วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 18:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


พระบัวเฮียวแอบตั้งข้อสังเกตว่า บรรดาศิษยานุศิษย์ที่มาปรึกษาปัญหาธรรมะกับท่านพระครูนั้น ส่วนใหญ่มักเป็นคนจีน ข้างฝ่ายคนไทยกลับมีน้อย คนที่จะสนใจธรรมะและเมื่อมาวัดก็จะแบกปัญหาหนักอกมาให้ท่านพระครูช่วยแก้ หลังจากนั้นก็จะหายหน้าหายตาไป ต่อเมื่อต้องการให้ท่านช่วยอีกจึงจะมาให้เห็น ผิดกับคนจีนซึ่งจะมาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังสนใจธรรมะและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง จนสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ท่านพระครูจึงชื่นชมคนจีนในแง่นี้ด้วย ในแง่อื่น ๆ ด้วย
เช้านี้อากาศปลอดโปร่งกว่าทุกวัน ทั้งยังปลอดคนอีกด้วย เพราะตาม "รายการ" ท่านพระครูต้องไปบรรยายธรรมที่กรุงเทพฯ แต่ทางผู้จัดเขาโทรเลขด่วนมาขอเลื่อน ท่านจึงไม่ต้องไปไหน
ฉันเช้าแล้วพระบัวเฮียวจึงถือโอกาสมาเรียนปรึกษาปัญหาธรรมะกับผู้เป็นอาจารย์ จะให้ท่านสอบอารมณ์ให้ด้วย "หลวงพ่อครับ ผมถูกถีนมิทธนิวรณ์คุกคามอย่างหนักเลยครับ มันง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา เดินจงกรมก็ง่วง ปฏิบัติตามวิธีขจัดความง่วง อย่างที่หลวงพ่อเคยแนะนำก็ไม่หายง่วง ผมก็เลยต้องนอนเพราะคิดว่าคงจะหาย"
"แล้วหายไหมล่ะ" พระอุปัชฌาย์ถาม
"ไม่หายครับ แล้วก็นอนไม่หลับด้วย ง่วงเหมือนจะเป็นจะตาย แต่พอนอนกลับไม่หลับ ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นครับ"
"นั่นเป็นอาการของญาณนะบัวเฮียว ไม่ใช่ถีนมิทธนิวรณ์แต่ประการใด"
"หมายความว่าอย่างไรครับ" ลูกศิษย์ไม่เข้าใจ
"หมายความว่าอาการที่เธอเล่ามานั้นเป็นอาการของผู้ที่เข้าถึง "นิพพิทาญาณ" ซึ่งเป็นญาณที่ ๘
"งั้นผมก็เดินมาได้ครึ่งทางแล้วซีครับ" พระบัวเฮียวพูดอย่างยินดี
"ถูกแล้ว แต่อย่าเพิ่งดีใจ มีคนได้ญาณนี้ก่อนเธอมาหลายคนแล้ว ไม่ใช่เธอเป็นคนแรกที่ได้หรอกนะ คนที่ได้รายล่าสุด ก็คือลูกชายของคหบดี ดูเหมือนจะเป็นคนที่ชื่อนายต้อม"
"งั้นก็แปลว่าผมไปช้ากว่าลูกศิษย์หรือครับ"
"ก็คงยังงั้น แต่ช้าของเธอน่ะ ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า "สโลว์บัทชัวร์" เข้าใจหรือเปล่า"
"ผมไม่เคยเรียนภาษาฝรั่งครับ หลวงพ่อได้โปรดอธิบายให้คนต่ำต้อย ด้อยปัญญาอย่างผมฟังหน่อยเถิดครับ"
"ถ่อมตัวเหลือเกินนะ วันนี้วันอะไรหนอ พระบัวเฮียวถึงได้สงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างนี้" อาจารย์สัพยอกคนเป็นศิษย์
"คงไม่ใช่วันพระแน่ครับ" คนเป็นศิษย์ตอบฉับพลัน
"รู้แล้ว แต่ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงได้ถ่อมตัวมากมายนัก วันอื่นไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลยนี่นา"
"ก็วันนี้ผมอยากได้วิชาน่ะครับ ส่วนวันอื่นไม่อยากได้" พระบัวเฮียวถือโอกาส "ยวน"
"เธออยากได้วิชาอะไรล่ะ" พระอุปัชฌาย์ย้อนถาม
"วิชาขจัดความง่วงที่เกิดจาก นิพพิทาญาณ น่ะครับ"
"เอาเถอะ จะบอกให้เอาบุญ" แล้วท่านจึงบอกวิธีปฏิบัติตนเมื่อเข้าถึงนิพพิทาญาณแก่พระบัวเฮียว แบบเดียวกับที่เคยบอกนายต้อม พระหนุ่มกล่าวคำขอบคุณแล้วถามอีกว่า
"แล้วที่หลวงพ่อพูดภาษาต่างประเทศเมื่อตะกี้เสียงโล ๆ ชัว ๆ น่ะครับ หมายความว่าอย่างไรครับ"
"หมายความว่าเธอเข้าถึงญาณที่ ๘ ช้ากว่านายต้อมก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะบรรลุญาณ ๑๖ ทีหลังเขา ฉันมองหน้าเธอก็รู้ว่าหน้าอย่างเธอถึงจะไม่ฉลาดซักเท่าไหร่ แต่ก็แน่ใจได้ว่าเธอจะต้องบรรลุโสดาปัตติผลเป็นอย่างต่ำ นี่พูดถึงเฉพาะชาตินี้เท่านั้นนะ" ท่านอธิบาย
"แล้วนายต้อมล่ะครับ ในเมื่อเขาได้ญาณ ๘ ก่อนผม เขาก็น่าจะได้ญาณ ๑๖ ก่อนผมด้วย ถูกไหมครับ"
"มันไม่เสมอไปหรอกบัวเฮียว ฆราวาสที่เข้ามาปฏิบัติมีสิทธิ์ได้ถึง ญาณ ๘ ญาณ ๙ หรือบางคนก็อาจถึง ญาณ ๑๓ แต่พอเขากลับบ้านก็ถูกสิ่งแวดล้อมทางโลกดึงไป การปฏิบัติก็หยุดชะงักอยู่แค่นั้น อย่างกรณีของนายต้อม เขาอยากจะบวช แต่พ่อแม่ไม่ยอมให้บวช เมื่อกลับไปอยู่บ้านเขาก็ติดอยู่กับความสุขทางโลก จนลืมการปฏิบัติ เขาก็เลยติดอยู่แค่ญาณที่ ๘ นั่นแหละ"
"แต่ถ้าเขาบวช เขาก็จะก้าวหน้าในการปฏิบัติใช่ไหมครับ" ถามออกไปแล้วจึงรู้ว่า "ถามโง่ ๆ" รู้ช้าอย่างนี้เสมอ
"มันก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะบรรยากาศในวัดมันเอื้อต่อการปฏิบัติมากกว่าที่บ้าน อีกประการหนึ่งการประพฤติพรหมจรรย์ก็ช่วยให้การปฏิบัติดำเนินไปอย่างคล่องตัว เพราะมีข้อวัตรปฏิบัติที่แตกต่างไปจากวิถีชีวิตของชาวบ้าน พระจึงได้เปรียบฆราวาสในแง่นี้" ท่านพระครูอธิบายโดยไม่เกี่ยงงอนภูมิปัญญาของผู้ถาม
ชายวัยสี่สิบเศษคลานเข้ามาหาท่านพระครู ตามด้วยเด็กหนุ่มอายุประมาณยี่สิบ คนทั้งสองกราบท่านพระครู แล้วคนอาวุโสกว่าก็พูดขึ้นว่า
"ไม่ได้มาหาหลวงพี่เสียนาน หลวงพี่สบายดีหรือครับ"
"ก็เอ็งเห็นข้าสบายหรือเปล่าล่ะ" ท่านเจ้าของกุฏิย้อนถาม ชายคนนี้เป็นลูกผู้น้องของท่าน เคยวิ่งเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ส่วนเด็กหนุ่มที่มาด้วยก็มีศักดิ์เป็นหลานท่าน
"แหม หลวงลุงก็ พ่อเขาถามดี ๆ หลวงลุงกับตอบเล่นลิ้น" หลานชายต่อว่าพลางค้อนประหลับประเหลือก
"นี่เอ็งอย่างมาทำกิริยาอย่างนี้ใส่ข้านะเจ้าขุนทอง เอ็งไม่ใช่ผู้หญิงนะ" ท่านพระครูว่าเมื่อเห็นท่าทางกระตุ้งกระติ้งของอีกฝ่าย
"หนูจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็ไม่เกี่ยวกะหลวงลุงหรอกน่า" เจ้าขุนทองพูดลอยหน้าลอยตา ทำท่าค้อนควัก ท่านพระครูนึกสงสัยจึงใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบ ก็ได้ทราบว่าหลานชายของท่านมีจิตใจเป็นผู้หญิงไปแล้ว ไม่น่าเลย ตอนเกิดท่านก็เห็นมันเป็นผู้ชายแท้ ๆ ไป ๆ มา ๆ ไหงเป็นผู้หญิงไปเสียได้ โธ่เอ๋ย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พระบัวเฮียวกำลังคุยกับพระอุปัชฌาย์อยู่ดี ๆ เมื่อมีผู้อื่นมา "ขัดคอ" เช่นนี้ก็เกิด "ปฏิฆะ" อย่างอ่อน ๆ ขึ้น ครั้นฉุกคิดได้ว่า บุรุษทั้งสองคงจะเป็นญาติกับท่านพระครู จึงพยายามข่มความหงุดหงิดขัดเคืองนั้นไว้ พูดเอาบุญเอาคุณว่า
"โยมโชคดีนะที่มาพบหลวงพ่อ ความจริงวันนี้ท่านต้องไปบรรยายธรรมที่กรุงเทพฯ"
"หรือครับ แล้วทำไมไม่ไปล่ะครับ" นายขำถาม
"ก็ทางโน้นเขาโทรเลขด่วนมาขอเลื่อน อาตมาก็เลยพลอยโชคดีไปด้วย เพราะหมู่นี้หาเวลาคุยกับท่านยาก ยิ่งวันพระด้วยแล้วหมดสิทธิ์เลย เพราะแขกเหรื่อมากันแน่นกุฏิ"
"โอ้โฮ เดี๋ยวนี้หลวงพี่ขายดีถึงขนาดนี้เชียวหรือครับ" คนมีศักดิ์เป็นน้องชายว่า
"เอ็งลองมาเป็นข้ามั่งซี แล้วจะรู้ ว่าแต่ว่าที่มานี่มีอะไรจะให้ข้าช่วยล่ะ" ท่านถาม เพราะหากไม่ต้องการความช่วยเหลือ คนเหล่านี้ก็จะไม่มาให้เห็นหน้า นายขุนทองจ้องหน้าท่านพระครูแล้วถามว่า "หลวงลุงใสแว่นตามาตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะ" ไม่ถามเปล่าแต่ยังแถมด้วย "ฮะ" เป็นคำลงท้าย ตอนแรกก็พยายามจะปิดหลวงลุงเพราะกลัวจะถูกว่า เมื่อท่านไม่ว่าเขาก็จะพูดอย่างที่เคยพูด
"สิบปีเข้านี่แล้ว เอ็งถามทำไม"
"เปล่าหรอกฮะ ก็หลวงลุงดูแปลกไป คือใส่แว่นแล้วหล่อขึ้นน่ะฮะ หล่อกว่าไม่ได้ใส่ ว่าแต่สั้นหรือยาวฮะ" ถามแล้วก็หัวเราะคิก ๆ อยู่คนเดียว
"อะไรของเอ็งล่ะ อะไรสั้น อะไรยาว พูดให้มันฟังง่าย ๆ หน่อยไม่ได้หรือ"
"แหม หลวงลุงเนี่ย หนูหมายถึงสายตาน่ะฮ่ะสั้นหรือยาว ที่หลวงลุงต้องใส่แว่น เพราะสายตาสั้นหรือสายตายาวฮะ" คนพูดบิดตัวไปมาด้วยท่าทีเอียงอาย ท่านพระครูรู้สึกขัดลูกนัยน์ตากับท่าทางมีจริตจะก้านของหลานชาย หากก็รู้ว่าที่เขาต้องเป็นเช่นนั้นก็เพราะกฎแห่งกรรม จึงไม่ว่าให้เขาเสียน้ำใจ ถ้าว่าแล้วทำให้เขาดีขึ้นจึงค่อยว่า
"หมอเขาว่าสายตายาว เอาละ มีธุระอะไรก็ว่ามาได้เลย" ท่านพูดกับบิดานายขุนทอง นายขำจึงตอบว่า "ผมน่ะไม่มีหรอกครับหลวงพี่ แต่ที่ต้องมาก็เพราะธุระของเจ้าขุนทองมันนั่นแหละ มันกำลังจะเกณฑ์ทหาร จะขอหลวงพี่ช่วยไม่ให้มันถูกทหาร สงสารมัน"
"นี่เผลอเดี๋ยวเดียวเอ็งอายุยี่สิบเอ็ดแล้วหรือขุนทอง ข้ายังเห็นเอ็งวิ่งเล่นอยู่ไม่กี่วันนี้เอง จะเกณฑ์ทหารแล้วหรือนี่"
ใช่ซีฮะ เดี๋ยวนี้หนูเป็นสาวแล้วนะหลวงลุง" นายขุนทองว่า
"เป็นหนุ่มโว๊ยเจ้าทอง เอ็งเป็นผู้ชายนะ" คนเป็นพ่อรีบกล่าวแก้ กลุ้มใจอยู่เหมือนกันที่เลี้ยงลูกชายให้กลายเป็นลูกสาว
"เออน่ะ มันอยากจะเป็นสาวก็ช่างหัวมัน" ท่านพระครูปรามนายขำ แล้วหันมาปรามนายขุนทองว่า
"แต่เอ็งก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าขุนทอง อย่าให้มันมากเกินไป เอ้าก็ไหนเอ็งว่าเอ็งเป็นผู้หญิงแล้วทำไมถึงต้องถูกเกณฑ์ทหารล่ะ" นายขุนทองคิดหาคำตอบประเดี๋ยวหนึ่ง จึงพูดว่า
"นั่นซีฮะ เขาว่าเขาเอาตามสำมะโนครัว หลวงลุงช่วยหนูด้วยนะฮะ ขืนหนูถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารคงถูกพวกมันลงแขกทั้งกองทัพ" หนุ่มน้อยปริวิตก
"ฟังพูดเข้าแน่ะ ยังกะเอ็งสวยนักนี่" หลวงลุงค่อน
"ก็สวยกว่าหลวงลุงแล้วกัน" นายขุนทองเถียง
"เอาเถอะ ๆ ข้ายกให้" ท่านพระครูยอมแพ้ นายขำทำหน้าเหนื่อยหน่าย ปรับทุกข์กับท่านต่อหน้าลูกชายว่า
"ไม่รู้เวรกรรมอะไรของผมนะหลวงพี่ มีลูกก็ไม่เหมือนคนอื่นเขา ผมทำกรรมอะไรไว้ครับหลวงพี่ ช่วยดูให้หน่อยเถอะ"
"เอ็งจะเดือดร้อนไปทำไม่ล่ะขำเอ๊ย ก็ตัวเจ้าขุนทองเองมันยังไม่เดือดร้อนนี่นา ใช่ไหมขุนทอง" ท่านถามหลานชายที่กลายเป็นหลานสาว
"นั่นซีฮะ จะกลุ้มใจไปใยล่ะคุ้ณผ่อ" นายขุนทองล้อเลียนบิดา แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามเจ้าของกุฏิว่า
"หลวงลุงฮะ หนูทำกรรมอะไรไว้ฮะถึงได้เกิดเป็นกระเทย ใจจริงแล้วหนูอยากเกิดเป็นผู้หญิง ทำไมมันถึงไม่ได้อย่างที่อยากล่ะฮะ"
"เอ็งอยากรู้จริง ๆ หรือ"
"อยากฮะ อยากให้พ่อแกรู้ด้วย จะได้เลิกบ่นหนูเสียที"
"เอาละ เมื่ออยากรู้ก็จะบอก บัวเฮียวเธอฟังด้วยนะ ฟังแล้วก็จำไว้ด้วย วันหน้าวันหลังหากมีใครเขาถามจะได้บอกเขาได้"
"ครับหลวงพ่อ ผมกำลังตั้งใจฟังอยู่ครับ แม้วันหน้าวันหลังจะไม่มีใครมาถาม ผมก็จะฟังแล้วก็จะจำใส่สมองเอาไว้ นิมนต์หลวงพ่อพูดต่อเถิดครับ" พูดพร้อมกับประนมมือ "นิมนต์"
"แหม หลวงพี่พูดถูกอกถูกใจขุนทองจริงจริ๊ง" นายขุนทองทำเสียงกรีดกราด รู้สึกถูกชะตากับหลวงพี่องค์นี้เสียเหลือเกิน ท่านพระครูมองหน้าลูกศิษย์ทีหนึ่ง มองหน้าหลานชายทีหนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า
"ที่เจ้าขุนทองต้องเป็นอย่างนี้เพราะกรรมเก่า เมื่อชาติที่แล้วเป็นคนเจ้าชู้ ผิดศีลข้อสามเป็นอาจิณ ผลของการประพฤติเช่นนี้ทำให้ต้องมาเป็นอย่างนี้ และถ้าไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไปอีกหกชาติ"
"ยังพอแก้ไขได้หรือครับหลวงพี่" นายขำถามขึ้น
"ก็พอมีทางอยู่ แต่สงสัยเจ้าขุนทองคงทำไม่ได้"
"หลวงลุงจะให้หนูทำอะไรล่ะฮะ" คนมีกรรมเก่าถาม
"ให้เอ็งมาเข้ากรรมฐานน่ะซี" ได้ยินดังนั้นนายขุนทองก็ร้องเสียงหลง "ว้ายตาเถนหกคะเมนตีลังกา หลวงลุงจะให้อีขุนทองมีเข้ากรรมฐาน"
"นั่นไง แค่นี้ก็โวยแล้ว ตามใจเอ็งก็แล้วกัน อยากจะเป็นยังงี้ต่อไปก็ตามใจเอ็ง" ท่านพระครูพูดอย่างปลงสังเวช
"ถ้าอย่างนั้นหลวงพี่ช่วยมันแค่ไม่ให้ถูกทหารก็พอ มีคนเขาแนะนำมาเหมือนกัน แต่มันไม่เชื่อเขา คะยั้นคะยอให้ผมพามาหาหลวงพี่"
"เขาแนะนำว่ายังไงล่ะ" นายขุนทองขยิบหูขยิบตาใส่บิดาเป็นเชิงไม่ให้บอก หากนายขำไม่ฟังเสียง บอกท่านไปว่า "เขาแนะนำให้เอามดตะนอยมาต่อยลูกอัณฑะครับหลวงพี่ พอมันบวมจะได้บอกเขาว่าเป็นไส้เลื่อน" ท่านพระครูกับพระบัวเฮียวรู้สึกขำ หากนายขุนทองทำท่ากระฟัดกระเฟียด นายขำพูดต่ออีกว่า
"เจ้าขุนทองมันไม่ยอมทำตามก็เลยต้องมากวนหลวงพี่" คนเล่าเล่าจบ ท่านพระครูจึงตัดสินว่า
"ดีแล้ว ไม่ทำตามน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องสร้างกรรมเพิ่มขึ้นอีก เรื่องอะไรไปหลอกลวงเขายังงั้น นี่มีตัวอย่างมาแล้ว คนหน้าวัดนี่เอง ทำแบบเดียวกับที่เอ็งว่ามานี่แหละ แต่ขอโทษเถอะ อยู่มาไม่นานเกิดเป็นไล้เลื่อนจริง ๆ เพราะกรรมที่ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่น หลอกใครไม่หลอกไปหลอกหลวง ทีนี้กรรมเลยตามทัน หลอกหลวงนี่บาปหนักกว่าหลอกราษฎร์นะ"
"แล้วเป็นยังไงครับหลวงพี่" นายขำถามอีก
"จะยังไง ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด ผ่าตัดแล้วก็ยังไม่หาย นอกจากไม่หายแล้วยังกลายเป็นมะเร็งเสียอีก"
"เป็นตรงไหนฮะหลวงลุง เป็นตรงไหน" นายขุนทองถามอย่างสนใจ พร้อมกันนั้นก็ทำท่าเอียงอายไปด้วย
"ก็ตรงนั้นแหละ อยู่ได้ไม่ถึงปีก็ตาย เห็นเขาว่าเน่าเลย ไอ้ตรงที่เคยเอามดตะนอยต่อยนะเน่าเฟะเลย นี่ญาติของเขาเอามาเผาที่วัดนี้ ดีแล้วขุนทองที่เอ็งไม่ยอมทำตามอย่างเขา ไม่ยังงั้นก็อาจจะเน่าเหมือนกัน"
"ว้าย หลวงลุงอย่าพูด เสียว เสียว" นายขุนทองส่งเสียงวี๊ดว้าย พลางยกมือทั้งสองขึ้นปิดหู
"ตกลงหลวงพี่ช่วยมันด้วยนะครับ" นายขำสรุป
"ก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน"
"ข้อแลกเปลี่ยนอะไรฮะหลวงลุง ไง ๆ ก็อย่าให้หนูมาเข้ากรรมฐานแล้วกัน ได้ไหมฮะ
"เออ ได้ก็ได้ แต่เอ็งต้องมาอยู่กับข้าที่กุฏินี้ จะได้ช่วยรับแขก หาน้ำหาท่าให้เขาดื่ม" ท่านยื่นข้อเสนอ บางทีการได้มาอยู่ใกล้ชิดท่าน อาจจะทำให้กรรมของนายขุนทองเบาบางลงบ้าง ท่านคิดว่าจะพยายามช่วยเขา ถึงยากอย่างไรก็จะพยายาม
"งั้นก็ตกลงฮ่ะ ดีแล้ว หนูจะได้ไม่ถูกพ่อกะแม่บ่น แล้วยังจะได้รู้จักคนเยอะ ๆ ด้วย เดี๋ยวหนูกลับไปเอาเสื้อผ้าเลยนะพ่อนะ"
"ยังก่อน ยังก่อน เอาไว้ให้พ้นฤดูเกณฑ์ทหารไปก่อนค่อยมา ยังอีกตั้งสองเดือนแน่ะ" นายขำบอกลูก หากท่านพระครูไม่เห็นด้วย
"ก็ให้มาเสียตอนนี้นี่แหละ ข้ากำลังอยากได้คนช่วยงาน ให้มันอยู่ใกล้ ๆ ข้า บางทีมันอาจจะอยากเป็นผู้ชายขึ้นมาบ้าง"
"ไม่มีทาง ไม่มีทาง จ้างให้หนูก็ไม่ยอมเป็นผู้ชาย จะเป็นผู้หญิงเต็มตัวน่ะไม่ว่า เพราะไม่มีพ่อกับแม่คอยขัดคอ" นายขุนทองลอยหน้าลอยตาพูด
"ท่ามันจะไม่ดีแล้วละมังหลวงพี่ เดี๋ยวก็ได้ไปกันใหญ่ ให้มันอยู่กับผมอย่างเก่าดีกว่า ยังไง ๆ ก็ยังอยู่ในสายตามั่ง" นายขำพูดอย่างวิตก
"ไม่ต้องห่วงหรอกขำเอ๊ย เชื่อข้าเถอะ ข้าคิดว่าพอจะช่วยมันได้ คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าหรอกน่า ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าอยู่กับเอ็ง ข้อนี้ข้าขอรับรอง"
"งั้นก็ตามใจหลวงพี่ก็แล้วกัน บางทีมันอาจจะดีขึ้นอย่างที่หลวงพี่ว่าก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ถือว่าเป็นโชคของมัน แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องถือว่าเป็นกรรมของมัน" นายขำพูดอย่างปลงอนิจจัง
"ดีแล้ว เอ็งคิดได้อย่างนั้นก็ดีจะได้ไม่เป็นทุกข์ คิดเสียว่าใคร ๆ ก็ต้องมีกรรมของตัวเองกันทั้งนั้น ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ก็เพื่อมารับผลของกรรม ผลนั้นจะดีหรือชั่วก็ขึ้นอยู่กับว่ากรรมที่ทำไว้เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว"
"หมายความว่าคนที่ทำกรรมดีก็ต้องเกิดอีก ทำกรรมชั่วก็ต้องเกิดอีก อย่างนั้นหรือครับหลวงพี่" นายขำถาม
"ถูกแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องเกิดอีกล่ะครับ เพราะทำกรรมดีก็ยังต้องเกิด"
"กรรมที่ทำให้ไม่ต้องเกิดนั้นเขาเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว กรรมดำคือกรรมชั่ว กรรมขาวคือกรรมดี ฉะนั้นกรรมไม่ดำไม่ขาวก็คือ กรรมที่ไม่เป็นทั้งกรรมชั่วและกรรมดี จะพูดว่าเป็นกรรมกลาง ๆ ก็ได้"
"แล้วกรรมที่ว่านี่ต้องทำอย่างไรบ้างครับ" พระบัวเฮียวถามบ้าง "ต้องปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปด ที่เธอเดินจงกรม นั่งสมาธิและกำหนดอิริยาบถตลอดเวลานั้นคือการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดนั่นเอง เพราะการปฏิบัติดังกล่าวมันคลุมองค์มรรคครบทั้งแปดข้อ ตั้งแต่สัมมาทิฐิจนถึงสัมมาสมาธิ แล้วก็เป็นการปฏิบัติที่มีครบทั้งศีล สมาธิ และปัญญาเลยทีเดียว"
"แหม หลวงพี่ยิ่งพูดผมก็ยิ่งงง เห็นจะต้องลากลับเสียที" นายขำพูดขึ้นเพราะไม่เคยสนใจเรื่องอย่างนี้ "กลับกันเถอะขุนทอง ไปเอาเสื้อผ้าก่อน พรุ่งนี้ค่อยมา" ชายวัยสี่สิบเศษบอกลูก
"ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ข้าจะให้สมชายไปรับเจ้าขุนทองก็แล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลาทำงานเอ็ง" ท่านพระครูเอื้อเฟื้อ
"ขอบคุณหลวงพี่มากครับ ไง ๆ ผมก็ฝากลูกด้วย นึกว่าเวทนามันที่เกิดมาไม่ค่อยเต็มบาทเต็มเต็งเหมือนคนอื่นเขา" สองพ่อลูกกราบท่านพระครูสามครั้งและหันไปกราบพระบัวเฮียว
"ต้องขอโทษหลวงพี่ด้วยนะครับที่มาขัดคอ ผมฝากเจ้าขุนทองมันด้วย" นายขำกล่าวขอโทษพระบัวเฮียว แล้วเลยถือโอกาสฝากฝังลูก
"ไม่ต้องห่วงหรอกโยม แล้วอาตมาจะช่วยดูแลให้" พระบัวเฮียวตอบ รู้สึกประทับใจในความรักและห่วงใยที่บิดามีต่อบุตร
"พรุ่งนี้พบกันนะฮะหลวงพี่ บ๊าย บาย" นายขุนทองทำตาหวานหยาดเยิ้มใส่พระบัวเฮียว แล้วจึงลุกตามบิดาออกไป ท่านพระครูส่ายหน้าช้า ๆ พูดกับพระบัวเฮียวว่า
"นี่ก็กรรม เห็นไหมบัวเฮียว ใคร ๆ ก็มีกรรมเป็นของตนกันทั้งนั้น"
"แต่หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเคยบอกว่าคนทีผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร ถ้ามีเมียเมียจะมีชู้ ถ้ามีสามีสามีก็จะไปมีเมียน้อย แต่ทำไมรายของนายขุนทองจึงไม่เป็นอย่างนั้นล่ะครับ"
"เรื่องของกรรมมันละเอียดอ่อนลึกซึ้งนะบัวเฮียว ฉันไม่สามารถอธิบายให้เธอฟังได้ทั้งหมดหรอก ถ้าเธออยากรู้ก็ต้องเร่งปฏิบัติ เมื่อใดที่เธอรู้เอง เห็นเองได้ เมื่อนั้นเธอก็จะหายสงสัย"
"ครับ" ยังไม่ทันที่พระบัวเฮียวจะพูดอะไรต่อไป นายขุนทองก็คลานเข้ามากราบ แล้วพูดขึ้นว่า
"หนูลืมขอบคุณหลวงลุงน่ะฮะ ก็เลยต้องกลับมาขอบคุณก่อน หนูต้องขอขอบพระคุณหลวงลุงเป็นอย่างสูงที่กรุณาช่วยเหลือหนู ขอให้หลวงลุงอายุยืน ๆ นะฮะ" พูดจบก็ก้มลงกราบอีกสามครั้งแล้วคลานออกไป ท่านพระครูพูดตามหลังว่า
"เออ ขอบใจที่อวยพร ข้าก็ว่าจะอยู่ไปจนกว่าจะตายนั้นแหละ เอ็งนี่มีอะไรแปลก ๆ อยู่เรื่อย สงสัยเลือดลมไม่ค่อยจะดี" คนที่กำลังคลานออกไปหันกลับมาสนองว่า
"นั้นซีฮะ หมู่นี้รอบเดือนของหนู มันมาไม่ค่อยจะตรงตามกำหนด"
