ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
สังขตธรรม และ อสังขตธรรม http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=42189 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 23 พ.ค. 2012, 17:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
ธรรมมี ๒ อย่างคือ ที่เป็นปรมัตถธรรม กับ บัญญัติ ในปรมัตถธรรม ยังแบ่งได้ อี ๒ อย่าง คือ สังขตธรรม กับ อสังขตธรรม *สังขตธรรม* คือธรรมทั้งหลายที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔ คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร สังขตธรรมได้แก่ จิต เจตสิก รูป จิต เจตสิก รูป นี้เท่านั้นที่มีลักขณรูป คือมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป *อสังขตธรรม* คือธรรมทั้งหลายที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔ อสังขตธรรม ได้แก่นิพพาน บัญญัติ นิพพานและบัญญัติ ๒ อย่างนี้ ไม่มีลักขณรูปคือไม่การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สังขตธรรมนี้หมายรวมหมด คือ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ สังขตธรรมมีทั้งโลกียะ และโลกุตตระ มรรคจิต ๔ ผลจิต ๔ และเจตสิกที่ประกอบนั้นเป็นสังขตธรรม แต่ทำไมเป็นโลกุตตระได้ ที่เป็นโลกุตตระได้เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ ขณะที่มรรคจิตผลจิตกำลังเกิดอยู่นั้นก็มีจิตตชรูปเกิดด้วย ๒ อย่าง จิตตชรูปเหล่านี้เป็นสังขตธรรมแต่ไม่เป็นโลกุตตรทั้งๆ ที่เกิดพร้อมกับโลกุตตรจิต ทั้งนี้ก็เพราะจิตตชรูปไม่มีพพานเป็นอารมณ์ แต่มรรคจิตผลจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์จึงเป็นโลกุตตระได้ สิ่งที่พ้นจากไตรลักษณ์มี ๓ อย่างคือ นิพพาน. บัญญัติ. อากาศ. สังขตธรรม เรียกอีกอย่างว่า สังขารธรรม สังขารธรรมองค์ธรรมได้แก่ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ แบ่งออกเป็น ๒ พวกคือ ๑. โลกียสังขารธรรม ๒. โลกุตตรสังขารธรรม ๑. โลกียสังขารธรรม ธรรมที่เป็นสังขารธรรมและเป็นสังขารทุกข์ (หรือสังขารโลก) ด้วย ได้แก่ โลกียจิต ๘๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ ๒. โลกุตตรสังขารธรรม ธรรมที่เป็นสังขารธรรม แต่ไม่ใช่สังขารทุกข์ (หรือสังขารโลก) ได้แก่ โลกุตตรจิต ๘ เจตสิก ๓๖ ที่ว่าเป็นสังขารธรรมเพราะมีความเกิดดับ แต่ที่ว่าไม่ใช่สังขารทุกข์หรือสังขารโลกนั้นเพราะไม่ใช่ธรรมที่เป็นเหตุให้หมุนเวียนอยู่ในโลกอันเป็นวัฏฏทุกข์ อธิบายสังขารธรรม สังขารธรรม คือ ธรรมที่มีประจำโลกอยู่แล้ว (คือธรรมชาติ) จะเป็นมนุษย์ เทวดา รูปพรหม อรูปพรหมก็ตามก็มีสังขารธรรม ตลอดจนถึงโลกุตตรจิตก็เป็นสังขารธรรม จึงกล่าวได้ว่าจิตทั้งหมด เจตสิกทั้งหมด รูปทั้งหมดก็เป็นสังขารธรรม องค์ธรรมทั้งหมดของสังขารธรรมได้แก่จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ ซึ่งแยกเป็นโลกียสังขารธรรม และ โลกุตตรธรรม โลกียสังขารธรรม องค์ธรรมได้แก่ โลกียจิต ๘๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ หรือมองกว้างๆ คืออบายสัตว์ มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหมเป็นสังขารธรรมด้วยเป็นสังขารโลกด้วย (หรือสังขารทุกข์) ด้วยที่เรียกว่าสังขารโลก เพราะจิตเจตสิกพวกนี้เข้าไปรู้สังขารโลกคือสิ่งที่ปรุงแต่ง โลกในที่นี้หมายถึงต้องสลายไป หรือฉิบหายไป รวมความว่า ทั้งตัวอารมณ์ ทั้งผู้รู้อารมณ์ก็ถูกปรุงแต่ง จึงกล่าวว่า โลกียจิต ๘๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ เป็นสังขารธรรมด้วย เป็นสังขารโลก (สังขารทุกข์) ด้วย ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏสงสาร โลกุตตรจิต ๘ เจตสิก ๓๖ เป็นสังขารเพราะถูกปรุงแต่งก็จริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ (หมายถึงตัวอารมณ์) ไม่ใช่สังขารโลก อารมณ์เป็นพระนิพพานซึ่งเป็นวิสังขาร (ที่นอกไปจากสังขาร) ทำให้โลกุตตรจิต ๘ เจตสิก ๓๖ เป็นสังขารธรรมแต่ไม่ใช่สังขารโลกหรือสังขารทุกข์ เพราะอารมณ์ไม่เป็นทุกข์ อารมณ์เป็นพระนิพพาน ทั้งๆที่จิตเจตสิกเองถูกปรุงแต่ง แต่เมื่อมีอารมณ์เป็นพระนิพพาน ตัวสังขารอันนี้ก็เลยไม่เป็ทุกข์ โลกุตตรจิต ๘ เจตสิก ๓๖ จึงเป็นโลกุตตรสังขารธรรม มีข้อสงสัยว่า พระอรหันต์ก็อยู่ในโลกุตตรจิต รูปของพระอรหันต์ก็อยู่ในโลกียะธรรมเหมือนกันเป็นตัวทุกข์ด้วยหรือ ตอบว่าเป็นตัวทุกข์ด้วย เพราะจิตของพระรหันต์ก็เกิดดับด้วย อารมณ์ก็เกิดดับ จนกว่าจะปรินิพพาน จึงพ้นจากวัฏฏสังสาร แต่กิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดต่อไปไม่มีอีกแล้ว |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 23 พ.ค. 2012, 20:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 23 พ.ค. 2012, 20:25 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม | ||
![]() ขอบคุณและอนุโมทนาสาธุกับลุงหมานครับ ที่นำข้อธรรมอันละเอียดลึกซึ้ง(อภิธรรม)มาเล่าสู่กันฟังครับ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | govit2552 [ 26 พ.ค. 2012, 20:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
นอกจากปรมัตถธรรม4 แล้วยังมีธรรมอื่น อีกหรือ ลุงหมาน บัญญัติ จัดเป็นธรรมหรือไม่ |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 27 พ.ค. 2012, 05:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
ลุงหมานขอแบบด้นสดๆเลยน่ะมีมั้ย ไอ้ประเภทอ่านตามสคริปไม่เอามันตกเทรนด์แล้ว เดี๋ยวนี้เข้าใส่สูทกันแล้ว ลุงยังใส่โจงกะเบนอีกหรือ แล้วที่ก็อปมายาวๆแบบนี้ เตรียมยาดม ยาอม ยาหม่องไว้บ้างน่ะ เดี๋ยวลมใส่ ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 27 พ.ค. 2012, 05:23 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม | ||
ธรรมมี ๒ อย่าง คือ บัญญัติธรรม และ ปรมัตถธรรม รูป จิต เจตสิก เป็น สังตธรรม ตกอยู่ในกฏของไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิพพาน บัญญัติ เป็นอสังขตธรรม พ้นจากไตรลักษณ์ นิจฺจํ สุขํ อนตฺตา เที่ยง เป็นสุข เป็นอนัตตา อนิจฺจํ.... องค์ธรรมได้แก่ ......รูปนาม ขันธ์ ๕ ทุกฺขํ...... องค์ธรรมได้แก่..... รูปนามขันธ์ ๕ อนตฺตา.. องค์ธรรมได้แก่.......รูปนาม ขันธ์ ๕ นิพพาน บัญญัติ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 27 พ.ค. 2012, 05:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
โฮฮับ เขียน: ลุงหมานขอแบบด้นสดๆเลยน่ะมีมั้ย ไอ้ประเภทอ่านตามสคริปไม่เอามันตกเทรนด์แล้ว เดี๋ยวนี้เข้าใส่สูทกันแล้ว ลุงยังใส่โจงกะเบนอีกหรือ แล้วที่ก็อปมายาวๆแบบนี้ เตรียมยาดม ยาอม ยาหม่องไว้บ้างน่ะ เดี๋ยวลมใส่ ![]() ผมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ ผมจึงไม่มีคำใดที่มาด้นเดาเอาเอง ที่จะมาเป็นศาสดาสอนแข่งกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นศิษย์ของตถาคตเราจะไม่มาทำลายคำสอนเสียเอง ปีนี้ก็เป็นปีพุทธชันตี นับตั้งแต่พระองค์ตรัสรู้มาก็ ๒๖๐๐ ปีแล้ว แม้แต่คำว่า "นโม" ที่เป็นคำสอนของพระองค์จะใหม่เสมอสำหรับชาวพุทธ และก็ใช้ได้ไปตลอดกาล ถ้าเรารักและนับถือพระองค์เพื่อเห็นประโยชน์ในภายภาคหน้า ก็ไม่ควรด้นเดาเอาเอง ลูกหลานที่เกิดมาภายหลังจะไม่เห็นธรรมที่แท้ของพระองค์ได้ตรัสสั่งสอนไว้ ได้อย่างแท้จริง ปฏิบัติตามคำสอนกันเถอะแล้วท่านทั้งหลายจะพ้นทุกข์ได้จริง ดังที่มีหลักฐานแสดงไว้ในอดีตมาแล้วมากมาย เช่นสาวกของพระองค์ทั้งหลาย อย่าไปบัญญัติคำมาสอนกันใหม่เลยมันจะทำให้เสียหายทั้งตนเองและผู้อื่น ดังมีคำว่า "สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม" ซึ่งแปลว่า พระธรรมเป็นคำสั่งสอนพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว และคำว่าตรัสไว้ดีแล้วนั่นก็หมายถึง ไม่ต้องไปแก้ไขใดๆเลย คือไม่ต้องไปลดหรือเพิ่ม ในคำสอนอีก เพราะคำสอนเป็นคำที่ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะใท่มกลาง และไพเราะในที่สุด จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะนานมาแล้วสักเท่าใดคำสอนของพระองค์จะใหม่เสมอ |
เจ้าของ: | asoka [ 27 พ.ค. 2012, 07:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
![]() บางที คนรุ่นใหม่ อ่านพระไตรปิฎกแปลไทยแล้วไม่ค่อยจะรู้เรื่อง หูตาลายเพราะสำนวนคำแปลและบาลีสันสกฤต ถ้าเราจะนำมาอธิบายขยายความเป็นภาษาชาวบ้าน เป็นภาษาลูกทุ่งให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจง่ายขึ้น คือมาทำยากให้เป็นง่าย (Simplify) แต่ไม่ทิ้งหลักและแก่นธรรม ![]() ไม่ทราบว่าจะกระทำได้หรือเปล่าครับ ลุงหมาน? ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | govit2552 [ 27 พ.ค. 2012, 14:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
นิพพาน เป็น อสังขตธรรม .................... ผมเคยเจอที่มาครับ แต่ บัญญัติ เป็น อสังขตธรรม ...............นี่ หาที่มาจากพระไตรปิฏก มาแสดงหน่อย จะดีมากครับลุงหมาน Quote Tipitaka: [๗๐๑] ธรรมมีปัจจัย เป็นไฉน? ขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีปัจจัย. ธรรมไม่มีปัจจัย เป็นไฉน? อสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีปัจจัย. [๗๐๒] ธรรมเป็นสังขตะ เป็นไฉน? ธรรมที่มีปัจจัยเหล่านั้นอันใดเล่า ธรรมเหล่านั้นนั่นแหละชื่อว่า ธรรมเป็นสังขตะ. ธรรมเป็นอสังขตะ นั้น เป็นไฉน? ธรรมที่ไม่มีปัจจัยนั้นอันใดเล่า ธรรมนั้นนั่นแหละชื่อว่า ธรรมเป็นอสังขตะ. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0 [๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขต- *ธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 8%C3%C3%C1 Quote Tipitaka: [๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 8%C3%C3%C1 [๙๐๗] สังขตธรรม เป็นไฉน? กุศลในภูมิ ๔ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า สังขตธรรม. อสังขตธรรม เป็นไฉน? นิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า อสังขตธรรม. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 8%C3%C3%C1 |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 27 พ.ค. 2012, 15:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
asoka เขียน: ![]() บางที คนรุ่นใหม่ อ่านพระไตรปิฎกแปลไทยแล้วไม่ค่อยจะรู้เรื่อง หูตาลายเพราะสำนวนคำแปลและบาลีสันสกฤต ถ้าเราจะนำมาอธิบายขยายความเป็นภาษาชาวบ้าน เป็นภาษาลูกทุ่งให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจง่ายขึ้น คือมาทำยากให้เป็นง่าย (Simplify) แต่ไม่ทิ้งหลักและแก่นธรรม ![]() ไม่ทราบว่าจะกระทำได้หรือเปล่าครับ ลุงหมาน? ![]() ![]() ![]() ทำได้ ก็เห็นทำอยู่ก็มากสำนัก และก็จะมีคนเห็นว่าคำนั้น ๆ ยังยากอยู่ แล้วคิดจะทำให้มันง่ายลงอีก ![]() สำหรับเอกอน สำนวนที่พระพุทธองค์ใช้ เป็นสำนวนที่ยากที่จะหาคำใดมาแทนโดยที่ความหมาย/นัยยะยังคงเดิมได้ มีแต่ จะทำให้ธรรมนั้น มัวหมองลง เราประมาทกำลังพระพุทธองค์ไม่ได้ และเราจะเอากำลังเราไปเปรียบกำลังพระพุทธองค์ ก็เป็นอาการที่.. ![]() ![]() แต่ถึงจะเห็นกระนั้น เอกอนก็ไม่ใช่คนที่จะสามารถขุดคำพระพุทธองค์มาใช้ได้ตลอดทุกแง่ไป เพราะ เอกอนศึกษาธรรมตามตำรามาน้อย ... และกระนั้นมันก็มีแง่ที่ว่า ผู้ปฏิบัติที่ยึดติดพุทธพจน์จนเลยเถิดเป็นความยึดมั่น จนเลอะเลือน เลยเถิดมาดูหมิ่นผู้ปฏิบัติธรรมโดยชอบไปก็มี ... ![]() ทำให้ดูน่าเสื่อมศรัทธาบ้างก็มี คือ ถ้าจะใช้ภาษาพิลึก ก็ขอให้พื้นฐานปฏิบัติแน่น ก็อาจจะชี้ทางให้คนเข้าใจถูกได้ ส่วน ถ้าจะใช้ภาษาพุทธพจน์ ก็ขอให้ยิ่งต้องสำรวมตนให้เหมาะสมกับภาษาที่ใช้อยู่ ... ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 27 พ.ค. 2012, 16:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
ลุงหมาน เขียน: ผมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ ผมจึงไม่มีคำใดที่มาด้นเดาเอาเอง ที่จะมาเป็นศาสดาสอนแข่งกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นศิษย์ของตถาคตเราจะไม่มาทำลายคำสอนเสียเอง ภาษานักเลงเขาบอกว่า "เอ็งมั้ง ข้ามั้ง ไม่ว่ากัน" ลุงหมานครับ ผมแค่หยอกคืนแค่นั้น อย่ามาถือสาซิครับ ทีลุงว่าผม"เมาค้าง"ผมยังไม่ถือสาเลย ขอกันกินมากกว่นี้นะครับลุง ผมบอกให้ลุงหมานด้นเดาที่ไหนกันครับ ผมว่าลุงต้องไปเพิ่มขนาดเลนส์แว่นแล้วครับ ผมบอกให้ลุงด้นสดๆ ไม่ใช่ให้ลุงมาด้นเดาครับ ลุงหมาน เขียน: ปีนี้ก็เป็นปีพุทธชันตี นับตั้งแต่พระองค์ตรัสรู้มาก็ ๒๖๐๐ ปีแล้ว แม้แต่คำว่า "นโม" ที่เป็นคำสอนของพระองค์จะใหม่เสมอสำหรับชาวพุทธ และก็ใช้ได้ไปตลอดกาล ถ้าเรารักและนับถือพระองค์เพื่อเห็นประโยชน์ในภายภาคหน้า ก็ไม่ควรด้นเดาเอาเอง ลูกหลานที่เกิดมาภายหลังจะไม่เห็นธรรมที่แท้ของพระองค์ได้ตรัสสั่งสอนไว้ ได้อย่างแท้จริง ปฏิบัติตามคำสอนกันเถอะแล้วท่านทั้งหลายจะพ้นทุกข์ได้จริง ดังที่มีหลักฐานแสดงไว้ในอดีตมาแล้วมากมาย เช่นสาวกของพระองค์ทั้งหลาย อย่าไปบัญญัติคำมาสอนกันใหม่เลยมันจะทำให้เสียหายทั้งตนเองและผู้อื่น ดังมีคำว่า "สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม" ซึ่งแปลว่า พระธรรมเป็นคำสั่งสอนพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว และคำว่าตรัสไว้ดีแล้วนั่นก็หมายถึง ไม่ต้องไปแก้ไขใดๆเลย คือไม่ต้องไปลดหรือเพิ่ม ในคำสอนอีก เพราะคำสอนเป็นคำที่ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะใท่มกลาง และไพเราะในที่สุด จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะนานมาแล้วสักเท่าใดคำสอนของพระองค์จะใหม่เสมอ ผมก็ว่าตามลุงนั้นแหล่ะครับ อย่าไปแก้ไข อย่าไปลดไปเพิ่ม แปลกใจอยู่อย่างครับ ลุงไปเอาเนื้อหาจากที่ไหนมาโพสครับ พระพุทธเจ้าสอนมาเป็นบทความแบบนี้หรือครับ ไอ้ทีลุงโพสอยู่ผมดูคล้ายๆกับเอามาจากเว็บไหนสักแห่งหรือไม่ก็เป็นวิกิพีเดีย พุดโถ่! ลุงหมานครับนึกจะตำหนิอะไรใคร ตั้งสติให้ดีก่อนซิครับ ถ้าลุงหมานโพสพระไตรปิฎก แล้วย้อนผมแบบนั้น ผมจะไม่ว่าเลย ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 28 พ.ค. 2012, 06:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
govit2552 เขียน: นิพพาน เป็น อสังขตธรรม .................... ผมเคยเจอที่มาครับ แต่ บัญญัติ เป็น อสังขตธรรม ...............นี่ หาที่มาจากพระไตรปิฏก มาแสดงหน่อย จะดีมากครับลุงหมาน ....................................... คำว่า อสงฺขตํ แปลว่านิพพาน ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ พระนิพพาน หมายความว่า พระนิพพานนี้เป็นธรรมชาติที่ไม่ใช่จิต เจตสิก รูป เพราะธรรมดา จิต เจตสิก รูป เหล่านี้ เกิดขึ้นโดยอาศัยปัจจัย ๔ คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ๒-๓-๔ เป็นผู้ปรุงแต่ง เรียกว่าสังขตธรรม เมื่อพูดโดยสามัญแล้วคำว่า อสังขตธรรม ก็ได้แก่ บัญญัติด้วยเหมือนกัน แต่ในที่นี้แสดงแต่ปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริงๆ ฉะนั้น อสังขตธรรมในที่นี้จึงหมายเอาพระนิพพานเท่านั้น ![]() จากหนังสือ ปรมัตถโชติกะ ปริเฉจที่ ๑-๒-๖ จิต เจตสิก รูป นิพพาน หลักสูตรชั้นจูฬอาภิธรรมิกะตรี หน้า ๑๒๖ รจนาโดย พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ พระบูรพาจารย์แห่งอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย |
เจ้าของ: | asoka [ 28 พ.ค. 2012, 06:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
eragon_joe เขียน: asoka เขียน: ![]() บางที คนรุ่นใหม่ อ่านพระไตรปิฎกแปลไทยแล้วไม่ค่อยจะรู้เรื่อง หูตาลายเพราะสำนวนคำแปลและบาลีสันสกฤต ถ้าเราจะนำมาอธิบายขยายความเป็นภาษาชาวบ้าน เป็นภาษาลูกทุ่งให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจง่ายขึ้น คือมาทำยากให้เป็นง่าย (Simplify) แต่ไม่ทิ้งหลักและแก่นธรรม ![]() ไม่ทราบว่าจะกระทำได้หรือเปล่าครับ ลุงหมาน? ![]() ![]() ![]() ทำได้ ก็เห็นทำอยู่ก็มากสำนัก และก็จะมีคนเห็นว่าคำนั้น ๆ ยังยากอยู่ แล้วคิดจะทำให้มันง่ายลงอีก ![]() สำหรับเอกอน สำนวนที่พระพุทธองค์ใช้ เป็นสำนวนที่ยากที่จะหาคำใดมาแทนโดยที่ความหมาย/นัยยะยังคงเดิมได้ มีแต่ จะทำให้ธรรมนั้น มัวหมองลง เราประมาทกำลังพระพุทธองค์ไม่ได้ และเราจะเอากำลังเราไปเปรียบกำลังพระพุทธองค์ ก็เป็นอาการที่.. ![]() ![]() แต่ถึงจะเห็นกระนั้น เอกอนก็ไม่ใช่คนที่จะสามารถขุดคำพระพุทธองค์มาใช้ได้ตลอดทุกแง่ไป เพราะ เอกอนศึกษาธรรมตามตำรามาน้อย ... และกระนั้นมันก็มีแง่ที่ว่า ผู้ปฏิบัติที่ยึดติดพุทธพจน์จนเลยเถิดเป็นความยึดมั่น จนเลอะเลือน เลยเถิดมาดูหมิ่นผู้ปฏิบัติธรรมโดยชอบไปก็มี ... ![]() ทำให้ดูน่าเสื่อมศรัทธาบ้างก็มี คือ ถ้าจะใช้ภาษาพิลึก ก็ขอให้พื้นฐานปฏิบัติแน่น ก็อาจจะชี้ทางให้คนเข้าใจถูกได้ ส่วน ถ้าจะใช้ภาษาพุทธพจน์ ก็ขอให้ยิ่งต้องสำรวมตนให้เหมาะสมกับภาษาที่ใช้อยู่ ... ![]() ![]() อนุโมทนากับคุณเอก้อน ที่อ่านพระไตรปิฎกรู้เรื่องดี เข้าใจง่ายครับ ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 28 พ.ค. 2012, 06:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
โฮฮับ เขียน: ลุงหมาน เขียน: ผมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ ผมจึงไม่มีคำใดที่มาด้นเดาเอาเอง ที่จะมาเป็นศาสดาสอนแข่งกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นศิษย์ของตถาคตเราจะไม่มาทำลายคำสอนเสียเอง ภาษานักเลงเขาบอกว่า "เอ็งมั้ง ข้ามั้ง ไม่ว่ากัน" ลุงหมานครับ ผมแค่หยอกคืนแค่นั้น อย่ามาถือสาซิครับ ทีลุงว่าผม"เมาค้าง"ผมยังไม่ถือสาเลย ขอกันกินมากกว่นี้นะครับลุง ผมบอกให้ลุงหมานด้นเดาที่ไหนกันครับ ผมว่าลุงต้องไปเพิ่มขนาดเลนส์แว่นแล้วครับ ผมบอกให้ลุงด้นสดๆ ไม่ใช่ให้ลุงมาด้นเดาครับ ลุงหมาน เขียน: พุดโถ่! ลุงหมานครับนึกจะตำหนิอะไรใคร ตั้งสติให้ดีก่อนซิครับ ถ้าลุงหมานโพสพระไตรปิฎก แล้วย้อนผมแบบนั้น ผมจะไม่ว่าเลย ![]() ........................................................................... ก็จะต้องไปแปลกใจอะไรนักหนาไอ้หลานรัก สิ่งใดที่เขาทำดี พูดดีเราก็ควรสรรเสริญยกย่องช่วยแผ่การกระทำดีของเขาให้ตั้งอยู่ได้นานๆ สิ่งใดที่คนอื่นทำไม่ดีก็ไม่ควรไปขุดคุ้ยว่ากล่าวเขา ก็ให้สลายไปเองโดยธรรมชาติของมันเอง แถมยังเกิดการทะเลาะกันขึ้นมาเปล่าๆ อย่าไปสนใจเรื่องที่ไม่ใช่ธรรมเลย เสียเวลากับการที่เราต้องชราไปวันๆนึงโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ไอ้หลานรัก |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 28 พ.ค. 2012, 10:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขตธรรม และ อสังขตธรรม |
ลุงหมาน เขียน: ........................................................................... ก็จะต้องไปแปลกใจอะไรนักหนาไอ้หลานรัก สิ่งใดที่เขาทำดี พูดดีเราก็ควรสรรเสริญยกย่องช่วยแผ่การกระทำดีของเขาให้ตั้งอยู่ได้นานๆ สิ่งใดที่คนอื่นทำไม่ดีก็ไม่ควรไปขุดคุ้ยว่ากล่าวเขา ก็ให้สลายไปเองโดยธรรมชาติของมันเอง แถมยังเกิดการทะเลาะกันขึ้นมาเปล่าๆ อย่าไปสนใจเรื่องที่ไม่ใช่ธรรมเลย เสียเวลากับการที่เราต้องชราไปวันๆนึงโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ไอ้หลานรัก ผมจะไปแปลกใจอะไรครับลุงหมาน ผมถามหน่อยลุงพูดจาอะไรแล้วเคยคิดที่จะใส่ใจ คำพูดที่พูดไปแล้วมั้งหรือเปล่า พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยนะครับ แต่สำหรับลุงคงไม่เป็นไร เพราะคนแก่ส่วนใหญ่จะหลงๆลืมๆ ผมจะลำดับเหตุการณ์ให้ฟังนะครับ มันเป็นเพราะลุงเอาบทความธรรมะมาโพสในห้องสนธนาธรรม ผมเห็นว่ามันผิดกาละเทศะ มันควรจะไปโพสห้องบทความธรรมะ ก็เลยบอกลุงไปว่า "ให้ด้นสดๆ" ความหมายก็คือให้แสดงความเห็น ในลักษณะพูดจากัน ไม่ใช่ไปหยิบเอาบทความคนอื่นมาโพส โพสน่ะโพสได้แต่มันผิดห้อง แถมไม่ให้เครดิสเจ้าของบทความเสียด้วย และอีกเพราะลุงไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อ ไปตีความว่า ผมแนะนำให้ด้นเดาธรรม ลุงว่ามันคนล่ะเรื่องมั้ยครับ ที่หนักไปกว่านั้นยังว่ากล่าวผมว่า ไม่ควรไปเปลี่ยนแปลง แก้ไขคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี่แหล่ะครับที่แสดงว่า ลุงไปไหนมาสามวาสองศอก มันเป็นลุงเองทั้งนั้น ที่ไปหยิบเอาบทความที่ไม่ใช่เป็นคำกล่าวของพระพุทธเจ้ามาโพส แล้วก็มาทำมึนสั่งสอนคนอื่นว่า ไม่ควรแก้ไขต่อเติมลดทอนคำสอนของพระพุทธเจ้า ลุงหมานครับ ถ้าลุงยังหนุ่มอยู่เป็นได้ต่อยกันแล้วครับ ![]() แล้วนี่ก็มาอีกแล้ว ข้อความอ้างอิงด้านบน ลุงจะสื่ออะไรครับ มันน่ามึนงงกับลุงจริงๆ มาบอกว่าอย่าไปสนใจเรื่องที่ไม่ใช่ธรรม ลุงหมานครับอย่าหาว่าผู้น้อยสอนผู้ใหญ่เลย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันล้วนแล้วแต่เป็นธรรมครับ มันขึ้นอยู่กับว่า ใครมันจะเห็น หรือไม่เห็น ดูได้ง่ายครับคนที่เห็นธรรมพูดจาอาศัยเหตุผลครับ ส่วนคนที่มองไม่เห็นธรรมส่วนใหญ่พูดจาชนิดที่เรียกว่า "ไปไหนมาสามวาสองศอกครับ" ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |