาพบกัน
ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีความกระหายอยากฟังผลแห่งการปฏิบัติธรรม
ทางใจของกันและกัน การสนทนาจึงมักเริ่มต้นจากการปฏิบัติ หนึ่ง
เริ่มจากที่เคยสนทนากันแล้วเป็นต้นไป หนึ่ง โดยฝ่ายหนึ่งเริ่มเรื่อง
ของตัวจากลำดับดังกล่าวเรื่อยไปจนถึงปัจจุบันที่จิตกำลังเป็นอยู่
ลำดับต่อไปถ้ายังไม่มีโอกาสซักซ้อมปัญหาที่ผู้ฟังข้องใจ ผู้ฟังก็เริ่ม
เล่าเรื่องของตนให้อีกฝ่ายหนึ่งฟังต่อไป เริ่มแต่ต้นจนเต็มภูมิที่รู้
ที่เป็นมา จากนั้นถ้าท่านผู้ใดยังข้องใจในแง่แห่งธรรม หรือปัญหา
ที่มีแฝงอยู่ในธรรมที่ฝ่ายหนึ่งเล่าให้ฟัง ท่านผู้นั้นก็สนทนาซักซ้อม
ความเข้าใจต่อกันต่อไปอีก จนเป็นที่ลงกันได้ด้วยความสนิทใจ
อีกประการหนึ่ง ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นว่าปัญหาบางแขนงที่
นำมาสนทนาต่อกันนั้น ยังไม่เป็นที่สนิทใจของฝ่ายที่มีภูมิเหนือกว่า
ก็อธิบายแนะแนวให้ ถ้าควรดัดแปลงแก้ไขก็อธิบายวิธีแก้ไขให้ฟัง
ถ้าควรงดไม่ควรดำเนินวิธีนั้นต่อไปจะมีความเสียหายตามมา ก็
ชี้แจงให้ฟังจนเป็นที่เข้าใจ การสนทนาธรรมทางด้านปฏิบัติจึงเป็น
มงคลทั้งสองฝ่ายตามความรู้สึกของผู้เขียน เพราะต่างฝ่ายต่างฟัง
กันด้วยความจดจ่อต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นจนอวสานแห่งการสนทนา
และได้รับธรรมานุสรณ์จากกันไปเป็นที่ระลึกและปฏิบัติตามอย่างหาคุณค่าใด ๆ มาเทียบประมาณมิได้ ความระลึกในบุญคุณของ
กันและกันก็ไม่มีเวลาสิ้นสุดตลอดวันตายไม่มีทางเป็นอื่น
ขณะที่ท่านกำลังสนทนาธรรมกัน บางครั้งก็ยังมีพระขี้ดื้อ
ไม่เข้าเรื่อง เช่นผู้เขียนขโมยไปแอบฟังจนได้ จะว่าผิดพระวินัย
เพราะไปแอบฟังคำของภิกษุอื่นทะเลาะวิวาทกันฯ ปัญหานี้ก็
ไม่เข้าในลักษณะนั้น จึงพอเป็นโอกาสให้พระประเภทไม่เข้าเรื่อง
มีช่องทางแสวงธรรมจากวิธีนั้นได้ ขณะนั้นแลคือเวลาเป็นทอง
เป็นธรรมทั้งแท่งของทั้งคู่สนทนา ทั้งผู้ไปแอบฟังยิ่งกว่าเวลาอื่นใด
เพราะเป็นเวลาที่ทั้งสองท่านถ่ายทอดธรรมออกจากดวงใจมาเป็น
ขวัญหูขวัญใจของกันและกัน แม้ประเภทแอบฟังก็สนุกขโมย
เก็บกวาดธรรมจากท่านมาเป็นขวัญใจของตนต่อไปอีกต่อหนึ่ง แบบ
นักปราชญ์ขโมยธรรม ซึ่งไม่ค่อยจะปรากฏมีมากนักในวงพุทธ
ศาสนา เฉพาะวงปฏิบัติทั้งครั้งพุทธกาลและสมัยปัจจุบันน่าจะมี
แฝงอยู่บ้างเรื่อยมา เพราะเป็นสิ่งที่หาฟังได้ยากในธรรมสภาทั่วไป
เนื่องจากธรรมนั้นมิใช่ธรรมสภาที่ควรออกในที่สาธารณะ แต่เป็น
ธรรมที่มีอยู่เฉพาะของแต่ละราย จะหาโอกาสสนทนากันตาม
ความถนัดใจเป็นบางกาลบางสถานที่ และกับบุคคลบางคนเท่านั้น