"น้อย ๆ หน่อยเจ้าขุนทอง มันยังงี้นะซี พ่อแม่เอ็งเขาถึงกลุ้มอกกลุ้มใจนักหนา นี่ข้าก็กำลังจะกลุ้มอีกคนแล้วนะ"
"ช่วยไม่ได้ หลวงลุงชวนหนูมาอยู่เอง ก็ต้องรับกรมไปตามหน้าที่จริงไหมฮะ" ท่านพระครูไม่ตอบ ต่อเมื่อหลานชายพ้นสายตาไปแล้ว จึงพูดขึ้นว่า
"สงสัยจะกู่ไม่กลับเสียละมัง หรือเธอว่ายังไงบัวเฮียว"
"ผมคงไม่ว่ายังไงหรอกครับ ที่ไม่ว่าเพราะไม่รู้จะว่ายังไงหรือว่าหลวงพ่อจะให้ผมว่ายังไง ก็กรุณาบอกมาเถิดครับไม่ต้องเกรงใจ"
"พอแล้วบัวเฮียวพอ ขืนเธอพูดให้มากกว่านี้ ฉันคงเวียนหัวแย่ เอาละ มีข้อข้องใจสงสัยอะไรก็ว่ามา"
"สิ่งที่ผมข้องใจสงสัยมันมีหลายอย่างนะครับหลวงพ่อ" พระบัวเฮียวพูดอย่างเกรงใจเป็นที่สุด
"งั้นก็ว่าไปทีละอย่าง นึกว่าวันนี้เป็นวันของเธอก็แล้วกัน จะได้ไม่เอาไปเที่ยวพูดว่าฉันไม่มีเวลาให้"
"โธ่ หลวงพ่อครับ ตั้งแต่มาอยู่วัดนี้ผมยังไม่เคยเที่ยวเลยสักครั้ง แล้วจะเอาหลวงพ่อไปพูดอย่างนั้นได้ยังไง" พระหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง
"แน่ใจนะ" ท่านพระครูคาดคั้น
"แน่ใจครับ แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์"
"แล้วเมื่อกี้ใครตะโกนว่าฉันให้เจ้าขำฟังล่ะ ว่าฉันไม่มีเวลาให้ เธอพอจะรู้บ้างไหมว่าใครว่า"
"ก็พอจะรู้เหมือนกันครับ แต่เขาไม่ได้เอาไปเที่ยวว่านี่ครับ เขานั่งว่าอยู่ตรงนี้ ตรงที่ผมนั่งนี่" พูดพร้อมกับชี้นิ้วลงที่พื้น การได้ยั่วพระอุปัชฌาย์เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ของพระบัวเฮียว
"เอาตัวรอดจนได้นะ เอาละ ฉันขอชมเชยว่าเธอเก่ง ฉันยังไม่เคยเห็นใครเก่งอย่างนี้มาก่อนเลยจริง ๆ"
"อย่างนี้นะอย่างไหนครับ" พระหนุ่มไม่วายยั่ว
"ก็อย่างที่เรียกว่ามะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกน่ะซี" ท่านพระครูเฉลย การได้พูดจาหยอกล้อกับ "น้องชายในอดีตชาติ" ทำให้ท่านมีความสุข แม้ว่าฝ่ายนั้นจะยังไม่รู้ว่าชาติหนึ่งตนเคยเกิดเป็นน้องชายของท่าน
"ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อก็ต้องไปฝึกปาเป้าใหม่ หรือไม่ก็เพิ่มมะกอกเป็นสี่ตะกร้า ถ้ายังปาไม่ถูกอีกก็เพิ่มเป็นห้าหกเจ็ดหรือแปดตะกร้า มันจะต้องถูกสักลูกนึงจนได้แหละครับ" พระหนุ่มแนะนำ
"เอาละ เอาละ มัวพูดเยิ่นเย้ออยู่นั่นแหละ จะถามอะไรก็ถาม ฉันเป็นคนไม่ชอบหายใจทิ้ง"
"ครับ ผมเองก็ชอบหายใจเป็นการเป็นงาน งั้นผมขอเรียนถามข้อข้องใจเลยนะครับ" ท่านพระครูพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต พระบัวเฮียวกำลังจะเอ่ยปากถาม ก็พอดีกับบุรุษผู้หนึ่งคลานเข้ามา พระหนุ่มมีอันต้อง "ถูกขัดคอ" อีกจนได้
เถ้าแก่เส็งกราบท่านพระครูสามครั้ง กราบพระบัวเฮียวสามครั้งแล้วเอ่ยขึ้นว่า
"ผมต้องขอประทานโทษที่มาขัดจังหวะ แต่ผมก็จำเป็นต้องมาเพราะอยากพบหลวงพ่อมากครับ"
"เจริญพร โยมเถ้าแก่มาคนเดียวหรือ"
"มาคนเดียวครับ ผมเหมารถแท็กซี่มาจากกรุงเทพฯ"
"อย่างนั้นหรือ ทำไม่ไม่ให้คุณนายดวงสุดามาส่งล่ะ"
"ผมไม่อยากกวนเขาครับ อีกประการหนึ่งผมอยากให้การมาครั้งนี้เป็นความลับ ทั้งคุณกิมง้อและหนูดวงสุดาไม่ทราบว่าผมมา" เถ้าแก่เส็งตอบ
"อ้อ แล้วจะค้างหรือเปล่า หรือว่ากลัวทางบ้านเขาจะเป็นห่วง"
"ไม่ค้างครับ ผมว่าจะมากราบหลวงพ่อ แล้วก็จะกลับ"
"ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ทานอาหารกลางวันเสียก่อน เดี๋ยวชวนโชเฟอร์เขาไปทานด้วย คงไม่รีบร้อนใช่ไหม"
"ครับ ก็ตั้งใจว่าทานอาหารกลางวันแล้วจึงจะกลับ ขอบพระคุณหลวงพ่อมากครับที่เมตตา" พูดพร้อมกับประนมมือไหว้
"โยมเถ้าแก่โชคดีนะที่มาแล้วพบท่าน ที่จริงวันนี้ท่านต้องไปบรรยายธรรมที่กรุงเทพฯ แต่ถ้าผู้จัดเขาขอเลื่อนกะทันหัน" พระบัวเฮียวพูดหมายจะเอาบุญเอาคุณ หากก็ต้องผิดหวังเมื่อบุรุษวัยเจ็ดสิบตอบว่า
"แต่ผมทราบครัวว่าท่านต้องอยู่ ที่เหมารถแท็กซี่มาตั้งสามร้อยก็เพราะต้องการมาพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยครับ"
"โยมทราบได้อย่างไรล่ะ" ท่านเจ้าของกุฏิถามอย่างสนใจ เถ้าแก่เส็งจึงเล่าว่า
"มันแปลกมากครับหลวงพ่อ เมื่อเย็นวานขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิผมรู้สึกคิดถึงหลวงพ่อมาก กำหนดอย่างไรก็ไม่หายคิดถึง เลยตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะต้องมากราบหลวงพ่อ พอคิดได้ดังนั้นก็เกิดความกังวลอีกว่า อาจจะไม่พบเพราะไม่ใช่วันพระ ความที่ผมอยากรู้จึงพยายามรวมจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วผมก็กำหนด "เห็นหนอ เห็นหนอ" ก็เกิดนิมิตเห็นหลวงพ่ออยู่ที่วัด ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระซิบที่ข้างหูว่า "พรุ่งนี้ท่านพระครูไม่ได้ไปไหน พรุ่งนี้ท่านพระครูอยู่วัด" ผมก็เลยมาพิสูจน์นี่แหละครับ" เถ้าแก่เส็งเล่าจบท่านพระครูจึงถามขึ้นว่า
"แล้วคุณโยมผู้หญิงกับคุณนายดวงสุดา รู้หรือเปล่า"
"ผมไม่ได้เล่าให้คุณกิมง้อฟังครับ กลัวเขาจะหาว่าเหลวไหล ส่วนลูกดวงสุดาเขาไม่ได้มาหาผม เขาอยู่ที่บ้านเขาครับ"
"แปลว่าโยมเถ้าแก่ได้ "เห็นหนอ" ใช่ไหมครับหลวงพ่อ" พระบัวเฮียวถามอย่างตื่นเต้น
"ถูกแล้วบัวเฮียว เห็นไหมว่ามันไม่ได้ยากเย็นแต่ประการใด ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะเกินความสามารถของมนุษย์ผู้มีความเพียรไปได้ จริงไหม"
"จริงครับ"
"อาตมาขออนุโมทนานะ โยมเถ้าแก่มีวิริยะอุตสาหะดีเหลือเกิน" ท่านพระครูเอ่ยปากชม
"อาตมาก็ขออนุโมทนาด้วย" พระบัวเฮียวพูด รู้สึกดีใจและเสียใจระคนกัน ดีใจเพราะ "ลูกศิษย์" มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ แต่ที่เสียใจเพราะเกิดความรู้สึกว่าตนคงจะย่อหย่อนในการทำความเพียร จึงยังไม่บรรลุผลที่มุ่งหวัง ท่านอยากได้ "เห็นหนอ" มานาน แต่ก็ยังไม่ได้ เถ้าแก่เส็งปฏิบัติทีหลังแต่กลับได้ก่อนท่าน
พระอุปัชฌาย์รู้ความคิดของคนเป็นศิษย์จึงพูดขึ้นว่า
"ไม่ต้องเสียอกเสียใจไปหรอกบัวเฮียวเอ๋ย ของอย่างนี้ไม่ใช่จะได้กันง่าย ๆ หรอกนะ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติชาตินี้แล้วจะได้ในชาตินี้ เรื่องของอภิญญานั้น คนที่จะได้ต้องเคยสะสมบารมีมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ แล้วอีกประการหนึ่ง การที่เธอยังไม่ได้เพราะเธออยากได้ จงจำไว้ว่าถ้าอยากแล้วจะไม่ได้ ต้องไม่อยากได้จึงจะได้"
"หมายความว่าอย่างไรครับ ผมชักจะงง ๆ เสียแล้ว"
"ก็หมายความว่า ที่เธอยังไม่ได้ "เห็นหนอ" เพราะเธอไปอยากได้มันน่ะซี เธอจะต้องทำเฉย ๆ อย่าไปมุ่งมั่นจนเกินไป แล้วเธอก็จะได้เอง" ท่านพระครูแนะนำ
"แปลว่าผมต้องฝืนใจใช่ไหมครับ คือทำเป็นไม่อยากได้ แบบนี้ก็โกหกตัวเองซีครับ"
"เธอก็ต้องทำใจไม่ให้อยากได้จริง ๆ ซี ไม่งั้นมันก็เป็นการโกหกตัวเองอย่างที่เธอว่านั้นแหละ" แล้วถ้ามเถ้าแก่เส็งว่า
"เวลาโยมปฏิบัติธรรม โยมหวังว่าจะได้ "เห็นหนอ ไหม ตั้งใจไว้เลยไหมว่าจะต้องให้ได้"
"ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยครับ ผมรู้แต่ว่าทางที่ผมกำลังดำเนินอยู่นี้เป็นทางสายเอกที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ถ้าผมตั้งใจปฏิบัติก็อาจจะเข้าถึงความดับทุกข์ได้ ส่วนอดีตและอนาคตผมจะพยายามไม่คิดถึง" เถ้าแก่เส็งตอบอย่างคนที่ "เข้าถึงธรรม" โดยแท้
พระบัวเฮียวฟังแล้วรู้สึกละอายใจ เพราะตัวท่านปฏิบัติธรรมชนิดที่ยังมีโลภะ ความอยากได้ "เห็นหนอ" ก็คือตัวโลภะ นั่นเอง
"หลวงพ่อครับต่อไปนี้ผมจะไม่หวังอีกแล้วครับ ฟังโยมเถ้าแก่พูดแล้วผมรู้สึกละอายใจตัวเองนัก ผมจะไม่สนใจว่าจะได้ "เห็นหนอ" หรือไม่ได้ เพราะมันไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้วบัวเฮียว "เห็นหนอ" ก็คือ การได้ทิพยจักษุ เป็นอภิญญาข้อหนึ่งในหกข้อ ดูเหมือนฉันจะเคยอธิบายให้เธอฟังแล้วว่า อภิญญาห้าข้อแรกนั้นเป็นโลกียปัญญา ปุถุชนคนธรรมดาก็สามารถมีได้หากได้ฌาณ ๔ และสมาธิกล้าแข็งพอ แต่อภิญญาข้อสุดท้ายที่มีชื่อว่า อาสวักชยญาณนั้นเป็น โลกุตตรอภิญญา พระอรหันต์เท่านั้นจึงจะมีได้ และเมื่อได้แล้วก็จะไม่เสื่อม ส่วนโลกียอภิญญานั้นเสื่อมได้ ถ้าฌานเสื่อม"
"ถ้าอย่างนั้นพระอริยบุคคลชั้นต้นเช่น พระโสดาบันก็ไม่จำเป็นว่าจะได้อภิญญาใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว และคนที่ได้อภิญญาก็ไม่จำเป็นว่าจะได้เป็นพระโสดาบัน เพราะมันไม่เกี่ยวกัน ผู้ที่บรรลุโสดาบันปัตติผลเป็นพระโสดาบันนั้น เพราะละสังโยชน์เบื้องต่ำได้สามอย่างคือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ไม่เกี่ยวข้องกับอภิญญาแต่ประการใด" ท่านพระครูอรรถาธิบาย
"แต่หลวงพ่อครับ เมื่อกี้หลวงพ่อว่าพระปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าฆราวาส แบบนี้จะแปลว่า ฆราวาสไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผลอย่างนั้นสิครับ อย่างที่หลวงพ่อว่าบางคนได้ถึงญาณ ๑๓ แต่ก็ติดอยู่แค่นั้น"
"ไม่เสมอไปหรอกบัวเฮียว ที่ฉันยกตัวอย่างให้เธอฟังเมื่อกี้นั้น ฉันหมายเฉพาะคนที่เขาเข้ามาปฏิบัติกรรมฐานที่วัด คือขณะอยู่ในวัดอาจได้ถึงญาณ ๑๓ แต่พอกลับไปบ้าน เขาไม่ปฏิบัติต่อเขาก็จะไม่สามารถก้าวไปถึงญาณ ๑๔ หรือญาณ ๑๖ เป็นพระโสดาบันได้ ผู้ที่เป็นฆราวาสมีโอกาสที่จะบรรลุได้ถึงระดับอนาคามีผลนั่นเทียว"
"ไม่ถึงอรหัตตผลหรือครับ ทำไมไม่ถึงเล่าครับ"
"ถ้าถึงก็จะต้องบวชภายในเจ็ดวัน ถ้าไม่บวชก็ต้องตาย
"ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ" บุรุษสูงวัยถามอย่างสงสัย พระบัวเฮียวก็กำลังจะถามแบบเดียวกันนี้
"เพราะภาวะความเป็นอยู่ของฆราวาสไม่สามารถรองรับภาวะของพระอรหันต์ได้ ในสมัยพุทธกาลเคยมีปรากฏ ทีฆราวาสบรรลุอรหัตตผลแล้วไม่บวช เพราะท่านมีภาระต้องเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งตาบอด เมื่อท่านบรรลุได้ไม่ถึงเจ็ดวันก็ถูกวัวบ้าขวิดถึงแก่ความตาย" ยินคำว่า "วัว" พระบัวเฮียวก็ขนลุกซู่โดยไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ อาจเป็นด้วยจิตใต้สำนึกของท่านมีความเกี่ยวพันกับวัวควายนั่นเอง
"แบบนี้วัวตัวนั้นก็บาปแย่เลยนะครับหลวงพ่อ" เถ้าแก่เส็งถาม
"บาปแน่นอน เพราะเป็นครุกรรมข้อ อรหันตฆาต"
"ไม่น่าเลยนะครับ ท่านเป็นถึงพระอรหันต์ ไม่น่ามาเสียชีวิตเพราะถูกวัวบ้าขวิด" บุรุษสูงวัยรู้สึกปลงสังเวช
"จะเป็นอะไรก็ตาม ไม่มีใครหนีกรรมพ้น พระพุทธองค์ตรัสเรื่องนี้ให้ภิกษุฟังว่าเป็นเพราะพระอรหันต์รูปนี้ท่านเคยสร้างกรรมไว้กับวัว จึงต้องมาชดใช้" ฟังถ้อยคำของพระอุปัชฌาย์ พระหนุ่มก็เสียววาบเข้าไปถึงหัวจิตหัวใจ จึงเสถามเถ้าแก่เส็งว่า
"เวลานั่งสมาธิโยมเถ้าแก่เคยง่วงไหม ง่วงมาก ๆ จนแม้จะลุกขึ้นเดินก็ยังง่วงน่ะเคยเป็นไหม"
"เคยครับแต่นานมาแล้ว ดูเหมือนจะตอนที่ปฏิบัติเดือนแรก ๆ โน่นแน่ะครับ" บุรุษสูงวัยตอบ
"แล้วโยมทำยังไง"
"ผมก็พยายามอยู่ในที่แจ้งบ้าง รับประทานอาหารให้น้อยลงบ้าง นอนบ้าง"
"แล้วหายง่วงไหม"
"ไม่หายครับ มันยิ่งง่วงหนักขึ้นไปอีก ง่วงแล้วก็รู้สึกเบื่อหน่ายไปหมด ผมก็พยายามเอาชนะมันด้วยการกำหนดสติอยู่ตลอดเวลา ง่วงก็กำหนดว่า "ง่วงหนอ" พอนอนไม่หลับก็กำหนดว่า "นอนไม่หลับหนอ" เมื่อรู้สึกเบื่อก็กำหนดว่า "เบื่อหน่ายหนอ" เรียกว่าผมไม่ยอมให้เผลอสติเลยแหละครับ เป็นอยู่อย่างนี้สักสามสี่วันก็หาย พอหายผมรู้สึกสบายอกสบายใจมาก ก็เกิดปีติว่าผมเอาชนะมารได้แล้ว และตั้งใจว่าจะเร่งทำความเพียรต่อไป เพราะอายุผมก็มากแล้ว จะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้ หากมัวเห็นแก่กินแก่นอนก็จะทำให้ชีวิตเป็นหมัน เสียชาติเกิด ผมคิดอย่างนี้แหละครับ"
"แล้วโยมสงสัยบ้างไหมว่าอาการเช่นนั้นมันเกิดจากอะไร อาการที่ง่วงมาก ๆ และเบื่อหน่ายทุกสิ่งทุกอย่างน่ะ" หากเจ้าของกุฏิถาม มิใช่ท่านไม่รู้คำตอบ ทว่าต้องการให้บุรุษสูงอายุได้ "สอน" พระหนุ่มทางอ้อม
"ผมคิดว่ามันไม่ใช่ความง่วงธรรมดา ๆ คงจะต้องเป็นการปรากฏของสภาวธรรมอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมแน่ใจว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นครับ"
"ถูกแล้ว นั่นแหละเป็นอาการของ "นิพพิทาญาณ" และที่โยมปฏิบัติตามที่เล่ามานั้นก็ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้ามีความเด็ดเดี่ยวและใจสู้มันก็ไม่ยากจนเกินไป นี่อาตมาหมายถึงธรรมระดับสูงนะ" ท่านใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบก็ได้รู้ว่าบุรุษตรงหน้าได้ถึงญาณ ๑๓ แล้ว และคงจะบรรลุญาณ ๑๖ ในไม่ช้านี้ ท่านไม่พูดอะไรออกมาด้วย ไม่ต้องการให้คนที่เพิ่งได้ญาณ ๘ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอีก
เมื่อพูดถึงเรื่องง่วงท่านพระครูก็นึกถึงอดีตสมัยที่ท่านอายุสิบสองสิบสาม จึงเล่าให้พระบัวเฮียวและเถ้าแก่เส็งฟังเป็นการคลายความเครียดว่า
"อาตมามีเรื่องขำ ๆ จะเล่าให้ฟัง เรื่องง่วงนี่แหละ สมัยที่อาตมาอายุสิบสองสิบสาม อาตมาอยู่กับยาย พอตีสี่ยายก็ปลุกแล้ว ปลุกให้ลุกหุงข้าวใสบาตร วิธีปลุกของยายยอดเยี่ยมมาก โดยมจะลองเอาไปใช้กับลูกกับหลานก็ได้" ท่านบอกเถ้าแก่เส็ง
"ทำอย่างไรครับ" ถามอย่างสนใจ
"ก็ไม่ทำอะไรมาก ตอนแรกก็เข้าไปเขย่าตัวบอก "ไอ้หนู ไอ้หนู ลุกหุงข้าวใส่บาตรได้แล้ว" อาตมากำลังง่วงก็ตอบ ฮื่อ ๆ รู้แล้ว ขอนอนต่ออีกนิดเดียว ยายก๊ดขึ้นเหยียบเลย บอกจะลุกไม่ลุก อาตมากำลังอยากนอนเลยบอกกับยายว่า "แหม ดีจังเลยยาย ผมกำลังปวดเมื่อยอยู่พอดี ยายมาช่วยเหยียบให้ทุกวันเลยนะ"
"แล้วท่านว่ายังไงครับ" พระบัวเฮียวถาม
"แกก็บอก งั้นยายจะไปเอาไม้เรียวมาช่วยนวดให้นะหลานนะ เด็กอะไรขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่เรียกไม่ลุก ไม่ปลุกไม่ตื่น"
"แล้วหลวงพ่อทำยังไงครับ"
"จะทำยังไงล่ะ ฉันก็ต้องรีบลุกขึ้นมาหุงข้าวน่ะซี ทีนี้ข้าวสมัยนั้นน่ะ เขาใช้หม้อดินหุง แล้วก็ใช้เตาฟืน ฉันก็ก่อไฟ ความง่วงก็เลยจับดุ้นฟืนนั่งหลับอยู่หน้าเตาไฟนั่นแหละ ยายมาเห็นเข้าก็ตบให้สองฉาด นี่ตบที่หน้านี่ ตบข้างซ้ายที ข้างขวาที" ท่านทำท่าประกอบ
"แล้วเป็นยังไงบ้างครับ" พระบัวเฮียวถามอย่างนึกสนุก ท่านพระครูตอบหน้าตาเฉยว่า
"ก็ค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อยนึง"
"คุณนายของหลวงพ่อคงจะดุมากนะครับ" เถ้าแก่เส็งถาม
"ดุ หรือ ไม่ดุ อาตมาก็ถูกตีไม่เว้นแต่ละวันเชียวแหละ บางวันก็ถูกตีสามครั้งหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น"
"น่าจะแถมก่อนนอนอีกรอบนะครับ เพราะเวลาหมอให้ยาเขาจะให้กินหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน" พระบัวเฮียวว่าไปโน่น
"บางวันก็ได้แถมก่อนนอนด้วย" ท่านเจ้าของกุฏิสารภาพ
"งั้นแสดงว่าหลวงพ่อก็คงไม่เบาเหมือนกันนะครับ" พระบัวเฮียวว่า
"เอ! จะว่าหนักก็ไม่เชิงนะ เพราะตอนนั้นยังผอม" พระอุปัชฌาย์ตั้งใจยั่วลูกศิษย์
"แหม หลวงพ่อก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายความยังงัน คือผมต้องการจะพูดว่าเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ตีทุกวัน ๆ ละสามสี่ครั้งน่ะคงจะไม่เบาทีเดียว คือจะต้องเกเรจนขึ้นชื่ออะไรทำนองนี้"
"เกหรือไม่เกคนเขาก็เรียกฉันว่า ไอ้มหาโจรกันทั้งบางนั่นแหละ"
"แล้วหลวงพ่อเกลียดคุณยายไหมครับ ถูกคุณยายตีทุกวันแล้วรู้สึกเกลียดคุณยายไหม" คนเป็นฆราวาสถาม
"ตอนนั้นเกลียด แต่ตอนนี้รัก เพราะถ้าไม่ได้ไม้เรียวยาย อาตมาก็ไม่ได้มาเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ อาตมารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของยายมาก" เงียบกันไปครู่หนึ่ง ท่านเจ้าของกุฏิก็พูดขึ้นอีกว่า
"มีอยู่ครั้งนึงอาตมาหนีไปเที่ยวดูหนัง โกหกยายว่าจะไปติดกัน เพื่อนจวนสอบไล่ ที่แท้หนีไปดูหนังกับเพื่อนกลับเสียดึก พอยายมาปลุกก็บอกยายว่าวันนี้ขอวันนึงเถอะ เพราะติวกับเพื่อนเหนื่อยมาก ขอตอนตื่นสายสักวัน ยายก็บอกว่า "ไอ้หนู เอ็งจะนอนยายก็ไม่ว่าหรอก แต่ก่อนจะนอนต้องลุกหุงข้าวใส่บาตรก่อน แล้วก็กินข้าวกินปลาเสียให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมานอน" นี่เห็นไหมนโยบายของยายอาตมานี่เยี่ยมจริง ๆ อาตมาก็เลยสะลึมสะลือลุกขึ้นไปก่อไฟตั้งหม้อข้าว ไฟมันก็ไม่ติดซักที ก่อไฟอยู่ตั้งนานก็กลัวข้าวจะไม่ทันพระ เลยใส่ฟืนใหญ่ กระทุ้งฟืนเข้าไปในเตา แล้วก็จะเป็นเพราะความง่วงหรือเพราะมือหนักก็ไม่ทราบ กระทุ้งเสียหม้อข้าวแตกเลย"
"แล้วยายของหลวงพ่อว่ายังไงครับ" พระบัวเฮียวถาม รู้สึกสนุกสนานกับเรื่องที่ท่านเล่า
"ก็ไม่ว่ายังไงหรอก แต่ตีเสียอานไปเลย คราวนั้นเล่นเอาหลังลายไปหลายวัน"
"แหม! ชีวิตหลวงพ่อนี่โลดโผนดีจังนะครับ" พระหนุ่มว่า
"ใช่ ก็ทำให้มีชีวิตชีวาดีเหมือนกัน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันยังนึกขำอยู่จนทุกวันนี้ คือเรื่องละเมอ"
"ใครละเมอครับ หลวงพ่อหรือคุณยาย" เถ้าแก่เส็งถาม
"อาตมา คือก่อนนอนมันกังวลว่าน้ำ มันแห้งโอ่ง พรุ่งนี้จะต้องตื่นขึ้นตักน้ำแต่เช้า พอหลับไปก็เลยละเมอ นี่ชาวบ้านเขามาเล่าให้ฟังตอนเช้า เขาบอกว่าเห็นอาตมาตักน้ำตั้งแต่ตีสี่ ตักขึ้นบ้าน อาตมาก็แปลกใจว่าคนละเอาทำไมถึงหาบกระแต๋งไปสระได้ แถมขึ้นบันไดบ้านถูกด้วย เขาว่าอาตมาตักเอา ๆ เขาพูดด้วยก็ไม่พูด ก็คนละเมอจะรู้เรื่องยังไง จริงไหม" ท่านถามพระบัวเฮียว
"จริงครับ แล้วเขาบอกไหมครับว่าเขาพูดว่าอย่างไร"
"เขาบอกเขาตะโกนถามว่า "ไอ้หนูนึกยังไง ลุกขึ้นมาตักน้ำตั้งแต่ตีสี่" ฉันก็ไม่พูดกับเขา ตักน้ำเสร็จก็กลับไปนอนจนรุ่งเช้า"
"แล้วไม่ลุกหุงข้าวหรือครับ"
"ไม่ลุกเพราะยายไม่ได้ปลุก ยายไม่อยู่ ไปช่วยงานที่บ้านเหนือ พอตื่นเช้ามาก็ตกใจ โอ้โฮ! น้ำเต็มโอ่งหมดทั้งสิบโอ่ง แถมโอ่งข้าวสารก็มีน้ำเต็ม ข้าวสารลอยเป็นแพเลย"
"หลวงพ่อก็เลยถูกยายตีอานไปเลย" พระบัวเฮียวเดา คราวนี้ท่านพระครูตอบอย่างผู้มีชัยว่า
"โน คราวนี้ฉันรอดตัว เพราะพอยายกลับมาจากบ้านเหนือก็ถามว่า "ไอ้หนู ใครแช่ข้าวให้ยาย" ฉันก็ตอบว่า "ผมละเมอตักน้ำใส่โอ่งข้าวสาร" กลัวยายตีก็กลัว แต่ยายกลับตอบว่า "เออดี บ้านเหนือเขากำลังจะทำขนมจีน งั้นเองรีบเอาไปให้เขาทำแป้งขนมจีนเร็ว ๆ เข้า"
เสียงระฆังเพลดังขึ้น พระบัวเฮียวกราบพระอุปัชฌาย์สามครั้ง แล้วลุกเดินไปยังหอฉัน ท่านพระครูบอกเถ้าแก่เส็งว่า
"ไป เชิญไปรับประทานอาหารก่อน เดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อ สมชายไปเรียกโชเฟอร์มาด้วย" สั่งเสร็จท่านก็ขึ้นไปยังชั้นบนของกุฏิเพื่อเขียนหนังสือสอบอารมณ์กรรมฐาน...





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 12:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8: ..

..อนุโมทนาแล้วๆๆ..

:b29: ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ฉันเพลแล้วพระบัวเฮียวก็กลับมาที่กุฏิท่านพระครูอีก ข้าราชการหนุ่มประมาณไม่เกินสามสิบนั่งรออยู่ ท่านเดาว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นข้าราชการเพราะเขาสวมชุดสีกากีและมี "บั้ง" ติดอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง เขากราบท่านสามครั้งแล้วทักขึ้นว่า
"หลวงพี่อยู่วัดนี้หรือมาจากที่อื่นครับ"
"อาตมาอยู่วัดนี้ แล้วโยมล่ะมาจากไหน"
"ผมมาจากอำเภอสองพี่น้องครับ แต่บ้านเดิมอยู่ที่นี่ แล้วก็คุ้นเคยกับหลวงพ่อมานาน"
"แล้วโยมไปทำอะไรอยู่ที่นั่นล่ะ ที่อำเภออะไรนะ"
"อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีครับ ผมเป็นปลัดอำเภออยู่ที่นั่น"
"อ้อ"
"เถ้าแก่เส็งเสร็จจากรับประทานอาหารก็เดินเข้ามานั่งพร้อมโชเฟอร์แท็กซี่ คนทั้งสองกราบพระบัวเฮียวสามครั้ง พระหนุ่มจึงถือโอกาสแนะนำบุคคลทั้งสามให้รู้จักกัน ทราบว่าชายหนุ่มเป็นปลัดอำเภอ เถ้าแก่เส็งจึงพูดถึงลูกเขย
"ลูกเขยผมเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนี้ คุณเคยได้ยินชื่อไหม" เขาบอกชื่อคนเป็นสามีของลูกสาว ปลัดหนุ่มจึงว่า
"ครับ ท่านเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของผม คุณนายดวงสุดาเป็นบุตรสาวของท่านหรือครับ"
"ถูกแล้ว ก็หนูดวงสุดานี่แหละที่พาผมมารู้จักกับหลวงพ่อ แล้วผมก็ได้มาปฏิบัติกรรมฐานที่นี่"
"โยมเถ้าแก่ปฏิบัติได้ก้าวหน้ามากนะโยมปลัด" พระบัวเฮียวบอกข้าราชการหนุ่ม เพราะต้องการจะยกย่อง "ลูกศิษย์" ท่านคิดว่าปลัดหนุ่มคงจะคุ้นเคยกับการปฏิบัติกรรมฐาน เนื่องจากเป็นคนถิ่นนี้และรู้จักท่านพระครูมานาน ท่านไม่รู้เลยว่าบุคคลผู้นี้อยู่ในประเภท "ใกล้เกลือกินด่าง"
"โยมปลัดคงปฏิบัติได้สูงแล้วใช่ไหม" ท่านถามอีก
"หลวงพี่หมายถึงอะไรครับ" คนถูกถามไม่เข้าใจ
"อาตมาหมายถึงการปฏิบัติธรรม โยมปลัดเคยใกล้ชิดหลวงพ่อคงปฏิบัติไปได้ไกลแล้วใช่ไหม"
"เปล่าเลยครับหลวงพี่ บอกตามตรงว่าผมไม่สนใจเรื่องอย่างนี้ มันสนุกเสียที่ไหนล่ะครับ กรรมฐานน่ะ" เมื่อเขาตอบมาอย่างนี้ พระบัวเฮียวจึงไม่ซักถามอะไรอีก ด้วยเกรงจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของผู้ถูกถาม พอดีกับท่านพระครูลงมาจากกุฏิชั้นบน ผู้ที่นั่งรออยู่จึงทำความเคารพด้วยการกราบสามครั้ง
"เจริญพร โยมปลัดมายังไง" ท่านเจ้าของกุฏิทักทาย
"ผมจะมาขอให้หลวงพ่อช่วยดูฤกษ์แต่งงานครับ" ปลัดหนุ่มตอบ
"เจ้าสาวเขาเป็นใครล่ะ" ท่านถาม ปลัดวัยสามสิบตอบว่า
"เป็นนางเอกลิเกครับหลวงพ่อ" น้ำเสียงมีแววภูมิใจในหญิงที่ตนจะแต่งงานด้วย ท่านพระครูเห็นไม่เข้าเรื่อง คนเป็นปลัดอำเภอจะไปแต่งงานกับนางเอกลิเก มันจะเป็นไปได้อย่างไร หรือว่าสองคนนี้เป็นคู่เวรคู่กรรมกันมา ครั้นใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบก็ได้รู้ว่า คนคู่นี้ไปกันไม่ได้และจะอยู่กันชนิดหม้อข้าวไม่ทันดำก็ต้องเลิกร้างกัน จึงพูดขึ้นว่า
"โยมคิดยังไงถึงจะไปแต่งงานกับนางเอกลิเกล่ะ อาตมาว่ามันไม่คู่ควรกัน ไม่มีอะไรเหมาะสมกันเลย" ปลัดหนุ่มรู้สึกขัดเคืองในคำพูดของท่าน เขากำลังหลงสตรีผู้นั้นจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น จึงบอกท่านพระครูว่า
"โธ่! หลวงพ่อครับ ก็เรารักกัน เขาสวยมากนะครับหลวงพ่อ รูปร่างหน้าตาสวย รำก็สวย เสียงก็เพราะ หนุ่ม ๆ รุมจีบกันเป็นพรวน แต่เขาก็ไม่เลือกใครนอกจากผม"
"นั่นแหละ เพราะอย่างนี้แหละที่จะทำให้อยู่กันไม่ได้ พอแต่งงานกัน แล้วโยมก็จะหึงไม่ให้เขาไปเล่นลิเก ตอนแรกเขาก็เชื่อ แต่พออยู่ไป ๆ เขาก็จะเบื่อ ก็จะหนีไปเล่นลิเกอีก แล้วก็ทะเลาะกัน ในที่สุดก็ต้องเลิกกัน อย่าแต่งเลย เชื่ออาตมาเถอะ คนนี้ไม่ใช่เนื้อคู่โยมหรอก อาตมาเห็นกฎแห่งกรรมของโยมแล้ว คนที่จะมาร่วมชีวิตกับโยมต้องเป็นอาจารย์"
"แต่ผมปักใจเสียแล้วครับหลวงพ่อ ผมรักผู้หญิงคนนี้แล้วก็จะแต่งงานกับเธอให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น" ปลัดหนุ่มยืนยันหนักแน่น เขาเข้าใจว่าความหลงเป็นความรัก
"แปลว่าโยมไม่เชื่อที่อาตมาพูดใช่ไหม อย่าแต่งเลยนะอาตมาขอร้อง อาตมาหวังดีด้วยใจจริง" ท่านพระครูพยายามพูดทัดทาน
"ผมก็ขอร้องหลวงพ่อเหมือนกันว่าโปรดอย่าห้ามผมเลย ผมคงไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต ถ้าไม่ได้แต่งงานกับเธอ" คนถูกศรรักปักอกว่า
"ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจโยมเถอะ กรรมของใครก็ของคนนั้น อาตมาก็ได้พยายามช่วยแล้ว ในเมื่อโยมไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน แต่จะให้อาตมาหาฤกษ์ให้นั้น อามตาทำไม่ได้เพราะเห็นอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจทำให้โยมสมความมุ่งมาดปรารถนา" ได้ยินดังนั้น บุรุษวัยสามสิบก็หมดความอดทน เขาพูดออกมาด้วยความโกรธว่า
"ผมเสียใจครับหลวงพ่อ เสียใจที่หลงนับถือหลวงพ่อมาช้านาน เรื่องแค่นี้หลวงพ่อก็ช่วยผมไม่ได้ มิหนำซ้ำยังพูดให้เสียกำลังใจอีก เอาละ ผมขอประกาศ ณ ที่นี้ว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผมจะเลิกเคารพนับถือหลวงพ่อและจะไม่มาเหยียบวัดนี้อีก" แล้วจึงผลุนผลันลุกออกไปโดยไม่ร่ำลา ท่านพระครูไม่พูดว่ากระไร ไม่โกรธ ไม่ขึ้งบุรุษนั้น เพราะรู้อยู่ว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
"เสียดายนะครับ หน้าตาดี ๆ ตำแหน่งหน้าที่ก็ดี แต่กิริยาที่แสดงออกมาไม่ดีเลยสักนิด" โชเฟอร์แท็กซี่วิจารณ์
"ช่างเขาเถอะโยม เขาทำกรรมมาอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ในเมื่ออาตมาบอกให้แล้ว แต่เขาไม่ยอมแก้ไข อาตมาก็ช่วยเขาไม่ได้ กรรมบางอย่างมันก็แก้ไขได้ แต่เขาไม่ยอมแก้"
"ผมเคยคิดนะครับหลวงพ่อ" โชเฟอร์แท็กซี่พูด
"เคยคิดว่ากรรมนั้นแก้ไม่ได้ อย่างคนที่เป็นโจรก็ต้องเป็นโจรตลอดไป เพราะเขาเกิดใต้ดาวโจร แต่เดี๋ยวนี้ผมรู้ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป" เขาลังเลใจนิดหนึ่งว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่ ต่อเมื่อนึกได้ว่า คนชั่วที่กลับตัวเป็นคนดีนั้นน่าสรรเสริญ จึงตัดสินใจว่าจะต้องพูด
"อย่างผมนี่เมื่อก่อนก็หากินทางทุจริต แต่ก็มากลับตัวกลับใจได้เพราะเถ้าแก่ เดี๋ยวนี้ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าผมเป็นคนดี อย่างน้อยก็ไม่เบียดเบียนใคร แล้วผมก็รู้สึกว่าผมจะมีความสุขกายสบายใจกว่าแต่ก่อนมาก เพราะละชั่วได้"
"อย่างนั้นหรือ อาตมาขออนุโมทนา ขอประทานโทษ เมื่อก่อนโยมมีอาชีพอะไรล่ะ"
"ก็ไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นฐานหรอกครับ ผมชอบเล่นการพนันแล้วก็มีหนี้สินล้นพ้นตัว เถ้าแก่ก็เป็นเจ้าหนี้ผม พอแกทวงมาก ๆ เข้า ผมเลยรวบรวมสมัครพรรคพวกไปปล้นบ้านแก ใจคอผมโหดร้ายมาก เพราะผมตั้งใจจะฆ่าแกกับเมียเพื่อปลดหนี้ แต่ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ผมยิงแกไม่ออกครับ แกกับเมียกำลังนั่งหลับตาอยู่ ผมก็ยิงใส่เลย รัวปืนเอ็ม.๑๖ เข้าใส่ แต่ยิงไม่ออก
ในที่สุดผมก็ถูกจับได้ ก็ติดคุกอยู่สามเดือนเพราะเถ้าแก่อ้างว่าจำตัวคนร้ายไม่ได้ ทีจริงผมรู้ว่าแกจำผมได้ ผมรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของแก จึงตั้งสัจจะว่าจะเลิกทำชั่ว แล้วผมก็เลิกได้จริง ๆ ครับ" ผมเล่ามีน้ำตาคลอหน่วยตาเพราะความซาบซึ้ง ท่านพระครูพูดปลอบเขาว่า
"เอาเถอะ หมดเคราะห์หมดโศกแล้ว ต่อไปนี้ชีวิตโยมก็จะพบกับความเจริญรุ่งเรือง อาตมาขออวยชัยให้พร" ชายวัยสี่สิบเศษกราบท่านสามครั้งด้วยพอใจในพรที่ท่านให้
"ผมเป็นหนี้บุญคุณเถ้าแก่มากเลยครับ เพราะถ้าแกเอาผมเข้าคุก ผมก็ไม่มีวันที่จะกลับเนื้อกลับตัวได้ นี่ผมก็ตั้งใจจะรับใช้แกเท่าที่เวลาและโอกาสจะอำนวย"
"นายสุขเขาดีกับผมมากครับหลวงพ่อ นี่เขาก็จะไม่ยอมเอาเงิน ผมต้องขอร้องเขาอยู่นานกว่าจะตกลงกันได้" เถ้าแก่เส็งยกย่องคนที่กลับตัวกลับใจได้
"เพราะเถ้าแก่ดีกับผมก่อนน่ะครับหลวงพ่อ ผมก็เลยจะตอบแทนความดีแก แต่แกก็ไม่ยอมรับ ขนาดผมคิดค่าน้ำมันสองร้อย แกก็แถมให้อีกหนึ่งร้อยเป็นสามร้อย" นายสุขเล่า
"สรุปว่าโยมดีทั้งสองคนนั่นแหละ คนดีก็ต้องพบกับคนดี เธอเห็นด้วยไหมบัวเฮียว"
"เห็นด้วยครับ" พระหนุ่มรับคำแล้วถามขึ้นว่า
"หลวงพ่อครับ ผมรู้สึกว่าคนที่มาวัดนี้มีทั้งคนไทยและคนจีน คนไทยนั้นมักมาให้หลวงพ่อช่วยดับร้อนผ่อนทุกข์แล้วก็มักจะไม่เอากรรมฐาน บางคนรู้จักหลวงพ่อมานานแต่กลับไปเคยปฏิบัติธรรม ยกตัวอย่างเช่น นายขำหรือปลัดอำเภอคนเมื่อกี้ แล้วตัวผมก็มีความรู้สึกว่า หลวงพ่อรักคนจีนมากกว่าคนไทย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ"
"เธอหาว่าฉันลำเอียงว่างั้นเถอะ"
"ก็หลวงพ่อลำเอียงหรือเปล่าเล่าครับ" ลูกศิษย์ยั่ว
"ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ลำเอียง ใครปฏิบัติดีฉันก็อนุโมทนากับเขา ส่วนคนที่ทำไม่ดีฉันก็สงสารเขา แล้วมันก็น่าแปลกอย่างที่เธอว่านั่นแหละ คือ คนที่ปฏิบัติดีนั้นมักเป็นคนจีน อาตมารักคนจีนมากนะโยมเถ้าแก่ อยากรู้ไหมว่าทำไม่จึงเป็นเช่นนั้น" ท่านถามเถ้าแก่เส็ง
"อยากทราบครับ หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปผมอยากให้หลวงพ่อเล่าให้ฟังครับ" บุรุษวัยเลยเจ็ดสิบพูดอย่างเกรงใจ ท่านพระครูจึงเล่าว่า
"ที่อาตมารักคนจีนมากเพราะชอบที่เขาขยันทำมาหากินประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเพราะอาตมาทำเวรทำกรรมกับคนจีนมามากสมัยทีเป็นเด็ก ๆ ก็เลยต้องมารักเขาเป็นการใช้กรรม แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันเกลียดคนไทยหรอกนะบัวเฮียว เธออย่าเข้าใจผิด"
"ครับ ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว และก็รู้ด้วยว่าหลวงพ่อไม่เกลียดญวนเหมือนกัน" พระบัวเฮียวเย้า
"ตอนเด็ก ๆ หลวงพ่อทำกรรมอะไรไว้กับคนจีนหรือครับ" นายสุขถาม
"มากมายหลายประการเชียวแหละโยม สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบทดสอบความอดทนของเขา"
"ทดสอบยังไงครับ"
"ก็แกล้งต่อราคาเวลาซื้อของ อย่างตาแป๊ะคนนึงแกขายเสื้อผ้าอยู่ในตลาด อาตมาก็แกล้งต่อ แกก็ไม่โมโห ถ้าเป็นร้านคนไทยรับรองถูกด่าแล้วก็ไล่ออกจากร้านแน่ เพราะคนไทยเขาหยิ่งแล้วก็ไม่มีความอดทน
ร้านคนไทยเขามักจะมีนางกวักประจำอยู่ในร้าน แต่กลับขายไม่ดี ร้านคนจีนไม่ต้องมีนากกวักแต่ขายดิบขายดีจนหยิบแทบไม่ทัน โยมเชื่อไหม สินค้าอย่างเดียวกันถ้าร้านคนไทยขายห้าบาท คนซื้อเขาก็รู้แต่ก็ยังอุตสาห์ไปซื้อร้านคนจีน ร้านคนไทยขนาดมีนางกวักด้วย ขายถูกว่าด้วย แต่คนกลับไม่ซื้อ" แปลกไหมเล่า
"ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ" พระบัวเฮียวถาม
"ก็คนจีนเขายิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนคนไทยหน้าเหมือนมือนางกวัก ใครเข้าจะเข้าร้าน" นายสุขกับเถ้าแก่เส็งหัวเราะชอบใจเพราะท่านพระครูทำท่าประกอบการเล่าด้วย
"ทีนี้ตาแป๊ะที่ขายเสื้อผ้านี่แกก็ถูกอาตมาแกล้งอยู่บ่อย ๆ แต่แกก็เอาตัวรอดได้ทุกที อย่างเช่น อาตมาซื้อเสื้อไปวันนี้ พอรุ่งเช้าก็เอามาเปลี่ยน บอก "ตาแป๊ะ ขอเปลี่ยนเสื้อหน่อย ใส่ไม่ได้มันคับ" ตาแป๊ะแกก็ว่า" ท่านเลียนเสียงคนจีน
"ไม่เป็งลาย ไม่เป็งลาย เสื้ออั๊วซักเลี้ยวยืกล่าย" อาตมาก็เลยต้องกลับบ้านเพราะแกไม่ยอมให้เปลี่ยน พอรุ่งเช้าก็มาใหม่ บอกว่า "ตาแป๊ะ อั๊วขอเปลี่ยนเสื้อหน่อย" แกก็ถามว่า "เปี่ยงทำมาย" อาตมาบอก "มันหลวม" แกก็ว่า "ไม่เป็งลาย ไม่เป็งลาย เสื้อล้านอั๊วะ ซักเลี้ยวหกล่าย" ตกลงแกก็ไม่ยอมให้เปลี่ยน อาตมาก็หมดปัญญาที่จะพูดกับแก" ท่านหยุดเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วเล่าต่อว่า
"มีอยู่รายนึงที่อาตมาทำกรรมกับแกไว้หนักว่าคนอื่น ๆ แกชื่อบ๊ก อาตมาก็เรียกแกเจ๊กบ๊ก" เถ้าแก่เส็งสะดุ้งนิดหนึ่ง แต่ท่านพระครูไม่ทันสังเกต ท่านเล่าต่อไปว่า
"สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พวกต่างด้าวจะถูกไล่ออกจากเขตที่มีทหาร เจ๊กบ๊กแกก็ถูกไล่มาจากลพบุรี มาอาศัยอยู่ตลาดปากบาง แกก็เที่ยวซื้อขวดซื้อโลหะจากชาวบ้านไปขาย บางทีก็เอาขนมข้าวพองมาแลก อาตมาตอนนั้นอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองนี่แหละ ก็ชอบขโมยข้าวพองแกมากิน แล้วก็ด่าแกว่าไอ้เจ๊กบ้า ไอ้เจ๊กบ๊กบ้า บางทีก็ล้อแกเป็นเพลงว่า "เจ๊กบ๊กตกน้ำตาย เมียร้องไห้ เสียดายเจ๊กบ๊ก" แกก็ไม่โกรธยิ้มลูกเดียว แกบอกอาตมาว่า "อาตี๋ ลื้อจาหล่าอั๊วก็หล่าไป อั๊วะไม่โกก แต่อั๊วจาเอาซาตางจากลื้อให้ล่าย" นี่แกว่าของแกอย่างนี้"
"แล้วได้ไหมครับ" เถ้าแก่เส็งถาม เขากำลังสงสัยว่า "เจ๊กบ๊ก" ที่ท่านพระครูกล่าวถึงนั้นจะเป็นคนเดียวกับน้องชายของเขาหรือไม่ ก็ต้องฟังท่านเล่าให้จบเสียก่อน
"ได้สิ ก็เวลาแกไม่เผลอให้อาตมาขโมย อาตมาก็จำเป็นต้องซื้อแก แต่กระนั้นก็ซื้อแบบขี้โกง คือขนมข้าวพองแกขายห่อละเฟื้อง อาตมาก็ทำเป็นซื้อห่อนึง แต่ที่แท้หยิบมาสองห่อ ก็โกงแกมาตลอดจนกระทั่ง แกเปลี่ยนจากขายขวดไปขายหมู อาตมาก็ขโมยหมูแกอีก"
"แล้วเคยถูกแกจับได้ไหมครับ" พระบัวเฮียวถาม
"ถ้าถูกจับก๊อเสียชื่อมหาโจรน่ะซี คือตาแป๊ะแกมีเข่งอยู่คู่นึง แล้วไม้คานของแกมีลักษณะคล้ายไม้พลองของลูกเสือ แต่สีดำเมี่ยมเลย แกหาบจนไม้คานเป็นมัน แกก็ตัดหมูออกชั่งเป็นกอง ๆ กองละหนึ่งกิโล ยืนขายอยู่ที่ท่าน้ำ พอแกมัวหยิบหมูให้คนอื่น อาตมาก็ย่องไปข้างหลัง คว้าหมูที่แกกองเอาไว้ ก็เอาหนีบรักแร้แล้วโดดน้ำดำมาขึ้นอีกฝั่งนึง ฝั่งที่เป็นบ้านอาตมา เอาหมูไว้ในตู้กับข้าวแล้วดำน้ำไปฟากกะโน้นอีก หวังจะไปเอาอีกซักโล
พอขึ้นไปยืนบนท่า แกก็บ่นกับคนซื้อว่าหมูแกหายไปโลนึง ตาคนซื้อแกก็เห็นตอนที่อาตมาหยิบแล้วโจนลงน้ำ แต่แกก็พูดเข้าข้างอาตมาว่า หมูมันคงตกลงไปในน้ำ เจ๊กบ๊กแกก็ว่า "เป็งไปไม่ล่าย ต้องมีคงมาคาโมย ถ้าตกน้ำจริงมัก็ต้องลอย" ตาคนนั้นก็พูดอีกว่า "มันไม่ลอยหรอก ถ้าเป็นเนื้อหมูมันไม่ลอย เป็นมันหมูถึงจะลอย" ตาแป๊ะก็เลยตัดมันให้มากหน่อย ตัดเนื้อน้อย ๆ พวกคนซื้อก็เลยได้มันหมูไปมากกว่าเนื้อ เพราะอาตมาเป็นต้นเหตุ"
"แล้วแกเคยแสดงท่าทางว่าสงสัยหลวงพ่อไหมครับ" นายสุขถาม
"แกก็คงสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีพยานหลักฐาน แกก็เลยเอาผิดอาตมาไม่ได้ อาตมาก็แกล้งแกสารพัด เจอหน้าที่ไรก็ด่า "ไอ้เจ๊กบ้า ไป ไป ให้พ้น" แกก็ยิ้ม บอกว่า "ไอ้ตี๋ วังนี้ลื้อเลียกอั๊วะไอ้เจ๊กบ้า แต่วังหน้าลื้อต้องเลียกอั๊วะว่า เตี่ย จำไว้นะ" อาตมาบอกเรื่องอะไรจะเรียก แกก็ว่า "ต้องเลียก วังนึงลื้อต้องเลียกเพาะอั๊วะมีลูกสาวห้าคง ลื้อจาต้องมาขออั๊วะ เลียกเตี่ยเข้าสักวัง" นี่แกว่าของแกอย่างนี้ แล้วก็จริงอย่างที่แกว่าเสียด้วย อาตมาต้องยอมเรียกแกว่าเตี่ยเพื่อชดใช้กรรม"
"หลวงพ่อไปชอบลูกสาวแกเข้าหรือครับ" พระบัวเฮียวถาม
"เปล่าหรอก แต่ลูกสาวแกก็มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ฉันต้องเรียกเจ๊กบ๊กว่าเตี่ย คือพอลูก ๆ เป็นสาวก็ได้แต่งงานกับคนดีมีฐานะ ก็ช่วยเตี่ยทำมาหากินจนร่ำรวยเป็นลำดับ กระทั่งมีเงินไปตั้งร้านขายทองอยู่ที่เยาวราช"
เถ้าแก่เส็งแน่ใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ตะแป๊ะคนที่ท่านพระครูเล่าให้ฟังนั้นคือน้องชายของเขา ครั้นจะพูดออกมาก็เห็นว่ายังไม่ถึงเวลา ทางที่ดีควรฟังท่านเล่าให้จบเสียก่อน
"โลกมันกลมนะโยมเถ้าแก่ พอแกย้ายเข้ากรุงเทพฯ อาตมาก็ไม่เจอแกมาเป็นเวลาร่วมสิบปีทั้งที่หลังจากนั้นอาตมาก็เข้าไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ พันตรีหลวงธารา ซึ่งเป็นคุณปู่ของอาตมาได้มารับอาตมาไปกรุงเทพฯ และฝากไว้กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งท่านจะให้อาตมาเรียนตำรวจ
ระหว่างที่อยู่กับท่าน อาตมาก็เรียนดนตรีไทย เป็นลูกศิษย์หลวงประดิษฐ์ไพเราะ แต่ตอนหลังอาตมาไม่ชอบเรียนตำรวจ มันไม่ถูกกับอัธยาศัย เลยกลับมาอยู่บ้าน พอปี ๒๔๙๑ ก็อุปสมบทที่วัดพรหมบุรี
บวชได้ห้าพรรษา ท่านสมภารก็บอกให้อาตมาเข้ากรุงเทพฯ ไปเรี่ยไรเงินมาสร้างโบสถ์ อาตมาก็ไปกับลูกศิษย์ไปหาจอมพล ป. ท่านก็ทำบุญมาห้าพัน หลวงประดิษฐ์ไพเราะทำมาสองพัน พันตรีหลวงธาราคุณปู่ของอาตมาทำมาสามพัน แล้วพวกข้าราชการที่ใกล้ชิดจอมพล ป. ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นนายกรัฐมนตรีก็ช่วยกันคนละร้อยสองร้อย ก็ได้เงินมาหลายหมื่น
วันจะกลับก็มีข้าราชบริพารของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ พาอาตมาเข้าเฝ้า พระองค์ก็พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์มาห้าพัน อาตมาก็เตรียมจะกลับ มีลูกศิษย์ไปด้วยหลายคน มีทั้งผู้ชายผู้หญิง ทีนี้ลูกศิษย์เขาก็อยากจะซื้อทองกัน เลยพาอาตมาไปเยาวราชเขาก็พากันเข้าไปซื้อทองในร้าน อาตมาก็ยืนรออยู่หน้าร้าน ก็มีตาแป๊ะเจ้าของร้านออกมานิมนต์ให้เข้าไปฉันน้ำชา แกก็ถามว่าอาตมามาจากไหน
พอบอกว่าจากวัดพรหมบุรี แกก็เล่าว่าแกเคยอยู่ตลาดปากบาง อาตมาก็เอะใจ แกก็เล่าตั้งแต่หนีมาจากลพบุรีเพราะเขาไล่คนต่างด้าวออกจากเขตทหาร มารับซื้อขวดไปขาย ขายหมู กระทั่งมาขายทอง แกบอกชีวิตสมัยที่อยู่ปากบางนั้นตกระกำลำบากมาก ต้องหาบของขายจนบ่าด้านไปหมด ว่าแล้วแกก็สั่งให้ลูกสาวไปเอาเข่งกับไม้คานลงมาอวด อาตมาเห็นก็จำได้ อาตมาก็ลองถามแกว่าเคยถูกคนแกล้งไหม แกก็ว่ามีเด็กผู้ชายเกเรอยู่คนนึง ชอบด่าแกว่าไอ้เจ๊กบ้า แล้วก็ชอบขโมยขนมข้างพองแก พอแกขายหมูก็แอบขโมยหมูแกอีก
อาตมาฟังแล้วขนลุก คิดในใจว่าจะบอกแกดีหรือไม่ดี ก็พอดีแกถามว่า "ท่างมากุงเทพฯ ทำไม" อาตมาก็บอกมาเรี่ยไรเงินไปสร้างโบสถ์ แกก็เดินไปที่ลิ้นชักหยิบเงินมาสองพัน บอกว่าร่วมทำบุญด้วย อาตมาก็เก็บเงินใส่ย่ามไว้อย่างมิดชิด กลัวแกจะทวงคืน แล้วก็สารภาพกับแกว่า "เตี่ย อาตมาขออโหสิกรรม เด็กเกเรที่เคยขโมยของเตี่ย เคยด่าเตี่ยน่ะคืออาตมาเอง" แกได้ยินดังนั้นก็ตกใจอ้าปากค้างเลย อาตมารีบพูดต่อว่า "เตี่ยอโหสิกรรมให้อาตมานะ ไหน ๆ อาตมาก็เป็นพระแล้ว และก็คงไม่เอาเงินคืน" พอแกหายตกใจ แกก็บอกอาตมาว่า "ท่างไม่ต้องเลียกอั๊วะว่าเตี่ยก็ล่าย เลียกไอ้เจ๊กบ๊ก หรือไอ้เจ๊กบ้าอย่างเลิมก็ล่าย อั๊วะไม่โกกเลี้ยวก็ไม่เอาเงินคึงล่วย แต่อั๊วะขอท่างอย่างเลียวเท่านั้ง" แกขออะไรอาตมา โยมเถ้าแก่รู้ไหม" ท่านถามเถ้าแก่เส็ง
"ไม่ทราบครับ บุรุษวัยเจ็ดสิบเศษตอบ
"ขอให้หลวงพ่อสึกไปแต่งงานกับลูกสาวแกใช่ไหมครับ" พระบัวเฮียวเดา
"แหม! ถ้าขออย่างนั้นก็ดีน่ะสิ แต่นี่แกไม่ได้ขออย่างที่เธอเดา แกพูดกับฉันว่า "ท่าง บวกก็ลีเลี้ยว อั๊วะจาขอล้องว่าให้ท่างบวกอย่างนี้ตาหลอกไป อย่างล่ายสึกออกไปหล่าเจ๊กอีก" นี่แกว่าอย่างนี้ แหม ฉันงี้เจ็บแสบเข้าไปถึงข้อหัวใจ แทบจะคืนเงินให้แกไปเลยเชียวละ"
"แล้วคืนหรือเปล่าครับ" นายสุขถาม
"คืนทำไมล่ะโยม เงินเขาตั้งใจทำบุญ" เงียบกันไปพักหนึ่ง เถ้าแก่เส็งก็พูดขึ้นว่า
"หลวงพ่ออย่าตกใจนะครับถ้าผมจะกราบเรียนให้ทราบความจริงอะไรบางอย่าง"
"ความจริงอะไรของเถ้าแก่ล่ะ ว่าไปเถอะ อาตมาจะพยายามไม่ตกใจ" เมื่อท่านอนุญาต บุรุษวัยเจ็ดสิบเศษจึงพูดว่า
"เจ๊กบ๊กที่หลวงพ่อเล่ามานั้นคือน้องชายแท้ ๆ ของผมที่หอบหิ้วกันมาจากเมืองจีนครับ" ท่านพระครูมีความรู้สึกเหมือนกับวันที่เสาเต๊นท์พุ่งมาปะทะหน้า ท่านร้องเรียกนายสมชายเสียงหลง
"สมชายอยู่ไหนน่ะ ช่วยชงยาหอมมาให้หลวงพ่อด้วยเถอะ กำลังเป็นลม"..
"หลวงพ่อครับ การแผ่เมตตา เราจะแผ่ให้คนเป็น ๆ ได้ไหมครับ" พระบัวเฮียวถามท่านพระครู
"คนเป็น ๆ ของเธอน่ะมันเป็นอย่างไรล่ะ" คนถูกถามแกล้งทำไม่เข้าใจเพราะไม่คิดว่าลูกศิษย์จะถามอะไรเชย ๆ แบบนี้
"คนเป็น ๆ ก็คือคนที่ไม่ตาย แล้วคนที่ตายก็คือคนที่ไม่เป็นน่ะครับ" เมื่ออาจารย์แกล้งมา ลูกศิษย์จึงแกล้งไปบ้าง
"เธอตอบเกินคำถามแล้วนะบัวเฮียว ฉันให้เธออธิบายเฉพาะคนเป็น ๆ เธอก็อธิบายคนตาย ๆ มาด้วย ทั้งที่ฉันไม่ได้ถาม
"ผมทราบนี่ครับว่าหลวงพ่อจะต้องถามต่ออีก เลยตอบ ๆ ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"
"แปลว่าเธอได้ "เห็นหนอ" แล้วใช่ไหม ขอแสดงความยินดีด้วยนะ" ท่านยั่วอีก
"ผมยังไม่เก่งกาจขนาดนั้นหรอกครับหลวงพ่อ หมายถึงตอนนี้นะครับ แต่ต่อไปไม่แน่" คนพูดทำเขื่อง
"นี่ขนาดยังไม่เก่งก็ยังเก่งถึงปานนี้ แล้วถ้าเก่งล่ะจะเก่งถึงปานไหน" อาจารย์เอ่ยชม ชมเผื่อไปถึงอนาคตด้วย
"ผมเพียงแต่เดาใจหลวงพ่อได้ถูกต้องเท่านั้นเองครับ ก็ถูกแกล้งเสียจนชิน ก็เลยรู้ทางหนีทีไล่" คนเป็นศิษย์ว่า
"ผมไม่ได้ "หาว่า" นะครับ ก็หลวงพ่อเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผมไม่ชอบใส่ร้ายป้ายสี ไม่เชื่อถามผมดูก็ได้ หลวงพ่อรังแกผมทุกครั้งที่โอกาสอำนวย บางครั้งโอกาสไม่อำนวย หลวงพ่อก็ยังรังแกเลย" พระบัวเฮียวถือโอกาส "แก้แค้น" ด้วยการต่อว่า
"ก็ถ้าไม่รังแกเธอ แล้วจะไปรังแกใครเล่า"
"นั่นไง หลวงพ่อสารภาพแล้ว" "โจทก์" พูดอย่างเป็นต่อ
"สารภาพแล้วก็แปลว่าได้รับการลดโทษครึ่งหนึ่งใช่ไหม"
"คงใช่มังครับ"
"คง ไม่ได้ซี ภาษากฎหมายต้องระบุให้ชัดเจนลงไปเลย"
"ผมไม่ได้เรียนกฎหมายมาครับ"
"ฉันก็ไม่ได้เรียนแต่ฉันรู้เอง ใคร ๆ เขาก็ว่าฉันรู้ตั้งแต่ก่อนเกิด" อาจารย์ถือโอกาส "คุย" บ้าง"
"แล้ว ใคร ๆ น่ะเชื่อถือได้แค่ไหนครับ เชื่อได้แค่ไหน"
"ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ต้องเชื่อได้นั่นแหละน่า"
"เอาละครับ เป็นอันว่าหลวงพ่อได้ลดโทษไปครึ่งนึงเพราะยอมรับสารภาพ" คนเป็นลูกศิษย์สรุป
"พอดีฉันมีโทษแค่ครึ่งเดียว พอได้ลดครึ่งก็เลยหมดพอดี เรียกว่าเจ๊ากันไป"
พระบัวเฮียวเห็นไม่ได้การ ถ้ามัวพูดเลอะเลือนเลื่อนเปื้อนแบบนี้ไม่ได้การแน่ จึงวกกลับมาพูดเรื่องเดิม
"แหม หลวงพ่อครับ ผมถามนิดเดียว หลวงพ่อแถมให้เป็นกิโล ๆ เลย"
"แล้วไม่ชอบหรือไง สมัยนี้เขาต้องมีของแถมกันทั้งนั้น ซื้อไม้จิ้มฟันแถมโลงศพอะไรเทือกนี้"
"แต่ผมไม่ชอบของแถมหรอกครับ สินค้าที่มีของแถมมันแสดงถึงว่าคุณภาพไม่ดี ถ้าดีไม่ต้องมีของแถมคนก็แย่งกันซื้อ จริงไหมครับ"
"จริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้" คนตอบเล่นลิ้น ท่านเคร่งเครียดกับ ธุระของคนอื่นมามากแล้ว มีพระบัวเฮียวนี่แหละที่ช่วยให้คลายเครียดได้
"งั้นเอาจริงก็แล้วกันนะครับ ผมมันคนจริง เอาละครับ ทีนี้หลวงพ่อตอบคำถามผมด้วยเถอะครับ ที่ผมถามว่าเราแผ่เมตตาให้คนเป็น ๆ จะได้หรือไม่" พระหนุ่มต้องทวนคำถาม มิฉะนั้นท่านพระครูจะต้องย้อนว่า "เธอถามว่ายังไงล่ะ" เมื่อลูกศิษย์ถามจริงจัง อาจารย์จึงตอบว่า
"ได้สิบัวเฮียว ทำไมจะไม่ได้ล่ะ"
"ถ้าย่างนั้นผมจะแผ่เมตตาไปให้โยมแม่กับผัวเขา หลวงพ่อว่าเขาจะได้รับไหมครับ"
ท่านพระครูมองหน้าลูกศิษย์พลางประเมินผลในใจ "แบตเตอรี่ลูกนี้ชาร์จไฟไว้เต็ม หม้อก็ไม่รั่ว จึงพร้อมที่จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกเมื่อ" คิดดังนี้แล้ว จึงตอบว่า
"ได้อย่างแน่นอน เธอปฏิบัติได้ถึงขั้นแล้ว แม้จะยังไม่ได้ "เห็นหนอ" แต่ก็สามารถแผ่เมตตาไปให้ผู้อื่นได้" พระบัวเฮียวแสนจะดีใจ จนลืมกำหนด "ดีใจหนอ" พระอุปัชฌาย์จึงกล่าวเตือนว่า
"บัวเฮียว ทำไมไม่กำหนด "ดีใจหนอ" ล่ะ" พระหนุ่มปฏิบัติตาม เมื่อข่มความยินดีลงได้แล้ว จึงพูดขึ้นว่า
"สองสามวันมานี่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรครับหลวงพ่อ ผมคิดถึงแต่โยมแม่ ไม่รู้แกสุขสบายดีหรือเปล่า ผมเคยเขียนจดหมายทิ้งไปเมื่อก่อนปีใหม่ แกก็เงียบงอมไปเลย ได้รับหรือเปล่าก็ไม่รู้"
"ก็เธอเขียนทิ้งไปใครเขาจะได้รับล่ะ ต้องเขียนส่งไปเขาถึงจะได้รับ" ท่านพระครูยังอยากยั่วต่อ
"หลวงพ่อว่าแกได้รับหรือเปล่าครับ" คนถูกยั่วไม่ยั่วตอบ หากถามเป็นงานเป็นการ ท่านต้องการให้พระอุปัชฌาย์ใช้ "เห็นหนอ" ตรวจสอบให้
"ได้รับซี" ท่านพระครูเผลอตกหลุมพรางจนได้ ที่จริงพระบัวเฮียวไม่ได้ตั้งใจจะ "ต้อน" พระอุปัชฌาย์ แต่เมื่อโอกาสเป็นของท่านแล้วจะละเลยเสียก็กระไรอยู่ อีกประการหนึ่งท่านก็ได้รับคำตอบเป็นที่พอใจแล้ว จึงขอ "เวลานอก" ยั่วอาจารย์เล่นแก้เซ็ง
"อ้าว ก็ไหนหลวงพ่อบอกว่าทิ้งไปไม่ได้รับ ต้องส่งไปถึงจะได้ แล้วทำไมโยมแม่ผมได้รับล่ะครับ ในเมื่อผมทิ้งไป"
"เออน่า ฉันช่วยให้เขาได้รับเองแหละ" ท่านพระครูถือโอกาสพูดเอาบุญเอาคุณ คนเป็นศิษย์จึงกลับมาพูดเป็นงานเป็นการอีกว่า
"หลวงพ่อครับ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ เวลาสองทุ่มผมจะนั่งสมาธิแผ่เมตตาไปให้โยมแม่กับผัวเขา ผมจะนั่งไปจนถึงสองโมงเช้าเลยนะครับ"
"เธอนั่งได้นานขนาดนั้นหรือ ตั้งสิบสองชั่วโมงเชียวนะ"
"ผมทำได้ครับหลวงพ่อ ผมเคยนั่งมาแล้ว"
"ดีจริง ฉันขออนุโมทนาด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอนั่งหลับนะ" พระอุปัชฌาย์ยังสงสัย
"ไม่หลับครับหลวงพ่อ ผมมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาที่นั่ง หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ท้องพองก็รู้ว่าพอง ท้องยุบก็รู้ว่ายุบ เจ็บปวดตรงไหนก็กำหนด ผายลมกี่ครั้งก็กำหนดทุกครั้ง" ลูกศิษย์สาธยายเสียยืดยาว อาจารย์กำลังจะบอกให้หยุด ก็พอดีคนเป็นศิษย์หยุดเองเสียก่อน
"ทีหลังไม่ต้องอธิบายละเอียดอย่างนี้ก็ได้ ฉันรู้แล้วว่าเธอปฏิบัติได้จริง เร่งทำความเพียรเข้าจะได้ใช้หนี้เวรหนี้กรรมให้หมด พระบัวเฮียวก็ถึงกับขนลุก จึงกำหนด "ขนลุกหนอ" ด้วยสติอันว่องไวที่ได้ฝึกไว้ดีแล้ว
"หลวงพ่อครับ พรุ่งนี้ตีสี่ผมไม่ต้องลงโบสถ์ได้ไหมครับ เพราะผมยังอยู่ในสมาธิ"
"ได้ เพราะถือว่าเธอกำลังปฏิบัติอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้ปฏิบัติร่วมกับคนอื่น ๆ แต่ก็ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่ประการใด เมื่อเธอนั่งจนครบสิบสองชั่วโมงแล้ว ให้ถอนจิตออกจากสมาธิเสียก่อน แล้วจึงค่อยแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา เธอเข้าใจแล้วใช่ไหม"
"เข้าใจครับ ขอบพระคุณหลวงพ่อที่เมตตาผมมาโดยตลอด บุญของผมแท้ ๆ ที่ได้มาพบพระอุปัชฌาย์ที่ประเสริฐเช่นหลวงพ่อ" พูดพร้อมกับก้มลงกราบด้วยความสำนึกในบุญคุณ
"หลวงพ่อครับ เราแผ่เมตตาข้ามทวีปได้ไหมครับ" พระบัวเฮียวถามขึ้นอีก
"ได้ แต่คนแผ่จะต้องมีพลังสมาธิกล้าแข็งพอ ต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง เคยมีนะ เคยมีคนทำมาแล้วที่วัดนี้แหละ"
"ใครครับ เดี๋ยวนี้ยังอยู่ที่วัดนี้หรือเปล่าครับ" ท่านคิดไปถึงพระมหาบุญ คงเป็นพระมหาบุญนั่นเอง
"ไม่อยู่แล้ว เป็นชาวนอรเว มาบวชที่วัดนี้แล้วปฏิบัติเคร่งครัดมาก จนสามารถแผ่ส่วนกุศลไปให้พ่อแม่กับปู่เขาที่นอรเวได้ เอาเถอะถ้าเธออยากรู้เรื่องวันหลังจะเล่าให้ฟัง
"ถ้าอย่างนั้นการที่คหบดีและครอบครัวช่วยกันแผ่เมตตาไปให้ลูกชายคนโตที่อเมริกาก็ได้ซีครับ"
พูดถึงคหบดีท่านพระครูก็นึกได้จึงวาน "เห็นหนอ" ตรวจสอบแล้วก็รู้เรื่องเดี๋ยวนั้น จึงตอบ
"ได้ซี แล้วตอนนี้ก็เข้าสุสานไปแล้ว คหบดีกับภรรยาเดินทางไปรับศพเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง"
"แบบนี้ก็ไม่ดีซีครับ แผ่เมตตาไปทำให้เขาตาย ถ้าไม่แผ่เขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้"
"ดีสิบัวเฮียว ทำไมจะไม่ดีล่ะ ก็คนติดยาน่ะมีความสุขนักหรือ เขาตายไปจะได้หมดเวรหมดกรรม แล้วก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ถึงอย่างไรคนที่ติดยาก็อายุสั้นอยู่แล้ว ตายแบบได้รับส่วนกุศลกับตายแบบไม่ได้รับน่ะ อย่างไหนจะดีกว่ากัน เธอคิดเอาเองก็แล้วกัน"
"แต่พ่อแม่เขาจะคิดจะเข้าใจเหมือนที่ผมกับหลวงพ่อเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้"
"เขาเข้าใจ คนที่เขาปฏิบัติจะเข้าใจธรรมชาติของชีวิตได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติ ฉันก็บอกเขาเป็นนัย ๆ แล้ว อีกประการหนึ่ง การตายของลูกจะช่วยชีวิตพ่อเอาไว้ คหบดีเขาตั้งใจจะเลิกค้ายาเสพย์ติด เธอก็รู้ของอย่างนี้ใครลงได้เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว คิดถอนตัวเป็นต้องตายทุกราย"
"เป็นอะไรตายครับ"
"ไข้โป้ง" ท่านพระครูตอบหน้าตาเฉย
"ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือครับ เจ้าไข้โป้งที่ว่านี่ แล้วมียารักษาไหมครับ" พระหนุ่มถามซื่อ ๆ
"บัวเฮียว"
"ครับ"
"นี่เธอไม่เข้าใจจริง ๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าใจกันแน่ เธอไม่รู้จริง ๆ น่ะ หรือว่าไข้โป้งหมายถึงอะไร
"ไม่ทราบจริง ๆ ครับ มันหมายถึงอะไรครับ"
"จ้างฉันก็ไม่บอกเธอ" พระอุปัชฌาย์ถือโอกาสเล่นตัว
"แล้วถ้าไม่จ้างหลวงพ่อจะบอกไหมครับ ผมไม่มีเงินจ้าง
"เธอจะรู้ไปทำไมเล่า"
"ก็เผื่อหลวงพ่อเป็นผมจะได้บอกหมอถูกไงครับ"
"ไม่ต้องหรอก รับรองว่าฉันไม่ตายด้วยไข้โป้งอย่างแน่นอน รับรองว่าไม่ใช่" อาจารย์ตอบเสียงหนักแน่น
"แล้วหลวงพ่อจะตายด้วยอะไรล่ะครับ" พูดไปแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจ จึงก้มลงกราบขอขมาพระอุปัชฌายาจารย์
"ผมกราบขอโทษหลวงพ่อด้วยครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะลามปาม แต่ปากมันพาไป หลวงพ่อโปรดอย่าถือโทษผมเลยนะครับ ผมมันพวกขี้กลากเหล็ก ชอบลามปามโดยไม่เลือกกาลเทศะ" พระหนุ่มตำหนิตัวเองเสียยืดยาว ท่านพระครูไม่ได้โกรธคนเป็นศิษย์ ท่านตอบเสียงเรียบว่า "ฉันตายด้วยอะไรน่ะหรือ เธอฟังนะบัวเฮียว ฟังแล้วก็จดจำเอาไว้ ฉันยังไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่ใคร เธอเป็นคนแรกที่รู้" ท่านนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยเสียงและอากัปกิริยาที่เป็นปกติว่า
"ฉันจะตายด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำ เดี๋ยวเธอกลับไปจดบันทึกไว้เลยนะว่า วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลาเที่ยงสิบห้า ท่านพระครูเจริญต้องมรณภาพเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำ"
หากพระบัวเฮียวส่องกระจกตอนนี้ ก็จะพบว่าใบหน้าของท่านซีดขาว เหมือนปราศจากโลหิตมาหล่อเลี้ยง คำบอกเล่าของผู้เป็นอาจารย์ทำให้ท่านตระหนก อีกสี่ห้าปีข้างหน้า บุคคลที่ให้แสงสว่างแก่ชีวิตท่านจะต้องลาลับไปจากโลกนี้ ภิกษุหนุ่มบังเกิดความรู้สึกเศร้าใจจนสุดจะพรรณนา ท่านต้องกำหนด "เศร้าใจหนอ เศร้าใจหนอ" อยู่นาน กระทั่งมันบรรเทาเบาบางลง จึงถามพระอุปัชฌาย์ว่า
"ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นครับหลวงพ่อ ทำไม"
"มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นแหละบัวเฮียว เหตุปัจจัยที่ว่านี้คือกรรมนั่นเอง เธออย่าทำหน้าซีดอย่างนั้นเลยน่า ขอทีเถอะ คนที่จะตายคือฉันไม่ใช่เธอ เลิกทำหน้าซีด ๆ แบบนั้นได้แล้ว" ท่านยังมีแก่ใจยั่ว
"โธ่ หลวงพ่อครับ ขนาดหน้าสิ่งหน้าขวานอย่างนี้ หลวงพ่อยังใจเย็นอยู่ได้ แล้วผมก็ไม่ได้ทำแกล้งหน้าซีดนะครับ มันซีดของมันเองเพราะผมไม่อยากให้หลวงพ่อตาย และถ้าให้ผมตาย แทนที่จะเป็นหลวงพ่อ ผมก็ยินดีครับ อนุญาตให้ผมได้ทดแทนพระคุณของหลวงพ่อด้วยการตายแทนเถิดครับ" พระบัวเฮียวพูด เป็นการพูดที่ออกมาจากใจจริง ทว่าคนฟังกลับรู้สึกปลงอนิจจัง ที่ลูกศิษย์ของท่านช่างคิดและพูดเหมือนคนที่ไม่เคยปฏิบัติกรรมฐานมาก่อนเลยในชีวิต
"น่าอนาถใจ อุตส่าห์ปฏิบัติมาตั้งหลายเดือน นึกว่าจะก้าวหน้าไปถึงไหน ๆ ที่แท้ก็ไปไม่ถึงไหนเลย บัวเฮียวนะบัวเฮียว" ท่านพูดพลางทอดถอนใจ
"หลวงพ่อหมายถึงผมหรือหมายถึงใครครับ" คนเป็นศิษย์ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด
"ก็ฉันกำลังพูดอยู่กับใครล่ะ"
"พูดอยู่กับผมครับ ท่านพระครูเจริญกำลังพูดกับพระบัวเฮียว หลวงพ่อยังไม่ทันแก่ซักเท่าไหร่หลงซะแล้ว ไม่น่า"
"ฉันน่ะหรือหลง ผิดไปละมั้ง คนที่หลงน่าจะเป็นเธอมากกว่า มีอย่างที่ไหน อุตส่าห์ปฏิบัติกรรมฐานมาตั้งหลายเดือน ยังมาพูดได้ว่าจะตายแทนฉัน ช่างไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมเอาเสียเลย ถ้าคนเราทำกรรมแทนกันได้ พรุ่งนี้เช้าเธอก็ไม่ต้องฉันเช้าหรอกนะ ฉันจะฉันแทนแล้วให้เธอเป็นคนอิ่ม เอายังงั้นไหม"
"มันจะเป็นไปได้อย่างไรครับ คนไหนกินคนนั้นก็ต้องอิ่มซีครับ คนอื่นจะมาอิ่มแทนได้อย่างไร" พระบัวเฮียวว่า
"มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ในทำนองเดียวกัน การที่เธอจะมาตายแทนฉันมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉันเป็นคนทำกรรม ฉันก็ต้องเป็นผู้รับผลของมัน"
"ผมเห็นหลวงพ่อทำแต่กรรมดี หลวงพ่อสั่งสอนอบรมให้คนเป็นคนดี และยังสงเคราะห์ช่วยเหลือเขาด้วยความเมตตา โดยไม่ต้องการผลตอบแทน หลวงพ่อไม่เคยคิดถึงความสุขของตัวเองด้วยซ้ำ แล้วทำไมจะต้องประสบเคราะห์กรรมแบบนั้น หรือว่านั่นคือผลตอบแทนของการทำกรรมดี ผมไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดโลกมันถึงอยุติธรรมอย่างนี้ ไม่เข้าใจจริง ๆ ครับ หลวงพ่อ" พระหนุ่มรำพึงรำพัน
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกบัวเฮียว อย่าเข้าใจผิด จะไว้เถิดว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว จริงอยู่ ใคร ๆ อาจจะเห็นว่าฉันทำแต่กรรมดี แต่กรรมชั่วที่ฉันทำพวกเขาไม่เคยเห็น"
"หมายความว่าลับหลังคนอื่น ๆ หลวงพ่อแอบทำกรรมชั่วหรือครับ เป็นไปไม่ได้ ยังไง ๆ ผมก็ไม่เชื่อ หลวงพ่อไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน"
"แบบไหน แบบที่เรียกว่าหน้าไหว้หลังหลอกใช่ไหม เธอคิดว่าฉันจะเป็นอย่างนั้นหรือ"
"ไม่คิดครับ ไม่คิด ไม่เคยคิด และ จะไม่คิด"
"บัวเฮียว เธอรู้จักฉันมานานแค่ไหนเชียว" พระหนุ่มนับนิ้วแล้วตอบว่า
"สี่เดือนครับ"
"เพียงสี่เดือน แล้วเธอจะแน่ใจได้อย่างไรว่าฉันไม่เคยทำกรรมชั่ว"
"อย่าว่าแต่สี่เดือนเลยครับ ถึงผมรู้จักหลวงพ่อสี่วัน ผมก็แน่ใจว่าคนอย่างหลวงพ่อไม่ทำ ถึงผมไม่ได้ "เห็นหนอ" อย่างหลวงพ่อ แต่ผมก็มั่นใจในสิ่งที่ผม "เห็น" โดยไม่มี "หนอ" ครับ"
"เอาละเมื่อเธอมั่นใจอย่างนั้นก็ดีแล้ว ฉันก็จะได้บอกเธอเสียให้หมดเรื่อง จะได้หายสงสัย ฉันต้องประสบอุบัติเหตุคอหักตายเพราะกรรมชั่วที่ฉันเคยทำไว้ ฉันทำกรรมชั่วมามากเหลือเกินบัวเฮียวเอ๋ย" ท่านพูดอย่างปลงสังเวช
"ทำไว้เมื่อชาติก่อน ๆ หรือครับ"
"ชาตินี้แหละ เธอไม่รู้อะไร สมัยที่ฉันเป็นวัยรุ่น อายุสิบสองสิบสามน่ะ เกสะบัดเลย ใคร ๆ เขาเรียกฉันไอ้มหาโจรกันทั้งบาง นั่นแหละช่วงนั้นแหละที่ฉันก่อกรรมทำเข็ญไว้มากแล้วก็ต้องมานั่งชดใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้"
"ที่หลวงพ่อบอกว่าต้องรถคว่ำคอหัก เพราะกรรมอะไรครับ" คนเป็นศิษย์ถามใคร่อยากรู้
"หักคอนกน่ะซี เธอรู้ไหมฉันหักคอนกมาเป็นร้อย ๆ ตัวก็เลยต้องมาใช้หนี้นก ก็ดีจะได้ชดใช้เสียให้เสร็จสิ้นไป" พระบัวเฮียวเพิ่งจะเข้าใจได้เดี๋ยวนั้น กฎแห่งกรรมช่างเที่ยงตรงนัก ใครทำกรรมไว้เช่นไรก็ต้องได้รับผลเช่นนั้น จะมั่งมีหรืออยากจนอย่างไร ก็ไม่อาจหนีพ้นกรรมที่ตนทำไปได้ แล้วท่านก็นึกถึงกรรมของตัวเอง กรรมที่เคยฆ่าวัวฆ่าควาย
"หลวงพ่อครับ แล้วผมจะชดใช้กรรมเมื่อไหร่ ก่อนหรือหลังหลวงพ่อ"
"เธออยากใช้ก่อนหรือหลังล่ะ"
"ก่อนซีครับ ถ้าหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วใครเล่าจะมาช่วยผม"
"อ้อ ที่เธอแสดงอากาศเศร้าโศกเสียใจออกมานี่ก็เพราะห่วงตัวเองหรอกหรือ ฉันนึกว่าเธอห่วงฉันเสียอีก ที่แท้ก็ห่วงตัวเองนี่เอง" ท่านพูดยิ้ม ๆ พระบัวเฮียวรู้สึกคลายเครียดลง ตอบผู้เป็นอาจารย์ว่า
"ก็หลวงพ่อเคยสอนผมนี่ครับว่า ...บุคคลตามค้นไปด้วยใจตลอดทิศ ก็มิได้พบผู้ที่เป็นที่รักยิ่งกว่าตนที่ไหนเลย ...หลวงพ่อพูดอย่างนี้ใช่ไหมครับ"
"ฉันไม่ได้พูด ฉันเพียงแต่อ้างพุทธพจน์มาให้เธอฟังเท่านั้น เอาละ เอาละ สรุปว่าเธอรักตัวเองมากที่สุดก็แล้วกัน"
"แล้วหลวงพ่อล่ะครับ หลวงพ่อรักใครมากที่สุด" คนเป็นศิษย์ย้อนถาม
"ฉันก็รักตัวเองมากที่สุดเหมือนเธอนั่นแหละ ก็ฉันเป็นศิษย์พระพุทธองค์ก็ต้องเชื่อตามคำสอนของท่าน ใคร ๆ ก็รักตัวเองมากที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นถ้ามีใครมาบอกว่า เขารักเธอมากกว่าตัวเขา ก็เชื่อได้เลยว่า เขาพูดปด"
"นั่นซีครับ มีเรื่องเขาเล่ากันสนุก ๆ ว่า ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นคู่รักกัน นั่งพลอดรักกันที่ใต้ต้นมะพร้าว ผู้ชายก็บอกผู้หญิงว่าเขารักหล่อนมาก สามารถตายแทนได้ ผู้หญิงบอกจ้างก็ไม่เชื่อ พอดีมะพร้าวหล่นลงมา ผู้ชายรีบเอามือทั้งสองกุมหัวตัวเองไว้ก่อน ผู้หญิงเขาเลยจับโกหกได้"
"นั่นแหละ แล้วเธอก็อย่าไปเที่ยวโกหกใครต่อใครเขาแบบนั้นก็แล้วกัน"
"ไม่หรอกครับหลวงพ่อ เอ หลวงพ่อครับ แล้วโยมวรรณวิไล กับคุณโยมผ่องพรรณล่ะครับ หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าอีกแปดปีเขาจะมาหาหลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อมรณภาพเสียแล้ว เขาจะมาพบใครเล่าครับ" พระหนุ่มแสดงความห่วงใยไปถึงสองศรีพี่น้อง
"แหม จำแม่นจริงนะ แต่ที่เธอถามมานั้นฉันก็ยังตอบไม่ได้ เพราะ "เห็นหนอ" บอกมาอย่างนั้นฉันก็ต้องพูดไปตามนั้น มันก็ขัด ๆ กันอยู่นะ แต่เธอไม่ต้องวิตกหรอก มันเรื่องของอนาคต เอาปัจจุบันให้ดีที่สุดก็แล้วกัน เรื่องอดีต เรื่องอนาคตไม่ต้องไปพะวงถึง เข้าใจหรือยังล่ะ ถ้าเข้าใจแล้วก็กลับกุฏิได้ สองทุ่มจะปฏิบัติกรรมฐานไม่ใช่หรือ ฉันขออวยพรให้ประสบความสำเร็จนะบัวเฮียว"




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 08:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.. อนุโมทนาแ้ล้วๆๆ..

:b29: ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2012, 07:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


นายขุนทองเข้ามาอยู่ในวัดป่ามะม่วง แล้วก็ได้ช่วยงานท่านพระครูอย่างแข็งขัน ตั้งแต่การดูแลรักษาความสะอาดของกุฏิไปจนถึงการต้อนรับขับสู้บรรดาแขกเหรื่อ ที่มาหาท่านเจ้าอาวาสด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กัน ทั้งยังจัดตารางวันเวลาในการรับแขกติดไว้ที่หน้ากุฏิ เพื่อท่านพระครูจะได้มีเวลาพักผ่อน และทำกิจธุระส่วนตัวของท่าน คือ การเขียนหนังสือคู่มือการสอบอารมณ์กรรมฐานให้แล้วเสร็จ
ท่านพระครูให้นายสมชายขึ้นไปอยู่ชั้นบนของกุฏิซึ่งมีห้องเล็ก ๆ ว่างอยู่ แล้วให้นายขุนทองอยู่ห้องชั้นล่างแทน ลูกศิษย์หนุ่มยินดีปรีดาเสียนักที่ได้คนมาช่วยแบ่งเบาภาระ แม้จะรู้สึกขัดลูกหูลูกตากับจริตจะก้านของฝ่ายนั้น ก็ยังดีกว่ารับภาระหนักอยู่แต่ผู้เดียว
อุปนิสัยอย่างหนึ่งของนายขุนทอง คือเป็นคนรักสัตว์ ตอนอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน กิจวัตรประจำวันของเขาก็คือเลี้ยงดูให้อาหารแก่หมูหมากาไก่ เวลาแต่ละวันจึงหมดไปกับการวุ่นว่ายกับสัตว์เหล่านี้
เมื่อมาอยู่วัดป่ามะม่วง นายขุนทองก็มิได้มามือเปล่า หากหอบหิ้วลูกสุนัขที่หย่านมแม่แล้วมาด้วยถึงสามตัว คือ เจ้าหมี เจ้าโฮม และเจ้าขาว ลูกสุนัขสามตัวนี้เกิดจากแม่เดียวกันและวันเดียวกัน แต่เจ้าหมีดูตัวใหญ่กว่าเพื่อน ขนของมันสีดำสนิทและรูปร่างหน้าตาน่าจะเป็นหมีมากกว่าหมา เพราะเหมือนหมีมากกว่า
เจ้าโฮมกับเจ้าขาวตัวเล็กกว่าเจ้าหมีเกือบครึ่ง ทั้งหน้าตาของมันก็บ่งบอกว่าเป็น "หมาน่อย หมาน่อย ธรรมดา" เจ้าโฮมนั้นขนสีน้ำตาล ขณะที่เจ้าขาวขนสีเดียวกับชื่อ
นายขุนทองรักลูกสุนัขสามตัวนี้มาก ถึงขนาดแบ่งชั้นวรรณะให้เสร็จสรรพ เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับพวก "หมาวัด"
แต่ถึงจะเป็น "หมามีปลอกคอ" หากเจ้าสามพี่น้อยก็มิได้เย่อหยิ่งจองหอง จึงไม่เป็นที่เขม่นเข่นเขี้ยวของหมาวัดตัวอื่น ๆ นายขุนทองอนุญาตให้เจ้าหมี เจ้าโฮม และเจ้าขาว เข้ามานอนในกุฏิชั้นล่างซึ่งท่านพระครูก็มิได้ว่ากระไร เพราะท่านเองก็รู้สึกถูกชะตากับเจ้าหมีเป็นพิเศษ ถึงกับต้องตรวจสอบด้วย "เห็นหนอ" และรู้ว่าในอดีตมันเคยเป็นทหารคู่ใจของท่าน น่าเสียดายที่ต้องมาอุบัติในกำเนิดเดรัจฉานซึ่งเป็นทุคติภูมิ
เหล่าสัตว์ที่เกิดในทุคติภูมินั้นถูกจัดให้อยู่ในประเภท "อเวไนยสัตว์" จึงไม่อาจ "รับ" ธรรมะได้ แต่ก็คงจะเป็น "บุญ" ของมันที่ได้มาพบท่าน เพราะชาติต่อไปมันจะไม่ต้องเกิดในอบายภูมิอีก ท่านจะต้อง "ลุ้น" มันให้ถึงที่สุด
"หลวงลุงฮะ หินก้อนนั้นเกะกะจัง เอาไปไว้ที่อื่นไม่ได้หรือฮะ" นายขุนทองถามหลังจากที่ท่านพระครูฉันภัตตาหารเสร็จ ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในกุฏิ เขาก็จัดการให้ท่านฉันเสียที่ชั้นบน เพราะแขกบางคนชอบมาพูดคุยซักถามขณะที่ท่านกำลังฉัน
"ก้อนไหนล่ะ"
"ก้อนที่รูปร่างเหมือนไข่ยักษ์น่ะฮะ"
"ข้าไม่เคยเห็นไข่ยักษ์เลยนึกไม่ออก แต่ถ้าเอ็งหมายถึงก้อนที่วางอยู่ด้านขวาของอาสนะ ข้าก็จะบอกเอ็งว่าอย่าไปยุ่งกับเขา เพราะเขาไม่ใช่ก้อนหินธรรมดา"
"แหม หลวงลุงก็ หนูถามดี ๆ ก็ต้องยวนด้วย" หลานชายต่อว่าพลางค้อนปะหลับปะเหลือก ท่านพระครูชินเสียแล้วกับกิริยาเช่นนี้ จึงไม่พูดไม่ว่าให้เขาต้องรำคาญหู
"ก็ที่กุฏิหลวงลุงมันมีหินกี่ก้อนล่ะ ตั้งแต่เข้ามาอยู่หนูก็เห็นก้อนเดียวนั่นแหละ แล้วที่ว่าไม่ใช่ธรรมดาน่ะมันเป็นของวิเศษหรือฮะ" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดถาม
"อย่าไปเรียกเขาว่า "มัน" ข้าจะบอกให้เอ็งรู้ แล้วก็อย่าเที่ยวไปบอกคนอื่นล่ะ หินก้อนนั้นมีวิญญาณสิงอยู่ เขาอยากมาปฏิบัติกรรมฐาน ข้าก็เลยให้เขาอยู่ชั้นล่าง"
"ผู้หญิงหรือผู้ชายฮะ" นายขุนทองถาม เขาเชื่อว่าผีมีจริง แล้วเขาก็เป็นคนไม่กลัวผี จึงไม่ได้ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา
"ผู้ชาย"
"หล่อไหมฮะ"
"เอ็งถามทำไม"
"ถ้าหล่อหนูจะได้จีบเป็นแฟนน่ะซีฮะ มีแฟนเป็นผีมันเท่หยอกซะเมื่อไหร่" คนที่คิดว่าตัวเป็นผู้หญิงตอบ ท่านพระครูรีบห้ามว่า
"นี่ขอเสียทีเถอะเจ้าขุนทอง เอ็งอย่าได้มาคิดลามกจกเปรตในกุฏิของข้า ที่ข้าให้เอ็งมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อให้มาทำความดีนะ"
"คนอยากมีแฟนมันชั่วยังไงล่ะฮะ" คนถูกว่าย้อน
"มันวิปริตผิดเพศไง แล้วก็ยังผิดภพภูมิด้วย อีกประการหนึ่งเขาก็มีคู่รักแล้ว เอ็งเห็นเสาสี่เหลี่ยมพิงอยู่ที่ต้นปีบหลังกุฏินั่นไหม นั่นแหละแฟนเขาละ"
"เสาสีดำนั่นหรือฮะ" ท่านพระครูตอบว่า
"ถูกแล้ว วิญญาณผู้หญิงอยู่ในนั้น เขาตามผู้ชายในก้อนหินมา" ฟังแล้วนายขุนทองก็ร้องกรี๊ด
"ว้าย ตาเถนหกคะเมนตีลังกาเจ้าข้าเอ๋ย เป็นผีก็ยังอยากมีผัว ผีอยากมีผัว อีขุนทองไม่เค้ยไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น"
"ผีอยากมีผัวก็ยังไม่วิปริตเท่าผู้ชายอยากมีผัวหรอกขุนทองเอ๊ย" ท่านพระครูพูดประชดประชัน
"แถมยังอยากมีผัวเป็นผีด้วยใช่ไหมฮะ" แทนที่จะโกรธ นายขุนทองกลับพูดโต้ตอบคนเป็นหลวงลุงอย่างไม่ลดละ ท่านพระครูได้เรียนรู้นิสัยหลานชายเพิ่มขึ้น ปกติผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิงนั้นมักจะกลัวผี ขี้โกรธ แล้วก็ปากจัด หากนายขุนทองมิได้เป็นเช่นนั้น ท่านมองเห็นความหวังอยู่รำไรว่าคงจะช่วยเขาได้
"เมื่อไหร่เอ็งจะหายดัดจริตดีดดิ้นซักทีนะเจ้าขุนทอง" ท่านพูดเป็นเชิงปรารภ
"ไม่มีท้างไม่มีทาง ก็ฟ้าเขาลิขิตให้หนูเป็นยังงี้ก็ต้องเป็นยังงี้แหละฮ่ะหลวงลุ้ง" ชายหนุ่มว่า
"เอ็งเชื่อฟ้ามากกว่าเชื่อกรรมงั้นหรือ"
"หนูอยู่ใต้ฟ้าแล้วไม่เชื่อฟ้าได้ไงล่ะฮะ"
"ข้าก็อยู่ใต้ฟ้าเหมือนกับเอ็ง แต่ข้าไม่เชื่อเรื่องฟ้าลิขิต ข้าเชื่อเรื่องกรรมลิขิตเท่านั้น"
"หนูไม่จำเป็นต้องเชื่อเหมือนกับหลวงลุ่งนี่ฮะ หรือหลวงลุงว่าจำเป็น" ชายหนุ่มย้อนถาม
แน่นอน ข้าไม่ได้บังคับให้เอ็งเชื่อเหมือนข้า เพียงแต่อยากให้เอ็งเชื่อในสิ่งที่มันจริง ไม่ใช่เชื่อลม ๆ แล้ว ๆ แบบนั้น"
"โอ๊ย เรื่องความเชื่อน่ะ จะบังคับกันไม่ได้หรอกฮะหลวงลุ้ง คนเราทำกรรมมาไม่เหมือนกัน ต่างกรรมต่างวาระ แล้วจะให้คิดเหมือนกัน เชื่อเหมือนกันได้ไง จริงไหมฮะ"
"โอ้โฮ วันนี้วันอะไรหนอ พ่อขุนทองถึงได้พูดเข้าทีดีนัก" ท่านพระครูเอ่ยปากชม
"วันศุกร์ขึ้น ๙ ค่ำ เดือนสาม ปีขาล พุทธศักราช ๒๕๑๗ ฮ่ะ" นายขุนทองตอบเพราะเพิ่งดูปฏิทินมา
"เอ็งจะทำอะไรก็ไปทำเถอะไป๊ ประเดี๋ยวข้าจะเขียนหนังสือต่อ" ท่านพระครู "ไล่" ทางอ้อม ซึ่งนายขุนทองก็ไม่ว่ากระไร เขากราบสามครั้งแล้วจัดแจงเก็บสำรับเพื่อจะยกมารับประทานกับนายสมชายที่กุฏิชั้นล่าง
ท่านพระครูลงมาล้างมือบ้วนปากในห้องน้ำ แล้วขึ้นไปเขียนหนังสือต่อ บ่ายสองโมงจึงจะลงไป "รับแขก" ตามตารางที่นายขุนทองจัดให้
พระบัวเฮียวปฏิบัติกรรมฐานเสร็จจึงแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปยังบิดามารดา เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ หลังจากฉันเช้าแล้วท่านก็เริ่มเดินจงกรมและนั่งสมาธิไปจนได้เวลาฉันเพล ปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันจนเป็นกิจวัตร เว้นเสียแต่ว่าวันใดมีธุระหรือข้อสงสัยจะต้องเรียนถามพระอุปัชฌายาจารย์ จึงจะไปหาท่านที่กุฏิ
"ท่านเริ่มจะชินกับการดำเนินชีวิตแบบสมณเพศ เป็นชีวิตที่เรียบง่ายและสุขสงบ ไม่ต้องตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา ไม่ถูกมันชักจูงไปให้ชีวิตต้องร้อนรนกระวนกระวาย บัดนี้ท่านตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะดำรงคงอยู่ในเพศบรรพชิตไปจนกว่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตจะมาถึง ไม่คิดที่จะสึกออกไปแต่งงานมีเหย้ามีเรือนเฉกเช่นคนอื่น ๆ
ความหวังของท่านในบัดนี้คือ อยากพบ "พระในป่า" ที่เคยสอนกรรมฐานให้ท่านพระครูที่ป่าดงพระยาเย็นเมื่อห้าหกปีก่อน พระบัวเฮียวมีความเชื่อว่า "พระในป่า" ที่ท่านพระครูพูดถึงนั้นเป็นองค์เดียวกับพระอรหันต์ผู้มีนามว่า อุตตระ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังดินแดนสุวรรณภูมิในช่วงปีพุทธศักราช ๒๑๘ - ๒๖๐ อันเป็นระยะเวลาที่พระองค์ครองราชสมบัติ ณ พระนครปาฏลีบุตร ความรู้อันนี้พระบัวเฮียวได้มาจากตำราเล่มหนึ่งที่ขอยืมมาจากพระมหาบุญในตำราได้กล่าวว่า
"พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งศาสนทูตออกไปเผยแพร่พระศาสนาในนานาประเทศ ทรงส่งพระโสณะกับพระอุตตระมายังดินแดนสุวรรณภูมิ…"
พระบัวเฮียวเคยนำเรื่องนี้ไปเรียนถามท่านพระครู แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยัน ขณะเดียวกันท่านก็มิได้ปฏิเสธ เพียงแต่บอกว่าเมื่อใดที่ท่านเกิดปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ ก็จะไปถาม "พระในป่า" โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงป่าดงพระยาเย็น
ภิกษุวัยยี่สิบหาอธิบายให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ว่าทำไมท่านจึงเชื่อแบบนี้ เพราะมันขัดกับหลักของเหตุผล ปกติมนุษย์จะมีอายุอย่างมากก็ไม่เกินร้อยปี ที่จะมาอยู่ได้ตั้งสองพันกว่าปีนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ บอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อ เพียงได้อ่านเรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช กับได้ฟังเรื่อง"พระในป่า" จากท่านพระครู ท่านก็นำความคิดนี้ไปผสมผสานกันเสร็จสรรพว่า พระอุตตระก็คือพระในป่า ยิ่งเห็นท่านพระครูไม่ปฏิเสธท่านก็ยิ่งเชื่อแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งยังมั่นใจว่าวันหนึ่งท่านจะต้องพิสูจน์ความเชื่อนี้ให้ได้ ท่านพระครูพูดเป็นปริศนาไว้ว่า
"ถ้าเธอมีความมุ่งมั่นที่จะรู้ วันหนึ่งเธอจะต้องรู้ ฉันต้องการให้เธอรู้ด้วยตัวเธอเองมากกว่าให้รู้เพราะการบอกเล่าของฉัน"
พระบัวเฮียวกำลังจะไปหอฉัน พอท่านเปิดประตูห้องออกมา ก็พบจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นของท่าน จึงเปิดออกอ่าน เป็นลายมือนายหรุ่ม หากข้อความในจดหมายเป็นของโยมมารดา เพราะนางบุญพาอ่านเขียนภาษาไทยไม่ได้ เนื่องจากเป็นคนญวน ท่านอ่านจดหมายของมารดาอย่างตั้งใจ จดหมายนั้นเขียนเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๑๗ ความว่า
"บัวเฮียวลูกรัก
จดหมายของเจ้าที่เขียนเมื่อ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๑๖ นั้นแม่ได้รับเมื่อหลังปีใหม่ ก็ดีใจว่าเจ้าเป็นพระแล้ว งานแม่ยุ่งไม่มีเวลาตอบ กระทั่งเกิดเรื่องประหลาดขึ้นเมื่อเช้านี้ เลยต้องให้ทิดหรุ่มเขาเขียนมาเล่าให้เจ้าฟัง
เมื่อตอนเช้ามืด แม่กับทิดหรุ่มฝันตรงกัน คือฝันเห็นเจ้าห่มผ้าเหลืองมาบอกให้แม่กับทิดเขาเลิกฆ่าสัตว์ ให้ไปหางานอื่นทำ ที่จริงเราก็คิดกันมานานว่าจะเลิก แต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรกิน พอดีเมื่องวดที่แล้วทิดหรุ่มเขาฝันเห็นเลข เลยแทงหวยใต้ดินไปยี่สิบบาท แล้วมันก็ถูก ที่สำคัญคือแม่กำลังจะมีน้องให้เจ้า ตั้งแต่ตั้งท้องก็เหม็นกลิ่นเนื้อวัวเนื้อควาย แล้วก็ไม่ได้ช่วยทิดเขาแล่เนื้ออีกเลย
วันนี้เป็นวันพระ ไม่ต้องฆ่า ก็เลยค่อยยังชั่วหน่อย แล้วก็เหมือนโชคเข้าข้างเรา เพราะเมื่อวานมีคนมาสมัครงานกับเถ้าแก่ เถ้าแก่เขาก็บอกว่าทิดหรุ่มออกเขาก็จะรับคนนั้นแทน ทิดหรุ่มเคยไปขอลาออกเมื่อสองสามวันก่อน เพราะสงสารที่แม่แพ้มาก เมื่อวานเราบอกเถ้าแก่ไปแล้วว่าจะออก ตอนเช้ามืดก็มาฝันพอดี คงจะเป็นบุญของเจ้าที่ได้ไปบวช จึงทำให้แม่กับพ่อเลี้ยงของเจ้าเลิกอาชีพนี้ได้ ถ้าแม่ได้อยู่ที่ใหม่เรียบร้อยแล้วจะส่งข่าวให้เจ้ารู้ทีหลัง หวังว่าเจ้าคงสบายดี ถ้ามีเวลาก็มาเยี่ยมแม่บ้าง
รักและเป็นห่วงลูกเสมอ
ลงชื่อ บุญพา - หรุ่ม
ข้อความในจดหมายทำให้พระบัวเฮียวปีตินัก ท่านรีบเดินไปที่กุฏิท่านพระครูเพื่อแจ้งข่าว นายขุนทองนำท่านขึ้นไปพบหลวงลุงที่ชั้นบนของกุฏิ เพราะชั้นล่างนั้นมีคนมานั่งรอกันบ้างแล้ว แม้ว่าอีกตั้งสามชั่วโมงกว่าท่านจะลงมา
"มีอะไรหรือบัวเฮียว ถ้าไม่รีบร้อน ไปฉันเพลเสียก่อนก็ได้" ท่านพระครูบอกลูกศิษย์เพราะเกรงฝ่ายนั้นจะหิว กราบพระอุปัชฌาย์สามครั้งแล้ว ผู้เป็นศิษย์จึงตอบว่า
"ผมอิ่มแล้วครับหลวงพ่อ ฉันปีติเสียอิ่มเลย"
"ปีติเรื่องอะไรล่ะ" แทนคำตอบ พระบัวเฮียวส่งจดหมายฉบับนั้นให้ ท่านพระครูรับมาอ่านแล้วแสดงมุทิตาจิตว่า
"ฉันขออนุโมทนา เห็นไหม เธอทำสำเร็จแล้ว เห็นอานิสงส์ของการแผ่เมตตาหรือยัง"
"เห็นแล้วครับ ผมต้องขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงครับ ที่นอกจากจะเมตตาตัวผมแล้วยังเมตตาไปถึงโยมแม่ผมด้วย และหากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมอยากขอความกรุณาหลวงพ่อช่วยเมตตาโยมพ่อผมด้วยอีกคนเถิดครับ"
"จะยากอะไรเล่าบัวเฮียว ก็ทำอย่างที่เธอทำอยู่นั่นแหละ แต่จะต้องให้มากกว่าเก่า เพราะถ้าพลังจิตไม่แรงพอก็จะส่งไปไม่ถึง เธอต้องฝึกให้เข้มข้นกว่านี้จึงจะสามารถส่งไปภพภูมิอื่นได้ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของเธอนั่นแหละ"
"เอาละ หลวงพี่สู้ สู้ ขุนทองจะเอาใจช่วย" นายขุนทอง "เชียร์" ออกหน้าออกตา
"ถ้าเอ็งมาช่วยปฏิบัติด้วย รับรองว่าสำเร็จแน่" ท่านพระครูเห็นช่องทางที่จะโน้มน้าวจิตใจหลานชาย
"อุ๊ย อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยฮ่ะหลวงลุง ให้หนูคอยเอาใจช่วยดีฝ่า อย่าให้ถึงกับลงไปขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอด้วยเลย" นายขุนทองเริ่มปฏิเสธ
"หลวงพ่อเคยบอกว่ามีคนทำได้มาแล้ว ที่เป็นชาวนอรเวน่ะครับ ผมขออนุญาตฟังได้ไหมครับ"
"ได้สิ ถ้าเธออนุญาตให้ฉันเล่า ฉันก็จะอนุญาตให้เธอฟัง" ท่านล้อเลียน "น้องชาย"
"ครับ ขอบคุณครับ นิมนต์หลวงพ่อเล่าเถิดครับ"
"เธอเห็นรูปพระฝรั่งที่ตั้งอยู่หน้าอาสนะของฉันหรือเปล่าล่ะ นั่นแหละเขาละ"
"อ๋อ ที่นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ในรูปนั่นใช่ไหมฮะหลวงลุง แหม! ล้อหล่อ" นายขุนทองชม
"หล่อก็อย่าไปหลงรักเขาเข้าแล้วกัน เขามีเมียแล้ว" ท่านพระครูปรามไว้ก่อน
"เหรอฮะ แหม! อีขุนทองอกหักซะแล้ว" พูดพร้อมกับยกมือขึ้นทาบอก
"จะฟังหรือไม่ฟัง ถ้าไม่ฟังก็ลงไปข้างล่าง" ท่านพระครูไล่อย่างสุภาพ
"ฟังฮ่ะฟัง แหม! พูดแค่นี้ก็ต้องมีมะโหด้วย" หลานชายบ่นอุบ ท่านพระครูจึงเล่าว่า
"เขาชื่อ วิโก้ บรุน เป็นชาวนอรเว แต่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เคยมาบวชที่วัดนี้เมื่อปี ๒๕๑๒ วีโก้ เป็นชื่อ ส่วน บรุน เป็นนามสกุล
"เขานับถือศาสนาอะไรครับ"
"ศาสนาคริสต์ แต่สนใจอยากศึกษาพระพุทธศาสนา เขาสอนภาษาไทยอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ได้ทุนของมหาวิทยาลัยมาเรียนภาษาไทยที่คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯ เขาเล่าให้ฉันฟังว่าปู่เขาเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยที่ประเทศนอรเว ชอบศึกษาพระพุทธศาสนา อ่านพระไตรปิฎกจบทั้งหมด คืออ่านฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเวลานี้ยังแปลไม่ครบทั้ง ๔๕ เล่ม แปลเป็นบางเล่ม แล้วปู่เขาก็อ่านหมด ตอนเขาจะมาเมืองไทย ปู่ก็ให้พรว่า "หลานมาเมืองไทยอย่าลืมเอาของดีมาฝากปู่นะ" เขาสั่งหลานอย่างนี้ ศาสตาจารย์คนนี้แกฉลาดจริง ๆ อุตส่าห์รู้ว่าเมืองไทยมีของดี คนไทยเสียอีกยังไม่รู้"
"ของดีอะไรครับ"
"ของดีอะไรฮะ" พระบัวเฮียวและนายขุนทองถามขึ้นพร้อมกัน
"นั่นไง คนไทยสองคนที่นั่งอยู่นี่ยังไม่รู้เลย"
"คนไทยคนเดียวครับ ผมเป็นคนญวน" พระบัวเฮียวรีบแก้ตัว
"นั่นแหละ งี่เง่าทั้งคนไทยและคนญวนนั่นแหละ เอาละ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ฟังฉันเล่าต่อก็แล้วกัน พอปู่พูดอย่างนี้ นายวีโก้ก็ถามว่าของดีอะไร ปู่บอกเอาเถอะไปถึงแล้วจะรู้เอง หลังจากนั้นนายวีโก้ก็เดินทางมาประเทศไทยเมื่อปี ๒๕๑๑ เรียนอยู่ปีนึง พอปิดเทอมภาคฤดูร้อนก็นึกอยากบวช จึงอ่านพระวินัยปิฎกทั้ง ๘ เล่ม เขาอ่านภาษาไทยได้ พูดก็ได้ ใช้ศัพท์ถูกต้องกว่าคนไทยบางคนเสียอีก แล้วเขาก็คิดหาวัดที่จะบวช ก็เที่ยวสำรวจวัดต่าง ๆ ตั้งแต่กรุงเทพฯ อยุธยา อ่างทอง ลพบุรี จนกระทั่งมาถึงวัดป่ามะม่วงนี่ ผ่านมาถึงสี่จังหวัดไม่ถูกใจ มาถูกใจเอาจังหวัดที่ห้าที่วัดป่ามะม่วงตั้งอยู่นี่"
"เขาเอาอะไรมาตัดสินล่ะครับว่าวัดไหนถูกใจหรือไม่ถูกใจ" พระบัวเฮียวถาม
"เขาบอกเขาเที่ยวถามพระมาทุกวัดให้ตอบปัญหาเขา แต่ไม่มีพระวัดไหนตอบได้ เขาถามว่า
"อะไรเอ่ย สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป" เขาบอกไม่มีใครตอบได้ เขาก็เลยมาถามฉัน ฉันก็ตอบเขาไป จะถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ละเพราะเขาไม่ได้เฉลย พอฉันตอบเสร็จเขาก็ขอบวชทันที"
"หลวงพ่อตอบว่าอย่างไรครับ"
"เธอลองตอบซิ ถ้าเป็นเธอถูกถามอย่างนี้จะตอบว่ายังไง" ท่านถามพระบัวเฮียว
"ไม่ทราบครับ แต่ผมอยากทราบที่หลวงพ่อตอบเขาน่ะครับ"
"ฉันตอบไปว่า สี่คนหามก็คือตัวเราซึ่งเกิดจากการประชุมกันของธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ เตโชธาตุ"
"หลวงลุงหนูไม่เข้าใจ ช่วยแปลหน่อยเถอะฮ่ะ" นายขุนทองขอร้องพระบัวเฮียวจึงรับหน้าที่แปลให้ฟังว่า ธาตุทั้ง ๔ ที่ท่านพระครูพูดถึงคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ นั่นเอง
"สามคนแห่ ก็คือกิเลส หรืออกุศลมูล ๓ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ หนึ่งคนนั่งแคร่ก็คือจิต คืนคนนั้นประกอบด้วยสองส่วนคือ รูปกับนาม รูปเกิดจากการประชุมกันของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ส่วนนามก็คือจิต สองคนพาไปก็คือ บุญกับบาป ขยายความคือคนเราขณะที่มีชีวิตก็ถูก โลภะ โทสะ โมหะ ชักจูงไป พอตายลงก็เหลือแต่บุญกับบาป ที่จะพาไปสุคติหรือทุคติ พอฉันตอบอย่างนี้เขาก็ขอบวช บอกว่าอ่านพระวินัยปิฎกเข้าใจหมดแล้ว สิกขา ๒๒๗ ข้อก็จำได้แล้ว ฉันเห็นท่าทางเข้าทีก็เลยให้บวชแล้วก็สอนกรรมฐานให้ เขาก็ปฏิบัติอย่างเคร่ง ครัดและเอาจริงเอาจัง เทศก์ก็เก่ง ฉันเคยพาไปเทศน์ตามงานต่าง ๆ เทศน์แบบปุจฉาวิสัชนาก็ได้ พวกชาวบ้านชอบใจมาก
วันหนึ่งฉันพาเทศน์งานศพ เขาก็ว่าไปพวกลูก ๆ ของคนตาย ฉันต้องรีบพากลับแทบไม่ทัน"
"ไปว่าเขาทำไมครับ"
"ก็พวกนั้นทำไม่ถูกต้อง งานศพ พ่อ ลูก ๆ พากันกินเหล้าเมาแอ๋ เขาก็ถามพวกนั้นว่า คนที่นอนอยู่ในโลกน่ะใคร พวกลูก ๆ ก็บอกว่า
"พ่อผมเอง ท่านไม่รู้หรอกหรือหลวงพ่อที่พามาไม่ได้บอกหรอกหรือ เขาก็ตอบว่า
"รู้แล้ว หลวงพ่อก็บอกแล้วด้วย แต่ที่ถามเพราะอยากรู้ว่าในเมื่อพ่อของพวกคุณตาย แล้วพวกคุณมานั่งกินเหล้าต่อหน้างานศพเช่นนี้ พ่อคุณจะได้บุญยังไง"
พอพูดอย่างนี้ พวกลูก ๆ ก็ทำท่าตะลุมบอนเพราะคนเมานั้นขาดสติ แยกไม่ออกว่านี่พระ นี่ฆราวาส พอพูดผิดหูหน่อยก็จะตะลุมบอนพระเสียแล้ว ฉันเลยต้องรีบพากลับวัด พวกชาวบ้านที่มาฟังเทศน์ก็ไม่อยากให้กลับ บอก "หลวงพ่อนิมนต์อยู่ก่อน" ฉันก็ตอบไปว่า "อยู่ไม่ได้โยม พระวีโก้ทำพิษซะแล้ว"
"แล้วเขาแผ่เมตตาไปให้พ่อแม่ตอนไหนครับ"
"ตอนบวชได้สองเดือนแล้ว เขาตั้งใจปฏิบัติมาก บอกได้หมดว่ารอบวัดนี้เดินจงกรมกี่ก้าว ใช้เวลากี่นาที วันหนึ่งเขาก็ถามฉันว่าเขาจะแผ่เมตตาไปยังพ่อกับแม่ที่นอรเวจะได้ไหม ฉันมองหน้าเขาอย่างสำรวจตรวจตรา แล้วก็ตอบว่าได้ เขาก็ทำอย่างที่เธอทำ วันหนึ่งเขาก็ถือจดหมายมาหาฉัน ร้องไห้ด้วย เขาบอกเขาดีใจจนต้องร้องไห้ จดหมายนั่นใช้เวลาเดินทางหนึ่งเดือนจึงถึงวัดป่ามะม่วง คือเดินทางจากนอรเวมาติดอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ เพื่อเขามาเห็นเลยนำมาให้ เขาเล่าว่าวันนั้นเมื่อเขาทำกรรมฐานแผ่เมตตาไปให้ ปู่ พ่อ แม่ แล้วก็เพื่อนสนิทอีกสองคน ในจดหมายแม่ก็เล่ามาอย่างละเอียด วันและเวลาตรงกับที่เขาแผ่เมตตาไปให้
แม่เขาเล่าว่าวันนั้นปู่เขา พ่อเขา และเพื่อนอีกสองคนกำลังคุยกันอยู่ในห้องรับแขก ส่วนแม่เขาไม่สบาย แต่ก็นอนฟังเขาคุยกันอยู่ในห้องนอน พอคนทั้งสี่คุยถึงเขา แม่ก็เลยลุกมาร่วมวงด้วย แล้วทุกคนก็ได้เห็นผ้าเหลืองลอยอยู่ทางทิศตะวันออกแล้วก็หายไป ปู่จึงพูดขึ้นว่า
"หลานของปู่ได้มาพบของดีในเมืองไทยแล้ว" แม่เขาก็เลยเข้าห้องหยิบปากกาและกระดาษมาเขียนจดหมายเล่าให้เขาฟัง เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เพื่อนเขาสองคนก็ประหลาดใจมาก"
"หนูก็ประหลาดใจม้ากมากฮ่ะ หลวงลุง มันเป็นไปได้ยังไง ผ้าเหลืองจากเมืองไทยลอยไปประเทศนอรเว"
"ไม่ใช่ผ้าเหลืองจริง ๆ หรอกเจ้าขุนทอง ที่คนทั้งห้าเห็นนั่นน่ะเขาเรียกว่า "นิมิต" ถ้าเอ็งอยากพิสูจน์ก็ต้องมาเข้ากรรมฐาน" ท่านพระครูถือโอกาสเกลี้ยกล่อมคนเป็นหลาน
"อุ๊ย! กรรมฐานกรรมโถน อีขุนทองไม่เอ๊าไม่เอา" นายขุนทองปฏิเสธเสียงลั่น...
แขกคนสุดท้ายกลับไปแล้ว และ ท่านพระครูก็ขึ้นไปเขียนหนังสือยังชั้นบนของกุฏิแล้ว นายขุนทองกำลังเก็บแก้วน้ำเพื่อเตรียมจะไปล้าง
หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในกุฏิ เขาจึงรีบบอกนางว่า
"ยาย หลวงพ่อเพิ่งขึ้นข้างบนเมื่อสักครู่นี้เอง พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน บ้านอยู่ไกลหรือเปล่าล่ะยายน่ะ"
"อยู่อ่างทองโน่น ยายขอขึ้นไปพบท่านเดี๋ยวเดียวเอง" นางบอกเป็นเชิงขออนุญาต
"ไม่ได้หรอกยาย เอายังงี้ดีกว่า เดี๋ยวหนูจะพาไปหาที่พัก พรุ่งนี้เช้ายายค่อยมาพบท่าน โชคดีนะที่พรุ่งนี้เป็นวันพระ ไม่งั้นยายก็ต้องรอถึงบ่ายสองโมงท่านจึงจะลงรับแขก" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดบอกกล่าวพลางมองนาฬิกาที่ฝาผนัง ขณะนั้นเป็นเวลาสองทุ่มตรง"
"แต่ยายต้องพบท่านวันนี้ ไม่เป็นไร ท่านไม่ลง ยายขึ้นไปหาท่านเองก็ได้" ยังไม่ทันที่นายขุนทองจะเอ่ยปากห้าม หญิงชราผู้นั้นก็เปิดประตูเดินขึ้นไปชั้นบน นายขุนทองเดินตามไปที่ประตู แต่ปรากฏว่าเปิดไม่ออก นางคงจะลงกลอนเอาไว้ รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านด้วยเกรงจะถูกหลวงลุงดุเอา หญิงชราลงมาเมื่อไหร่จะต้องต่อว่าเสียให้เข็ด โทษฐานที่ขัดคำสั่ง "เลขาส่วนตัว" ของท่านเจ้าของกุฏิ
"อ้าว โยมปั่นมาได้ยังไงนี่" ท่านพระครูทัก รู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นอัมพาตลุกไปไหนมาไหนไม่ได้
"ฉันมาลาหลวงพ่อจ้ะ พรุ่งนี้ตอนตีสี่ฉันจะไปแล้ว นอนทรมานมาหลายปีเหลือเกิน ทิดขำเขาจะได้หมดภาระเสียที" คำบอกเล่าของนางปั่นทำให้ท่านพระครูได้รู้ ว่าร่างที่นั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าท่านนี้มิใช่ "กายเนื้อ" หากเป็น เจตภูต
"จะไปหรือ แล้วโยมได้ "อะไร" ไปล่ะ" ท่านถาม "อะไร" ในที่นี้ท่านต้องการหมายถึง บุญหรือบาป เพราะสองสิ่งเท่านั้นที่มนุษย์จะเอาติดตัวไปยังภพภูมิหน้าได้ ส่วนสมบัติพัสถานที่เป็นวัตถุธรรมไม่มีใครเอาไปได้ แม้เหรียญบาทเพียงอันเดียวที่ลูกหลานเขาเอาใส่ปากให้ก็ยังต้องเป็นของสัปเหร่อไปในที่สุด
"ฉันได้บุญไปจ้ะหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อเมตตาฉันแท้ ๆ เชียว ไม่งั้นก็คงต้องพกบาปไป" นางพูดอย่างรู้บุญรู้คุณ
"ดีแล้วที่โยมเลือกไปวันพระ พรุ่งนี้เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ แล้วก็เป็นวันพฤหัสด้วย อาตมาไม่ใช่คนถือฤกษ์ถือยาม แต่ก็ยังชอบวันพฤหัส เพราะเป็นวันพ่อแม่ครูอาจารย์"
"จ้ะ ฉันก็กำหนดจิตว่าจะขอตายวันพระ จะได้ไปถือศีล ไปปฏิบัติกรรมฐานข้างบนโน้น" นางหมายถึงสุคติโลกสวรรค์
"ดีแล้วละโยม แล้วก็อย่าติดสุขเสียจนลืมการปฏิบัติล่ะ ชีวิตบ้างบนนั้นสบายกว่าในโลกมนุษย์ เขาก็เลยพากันประมาทมัวเมา ครั้นพอหมดบุญก็เลยต้องไปทุคติ"
"จ้ะหลวงพ่อ ฉันจะไม่เป็นอย่างพวกเขา หลวงพ่อสอนให้ฉันฝึกสติ ฉันก็จะใช้สตินี่แหละคอยเตือนใจฉัน"
"ถูกต้องที่สุด โบราณท่านสอนเอาไว้เป็นคำกลอนว่า "ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนลืมเตือนใจตนหล่นอบาย" การเตือนตนเองไว้เสมอก็คือการมีสตินี่เอง เมื่อไหร่ที่ขาดสติ โอกาสที่จะตกไปในอบายภูมิก็มีมากขึ้น
"จ้ะ แล้วหลวงพ่อต้องไปเผาศพฉันด้วยนะจ๊ะ"
"เผาเมื่อไหร่ล่ะ"
ฉันสั่งทิดเขาไว้แล้วว่าให้สวดพระอภิธรรมเจ็ดวัน วันที่แปดก็เผาเลย จะได้ไม่เป็นภาระลูกๆ เขา เห็นทิดเขาพูดว่าหมดห่วงแล้วเขาจะมาขอบวชอยู่กะหลวงพ่อ ยังไงฉันก็ฝากเขาด้วยแล้วกัน เขาเกิดมาเป็นคู่เวรคูกรรมของฉันแท้ ๆ"
ท่านพระครูหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเปิดหน้าที่ตรงกับวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ เขียนลงไปล่า "เวลาสองทุ่ม เจตภูตของนางปั่นมาจากอ่างทอง เพื่อบอกว่าพรุ่งนี้เวลาตีสี่จะทิ้งร่าง เจตภูตนั้นมีจริงอย่างไม่ต้องสงสัย" จดเสร็จจึงเงยหน้าถามนางปั่นว่า "ศพเผาที่วัดไหน เวลาเท่าไหร่"
"วัดโบสถ์ตอนสี่โมงเย็นจ้ะ แล้วทิดเขาคงมาเรียนให้หลวงพ่อทราบอีกครั้งหนึ่ง ฉันเห็นจะต้องลาละจ้ะ เดี๋ยวทิดเขาจะสงสัยว่า ทำไมหลับนานนัก นางกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้งแล้วจึงลุกออกไป
นายขุนทองถือถาดใส่แก้วน้ำที่ล้างแล้วเดินเข้ามา เห็นนางปั่นเดินออกประตูกุฏิไป จึงวางถาดลงแล้ววิ่งตามหมายจะไปต่อว่า เขาวิ่งตามไปจนถึงประตูวัด ทั้งที่เห็นหลังอยู่ไว ๆ แต่กลับตามนางไม่ทัน ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงแก่ ๆ ท่าทางขี้โรคคนนั้นจะเดินเร็วถึงปานนี้ เมื่อนางเดินลับตาและหายไปในความมืด เขาจึงเดินกลับกุฏิ ขึ้นไปเรียนท่านพระครูว่า
"หลวงลุงฮะ เมื่อกี้มียายแก่คนนึงมาขอพบหลวงลุง เปิดประตูขึ้นไปจนได้แถมใส่กลอนอีกด้วย หนูไม่รู้จะทำยังไง เลยคอยจ้องจะต่อว่าตอนแกลงมา เสร็จแล้วก็ตามแกไม่ทันเสียอีก หลวงลุงจะด่าหรือว่าหนูก็เชิญได้เลยเพราะหนูผิดไปแล้ว" นายขุนทองก้มหน้าสารภาพ
"ข้าไม่มีอะไรจะว่าเอ็งหรอกเจ้าขุนทอง และข้าก็ไม่ได้คิดว่าเอ็งทำผิดอะไร ผู้หญิงคนที่เอ็งเห็นน่ะคือโยมปั่นเมียนายขำ" ได้ยินดังนั้นนายขุนทองถึงกับสะดุ้ง
"หลวงลุงว่าอะไรนะฮะ นี่พ่อหนูไปแอบมีเมียแก่ ๆ ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" เขาเข้าใจว่าท่านพระครูหมายถึงนายขำผู้เป็นบิดาของเขา ท่านเจ้าของกุฏิจึงต้องขยายความให้ฟังว่า
"นี่เขานายขำอ่างทอง พ่อเองเขานายขำสิงห์บุรี มันคนละขำกัน ยังมีขำลพบุรี ขำอยุธยา ขำนครสวรรค์อีกนะ ที่ข้ารู้จักน่ะ อ้อ! มีขำสุพรรณอีกคนนึงด้วย"
"แล้วหลวงลุงว่าคนไหนหล่อที่สุดฮะ คนไหน"
"เอ็งก็ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องความหล่อ เอ็งดูคนแค่ที่หล่อไม่หล่อเท่านั้นเองหรือ"
"ก็มีอะไรจะให้ดูมากไปกว่านี้ล่ะหลวงลุง หนูเป็นคนสวยก็จ้องสนใจคนหล่อ อยากมีแฟนหล่อ ๆ มันถึงจะคู่ควรกัน หรือหลวงลุงว่าไม่จริง หลานชายย้อนถาม
"นี่เจ้าขุนทอง ถ้าเอ็งไม่มีอะไรดีกว่านี้จะมาพูดกับข้า ก็ขอเชิญลงไปได้ ข้าจะทำงานละ"
"แหม หลวงลุงละก็ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ต้องไล่กันด้วย หนูอุตส่าห์เป็นห่วงแทบแย่" หลานชายต่อว่ากราย ๆ
"เอ็งมาห่วงอะไรข้าล่ะหรือ เจ้าขุนทอง ห่วงอะไร"
"ห่วงซี ก็ยายปั่นแกเป็นผู้หญิงแล้วหลวงลุงเป็นผู้ชาย ขึ้นมาคุยกันในที่ลับยามวิกาลเช่นนี้ ใครเขารู้เข้า หลวงลุงจะต้องถูกครหานินทา แต่ก่อนหลวงลุงเคร่งครัดในเรื่องเช่นนี้มาก แต่ทำไมวันนี้ไม่เคร่งครัด หลวงลุงน่าจะให้แกลงมาคุยข้างล่างหรือไม่ก็เรียกหนูขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนถึงจะถูก ที่หนูพูดมานี่ หลวงลุงว่าผิดหรือเปล่า"
ท่านพระครูรู้สึกพอใจในความรอบคอบของคนเป็นหลาน จึงอธิบายให้เขาฟังว่า
"ข้าขอบใจที่เอ็งเป็นห่วง แต่เอ็งไม่ต้องวิตกหรอก เพราะโยมปั่นเขาไม่ได้เอาร่างจริงมาด้วย ที่เอ็งเห็นนั้นเขาเรียกว่า เจตภูต"
"หมายความว่ายังไงฮะ" หลานชายไม่เข้าใจ
"ก็หมายความว่าโยมปั่นเขาเอาวิญญาณมา ไม่ได้เอาร่างมา เขาเป็นอัมพาตไปไหนมาไหนไม่ได้มาหลายปีแล้ว วิญญาณที่ออกจากร่างขณะที่นอนหลับนั้นเขาเรียกว่า เจตภูต"
"แล้วแกมาหาหลวงลุงทำไมหรือฮะ"
"มาบอกว่าพรุ่งนี้ตอนตีสี่แกจะตาย ให้ข้าไปงานเผาศพแกด้วย"
"เป็นไปได้หรือฮะหลวงลุง หนูไม่อยากจะเชื่อว่าคนเราจะสามารถรู้วันตายของตัวเองได้ ถ้าเป็นผู้วิเศษก็ว่าไปอย่าง"
"ไม่ต้องถึงกับเป็นผู้วิเศษหรอกเจ้าขุนทอง อย่างข้าก็ไม่ได้เป็นผู้วิเศษมาจากไหน ข้าก็ยังรู้วันตายของข้า"
"หลวงลุงพูดเล่นหรือเปล่า หลอกหนูเล่นใช่ไหม"
"ไม่ได้พูดเล่นแล้วก็ไม่ได้หลอก ข้าพูดจริง ๆ ถึงเอ็งก็เถอะ ถ้าอยากรู้วันตาย เอ็งก็รู้ได้หากเอ็งปฏิบัติกรรมฐาน"
"โอ๊ย หลวงลุงอย่าเพิ่งพูดถึงความตาย หนูยังไม่อยากรู้เพราะยังไม่อยากตาย แหมคนกำลังอยู่ในวัยขบเผาะจะให้ตายซะแล้ว" นายขุนทองตีโพยตีพาย
"นี่แหละ คนไม่เอากรรมฐานก็แบบนี้แหละ เหมือนกันหมดทุกราย"
"แบบนี้น่ะแบบไหนฮะ" ชายหนุ่มย้อนถาม
"ก็แบบเอ็งไง ของแท้ไม่เอาจะเอาแต่ของปลอม" ท่านพระครูว่าหลานชาย
"แล้วของแท้ของหลวงลุงน่ะคืออะไรล่ะฮะ"
"ก็กรรมฐานน่ะซี ถ้าเอ็งมาปฏิบัติกรรมฐาน เอ็งก็จะสามารถรู้วันตายได้ โยมปั่นแกก็ปฏิบัติ ข้าก็ปฏิบัติ รู้มันดีกว่าไม่รู้นะเจ้าขุนทอง"
"โอ๊ย เซ็ง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ได้ยินแต่กรรมฐาน ๆ จนรำคาญจะแย่แล้ว หลวงลุงไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้แล้วหรือฮะ"
"ไม่มีอีกแล้ว กรรมฐานนี่แหละดีที่สุด"
"ดียังไงฮะ หลวงลุงช่วยบอกหน่อยเถอะ เผื่อบางทีหนูอาจจะเปลี่ยนใจมาชอบมันก็ได้" ท่านพระครูคิดว่าคราวนี้คงจะโน้มน้าวจิตใจนายขุนทองให้มาสนใจการปฏิบัติได้ จึงอธิบายให้เขาฟังว่า
"ประโยชน์ของการปฏิบัติกรรมฐานนั้นมีมากมาย เท่าที่ข้ารู้จากประสบการณ์ของข้าเอง และจากการสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติคนอื่น ๆ พอสรุปได้สามประการใหญ่ ๆ คือ หนึ่งระลึกชาติได้ สองเห็นกฎแห่งกรรม และสามเกิดปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิตได้ ซึ่งประการสุดท้ายนี้สำคัญที่สุด เพราะถ้าเราสามารถแก้ปัญหาของตัวเราเองได้ ก็ไม่ต้องไปวิ่งหาพระให้รดน้ำมนต์หรือวิ่งไปหาหมอดู เราต้องเป็นหมอดูให้ตัวเองมันถึงจะถูก นี่แหละประโยชน์ของกรรมฐานอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่มานั่งหลับหูหลับตาเพื่อจะไปสวรรค์นิพพานอย่างที่ชาวบ้านเขาพูดกัน เมื่อใดที่ยังไม่เกิดปัญญา ยังแก้ปัญหาชีวิตให้ตัวเองไม่ได้ แล้วจะไปสวรรค์นิพพานได้ยังไง ที่ข้าพูดมานี่เอ็งเห็นด้วยไหมเล่า"
"หนูยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็เลยยังตอบไม่ได้ หลวงลุงช่วยอธิบายหน่อยซีฮะว่าทำไม่ถึงต้องให้ระลึกชาติได้ แล้วระลึกได้กี่ชาติ"
"จะกี่ชาติก็ไม่สำคัญหรอก แต่อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้ระลึกชาติปัจจุบันได้ อย่างเช่นลูกที่เกเรไม่เชื่อฟังพ่อแม่ หรือชนิดที่เถียงพ่อเถียงแม่ คำไม่ตกฟาก พอมาเข้ากรรมฐานได้สองสามวันก็ระลึกชาติได้เลย คือเมื่อจิตสงบก็นึกย้อนไปในอดีตที่เคยทำไม่ดีไว้กับพ่อแม่ บางคนถึงกับร้องไห้โฮออกมาบอกว่ากลับบ้านไปนี่จะต้องไปกราบเท้า ขอขมาโทษพ่อแม่หรือคนที่เคยด่าเมีย เคยทุบตีเมีย พอมาเข้ากรรมฐานเมื่อจิตสงบก็จะรู้บุญคุณเมีย คิดว่ากลับไปบ้านจะต้องไปกราบเมีย อย่างนี้เป็นต้น
"จริงหรือฮะหลวงลุง แล้วหลวงลุงรู้ได้ยังไงฮะ"
"ก็เขาบอกข้าน่ะซี บางคนถึงกับร้องไห้พูดว่า "หลวงพ่อครับ ผมมันชั่วช้าสารเลวเสียเหลือเกิน" ข้าก็ถามว่า "ชั่วยังไงล่ะโยม" เขาก็ตอบว่า "ชั่วที่ชอบด่าเมีย ชอบเตะเมียแทนลูกฟุตบอลน่ะครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำอีกแล้ว กลับไปนี่ผมจะไปกราบเมีย" บังเอิญวันที่เขาจะกลับ เมียเขามารับเอ็งเชื่อไหมพอเขาเห็นหน้าเมียเขาคลานเข้าไปกราบเลย กราบต่อหน้าข้าด้วย เมียเขาก็งงว่า "เอ หลวงพ่อสอนผัวฉันยังไงนะ กลายเป็นคนละคนเลย เมื่อก่อนเห็นฉันเป็นลูกฟุตบอล แต่เดี๋ยวนี้กลับเห็นฉันเป็นพระไปซะแล้ว" นี่เมียเขามาแอบเล่าให้ข้าฟังอย่างนี้ เอ็งเห็นหรือยังล่ะว่า คนมาเข้ากรรมฐานน่ะระลึกชาติได้แบบนี้แหละ"
"แหม หนูนึกว่าระลึกชาติ
นายสมชายขี่จักรยานกลับมาถึงวัดเวลาประมาณสามทุ่ม เห็นรถเบ๊นซ์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านหลังของกุฏิ คิดว่าคงจะต้องมีแขกมาหาท่านพระครู อาจเป็นคนสามคนที่กลังเดินเห็นหลังอยู่ไว ๆ ข้างหน้านั่น เขาจะต้องไปให้ถึงกุฏิก่อน เพื่อจะบอกคนทั้งสามว่าหมดเวลารับแขกแล้ว
วันธรรมดาท่านพระครูจะลงรับแขกเวลาเดียว คือตั้งแต่ ๑๔.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. ยกเว้นวันพระ จึงจะลงสองครั้ง ตามที่นายขุนทองจัดตารางให้ ป่านี้เจ้าหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดคนนั้นคงจะหลับไปนานแล้ว เพราะเป็นคนนอนแต่หัวค่ำ
ศิษย์ก้นกุฏินำจักรยานเข้าไปเก็บในโรงรถ เมื่อกลับออกมาก็เห็นชายวัยกลางคนกับสตรีวัยหกสิบเศษช่วยกันประคองบุรุษสูงอายุเข้ามานั่ง บุรุษนั้นสวมแว่นตาดำ อายุคงอยู่ในราวเจ็ดสิบเศษ ข้ามานั่งแล้วก็ยังไม่ยอมถอดแว่นตาดำออก เขาจึงเข้าไปถามว่า
"ลุงมาพบหลวงพ่อหรือครับ"
"อุ๊ยตาย" สตรีวัยหกสิบเศษอุทานเสียงสูง แล้วบอกบุรุษที่ใส่แว่นตาดำว่า
"ท่านคะ เขาเรียกท่านว่าลุงแน่ะค่ะ ได้ยินหรือเปล่าคะ" คนถูกเรียกว่าลุงรู้สึกว่า "อัตตา" วิ่งขึ้นสูงจนหากใช้ปรอทวัดก็คงไม่ต่ำกว่าจุดเดือด จึงพูดโกรธ ๆ ว่า
"เขาคงไม่รู้ละมั้งว่าพี่เป็นใคร คุณหญิงช่วยบอกเขาเอาบุญหน่อยซิ" เขาเรียกสตรีผู้นั้นว่า "คุณหญิง"
"ให้ตาเอ้บอกดีกว่าค่ะ ตาเอ้บอกพ่อคนนี้ซีว่าอากับคุณพ่อเธอเป็นใครมาจากไหน" หล่อนหันไปพูดกับชายวัยกลางคนด้วยท่าทางหยิ่ง ๆ "นายเอ้" จึงบอกลูกศิษย์วัดว่า
"น้องชาย นี่คือท่านรัฐมนตรีปลด เป็นคุณพ่อของผม แล้วสตรีผู้นี้คือคุณหญิงอรสา น้องสาวคุณพ่อและเป็นภรรยาของท่านรัฐมนตรีอัครเดช หวังว่าน้องชายคงเคยได้ยินชื่อนะ ท่านเคยเป็นรัฐมนตรีสมัยที่แล้ว" นายสมชายแอบโต้ในใจว่า "อย่าว่าแต่รัฐมนตรีสมัยที่แล้วเลย ถึงเป็นรัฐมนตรีสมัยนี้ผมก็ไม่รู้จักใครสักคน" แต่ปากเขาพูดว่า
"หรือครับ แล้วคุณพี่ผู้ชายเป็นรัฐมนตรีด้วยหรือเปล่าครับ ผมจะได้ใช้คำพูดให้ถูกกาลเทศะและบุคคล" เข้าตั้งใจประชด หากหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเศษ กลับตอบว่า
"ตอนนี้ยังไม่ได้เป็น คิดว่าจะขึ้นสมัยหน้า คุณพ่อผมกรุยทางไว้ให้แล้ว" คนตอบค่อนข้างมั่นใจ
"ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป็น ว่าที่รัฐมนตรีใช่ไหมครับ"
"ก็คงยังงั้น"
"ทีนี้กระผมขอเรียนถามท่านรัฐมนตรีและคุณหญิงว่า ท่านจะมาพบหลวงพ่อใช่ไหมขอรับ" นายสมชายจำต้องเล่นบทใหม่เพื่อให้ถูกใจคนดู ถูกใจในที่นี้ก็คือถูกกับกิเลสของพวกเขา ท่านพระครูเคยสอนไว้ว่า การที่จะผูกมิตรกับคนนั้นจะต้องเอา "ถูกใจ" นำหน้าเสียก่อน แล้วจึงค่อยตามด้วย "ถูกต้อง"
"แหม พ่อหนุ่มนี่น่ารักจริง ๆ พูดจามีสัมมาคารวะ" คุณหญิงออกปากชมทั้งที่ว่าไปหยก ๆ
"น้องชาย ท่านพระครูอยู่หรือเปล่า" ว่าที่รัฐมนตรีถาม
"อยู่ขอรับ"
"งันก็ขึ้นไปเรียนท่านด้วยว่าท่านรัฐมนตรีมาขอพบ" นายเอ้ออกคำสั่ง พอดีกับนายขุนทองลงมาจากข้างบน ครั้นเห็นนายสมชายก็ต่อว่าทันที
"กลับแล้วเหรอ นึกว่าจะนอนบ้านสาวซะอีก คนอะไรหายไปตั้งแต่เที่ยง" คนถูกต่อว่าไม่ได้โต้เถียง หากถามเสียงเรียบว่า
"ยังไม่นอนอีกหรือ นึกว่าหลับไปซะแล้ว หลวงพ่อกำลังทำอะไรอยู่น่ะ" นายขุนทองไม่ตอบ หากหันไปพูดกับอาคันตุกะทั้งสามว่า
"มาหาหลวงพ่อหรือฮะ ท่านเพิ่งขึ้นไปเมื่อตอนสองทุ่มเอง วันนี้รับแขกเกินเวลาไปตั้งเกือบสองชั่วโมง พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่แล้วกันนะฮะ"
อารมณ์ที่กำลังจะดีขึ้นของคุณหญิงมีอันต้องบูดอีกครั้ง เมื่อฟังถ้อยคำของเจ้าหนุ่มหน้าหวาน หล่อนแหวใส่ว่า
"นี่เธอ จะพูดจะจาก็ดูคนมั่ง รู้ไหมว่าฉันเป็นใครมาจากไหน"
"ไม่รู้ฮะ แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน หนูก็ไม่สามารถจะให้คุณพบหลวงลุงได้ กฎก็ต้องเป็นกฎฮะ" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดเถียงพร้อมกับแสดงตัวว่าเป็นหลาน ด้วยการเรียกท่านพระครูว่า "หลวงลุง"
"โอหัง แกนี่โอหังมากนะ นอกจากโอหังแล้วยังพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ ดัดจริตดีดดิ้นไม่มีใครเกิน" ดีที่นายขุนทองไม่ใช่คนมักโกรธ หากเป็นกระเทยคนอื่น ก็คงปรี่เข้าไปตบคุณหญิงเข้าให้แล้ว เพราะผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิงนั้นมักเป็นคนเจ้าโทสะ และยับยั้งสติอารมณ์ไม่ได้ คุณหญิงหันไปบอกนายสมชายว่า
"นี่เธอบอกเจ้ากระเทยนี่ทีซิ ว่าฉันเป็นใครมาจากไหน" นายสมชายจึงต้องบอกนายขุนทองว่า
"ขุนทอง นี่ท่านรัฐมนตรีกับคุณหญิงมาขอพบหลวงพ่อนะ แต่กระผมไม่ทราบว่าท่านมาจากไหนขอรับ" ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับคุณหญิง
"แหม เธอนี่ไม่มีคอมมอนเซ้นส์เสียเลย เป็นรัฐมนตรีก็ต้องมาจากกรุงเทพฯ ซียะ" คุณหญิงพาลเอากับนายสมชายเพราะโกรธนายขุนทอง
"จะเป็นใครมาจากไหนหนูไม่สนทั้งนั้น กฎก็ต้องเป็นกฎ หนูจะไม่ยอมให้ใครเอาอำนาจราชศักดิ์มาทำให้เสียความยุติธรรมหรอก" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดยืนกราน
"แต่กฎมันก็มีข้อยกเว้นนะขุนทอง ทำไมเธอไม่ดูเยี่ยงอย่างหลวงพ่อล่ะ เห็นไหมว่า บางเรื่องท่านก็โอนอ่อนผ่อนปรนให้ ไม่ได้เอาหัวชนฝาไปเสียทุกเรื่องเหมือนที่เธอทำอยู่หรอก" ลูกศิษย์วัดเตือนด้วยความหวังดีกลับถูก "แว้ด" ใส่ว่
"ตามใจ ถ้าพี่เห็นว่าหนูไม่ดี หนูก็จะไปนอนละ แล้วถ้าหลวงลุงดุก็อย่าหาว่าหนูไม่เตือนก็แล้วกัน" ว่าแล้วก็เดินฉับ ๆ เข้าห้องไป คุณหญิงพูดตามหลังว่า
"ดูเอาเถอะ ท่าทางกระฟัดกระเฟียดน่าเกลียดจริ๊ง ทำไม่ท่านพระครูถึงให้คนพรรค์นี้มาอยู่ในวัดนะ" นายสมชายไม่ออกความเห็น เขาพูดกับคนทั้งสามว่า
"กระผมต้องขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะขอรับ แกเป็นคนอย่างนี้เอง แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ข้อนี้กระผมขอรับประกัน"
"ไม่มีอะไรหรอกน้องชาย คุณหญิงอาของผมท่านก็พูดไปอย่างนั้นเอง จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนใจดีมีเมตตา" ว่าที่รัฐมนตรีแก้แทนผู้เป็นอา เมื่อหลานชายพูดเช่นนี้ คุณหญิงอรอุษาจึงจำต้องปิดปากเงียบ เพราะหากพูดไปอาจจะทำให้ "เสียฟอร์ม" ของคุณหญิงก็เป็นได้
"กระผมจะขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อก่อนนะขอรับ" พูดจบก็หายขึ้นไปข้างบน
"หลวงพ่อครับ รัฐมนตรีกับคุณหญิงมาขอพบหลวงพ่อครับ" เขารายงานหลังจากทำความเคารพด้วยการกราบ ๓ ครั้ง ท่านพระครู รู้ตั้งแต่รถเบ๊นซ์สีดำวิ่งเข้าประตูวัดมาโน่นแล้ว ท่านพูดกับลูกศิษย์ก้นกุฏิว่า
"เขากำลังร้อนนะสมชาย ร้อนมากทีเดียว"
"ผมเปิดพัดลมให้แล้วครับ คงไม่ร้อนเท่าไหร่" นายสมชายว่า
"ฉันไม่ได้หมายถึงความร้อนภายนอกนะ แต่หมายถึงร้อนภายใน คนทั้งสามนั่นถูกไฟกิเลสแผดเผาจนร้อนรุ่มกลุ้มทรวง หวังจะมาให้ฉันช่วยดับ"
"แล้วหลวงพ่อจะช่วยเขาไหมครับ"
"ช่วยไม่ได้หรอกสมชายเอ๋ย ฉันน่ะอยากจะช่วยทุกคนที่มาหา เพราะคนที่มาหาฉันล้วนแต่แบกทุกข์กันมาทั้งนั้น อย่างที่พระบัวเฮียวท่านแอบตั้งสมญาว่า "พวกเอาปัญหามาให้พระ" นั่นแหละ
"แต่ถ้าเขาไม่มีทุกข์เขาก็ไม่มาหาหลวงพ่อหรอกครับ" นายสมชายแย้งอย่างสุภาพ และข้อโต้แย้งของเขาก็จริงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์!
"งั้นสิ คนสมัยนี้เขาจะนึกถึงพระก็ตอนมีทุกข์นั่นแหละ ตอนมีอำนาจวาสนาก็หลงมัวเมา ก่อกรรมทำชั่วโดยไม่กลัวบาปกลัวกรรม พอกรรมชั่วมาให้ผลทีนี้ก็จะนึกถึงพระ นึกถึงศาสนา เธอรู้ไหม คนที่อายุมากที่สุดน่ะตาบอด เพราะสั่งสมอกุศลกรรมไว้มาก มีเงินเป็นร้อย ๆ ล้านยังรักษาไม่หาย โรคกรรมนั้นไม่มีหมอที่ไหนรักษาได้ ข้อนี้ขอให้เธอจำใส่ใจเอาไว้ จะได้ไม่ทำชั่ว"
"แล้วหลวงพ่อรักษาได้ไหมครับ"
"ฉันไม่ใช่หมอ ก็ขนาดหมอเขายังรักษาไม่ได้ แล้วฉันเป็นผู้วิเศษมาจากไหนล่ะ เธอนี่พูดแปลก ๆ เอาละ เธอไปบอกให้เขารอสักประเดี๋ยว เดี๋ยวฉันจะลงไป" ท่านออกคำสั่ง
"ให้เขาขึ้นมาข้างบนไม่ดีกว่าหรือครับ เผื่อมีใครมาอีกเดี๋ยวหลวงพ่อก็ไม่ได้พักผ่านกันพอดี" พูดอย่างเป็นห่วง
"ไม่สำคัญหรอก เรื่องพักผ่อนนั้นไม่สำคัญสำหรับฉันเลย เพียงแต่ห่วงว่าจะเขียนหนังสือไม่เสร็จตามกำหนดเท่านั้นเอง"
"กำหนดอะไรครับ" ลูกศิษย์ไม่เข้าใจ
"กำหนดกฎเกณฑ์ของชีวิตน่ะสิ ฉันคิดเอาไว้ว่าจะต้องเขียนและพิมพ์ให้เสร็จก่อนวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑" ท่านตั้งใจจะให้หนังสือเล่มนี้เป็นตัวแทนของท่าน ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องปฏิบัติสามารถศึกษาได้จากหนังสือที่ท่านเขียนไว้ ก็ว่าจะบอกให้นายสมชายรู้เมื่อเวลานั้นใกล้เข้ามา นอกจากพระบัวเฮียวแล้วยังไม่มีผู้ใดรู้เรื่องท่านจะประสบอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักในวันที่ ๑๔ ตุลา
"ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับ" ลูกศิษย์วัดไม่เข้าใจ
"อย่าเพิ่งซักถาม เอาไว้ถึงเวลาแล้วฉันจะบอกเอง ลงไปได้ แล้วก็ปิดประตูกุฏิเสียให้หมด จะได้ไม่มีใครมารบ กวน" นายสมชายกราบสามครั้งแล้วจึงลงมาบอกคนทั้งสามว่า
"เดี๋ยวท่านจะลงมาครับ"
"ลงเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือ แหม เรื่องมากจริง เป็นพระเป็นเจ้าไม่น่าเจ้ายศเจ้าอย่าง" คุณหญิงพูดฉอด ๆ เพราะยังอารมณ์ค้างกับเรื่องนายขุนทอง
"คุณหญิงใจเย็น ๆ น่า ว่าพระว่าเจ้า บาปกรรมรู้ไหม" อดีตรัฐมนตรีเตือนน้องสาว ฟังหล่อน "พล่าม" มานานเลยต้องเบรค ๆ ไว้เสียบ้าง
"ก็มันจริง ๆ นี่คะท่าน" คนเป็นคุณหญิงเถียงพี่ชาย แล้วบ่นกระปอดกระแปดว่า
"นี่ตั้งสามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว กว่าจะถึงบ้านมิสองยามสามยามหรอกหรือ"
"ถึงเมื่อไหร่ก็ช่างเถอะ ขอให้มันถึงก็แล้วกัน คุณหญิงพูดราวกับว่าไม่เคยกลับบ้านดึก ๆ ยังงั้นแหละ จำไม่ได้แล้วหรือ สมัยที่คุณอัครเดชยังอยู่น่ะ คุณหญิงนั่งจั่วไพ่ตั้งแต่หัวค่ำยันรุ่งสางไม่เห็นบ่นสักคำ แถมบางวันยังไปเต้นรำกับไอ้หนุ่ม กลับบ้านตีสามตีสี่โน่น ทีมาวัดดึกหน่อยทำบ่น" อดีตรัฐมนตรีว่าน้องสาว
สมัยที่สามียังมีชีวิต คุณหญิงหลงระเริงกับ "อำนาจวาสนา" และทำตัว "ซ่า" จนคนเป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็ยังหมั่นไส้ ถูกว่าเช่นนี้คุณหญิงก็มีอารมณ์ จึง "แหว" ใส่พี่ชายว่า
"แล้วท่านดีกว่าดิฉันนักหรือคะ ท่านหักหลังได้แม้กระทั่งเพื่อนสนิท ท่านมีเมียน้อยอายุคราวลูกคราวหลาน ไปที่ไหนก็มีเมียที่นั้น จนคุณหญิงตรอมใจตาย เพียงแค่นี้ท่านก็ไม่ได้ดีไปกว่าดิฉันแล้วละค่ะ" คุณหญิงพูดโกรธ ๆ แต่คนที่โกรธมากว่าคือ รัฐมนตรีเขาด่าน้องสาวอย่างไม่ไว้หน้าว่า
"ยายอร...แกมันชั่วช้าสารเลวไม่มีที่เปรียบ ถึงฉันจะเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของแก ฉันก็ไม่เข้าข้างแก นึกว่าฉันไม่รู้ความเลยระยำของแกรึไง จะให้บอกไหม ไอ้หนุ่มที่มันนอนกับแกน่ะ ชื่ออะไรบ้าง แกจำชื่อจำหน้ามันได้หมดทุกคนหรือเปล่า แล้วที่เจ้าอัครเดชเป็นอัมพฤกษ์ก่อนตายน่ะ เพราะมันเครียดที่เมียมันมีชู้ใช่ไหม ผู้ชายที่เมียมีชู้น่ะ เป็นโรคเครียดทุกคนแหละ ถึงบางคนจะไปมีเมียใหม่ แต่ความเครียดก็ยังไม่หาย อารมณ์วิปริตผิดมนุษย์มนาเข้ากับใครไม่ค่อยจะได้" อดีตรัฐมนตรี "ร่ายยาว" เพราะอัดอั้นตันใจมานาน ร้อนถึงนายเอ้ หรือ ดร.เอกสิทธิ์ต้องห้ามทัพ
"คุณพ่อครับ คุณหญิงอาครับ ผมขอร้องเถอะ นี่ในวัดนะครับ ไง ๆ ก็อายลูกศิษย์วัดบ้าง" เขาหันไปทางนายสมชายซึ่งกำลังชงกาแฟร้อน ๆ มาเลี้ยงแขก ส่วนนายขุนทองหลับปุ๋ยไปแล้ว
"องอายมันทำไม กะอีแค่เด็กวัด" คุณหญิงพูดพาล ๆ นายสมชายฟังแล้วก็ให้นึกปลงสังเวช พวกผู้ลากมากดีเขาช่างไม่มีการสงบสติอารมณ์กันเสียบ้างเลย นึกจะพูดจะว่าใครที่ไหนเมื่อไหร่ก็ว่ากันตามอำเภอใจ ไม่มีบันยะบันยัง น่าอนาถนัก
รู้สึกโล่งใจเมื่อท่านพระครูเปิดประตูออกมา คู่กรณีหยุดวิวาทกันโดยปริยาย เมื่อท่านนั่งที่อาสนะแล้ว ดร.เอกสิทธิ์จึงกระซิบให้บิดาทำความเคารพ คนทั้งสามกราบท่านพระครู แล้วคุณหญิงอรอุษาก็ร้องไห้กระซิก ๆ
"เจริญพรท่านรัฐมนตรีและคุณหญิงที่นับถือยิ่ง อาตมภาพในนามของคณะสงฆ์วัดป่ามะม่วงขอต้อนรับท่านรัฐมนตรีและคณะด้วยความเต็มใจ" ท่านใช้คำพูดที่ทำให้คนฟังรูสึกว่า "ถูกใจ" รู้ว่าเขาชอบให้ยกย่องก็ต้องยกย่องเขา ท่านเป็นคนไม่ขวางโลก ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมไหลไปกับโลก เพราะชาวโลกนั้นมักไหลไปตามแรงของกิเลสตัณหา ส่วนท่านเป็นสมณะจะเป็นอย่างชาวโลกนั้นหาควรไม่
"คุณหญิงร้องไห้มีอะไรไม่สบายใจหรือ อาตมาพอจะช่วยได้บ้างไหม" น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตานั้นทำให้คุณหญิงร้องไห้หนักขึ้น เธอพูดด้วยเสียงปนสะอื้นว่า
"ดิฉันมีทุกข์หนักค่ะท่านพระครู พอหมดอำนาจวาสนาก็ถูกคนเขาเหยียบย่ำ พี่น้องคลานตามกันมาแท้ ๆ ก็ยังดูถูกดูแคลน ลูกเต้าก็เอาเป็นที่พึ่งไม่ได้ มีแต่หาเรื่องทุกข์เรื่องเดือดร้อนมาให้" คุณหญิงพรรณนาทั้งน้ำหูน้ำตา อดีตรัฐมนตรีรู้สึกคันปากยิบ ๆ เมื่อถูกน้องสาวพูดแขวะ ครั้นจะโต้ตอบออกไปก็จะกลายเป็นว่ามาทะเลาะกันต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า จึงสู้นิ่งเอาไว้"
"แล้วคุณหญิงเคยสงสัยหรือเปล่า ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น"
"สงสัยค่ะ สงสัยมาก ๆ แล้วก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชะตาชีวิตของดิฉัน จึงได้มากลับตาลปัตรเช่นนี้ ดิฉันทำกรรมอะไรไว้คะท่าน"
"เรื่องนี้คุณหญิงต้องถามตัวเอง เพราะคนที่รู้ดีที่สุดก็คือคุณหญิง ที่อาตมาพูดมานี่ถูกหรือเปล่า" คุณหญิงอรอุษาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาจนแห้งแล้วตอบว่า
"ถูกค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นคุณหญิงก็ลองทบทวนดูแล้วกันว่า ทำกรรมอะไรไว้บ้าง" คุณหญิงคิดว่าการสารภาพบาปจะทำให้หมดบาป จึงสารภาพเป็นบางเรื่องและปกปิดบางเรื่องเอาไว้ ท่านพระครูนั่งฟังด้วยอาการสงบ
"แต่ก่อนดิฉันไม่เชื่อว่าบาปกรรมนั้นมีจริง จึงหลงระเริงกับยศและอำนาจ จนเป็นเหตุให้ก่อกรรมทำชั่วไว้มากมาย นี่ถ้าไม่ประสบกับความทุกข์ ดิฉันก็คงยังไม่เชื่อ เขาพูดกันว่า กรรมสมัยนี้มันติดจรวด จึงให้ผลเร็วโดยไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า ท่านพระครูเชื่อหรือเปล่าคะ ว่าแต่ก่อนนี้ดิฉันร่ำรวยมาก ขนาดโต๊ะกินข้าวก็ยังฝังมุก ตอนนั้นคุณอัครเดชมีดิฉันเขาเป็นรัฐมนตรี วัน ๆ มีแต่คนเอาเงินมาให้ เราสองคนก็รับไม่อั้น ถ้าหน้าบ้านคุณอัครเดชรับ แต่หลังบ้านดิฉันเป็นคนรับ รู้สึกว่าเงินทองไหลมาเทมาจนนับไม่หวาดไม่ไหว ดิฉันก็ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อเพราะเงินได้มาง่าย เสื้อผ้าแต่ละชิ้นที่ดิฉันสวมใส่ก็ล้วนราคาแพง ชุดหนึ่ง ๆ ราคามากกว่าเงินเดือนข้าราชการชั้นเอกเสียอีก ลูก ๆ ก็ขับรถเก๋งคนละคัน แล้วก็ฟุ้งเฟ้อตามพ่อแม่
แต่พอคุณอัครเดชเป็นอัมพฤกษ์ทำงานไม่ได้ เราก็ขาดรายได้เพราะไม่มีใครเอาเงินทองมาให้เหมือนแต่ก่อน ดิฉันและลูก ๆ ก็อยู่ในสภาพ "จมไม่ลง" ทรัพย์สินเงินทองที่ได้มาในทางมิชอบก็ร่อยหรอลงไปทุกวัน พอคุณอัครเดชเสียชีวิต ดิฉันก็ต้องช้ำใจหนักขึ้น เพราะลูก ๆ ทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงสมบัติกันต่อหน้าต่อตาดิฉัน ตู้ฝังมุก โต๊ะฝังมุก เขาก็แย่งกัน ขนไปขายทอดตลาด ไม่เกรงใจดิฉันซึ่งเป็นแม่" คนเล่าไม่ได้บอกความจริงแก่ท่านพระครูว่าที่ลูก ๆ เขาไม่เกรงใจเพราะเขากลัวคนเป็นแม่จะเอาเงินทองไปบำเรอพวกหนุ่ม ๆ ที่เป็นคู่นอน
"แล้วคุณหญิงไปทำอะไรให้ลูก ๆ เขาไม่เกรงใจหรือเปล่า" คำถามของเจ้าของกุฏิแทงใจดำของคนเป็นคุณหญิง เธอกำลังคิดว่าจะตอบหรือไม่ตอบดี ท่านพระครูรู้ว่าจะทำให้เธออึดอัดใจจึงพูดตัดบทว่า
"เอาละไม่ต้องตอบอาตมาก็ได้ แล้วท่านรัฐมนตรีมีอะไรจะปรึกษากับอาตมาหรือเปล่า" ประโยคหลังท่านถามอดีตรัฐมนตรี
"เรื่องของผมก็คล้าย ๆ กับของน้องสาวแหละครับท่านพระครู แต่มีข้อดีข้อเสียต่างกันนิดหน่อย คือน้องสาวผมเขาแย่ตรงฐานะทางการเงินทรุดลงและลูก ๆ ก็แย่งสมบัติกัน แต่สำหรับผม เงินทางยังมีมากมายแต่ตาผมมองไม่เห็นเสียแล้ว อุตส่าห์บินไปรักษาถึงเมืองนอกก็ยังไม่หาย ผมจะมาเรียนถามท่านพระครูว่า ท่านพอจะมีทางช่วยผมบ้างไหม ช่วยทำให้ตาผมมองเห็นเหมือนแต่ก่อนน่ะครับ แล้วผมจะทำบุญไม่อั้นทีเดียว" ท่านพระครูตอบทันทีว่า
"ช่วยไม่ได้หรอกท่าน อาตมาช่วยอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของกรรม ท่านสะสมอกุศลกรรมไว้มาก ถึงคราวที่มันมาให้ผลท่านก็ต้องรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" ได้ฟังเช่นนั้นอดีตรัฐมนตรีวัยเจ็ดสิบเศษถึงกับนั่งกอดเข่าร้องไห้ คุณหญิงอรอุษาหยุดร้องไปแล้วก็มีอันต้องร้องอีก ดร.เอกสิทธิ์เองก็ตาแดง ๆ เพราะสมเพชบุคคลทั้งสอง หากความรู้สึกที่ว่านี้ก็เป็นไปชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เพราะเมื่อนึกถึง "ธุระ" ของตนที่จะมาเรียนปรึกษาท่านพระครูแล้ว เรื่องของคนอื่นก็มีอันหมดความหมาย เขาถามท่านเจ้าของกุฏิว่า
"หลวงพ่อครับ ผมเรียนจบปริญญาเอกจากอเมริกา อยากจะใช้ความรู้มาพัฒนาประเทศ ผมจะมีโอกาสขึ้นเป็นรัฐมนตรีหรือเปล่าครับ คุณพ่อกรุยทางไว้ให้แล้ว" เขา "ปรึกษา" และเรียกท่านพระครูว่า "หลวงพ่อ" เหมือนที่นายสมชายเรียก ท่านเจ้าของกุฏิเห็นกฎแห่งกรรมคนเป็นด็อกเตอร์แล้ว จึงพูดขึ้นว่า
"ท่านอยากเป็นอย่างที่คุณพ่อเป็นใช่ไหม"
"ครับ" เขาเข้าใจว่า "เป็นรัฐมนตรี"
"แปลว่าท่านอยากประสบเคราะห์กรรมแบบเดียวกับที่ท่านรัฐมนตรีประสบอยู่ เป็นอย่างนั้นหรือ"
"ไม่ครับ ผมไม่ต้องการเช่นนั้น" เขารีบปฏิเสธ
"ถ้าเช่นนั้นก็เลิกล้มความคิดที่จะเป็นรัฐมนตรีเสีย อาตมาขอบิณฑบาตเถิดนะ ท่านอย่าได้ไปยุ่งกับการเมืองเลย เชื่ออาตมาสักครั้งเถอะ"
"การเมืองมันไม่ดีอย่างไรหรือครับ หลวงพ่อจึงไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยว" ถามเพื่อจะ "ลองภูมิ"ท่าน
"เรื่องนี้ท่านคงทราบดีกว่าอาตมา ท่านเป็นถึงด็อกเตอร์ ลองไปคิดหาคำตอบเอาเองก็แล้วกัน" ท่านพูดเพียงเท่านี้
"ท่านพระครูช่วยรดน้ำมนต์ตัดเวรตัดกรรมให้ดิฉันด้วยเถิดค่ะ" คุณหญิงอรอุษาพูดขึ้น
"น้ำมนต์ช่วยตัดเวรตัดกรรมไม่ได้หรอกคุณหญิง แต่ถ้าจะให้รดให้เพื่อเป็นสิริมงคล อาตมาก็จะรดให้" ท่านจำเป็นต้องใช้น้ำมนต์เพื่อให้เขาสบายใจขึ้น เพราะหากจะแนะนำให้เขาสวดมนต์หรือเจริญกรรมฐานเขา "รับไม่ได้" กรรมเขาหนักเกินกว่าที่ท่านจะช่วยได้ ไหน ๆ เขาก็มาขอพึ่งบารมี ก็ต้องช่วยเขาไปตามหน้าที่ในเมื่อเขาไม่สามารถรับ "ของจริง" ได้ ท่านก็ต้องให้ "ของปลอม" แต่ถ้าใครมีอุปนิสัยบารมีพอที่จะรับของจริงได้ ท่านก็จะไม่ยอมให้ของปลอมอย่างเด็ดขาด
ท่านพระครูรดน้ำมนต์ให้แล้วคนทั้งสามก็ลากลับ นายสมชายเดินตามไปส่งถึงที่จอดรถ ดร.เอกสิทธิ์ทำหน้าที่เป็นคนขับ ชายวัยกลางคนเปิดกระเป๋าสตางค์ดึงธนบัตรใบละร้อยใหม่เอี่ยมส่งให้นายสมชาย
"น้องชาย ขอบใจมากนะ เอาไว้ซื้อขนมกิน"
"ขอบคุณครับ ขนมที่วัดมีเยอะ ผมไม่ต้องซื้อหรอกครับ" เขาตอบและไม่ยอมรับเงินนั้น ด็อกเตอร์วัยสี่สิบเศษจึงหยิบขึ้นมาอีกใบหนึ่งด้วยคิดว่าร้อยเดียว มันอาจจะน้อยไป
"งั้นเอาไปสองใบเอ้า" ครั้นนายสมชายปฏิเสธอีก คนเป็นด็อกเตอร์จึงเก็บมันเข้ากระเป๋าดังเดิม เป็นเรื่องประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยพบคนที่ปฏิเสธเงินยังมีอยู่ในโลก!




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2012, 12:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

..อนุโมทนาแล้วๆๆ.. :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2012, 12:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนาสาธุด้วยครับ :b8: :b8:

ไม่น่าหลงมาอ่านเล้ย....ติดหง่อมแง่มแล้ว..เห็นมั้ย s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2012, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุอนุโมทนาค่ะ
แอบติดตามอ่านอยู่นานแล้ว
คาดว่าจะมีอีกหลายๆ คนติดตามอ่านกระทู้นี้อยู่เช่นกัน :b11:

กระทู้ยาวเป็นซีรี่ย์แบบนี้
รบกวนใส่หมายเลขเพื่อสะดวกในการติดตามให้หน่อยนะคะ
ขอบคุณค่ะ :b8:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2012, 04:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จขกทครับ รบกวนถามหน่อย ขออนุญาตเจ้าของนวนิยายเรื่องนี้หรือยังครับ
เอามาโพสแบบนี้ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก เคยเข้าไปร้านขายหนังสือ เห็นหนังที่ว่า
ห่อด้วยพลาสติกใสและเขียนว่าห้ามแกะอ่าน สงสัยเอามาวางตรงชั้นหนังสือธรรมะทำไม
น่าจะไปวางตรงชั้นหนังสือนวนิยาย ผมว่ามันมั่วๆยังไงไม่รู้

ดูแล้วก็มัวพอๆกับจขกทล่ะครับ เอาบทความนวนิยายแบบนี้มาโพสในห้องสนทนาธรรม
ปะเดี๋ยวผมวิจารณ์คนประพันธ์บทความนี้เข้า คุณแก้ต่างให้เขาได้มั้ยครับ

แทนที่จะไปโพสห้องบทความธรรมะ หาเรื่องหาเหตุให้คนอื่นแท้ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2012, 05:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.. นี่.. เป็นส่วนหนึ่งของการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เพื่อต่างฝ่ายต่างหวังผลแห่งการสั่งสมบุญกุศลร่วมกัน.. เป็นเพียงการกระทำดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า.. การให้ธรรมมะ ชนะการให้ทั้งปวง.. และ.. ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมได้รับสิ่งที่ประเสริฐกว่า..ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2012, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


JANDHRA เขียน:


.. นี่.. เป็นส่วนหนึ่งของการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เพื่อต่างฝ่ายต่างหวังผลแห่งการสั่งสมบุญกุศลร่วมกัน.. เป็นเพียงการกระทำดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า.. การให้ธรรมมะ ชนะการให้ทั้งปวง.. และ.. ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมได้รับสิ่งที่ประเสริฐกว่า..ฯ

ถามหน่อยครับ ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ออกมาที่ว่า"การให้ธรรมมะ ชนะการให้ทั้งปวง.. และ.. ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมได้รับสิ่งที่ประเสริฐกว่า.." คุณคิดก่อนหรือเปล่าครับ
หรือว่าสักแต่มีปากมีนิ้วก็พูดก็พิมพ์ไปอย่างนั้น ความรับผิดชอบไม่เกี่ยว

ที่บอกว่าให้ธรรมะ "รู้หรือเปล่าว่า บทความนี้เอามาจากหนังสือที่เอาแต่งขึ้นเพื่อจำหน่าย
ตามร้านขายหนังสือ แถมเจ้าของเขา ผมไม่อยากจะพูดนะครับว่า "ใจแคบ" กลัวคนเขาอ่านฟรีๆ
ถึงกับห่อปกพลาสติกกันคนเปิดอ่าน

ถามหน่อยที่บอกว่าให้ธรรมะให้ตรงไหนครับ และพระธรรมของพระพูทธเจ้า
เอามาทำการค้าได้หรือครับ จะบอกให้ครับต่อให้คุณเรียบเรียงพระไตรปิฎกอย่างถูกต้องแล้ว
เอาสิ่งที่เรียบเรียงมาจำหน่าย สิ่งนั้นก็ไม่เรียกธรรมะหรือพระไตรปิฎกแล้วครับ
มันเป็นได้แค่นวนิยาย


ฉะนั้นผมขอร้องคุณจันดาราอย่าพูดพร่อยๆ อ้างพระพุทธเจ้า
อ้างธรรมะ มันน่าอายมั้ยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2012, 10:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาเถอะ..โฮ....ใครเขาจะค้าขาย..ก็เรื่องของเขา...เราไปบังคับบัญชาไม่ได้อยู่แล้ว..จริงมั้ย

แต่เรา..บังคับตัวเราได้

ถ้าเห็นเล่มไหนดี...เราก็ซื้อแล้วแกะพลาสติกออก...ทิ้งให้คนอื่นอ่าน..เป็นงั้ย

คนเขียนใจแคบ...แต่คนซื้อใจกว้าง..งะ...จะทำไม...จริงมั้ย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร