วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 15:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2012, 23:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่กบนอกกะลา :b8:
ผมรวมเอาไว้ด้วยครับ เพราะเมื่อไม่มีภพก็ไม่มีชาติ ก็ไม่มีรูปนาม ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีทุกขเวทนาทั้งหลายไปโดยปริยาย เพราะเวทนาทั้งหลายต้องอาศัยรูปนามเกิดขึ้นใช่มั้ยครับ เพราะรูปนามเป็นทุกขสัจ เวทนาทั้งหลายจึงเป็นทุกขสัจโดยปริยาย และเพราะความดับสนิทแห่งรูปนาม เวทนาทั้งหลายจึงดับสนิทไปโดยปริยายเช่นกันใช่มั้ยครับ...ดังนั้นจึงว่า ใช่ โดยปริยายครับ
ขอบคุณครับ :b8:


สวัสดีเช่นกันครับ... :b16: :b16:
เพราะเมื่อไม่มีภพก็ไม่มีชาติ ก็ไม่มีรูปนาม ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีทุกขเวทนาทั้งหลายไปโดยปริยาย
เรียงให้เห็นชัด ๆ ใหม่...

เมื่อไม่มีภพ...ก็ไม่มีชาติ
เมื่อไม่มีชาติ...ก็ไม่มีรูปนาม
เมื่อไม่มีรูปนาม....ก็ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย....แล้วก็ไม่มีทุกขเวทนา

หากจะไล่เรียง...ที่ถูก..ก็ต้องอย่างที่คุณ โกวิท ยกมา...คือถูกตามปฏิจจะ

ตรงที่ขีดเส้นใต้...คุณลูกพระป่า....คงหมายความแบบง่าย ๆ คือ...การเกิดมาเป็นตัวคน...สัตว์..อะไรทำนองนี้ใช่มั้ยครับ?

ถึงจะเอาความหมายแบบง่าย...ก็ยังแปลก ๆ อยู่

เวทนามี 3 คือ สุขเวทนา ทุกข์เวทนา อทุกขมสุขเวทนา....พวกนี้ไม่ใช่เป้าหมายในการดับ...ไม่งั้น ฌาณ 4 สมาบัติ 8 ก็ดับได้แล้ว....แล้วพระอรหันต์ที่ยังทรงธาตุขันธ์...เวทนาก็ยังเกิดอยู่...

แล้วอะไรคือทุกข์ที่พระอรหันต์ท่านดับไปแล้ว?

ทุกขเวทนา...กับ...โสกะ...ปริเทวะ..ทุกข์...โทมนัส...อุปายาส...เป็นตัวเดียวกันหรือ?

เวทนานี้นะ...มันชกเราทีเดียวแล้วก็ไป..เกิดแล้วก็ดับทันที

เวทนา...เหมือนเหยื่อล่อ...ให้เอาสิ่งนั้นมาก็โยนสุขเวทนามาให้...ให้หนีห่างก็โยนทุกขเวทนามาให้..โยนแล้วก็ชักกลับ

แต่เรานี้ซิ...ก็คิดปรุงไปต่าง ๆ นานา...แล้วว่า...จะได้อย่างที่ต้องการอย่างไรดี...นั่งอมทุกข์ทั้งวัน...ตรงนี้แหละ...โสกะ..ปริเทวะ..ทุกข์...โทมนัส...อุปายาส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 03:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่กบนอกกะลา :b8:
ผมรวมเอาไว้ด้วยครับ เพราะเมื่อไม่มีภพก็ไม่มีชาติ ก็ไม่มีรูปนาม ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีทุกขเวทนาทั้งหลายไปโดยปริยาย เพราะเวทนาทั้งหลายต้องอาศัยรูปนามเกิดขึ้นใช่มั้ยครับ เพราะรูปนามเป็นทุกขสัจ เวทนาทั้งหลายจึงเป็นทุกขสัจโดยปริยาย และเพราะความดับสนิทแห่งรูปนาม เวทนาทั้งหลายจึงดับสนิทไปโดยปริยายเช่นกันใช่มั้ยครับ...ดังนั้นจึงว่า ใช่ โดยปริยายครับ
ขอบคุณครับ :b8:


สวัสดีเช่นกันครับ... :b16: :b16:
เพราะเมื่อไม่มีภพก็ไม่มีชาติ ก็ไม่มีรูปนาม ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีทุกขเวทนาทั้งหลายไปโดยปริยาย
เรียงให้เห็นชัด ๆ ใหม่...

เมื่อไม่มีภพ...ก็ไม่มีชาติ
เมื่อไม่มีชาติ...ก็ไม่มีรูปนาม
เมื่อไม่มีรูปนาม....ก็ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย....แล้วก็ไม่มีทุกขเวทนา

หากจะไล่เรียง...ที่ถูก..ก็ต้องอย่างที่คุณ โกวิท ยกมา...คือถูกตามปฏิจจะ

ตรงที่ขีดเส้นใต้...คุณลูกพระป่า....คงหมายความแบบง่าย ๆ คือ...การเกิดมาเป็นตัวคน...สัตว์..อะไรทำนองนี้ใช่มั้ยครับ?

ถึงจะเอาความหมายแบบง่าย...ก็ยังแปลก ๆ อยู่

เวทนามี 3 คือ สุขเวทนา ทุกข์เวทนา อทุกขมสุขเวทนา....พวกนี้ไม่ใช่เป้าหมายในการดับ...ไม่งั้น ฌาณ 4 สมาบัติ 8 ก็ดับได้แล้ว....แล้วพระอรหันต์ที่ยังทรงธาตุขันธ์...เวทนาก็ยังเกิดอยู่...

แล้วอะไรคือทุกข์ที่พระอรหันต์ท่านดับไปแล้ว?

ทุกขเวทนา...กับ...โสกะ...ปริเทวะ..ทุกข์...โทมนัส...อุปายาส...เป็นตัวเดียวกันหรือ?

เวทนานี้นะ...มันชกเราทีเดียวแล้วก็ไป..เกิดแล้วก็ดับทันที

เวทนา...เหมือนเหยื่อล่อ...ให้เอาสิ่งนั้นมาก็โยนสุขเวทนามาให้...ให้หนีห่างก็โยนทุกขเวทนามาให้..โยนแล้วก็ชักกลับ

แต่เรานี้ซิ...ก็คิดปรุงไปต่าง ๆ นานา...แล้วว่า...จะได้อย่างที่ต้องการอย่างไรดี...นั่งอมทุกข์ทั้งวัน...ตรงนี้แหละ...โสกะ..ปริเทวะ..ทุกข์...โทมนัส...อุปายาส

เป้าหมายของปฏิจสมุบาท มีเพื่อให้รู้แล้วไปดับกิเลสสังโยชน์สิบโน้น
ความหมายของการแทงตลอดวงปฏิจฯ ก็คือให้ไปรู้เพื่อดับสังโยชน์สิบ
ใครที่จะแสดงความเห็นว่า ดับโน้นดับนี่ ก็ให้รู้ไว้ด้วยว่า...
ยังมีกฎอิทัปปัจจยตาอยู่

แล้วเรื่องดับมันก็ดับของมันอยู่แล้วตามกฎไตรลักษณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 07:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
ปฏิจสมุบาท ถ้ารู้ก่อนบรรลุธรรม มักจะทำให้งงหรือหลง แต่ถ้ารู้หลังบรรลุธรรม(ซึ่งจะรู้เองโดยธรรม)จะทำให้ลึกซึ้งแตกฉาน เห็นถึงพระปัญญาธิคุณอันเลิศของพระบรมศาสดา onion
หลักเบื้องต้นสำหรับผู้ปฏิบัติภาวนา ต้องรู้เป้าหมายของการภาวนา และวิธีภาวนาที่ถูกต้องให้ดี
อุปมาเหมือนนักกฬายิงปืน ต้องรู้ว่าจะต้องหมายยิงที่ใดในเป้าวงกลม ซึ่งตามธรรมดา ก็ต้องยิงให้ได้ตรงกลางเป้าที่มีคะแนนเต็ม 10 วิธีการจับปืน วิธีการเล็งและยิงให้แม่นนั้นเป็นเรื่องของการฝึกฝน ขยัน กระทำซ้ำและพัฒนาจนกว่าจะแม่นยำยิงเข้ากลางเป้าได้

:b8:
เป้าหมายสำคัญหรือจุดกลางเป้าของผู้ปฏิบัติภาวนาทุกคนที่พึงจะต้องทำให้ได้ในชาตินี้ มิใช่เรื่องอื่นๆเลย อย่าพยายามไปวิตกวิจารณ์กันในเรื่องอื่นๆให้มากเลย
:b27:
"ความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ หรือ สักกายทิฐิ หรือ อัตตา อัตตทิฐิ นี่คือจุดศูนย์กลางของเป้าสำหรับผู้ภาวนา ที่จะต้องยิงให้ถูก เอาชนะให้ได้ ทำลายให้หมดไปโดยเร็วที่สุด
onion
คำสรุปของคุณโฮ....วันนี้จึงค่อนข้างจะใช่ แต่กว้างไปหน่อยเมื่อเล็งที่สังโยชน์ 10
ต้องเล็งที่ สังโยชน๋์ตัวที่ 1 ให้ได้ก่อนนะครับทุกท่าน

:b8: :b12: tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ชิดชัย เขียน:
ทำไมแก้ทุกข์จึงยาก ทั้งๆ ที่เห็นทุกข์กันอยู่เป็นประจำ ทุกท่านคิดว่า เพราะเหตุใดครับ :b8:



ตราบใดที่ยังไม่รู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์ตามที่เป็นจริง
ตราบใดที่ยังไม่รู้ในอิทัปปัจยตาปฏิจจสมุปบาท ตราบใดที่ไม่รู้ธรรมทั้งหลายตามที่เป็นจริง ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ตราบใดที่ยังยึดถือด้วยตัณหาและทิฏฐิ ว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นอัตตาของเรา ก็ต้องทุกข์อยู่ร่ำไป สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูกย่อมท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ เราได้ถูกทุกข์กัดกินมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว และถ้ายังไม่รู้อีกก็ต้องเกิดอีกแล้วก็ทุกข์อีก เป็นอย่างงี้เรื่อยไป จนกว่าปัญญาจะสามารถรู้ความจริงและละความไม่รู้ทั้งหลาย ไม่ใช่เพียงแต่ตรึกนึกเอาก็จะพ้นทุกข์ได้ การเห็นว่าทุกข์ของเรา ทุกข์ของเรา เศร้าโศกอยู่ อมทุกข์อยู่ หรือเมื่อผจญทุกข์ใดอยู่ก็ไม่ต้องการที่จะมีทุกข์นี้อยากให้หมดๆไป หรือไม่ก็ไปหาสุขมาเสพเพื่อแก้ทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราว เป็นทาสของความไม่รู้ เป็นทาสของความต้องการ สิ่งเหล่านี้ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ได้จริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 10:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 11:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เวทนา...เป็นเพียงเหยื่อล่อของอวิชชา...ให้รักษารูปนี้เท่านั้น..

มันไม่ได้มีอยู่จริง...

สันว์ที่หลงอยู่...ก็วิ่งไปตามเวทนา..อันเป็นของเหยื่อของนายพรานที่ชักล่อสัตว์ไปตามทางที่ต้องการ

ทาง..ที่มีจุดหมายคือ..รักษารูปนี้..แค่นั้นเอง

เพียงรู้ความจริงของรูปที่ไม่ต้องรักษา...ก็พอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:44
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทำไมแก้ทุกข์จึงยาก ทั้งๆ ที่เห็นทุกข์กันอยู่เป็นประจำ


ในความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่า ทุกข์แก้ไม่ได้ค่ะ แต่เราสามารถเห็นแจ้งในทุกข์ได้ เมื่อเราเห็นแจ้งแก่ใจในทุกข์ว่า ทุกข์นี้มีความเปลี่ยนแปลงไปเสมอและก็ดับไปในที่สุด..เมื่อเราเห็นแจ้งในทุกข์ได้(ในไตรลักษณ์ได้) เราก็จะไม่ติดในทุกข์..เหมือน น้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว เห็นทุกข์แต่ไม่ติดในทุกข์นั้นๆ..รับทุกข์ตามกรรมแต่ไม่ติดในทุกข์นั้น


อ้างคำพูด:
เพราะเหตุใดครับ


เพราะเรายึดถือยึดมั่นในขันธ์5 ..การละวางการยึดถือยึดมั่นในขันธ์5 ได้ ต้องละสังโยชน์10 โดยเทียบได้ว่า

1.กายที่มีธาตุ4 มารวมกันเรียกว่ารูป ..ถ้าเทียบกับสังโยชน์คือ ข้อ1 คือสักกายทิฎฐิ

2. ความรู้สึก ทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ไม่สุข เรียกว่า เวทนา..

- ทุกข์ เกิดจากความไม่พอใจ ถ้าเทียบกับสังโยชน์10 คือ ปฎิฆะ

- สุข์ เกิดจาการที่เราพอใจ ใน กิเลส รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ถ้าเทียบกับสังโยชน์10 คือ กามฉันทะ

- ไม่ทุกข์ไม่สุข แปลว่า ไม่รู้ว่าตัวเองทุกข์หรือไม่แน่ใจว่าตัวเองสุขกันแน่ ตัวนี้ถ้าเทียบกับสังโยขน์10 ตัว นี้ก็คือ อวิชชา

3. สัญญาคือความจำ คือการที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมด ที่ไม่ได้เกิดการการปฎิบัติและเห็นแจ้งในธรรมนั้นๆ ทุกอย่างถือว่า เป็นสัญญาทั้งหมด ตัวนี้ถ้า เทียบกับสังโยชน์10 ตัวนี้ก็คือ อวิชชา

4. สิ่งปรุงแต่งที่ทำให้เกิด คำว่า บุญ บาป ดีชั่ว หรือที่เราเรียกว่า สังขาร ตัวนี้เกิดจากการปรุงแต่งจาก อายตนะ12 ถ้าเทียบกับสังโยชน์10 คือ อุทธัจจะ หรือที่เราเรียกว่า ฟุ้งซ่านนั่นเอง

5 ประสาทการรับรู้หรือที่เราเรียกว่า วิญญาณ คือ ทำให้เกิด คำว่า ร้อน หิว หนาว เจ็บ ถ้าเทียบกับสังโยชน์ 10 คือ ความยึดถือยึดมั่นหรือก็คือ มานะ



เมื่อละสังโยชน์10 ได้ หรือค่อยๆละได้ ทุกอย่างจะเริ่มเห็นตามความเป็นจริง ในไตรลักษณ์ ในโลกธรรม8 ว่าเป็นธรรมดา เมือเห็นแจ้งแก่ใจแล้ว ใจก็ค่อยๆปลด ค่อยๆว่าทุกข์ลง ขันธ์ยังรับกรรมอยู่ทุกข์อยู่แต่จิตแจ้งเข้าใจในเหตุที่มาที่ไปว่า ทุกคนย่อมเป็นไปตามกรรม..เป็นธรรมดา.. เมื่อเห็นแจ้งแล้ว จิตก็ค่อยๆที่จะยอมรับและเต็มใจที่จะให้ขันธ์รับกรรม ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ แต่ใจเราจะไม่ติดทุกข์ นั้นแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ก.ไก่ เขียน:
อ้างคำพูด:
ทำไมแก้ทุกข์จึงยาก ทั้งๆ ที่เห็นทุกข์กันอยู่เป็นประจำ


ในความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่า ทุกข์แก้ไม่ได้ค่ะ แต่เราสามารถเห็นแจ้งในทุกข์ได้ เมื่อเราเห็นแจ้งแก่ใจในทุกข์ว่า ทุกข์นี้มีความเปลี่ยนแปลงไปเสมอและก็ดับไปในที่สุด..เมื่อเราเห็นแจ้งในทุกข์ได้(ในไตรลักษณ์ได้) เราก็จะไม่ติดในทุกข์..เหมือน น้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว เห็นทุกข์แต่ไม่ติดในทุกข์นั้นๆ..รับทุกข์ตามกรรมแต่ไม่ติดในทุกข์นั้น


อ้างคำพูด:
เพราะเหตุใดครับ


เพราะเรายึดถือยึดมั่นในขันธ์5 ..การละวางการยึดถือยึดมั่นในขันธ์5 ได้ ต้องละสังโยชน์10 โดยเทียบได้ว่า

1.กายที่มีธาตุ4 มารวมกันเรียกว่ารูป ..ถ้าเทียบกับสังโยชน์คือ ข้อ1 คือสักกายทิฎฐิ

2. ความรู้สึก ทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ไม่สุข เรียกว่า เวทนา..

- ทุกข์ เกิดจากความไม่พอใจ ถ้าเทียบกับสังโยชน์10 คือ ปฎิฆะ

- สุข์ เกิดจาการที่เราพอใจ ใน กิเลส รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ถ้าเทียบกับสังโยชน์10 คือ กามฉันทะ

- ไม่ทุกข์ไม่สุข แปลว่า ไม่รู้ว่าตัวเองทุกข์หรือไม่แน่ใจว่าตัวเองสุขกันแน่ ตัวนี้ถ้าเทียบกับสังโยขน์10 ตัว นี้ก็คือ อวิชชา

3. สัญญาคือความจำ คือการที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมด ที่ไม่ได้เกิดการการปฎิบัติและเห็นแจ้งในธรรมนั้นๆ ทุกอย่างถือว่า เป็นสัญญาทั้งหมด ตัวนี้ถ้า เทียบกับสังโยชน์10 ตัวนี้ก็คือ อวิชชา

4. สิ่งปรุงแต่งที่ทำให้เกิด คำว่า บุญ บาป ดีชั่ว หรือที่เราเรียกว่า สังขาร ตัวนี้เกิดจากการปรุงแต่งจาก อายตนะ12 ถ้าเทียบกับสังโยชน์10 คือ อุทธัจจะ หรือที่เราเรียกว่า ฟุ้งซ่านนั่นเอง

5 ประสาทการรับรู้หรือที่เราเรียกว่า วิญญาณ คือ ทำให้เกิด คำว่า ร้อน หิว หนาว เจ็บ ถ้าเทียบกับสังโยชน์ 10 คือ ความยึดถือยึดมั่นหรือก็คือ มานะ



เมื่อละสังโยชน์10 ได้ หรือค่อยๆละได้ ทุกอย่างจะเริ่มเห็นตามความเป็นจริง ในไตรลักษณ์ ในโลกธรรม8 ว่าเป็นธรรมดา เมือเห็นแจ้งแก่ใจแล้ว ใจก็ค่อยๆปลด ค่อยๆว่าทุกข์ลง ขันธ์ยังรับกรรมอยู่ทุกข์อยู่แต่จิตแจ้งเข้าใจในเหตุที่มาที่ไปว่า ทุกคนย่อมเป็นไปตามกรรม..เป็นธรรมดา.. เมื่อเห็นแจ้งแล้ว จิตก็ค่อยๆที่จะยอมรับและเต็มใจที่จะให้ขันธ์รับกรรม ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ แต่ใจเราจะไม่ติดทุกข์ นั้นแล้ว

:b8: :b8: นี่สิของจริงไม่ได้ปรุงแต่งแบบพวก พูดจาเป็นน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งเต่ากิน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 22:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทั้งรูปและนาม...นั้นแหละ...สักกายทิฎฐิ

สักกายทิฎฐิอย่างหยาบ...ก็รูปกาย...อย่างละเอียด...ก็เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

สติปัฎฐาน4...จึงให้ศึกษาแต่ใน...กาย..เวทนา..จิต..ธรรม..เพื่อละสักกายทิฎฐิ...ตัวเดียว

เห็นจริงในสักกายทิฏฐิ..ตัวเดียว...ก็ละสังโยชน์ทั้ง 10

ก็ไม่เห็นเรามีในกายแล้ว..จะเอาอะไรไปรักไปโกรธ...จะมีอะไรให้ไปหลงทนงตน

:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 23:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:44
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทั้งรูปและนาม...นั้นแหละ...สักกายทิฎฐิ

สักกายทิฎฐิอย่างหยาบ...ก็รูปกาย...อย่างละเอียด...ก็เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

สติปัฎฐาน4...จึงให้ศึกษาแต่ใน...กาย..เวทนา..จิต..ธรรม..เพื่อละสักกายทิฎฐิ...ตัวเดียว

เห็นจริงในสักกายทิฏฐิ..ตัวเดียว...ก็ละสังโยชน์ทั้ง 10

ก็ไม่เห็นเรามีในกายแล้ว..จะเอาอะไรไปรักไปโกรธ...จะมีอะไรให้ไปหลงทนงตน

:b16:


ระดับปัญญาคนเราต่างกัน ก.ไก่ เป็นคนโง่ เลยต้องเป็นไปที่ละขั้นละตอน ถ้า มีใครบอกว่า ละ สักกายทิฏฐิตัวเดียว ก.ไก่ ต้อง งง และหาทางเดินต่อไม่เจอ..ก.ไก่เลยเขียนยาวๆ แบบ คนโง่ น่ะค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทั้งรูปและนาม...นั้นแหละ...สักกายทิฎฐิ

สักกายทิฎฐิอย่างหยาบ...ก็รูปกาย...อย่างละเอียด...ก็เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

สติปัฎฐาน4...จึงให้ศึกษาแต่ใน...กาย..เวทนา..จิต..ธรรม..เพื่อละสักกายทิฎฐิ...ตัวเดียว

เห็นจริงในสักกายทิฏฐิ..ตัวเดียว...ก็ละสังโยชน์ทั้ง 10

ก็ไม่เห็นเรามีในกายแล้ว..จะเอาอะไรไปรักไปโกรธ...จะมีอะไรให้ไปหลงทนงตน

:b16:

จะแยกย่อยธรรมออกไปเป็นกี่ข้อๆ ธรรมมันก็เป็นอันเดียวกัน แต่อินทรีย์สังวรของตนนี่สิ ทำได้แค่ไหน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 23:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ระดับปัญญาคนเราต่างกัน ก.ไก่ เป็นคนโง่ เลยต้องเป็นไปที่ละขั้นละตอน ถ้า มีใครบอกว่า ละ สักกายทิฏฐิตัวเดียว ก.ไก่ ต้อง งง และหาทางเดินต่อไม่เจอ..ก.ไก่เลยเขียนยาวๆ แบบ คนโง่ น่ะค่ะ

คิดว่า....จะชอบอย่างคนขี้เกียจ..ๆ...บ้าง... huh huh huh
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2012, 00:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:44
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ระดับปัญญาคนเราต่างกัน ก.ไก่ เป็นคนโง่ เลยต้องเป็นไปที่ละขั้นละตอน ถ้า มีใครบอกว่า ละ สักกายทิฏฐิตัวเดียว ก.ไก่ ต้อง งง และหาทางเดินต่อไม่เจอ..ก.ไก่เลยเขียนยาวๆ แบบ คนโง่ น่ะค่ะ

คิดว่า....จะชอบอย่างคนขี้เกียจ..ๆ...บ้าง... huh huh huh
:b32:


ทั้งโง่และยังขี้เกียจ..เฮ้อ..ไม่อยากนึกสภาพตัวเองนะค่ะ เป็นแบบนี้ ก.ไก่ ต้องเกิดอีก เป็นแสนๆชาติแน่ พูดแล้วกลัวจัง... s002 ถึงก.ไก่จะโง่แต่ก.ไก่พยายามจะขยันอยู่ค่ะ เอาเท่าที่ได้แล้วกัน.. s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2012, 00:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว....ก็ขี้เกียจเหมือนกันหรอ?... :b9: :b9:

สาธุ.... :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2012, 01:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่กบนอกกะลา :b8:
อ้างคำพูด:
ตรงที่ขีดเส้นใต้...คุณลูกพระป่า....คงหมายความแบบง่าย ๆ คือ...การเกิดมาเป็นตัวคน...สัตว์..อะไรทำนองนี้ใช่มั้ยครับ?


ถูกต้องอย่างที่พี่กบนอกกะลาเข้าใจแล้วครับ...ตรงที่ขีดเส้นใต้หมายถึงรูปนามการเกิด...หมายถึงทุกขสัจ...แต่ไม่ได้เจาะจงไปที่สมุทัยสัจครับ...แค่ทุกขสัจอย่างเดียวครับ
มรรคสัจ ใช้ดับได้ทั้งทุกขสัจและสมุทัยสัจ...เพียงแต่ดับทุกขสัจอย่างเดียวมันไม่ดับสนิทเพราะยังมีเชื้อ..ไฟยังลุกได้อีก แต่ดับสมุทัยแล้วมันสิ้นเชื้อเป็นดับสนิท...เชื้อไม่มี..ไฟไม่มีโดยปริยาย...ไฟไม่มี...ความร้อนก็ไม่มีโดยปริยายเช่นกันครับ
ขอบคุณครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร