ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=42260
หน้า 1 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  ขณะจิต [ 29 พ.ค. 2012, 21:00 ]
หัวข้อกระทู้:  เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

เมื่อไคร่ครวญดูเห็นว่าความหวังแท้จริงเป็นเพียงจิตสังขารคิดปรุงแต่งเอา ความสมหวังคือการทำให้สำเร็จดังภาพลวงที่ตั้งไว้ แล้วก็หวังต่อไป ต่อไป

การสอนให้คนมีหวังจึงเป็นเพียงการกระทำให้เสียเวลา มากกว่าการชี้ชัดให้ดูความจริง

หรือคนเราไม่ชอบความจริงจึงเลือกหลงจมอยู่กับความหวัง

ท่านๆว่าอย่างไร :b30:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 29 พ.ค. 2012, 21:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

เห็นด้วยอย่างยิ่ง....เมื่อความหวังเป็นของลวง...แล้วจะสมหวังรึ

ตามดูเฝ้าดูแต่การทำงานของขันธ์ 5....แต่ตัวเองไม่ทำงานต่อคือถอนขันธ์ 5...โดยหวังว่ามันจะถอนเอง....

บางพวก..ดูแล้วเกิดปีติ...ก็เข้าใจว่าปีตินี้แหละแสดงถึงการถอนแล้ว...แต่ไม่เคยตรวจสอบว่าถอนแล้วทำไมมันยังเกิดขึ้นได้อีก...

สุดท้าย ก็คิดเข้าข้างตัวเองอย่างลม ๆ แล้ง ๆ...ไปเรื่อย

นี้คือตัวอย่างหนึ่งของความหวังลวง

:b2: :b2: :b2:

เจ้าของ:  โกเมศวร์ [ 29 พ.ค. 2012, 22:26 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

เมื่อตั้งเป้า ก็เลยเป้า

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 31 พ.ค. 2012, 15:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

พระพุทธศาสนามีคำสอนหลายระดับ ทั้งสำหรับผู้ครองเรือน ผู้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ผู้สละเรือน

แล้ว ทั้งคำสอนเพื่อประโยชน์ทางวัตถุ และเพื่อประโยชน์ลึกซึ้งทางจิตใจ เพื่อให้ทุกคนได้รับ

ประโยชน์จากพุทธธรรมทั่วถึงกัน

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 31 พ.ค. 2012, 15:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

จะนำพุทธพจน์ที่ให้เร่งทำกิจ และเตรียมการเพื่ออนาคตมาลงให้อ่าน แต่จะตัดชื่อคัมภีร์อ้างอิงออก



"เป็นคนควรหวังเรื่อยไป บัณฑิตไม่ควรท้อแท้ เราเห็นประจักษ์มากับตัวเอง เราปรารถนาอย่างใด ก็ได้สมตามนั้น"


"ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย คนประมาทเหมือนคนตายแล้ว ฯลฯ ผู้ไม่ประมาท เพ่งพินิจอยู่ ย่อมประสบความสุขอันไพบูลย์"


"เพราะฉะนั้น ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ทุกคนควรกระทำกิจหน้าที่ และไม่พึงประมาท"

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 31 พ.ค. 2012, 16:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

"บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆว่า วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่"


"อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านเลยไปเสีย...พึงถอนลูกศรที่เสียบตัวออกเสีย ด้วยความไม่ประมาท และด้วยวิชชา"


"รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์แก่ (ชีวิต) ตน ก็ควรรีบลงมือทำ"


"ในเวลาที่ควรลุกขึ้นทำงาน ไม่ลุกขึ้นทำ ทั้งที่ยังหนุ่มแน่นมีกำลัง กลับเฉื่อยชา ปล่อยความคิดให้จมปลัก เกียจคร้าน มัวซึมเซาอยู่ ย่อมไม่ประสบทางแห่งปัญญา"

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 31 พ.ค. 2012, 16:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

"คนที่เรียนรู้ (สุตะ) น้อยนี้ ย่อมแก่เหมือนโคถึก เนื้อของเขาย่อมเจริญ แต่ปัญญาของเขาหาเจริญไม่"


"เมื่อยังหนุ่มสาว พรหมจรรย์ก็ไม่บำเพ็ญ ทรัพย์ก็ไม่หาเอาไว้ (ครั้นแก่เฒ่า) ก็ต้องนั่งซบเซา เหมือนนกกระเรียนแก่ จับหงอยอยู่กับเปือกตมที่ไร้ปลาฉะนั้น"


"เมื่อยังหนุ่มสาว พรหมจรรย์ก็ไม่บำเพ็ญ ทรัพย์ก็ไม่หาเอาไว้ (ครั้นแก่เฒ่า) ก็ได้แต่นอนทอดถอนถึงความหลัง เหมือนดังลูกศรที่เขายิงไปแล้ว (หมดพิษสง) ฉะนั้น"


"ผลประโยชน์ทั้งปวง ตั้งอยู่ที่หลัก 2 ประการ คือ การได้สิ่งที่ยังไม่ได้ และการรักษาสิ่งที่ได้แล้ว"


"ภิกษุทั้งหลาย ตระกูลเหล่าหนึ่งเหล่าใดก็ตาม ที่ถึงความเป็นใหญ่ในโภคสมบัติ จะดำรงอยู่ได้ยืนนาน ด้วยเหตุ 4 สถาน หรือสถานใดสถานหนึ่ง กล่าวคือ รู้จักแสวงหาสิ่งที่พินาศสูญหาย ปฏิสังขรณ์สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรม รู้จักประมาณในการกินการใช้ และตั้งสตรีหรือบุรุษผู้มีศีลให้เป็นใหญ่"

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 31 พ.ค. 2012, 16:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

"ผู้นำที่จัดการงานไม่ดี เขลา ด้อยความคิดอ่าน ทรามปัญญา ย่อมหมดศรีสง่า เหมือนคราบเก่าที่งูทิ้งไปแล้ว ส่วนผู้นำที่จัดแจงการงานเป็นอย่างดี หมั่นขยันถูกกาล ไม่เฉื่อยชา ย่อมมีโภคสมบัติที่เจริญยิ่งขึ้นๆทุกด้าน เหมือนฝูงโคที่มีโคผู้นำฉะนั้น"


"ภิกษุทั้งหลาย เราประจักษ์ (คุณค่า) ของธรรม 2 ประการ คือ ความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย และความไม่ระย่อในการบำเพ็ญเพียร ฯลฯ โพธิอันเรานั้นได้บรรลุด้วยความไม่ประมาท ความลุโล่งโปร่งใจ อย่างยอดเยี่ยม อันเรานั้น ได้บรรลุด้วยความไม่ประมาท"


"ภิกษุ ยังไม่ถึงความสิ้นอาสวะ อย่าได้นอนใจ เพียงด้วยความมีศีลและวัตร ด้วยความเป็นผู้ได้เล่าเรียนศึกษามาก ด้วยการได้สมาธิ ด้วยการอยู่วิเวก หรือแม้แต่ด้วยการประจักษ์ว่า เราได้สัมผัสเนกขัมมสุขที่พวกปุถุชนไม่เคยได้รู้จัก"


"เตรียมกิจ สำหรับอนาคตให้พร้อมไว้ก่อน อย่าให้กิจนั้นบีบคั้นตัวเมื่อถึงเวลาต้องทำเฉพาะหน้า"


"พึงระแวงสิ่งที่ควรระแวง พึงป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึง ธีรชนตรวจตราโลกทั้งสอง เพราะคำนึงภัยที่ยังไม่มาถึง"

เจ้าของ:  asoka [ 01 มิ.ย. 2012, 05:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

:b12: :b12:
ความหวัง เป็นอีกชื่อหนึ่งของความอยาก(ตัณหา) เรื่องของความหวังเป็นเรื่องของอนาคต ปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลายมักจะนิยมใช้ความหวังเป็นสิ่งกระตุ้นหรือแรงบรรดาลใจให้กระทำการต่างๆ(ทำกรรม)
:b39:
สำหรับชาวพุทธหรือพุทธสาวกแล้ว จะไม่ใช้ความหวังเป็นแรงกระตุ้น แต่จะใช้ ความรู้ที่ถูกต้องตามธรรม เหตุผล ความเป็นจริงและกุศลความดีงามเป็นแรงกระตุ้นให้ทำกรรม
:b37:
ดังเช่นการทำกรรมเจริญสติปัฏฐาน 4 การทำกรรมเจริญมรรค 8 ก็ด้วยเหตุผลว่า จะทำให้หมดกิเลส ตัณหา อัตตา ความเห็นผิด ยึดผิด แล้วจิตดวงนี้จะได้หลุดพ้นจากวังวนแหงบาปและวัฏสงสาร
:b27:

ไฟล์แนป:
buddha2_resize.gif
buddha2_resize.gif [ 37.14 KiB | เปิดดู 6414 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ฝึกจิต [ 01 มิ.ย. 2012, 07:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

asoka เขียน:
:b12: :b12:
ความหวัง เป็นอีกชื่อหนึ่งของความอยาก(ตัณหา) เรื่องของความหวังเป็นเรื่องของอนาคต ปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลายมักจะนิยมใช้ความหวังเป็นสิ่งกระตุ้นหรือแรงบรรดาลใจให้กระทำการต่างๆ(ทำกรรม)
:b39:
สำหรับชาวพุทธหรือพุทธสาวกแล้ว จะไม่ใช้ความหวังเป็นแรงกระตุ้น แต่จะใช้ ความรู้ที่ถูกต้องตามธรรม เหตุผล ความเป็นจริงและกุศลความดีงามเป็นแรงกระตุ้นให้ทำกรรม
:b37:
ดังเช่นการทำกรรมเจริญสติปัฏฐาน 4 การทำกรรมเจริญมรรค 8 ก็ด้วยเหตุผลว่า จะทำให้หมดกิเลส ตัณหา อัตตา ความเห็นผิด ยึดผิด แล้วจิตดวงนี้จะได้หลุดพ้นจากวังวนแหงบาปและวัฏสงสาร
:b27:


:b8:ยอดเยี่ยม :b35:

เจ้าของ:  student [ 01 มิ.ย. 2012, 08:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

ขณะจิต เขียน:
เมื่อไคร่ครวญดูเห็นว่าความหวังแท้จริงเป็นเพียงจิตสังขารคิดปรุงแต่งเอา ความสมหวังคือการทำให้สำเร็จดังภาพลวงที่ตั้งไว้ แล้วก็หวังต่อไป ต่อไป

การสอนให้คนมีหวังจึงเป็นเพียงการกระทำให้เสียเวลา มากกว่าการชี้ชัดให้ดูความจริง

หรือคนเราไม่ชอบความจริงจึงเลือกหลงจมอยู่กับความหวัง

ท่านๆว่าอย่างไร :b30:


ความหวังที่ทำให้ใจชุ่มชื่นขึ้น จัดว่าเป็นเจตสิกฝ่ายดี อาจนำมาซึ่งความศรัทธาต่อธรรมบางอย่าง แล้วแต่ว่าธรรมนั้น จะนำบุคคลนั้นไปที่ใด แต่ความหวังก็ไม่ใช่ผล ความหวังจึงต้องประกอบด้วยมรรค จึงจะเป็นความหวังที่เป็นเหตุให้เป็นทางสู่ปัญญา

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 01 มิ.ย. 2012, 10:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

“พาหุสัจจะ 1 สิปปะ 1 วินัยที่ศึกษาดีแล้วหรือฝึกอบรมเป็นอย่างดีแล้ว 1 วาจาที่กล่าวได้ดี 1 นี้เป็นอุดมมงคล...การงานไม่คั่งค้างอากูล นี่ก็เป็นอุดมมงคล...กิจกรรมที่ไร้โทษ นี่ก็เป็นอุดมมงคล”


*พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้สดับมากหรือเล่าเรียนกว้างขวางลึกซึ้ง
*สิปปะ วิชาชีพหรือความจัดเจนงาน



อุดมมงคลระดับนี้ ว่า พาหุสัจจะ ความช่ำชองเชิงวิชาการ ควรมาพร้อมด้วย สิปปะ ความชำนาญในเชิงปฏิบัติ คือดีทั้งวิชาและฝีมือ ถ้าทั้งสองอย่างนี้มาเข้าคู่กันครบก็หวังได้ซึ่งความเป็นเลิศแห่งงาน

ยิ่งถ้าเป็นคนมีวินัยที่ได้ฝึกมาอย่างดี และเป็นคนที่พูดเก่งคือรู้จักพูดจาให้ได้ผล สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจหรือเห็นตามได้ดี ชวนให้เกิดความร่วมมือและสามัคคี ก็ยิ่งหวังได้ว่า กิจการจะประสบความสำเร็จ ครั้นสำทับด้วยการปฏิบัติงานที่เรียบร้อยฉับไวไม่คั่งค้างอากูล และเสริมด้วยการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ก็ยิ่งเป็นเครื่องประกันถึงความสำเร็จบริบูรณ์แห่งชีวิตด้านการงาน

แต่เพื่อป้องกันมิให้มีช่องว่างที่บุคคลนั้นจะมัวหลงเพลิดเพลินแต่วิทยาและการงาน จนลืมหน้าที่ต่อบุคคลใกล้ชิดภายในความรับผิดชอบที่บ้าน ท่านจึงแทรกมงคลอีกสองอย่างเข้ามาในช่องว่างแรกที่เว้นไว้ คือ การบำรุงมารดา บิดา และการสงเคราะห์บุตรภรรยา

ครั้นภาระด้านส่วนตัวครบครันแล้ว ท่านจะให้บุคคลนั้น คำนึงถึงความรับผิดชอบที่ตนจะพึงเกื้อกูลแก่คนอื่นขยายกว้างออกไปตลอดถึงเพื่อนมนุษย์ ให้ชีวิตของตนก้าวหน้าไปในความดีงาม และได้ชื่อว่ามีส่วนร่วมในการผดุงธรรมของมนุษยชาติ

ท่านจึงเสริมมงคลอีกสามอย่างเข้ามาในช่องว่างหลัก คือ ญาติสังคหะ การสงเคราะห์ญาติ ทาน การให้ปัน และธรรมจริยา การประพฤติธรรม เมื่อประพฤติตนได้เพียงนี้ ก็นับว่าเพียงพอสำหรับจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ครองเรือนที่ดีงามในโลก

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 01 มิ.ย. 2012, 10:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

มีบาลีภาษิตเตือนให้ศึกษาศิลปวิทยาอีกมาก เช่น

“คนไม่มีศิลปวิทยา เลี้ยงชีวิตอยู่ได้ยาก”

“จงให้บุตรเรียนรู้วิทยา”

“อะไรควรศึกษา ก็พึงศึกษาเถิด”

“ขึ้นชื่อว่าศิลปวิทยา ไม่ว่าอย่างไหนๆให้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น”

“อันความรู้ควรเรียนทุกอย่าง ไม่ว่าต่ำว่าสูง หรือปานกลาง ควรรู้ความหมายเข้าใจทั้งหมด แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกอย่าง วันหนึ่งจะถึงเวลาที่ความรู้นั้นนำมาซึ่งประโยชน์”

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 01 มิ.ย. 2012, 10:46 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

ในการจำแนกผู้ครองเรือนหรือชาวบ้านเป็น 10 ประเภท
พระพุทธเจ้าทรงแสดงผู้ครองเรือนประเภทที่ 10 ว่าเป็นผู้ครองเรือนที่ประเสริฐเลิศสูงสุด จากคุณสมบัติของผู้ครองเรือนอย่างเลิศนั้น จะเห็นหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพย์ที่ถูกต้องตามหลักธรรม สรุปได้ดังนี้

1.การหา: แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม ไม่ข่มเหง

2. การใช้:
ก. เลี้ยงตน (และบุคคลที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ) ให้เป็นสุข
ข. เผื่อแผ่แบ่งปัน
ค. ใช้ทรัพย์ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ เป็นบุญ (รวมทั้งใช้เผยแผ่ส่งเสริมธรรม)

3. คุณค่าทางจิตและปัญญา: ไม่ลุ่มหลงหมกมุ่นมัวเมา กินใช้ทรัพย์สมบัติอย่างรู้เท่าทัน เห็นคุณโทษ มีจิตใจเป็นอิสระด้วยนิสสรณปัญญา และอาศัยทรัพย์ได้โอกาสที่จะพัฒนาจิตปัญญายิ่งๆขึ้นไป

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 01 มิ.ย. 2012, 10:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อความหวังยังเป็นของลวง ความสมหวังที่แท้จริงมีหรือ

ตัวอย่างพุทธพจน์ที่ตรัสสอนในเรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพย์


“ภิกษุทั้งหลาย บุคคล 3 จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
สามจำพวกไหน คือ คนตาบอด คนตาเดียว คนสองตา

หน้า 1 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/