การสนทนาธรรมของบางท่านที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงสนทนา
กันนั้น กินเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะจบลงได้แต่ละฝ่าย เพราะ
เกี่ยวกับวิธีการบำเพ็ญ สถานที่บำเพ็ญ การแก้ปัญหาสำคัญลงได้
แต่ละปัญหาซึ่งมีจำนวนมากต่อมากด้วยกัน และเวลาเข้าใจธรรม
แต่ละขั้นหลังจากแก้ปัญหาสำคัญลงได้ จึงเป็นเรื่องยืดยาวและสลับ
ซับซ้อนมาก กว่าจะพรรณนาเรื่องความเป็นมาของจิตแม้เพียงตอน
สำคัญ ๆ จบลง ก็ยังต้องกินเวลานาน แต่ละฝ่ายเล่าก็ยังมีนัยแห่งการพรรณนาความเป็นมาของตนยืดยาว และสลับซับซ้อน
คล้ายคลึงกัน ทั้งนี้เพราะเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จำต้องเล่าใน
ประเด็นสำคัญที่ควรเล่า เพื่ออีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ ระหว่างเหตุกับผล
ว่าสมดุลหรือขัดแย้งกันประการใดบ้าง เนื่องจากผลแห่งธรรมทุกขั้น
ที่ปรากฏขึ้นจากการปฏิบัติ จำต้องแสดงถึงเหตุคือวิธีการดำเนิน
กำกับไปด้วย ดังนั้นการสนทนาธรรมจึงต้องกล่าวถึงเหตุเป็นคู่เคียง
กันไป จะเป็นฝ่ายใดรู้ฝ่ายใดเล่าก็ตาม ต้องยกเหตุคือการดำเนิน
เป็นเครื่องยืนยัน และผลที่ได้รับขึ้นแสดงเป็นคู่เคียงกันไป
ที่น่าฟังมากและจับใจไม่ลืมแม้วันตาย ก็ตอนท่านเล่าถึง
ขณะจิตที่พลิกตัวด้วยอุบายสติปัญญาทันกับกลมารยาของกิเลส
แต่ละประเภท แล้วผ่านพ้นไปได้เป็นระยะ กับขั้นสติปัญญาพอตัวรู้
เท่าทันราคะตัณหา แล้วจิตกับกิเลสประเภทนี้ขาดจากความสืบต่อ
กันไปในขณะนั้น และขั้นที่จิตมีกำลังเต็มภูมิแล้ว คว่ำอวิชชาซึ่งเป็น
รากแก้วของวัฏฏะลงได้ เหล่านี้ซึ่งเป็นธรรมอัศจรรย์หาฟังได้ยาก
ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งเกิดมาส่วนมากทั้งท่านและเรามักจะ
ตายเปล่า ไม่เคยมีเสียงของท่านผู้ปฏิบัติและรู้ธรรมประเภทนี้มา
ผ่านหูเลย นอกจากเสียงอีโรโปเกที่เหยียบย่ำทำลายสุขภาพทางกาย
และทางใจ ดังเรา ๆ ท่าน ๆ ฟังกันอยู่ทุกวันนี้จนเบื่อแทบอกแตก
ตายอยู่แล้ว แม้เช่นนั้นก็อดพูดอดฟังกันไม่ได้ เพราะเป็นประเภท
อาหารก้นหม้อ ถ้าไม่ทานก็ไม่ทราบจะทานอะไร
แต่การสนทนาธรรมกัน ท่านกล่าวไปตามหลักธรรมชาติที่
เกี่ยวข้องกับจิตในวงปฏิบัติ มิได้กล่าวถึงขั้นถึงภูมิแห่งธรรมนั้น ๆ
เลยว่า ได้ขั้นนั้นขั้นนี้ เช่น ได้บรรลุโสดาฯ อรหัต ไม่ว่าท่านองค์ใด
สนทนา ท่านรู้สึกถนัดไปตามวิสัยป่าเสียมากกว่าจะเป็นวิสัยของผู้เจริญและจัดเจนในสังคม ในวงปฏิบัติถ้าได้ยินท่านองค์ใดพูดแบบ
บ้านเมืองที่เจริญแล้วออกมาว่า “สำเร็จขั้นนั้นขั้นนี้” ดังนี้ เพื่อนฝูง
จะรู้สึกอะไร ๆ ไม่สนิทใจกับท่านองค์นั้นขึ้นมาแบบพิกล และ
ออกจะเริ่มคลายความสนิทตายใจทันที เพราะกิริยาชนิดนั้นไม่มี
ท่านผู้ใดแม้มุ่งต่อธรรมขั้นนั้น ๆ อยู่อย่างเต็มใจอาจพูดออกมาได้
เนื่องจากท่านเห็นว่าเป็นธรรมอันสูงสุดในแดนแห่งธรรมที่ท่าน
สมมุติไว้ จึงพากันเทิดทูนไม่กล้าอาจเอื้อมในทางวาจา แต่มุ่งสัมผัส
ทางใจด้วยข้อปฏิบัติมากกว่าการแสดงกิริยาอันน่าเกลียดออกมา
ให้โลกเห็น
แต่การแสดงออกด้วยความสำคัญว่าตนสำเร็จ ซึ่งเกิดจาก
ความไม่รอบคอบแต่เจตนายังดีอยู่ก็มี การแสดงออกเป็นอุบายวิธี
จะไปเที่ยวโลกพระจันทร์ พระอังคารก็มี ซึ่งเป็นเจตนาที่หยาบคาย
ร้ายกาจสิ้นดี ไม่ควรจะมีในวงปฏิบัติ ประเภทแรกพอให้อภัย ควร
ช่วยเหลือได้ด้วยวิธีใดต่างก็พยายามช่วยเหลือสุดความสามารถ
ไม่ค่อยมีท่านผู้ใดรังเกียจ นอกจากสงสารแล้วช่วยตักเตือนด้วย
ความเมตตา เพราะเรื่องทำนองนี้อาจมีได้ในวงปฏิบัติ เพราะทาง
ไม่เคยเดินย่อมมีรู้มีหลงได้ทั้งท่านและเรา ดังเคยมีมาแล้วในสมัย
ปัจจุบันนี้เอง ท่านที่ว่านี้ก็เป็นนักปฏิบัติมีความสนใจในธรรมอย่าง
แรงกล้า ไปบำเพ็ญธรรมอยู่ในภูเขา พอตอนดึกสงัดจิตก็เกิดสงัด
ขึ้นมาในเวลาเที่ยงคืน ท่านเองเข้าใจว่าตนสำเร็จพระอรหัตไปแล้ว
จึงคว้าเอากล่องยานัตถุ์ในย่ามมาเป่าแทนนกหวีด “ปี๊ด ๆ ๆ”
ให้สัญญาณเร่งเรียกเพื่อน ๆ ที่ไปด้วยกันมาหาในขณะนั้น
เมื่อต่างตกใจรีบมาถามท่านก็บอกตามตรงว่า “ผมสำเร็จ
แล้ว สำเร็จเมื่อสักครู่นี่เอง นึกสงสารเพื่อน ๆ จึงได้เป่านกหวีดเรียกให้มาหา” ส่วนจะจริงหรือเท็จนั้นไม่มีใครทราบได้ ขณะนั้น
เพื่อน ๆ สององค์นึกตำหนิอยู่ภายในว่า “สำเร็จแบบเป่านกหวีดนี้
มันอะไรกันก็ไม่รู้ พิสดารเกินไปแล้วนี่” แต่ไม่กล้าออกปากพูด
ออกมา พอเที่ยงคืนวันหลังก็ได้ยินเสียงนกหวีดดังลั่นสนั่นภูเขาขึ้น
อีกแล้ว เพื่อน ๆ ได้ยินก็นึกเอือมในใจว่า “เป่านกหวีดคราวนี้จะ
สำเร็จขั้นบ้าหรือขั้นอะไรกันอีกนานี่ เมื่อคืนนี้ก็สำเร็จอรหัตไปแล้ว
แล้วบัดนี้จะสำเร็จอะไรกันอีกก็ไม่รู้ ยุ่งจริงพระอรหันต์องค์นี้” แต่ก็
ฝืนใจมาเพราะมาด้วยกัน จะทำเฉยเสียก็ดูกระไรอยู่
พอมาถึงก็ถามว่าคราวนี้สำเร็จขั้นไหนกันอีก พระอรหันต์
นกหวีดตอบว่าก็มันไม่สำเร็จนี่ท่าน คืนที่แล้วเข้าใจผิดต่างหาก เพิ่ง
มาเข้าใจเดี๋ยวนี้ว่ามันยังอยู่จึงได้รีบเป่านกหวีดให้มาหา จะได้แก้ข่าว
ว่ามันยังไม่สำเร็จ นี่มันโกหกผมต่างหาก กิเลสนี้เก่งจริง ต่อไปนี้จะ
ทรมานมันอย่างหนัก โมโหจริง ถูกกิเลสหลอกได้ เพื่อนถาม ก็คืน
ที่แล้วก็ดี คืนนี้ก็ดี ทำไมจึงพูดออกมาแบบพล่าม ๆ ไม่มีสติอยู่กับ
ใจบ้างหรืออย่างไร เดี๋ยวเขาจะว่ากรรมฐานบ้า ผมน่ะอายจะตาย
อยู่แล้วเวลานี้ ก็กิเลสมันหายเงียบไปนี่ นึกว่ามันตายแล้ว ก็ต้อง
ฉลองชัยชนะบ้างซิท่าน ด้วยการเป่านกหวีดไงล่ะ แต่คืนนี้มันโผล่
ขึ้นมาอีกมิได้ตายดังที่เข้าใจ จึงรีบบอกหมู่เพื่อนอีกน่ะซิ ถ้าเป็น
ความสำคัญผิดแบบนี้ก็ไม่มีใครถือสา นอกจากนึกขบขันและน่า
หัวเราะไปธรรมดา ส่วนประเภทหลังเป็นประเภทที่น่าเกลียดน่ากลัว
มาก แต่ผู้ชอบไปโลกพระจันทร์นั้น มักจะชอบประเภทนี้กันมาก
จึงมักมีโรคพระจันทร์แฝงอยู่ในวงปฏิบัติเรื่อยมาอย่างแก้ไม่ตก
เฉพาะท่านอาจารย์มั่น เท่าที่ทราบมาไม่เคยปรากฏเลยที่จะ
พูดพาดพิงองค์ท่านไปเกี่ยวกับมรรคผล ว่าท่านได้ขั้นนั้นภูมินี้ รู้สึกท่านเคารพในขั้นภูมิธรรมนั้น ๆ มาก นอกจากจะพูดไปตาม
ความจริงของธรรมที่ปรากฏขึ้นกับท่านเอง แม้ที่เขียนไว้ในประวัติว่า
ท่านสำเร็จขั้นนั้น ๆ เฉพาะองค์ท่านเองก็มิได้แสดงออกอย่างนั้น
แต่หากเป็นเพราะผู้เขียนซึ่งเป็นคนโง่นำเรื่องท่านมาลง ตาม
ความเข้าใจที่ได้ฟังธรรมในหลักธรรมชาติของท่านต่างหาก ที่นำลง
เช่นนั้นโดยมีความมุ่งหมายอยากให้ท่านผู้อ่านผู้ฟังได้อ่านได้ฟัง
อย่างถึงใจ แม้ตนมิได้เป็นอย่างท่านก็พอได้อ่านได้ฟังเป็นขวัญใจ
และอบอุ่นกระตุ้นเตือนประสาทพอตื่นตนบ้าง ไม่นอนจมปลักอยู่
โดยถ่ายเดียว
การพูดเรื่องอุบายของสติปัญญาทำการพลิกแพลงกับ
กิเลส และวิถีจิตที่ด้นดั้นบั่นทอนกิเลสทั้งหลายด้วยวิธีต่าง ๆ
อันเป็นลักษณะท่าทางของอาชาไนยนั้น ยกให้ท่านอาจารย์มั่น
ผู้เป็นเจ้าของประวัติในสมัยปัจจุบัน โดยไม่มีทางติได้สำหรับผู้เขียน
แต่ที่ท่านจะพูดว่าผมสำเร็จขั้นนั้นภูมินี้แห่งธรรมนั้น ไม่เคย
ได้ยินจากท่านเลย เพราะความฉลาดแหลมคมของท่านผู้เป็น
เนติแบบฉบับแก่โลกสมัยปัจจุบัน จึงไม่แสดงออกซึ่งสิ่งแสลง
ต่อหลักความดีงามแห่งพระธรรมวินัยอันเป็นองค์แทนของศาสดา
ความฉลาดรอบรู้หากเตือนให้ทราบในฐานะของศาสดากับของ
ท่านเองซึ่งเป็นสาวก ว่ามีความแตกต่างกันโดยทางสมมุติ
ขณะที่ท่านเองก็ยังอยู่ในสมมุติโดยทางธาตุขันธ์แม้จิตผ่านพ้นไป
แล้ว จึงควรยึดมาเป็นคติแก่อนุชนรุ่นท่าน ๆ เรา ๆ พอจะมี
ยางอายติดตัวติดใจบ้าง ไม่เลยเถิดเตลิดเปิดเปิง จนผู้ปฏิบัติธรรม
กลายเป็นบุคคลที่น่าขยะแขยงในสังคม ที่ยังเคารพสมมุติอันดีงาม
ทั้งหลายอยู่




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 59 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร