วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 15:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ขอถามความคิดเห็น ในมุมมองของท่านกัลญามิตรทั้งหลายค่ะ
คุณคิดว่ากิเลสใน4ข้อ รัก-โลภ-โกรธ-หลง นี้
คุณคิดว่ากิเลสตัวไหน ที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมะได้ช้าค่ะ
คือเหมือนในลักษณะแบบไไม่ค่อยจะก้าวหน้าน่ะค่ะ (พูดไม่ถูกค่ะ) :b1: :b41: :b48: :b55:

สวัสดี bbby....
รัก-โลภ-โกรธ-หลง เป็นรากเหง้าของอกุศลทั้งหลาย ซึ่งเรียกว่า อกุศลมูล
คือ รัก-โลภ >> โลภะ
โกรธ >> โทสะ
หลง >> โมหะ
อกุศลมูล สามตัวนี้ จิตน้อมเอาแล้ว ด้วยน้ำหนักต่างๆ กันก็เป็นกิเลสนานาประการ
และอกุศลมูลนี้ เมื่อผสมปนเป กันเป็นกิเลสกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่า นิวรณ์ ก็เป็นเครื่องกั้นจิต ที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมะได้ช้า หรือไม่เข้าถึงธรรมะ หรือเข้าถึงธรรมะบ้างก็เสื่อมจากธรรมะนั้นได้
v
ดังนั้น กิเลส ที่ทำให้คนเข้าถึงธรรมะ คือกิเลสกลุ่มที่เรียกว่า นิวรณ์ อันมีอกุศลมูลนั้นแต่งแต้มอยู่
v
นิวรณ์ธรรม คือ
-กามฉันทะนิวรณ์ คือจิตติดใจยินดี เพลิดเพลิน หมกมุ่น ใน กามคุณ 5 คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกาย
-พยาบาทนิวรณ์ คือจิตติดใจ ยินดี เพลิดเพลิน ไปกับความโกรธ ความคิดประทุษร้าย ความอาฆาต ความไม่พอใจต่างๆ เป็นต้น
-ถีนะมิทธะนิวรณ์ ความเคลิบเคลิ้มง่วงงุ่น จากสภาพร่างกายเอง อันเป็นผลจากการเมาอาหาร หรือโรคาพยาธิ เบียดเบียนเป็นต้น
-อุทธัจจะกุกกุจะนิวรณ์ ความฟุ้งซ่านความรำคาญใจ แห่งจิตอันเนื่องด้วย กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ซึ่งหมายถึงฟุ้งไปกับความคิดที่เกิดขึ้นด้วยชนิดของวิตกต่างๆ นั้น
-วิจิกิจฉานิวรณ์ ความสนเท่ห์ ...อันขัดแย้งต่อสิ่งที่เคยเชื่อเคยได้ยินมา และเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในใจอันเป็นเหตุให้ศรัทธาในพระศาสนานี้ไม่อาจตั้งขึ้นอย่างมั่นคงในจิตได้ ไม่อาจคิดใคร่ครวญถึงเหตุถึงผลอันเป็นเหตุให้เกิดปัญญา
v
จะทำความเข้าใจถึงกิเลส อันที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมะได้ช้า ควรศึกษาที่ นิวรณ์ธรรม

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สวัสดี bbby....
รัก-โลภ-โกรธ-หลง เป็นรากเหง้าของอกุศลทั้งหลาย ซึ่งเรียกว่า อกุศลมูล
คือ รัก-โลภ >> โลภะ
โกรธ >> โทสะ
หลง >> โมหะ

นิวรณ์มันก็คือตัวอุปาทานขันธ์ในปฏิจจ์ฯนั้นแหล่ะ มันมีเหตุที่เรียกว่าสัมปยุตตปัจจัยระหว่าง
สังโยชน์ ตัณหาและอาการของจิตที่เป็น อกุศลจิต
เช่นนั้น เขียน:
อกุศลมูล สามตัวนี้ จิตน้อมเอาแล้ว ด้วยน้ำหนักต่างๆ กันก็เป็นกิเลสนานาประการ
และอกุศลมูลนี้ เมื่อผสมปนเป กันเป็นกิเลสกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่า นิวรณ์ ก็เป็นเครื่องกั้นจิต ที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมะได้ช้า หรือไม่เข้าถึงธรรมะ หรือเข้าถึงธรรมะบ้างก็เสื่อมจากธรรมะนั้นได้

อกุศลมันเกิดที่จิต มันมีเหตุปัจจัยมาจากเวทนาและสัญญา มันเป็นกระบวนการของธรรมชาติ
เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวทนาสุขเป็นเหตุปัจจัย อาการของจิตก็เป็นโลภะ เวทนาทุกข์อาการของจิต
ก็เป็นโทสะ ดังนั้นจะบอกว่าจิตน้อมไปเอาอกุศลสามตัวนี้มามันไม่ถูก

ที่เกิดนิวรณ์ขึ้นก็เพราะ จิตมีอาการที่เป็นอกุศลแล้วไปน้อมเอา สังโยชน์ตัวใดตัวหนึ่งมา
จนจิตมีกิเลสที่เรียกว่านิวรณ์ครอบคลุม
เช่นนั้น เขียน:
ดังนั้น กิเลส ที่ทำให้คนเข้าถึงธรรมะ คือกิเลสกลุ่มที่เรียกว่า นิวรณ์ อันมีอกุศลมูลนั้นแต่งแต้มอยู่
v

ความหมายของนิวรณ์ คือธรรมที่มาปิดกั้น การบรรลุความดี
นั้นก็คือ สังโยชน์ห้าในสิบตัวนั้น มาแต่งแต้ม อาการของจิตที่เป็นอกุศล
อันมีเหตุปัจจัยมาจากเวทนา ทำให้เกิดอาการปรุงแต่งขึ้นที่จิต ทำให้ไม่สามารถ
บรรลุธรรมหรือความดีได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
จะทำความเข้าใจถึงกิเลส อันที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมะได้ช้า ควรศึกษาที่ นิวรณ์ธรรม

เจริญธรรม

ในความหมายจริงๆแล้ว นิวรณ์คือธรรมที่มาขว้างกั้น ความดี
ดังนั้นไม่ถูกต้องนักกับคำว่ามาขว้างกั้นธรรม

ตามที่ได้เคยบอกมาแล้วว่า สังโยชน์กิเลสมีทั้งกุศลและอกุศล มีทั้งดีและชั่ว

ถ้าธรรมมีความหมายว่าการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด (อรหันต์)
ทั้งความดีและความชั่วเป็นสิ่งที่ปิดกั้นการบรรลุธรรมดังที่ว่ามา

กิเลสสังโยชน์ที่ไม่ใช่นิวรณ์ มันเป็นกิเลสความดีเป็นกุศล
แต่มันก็เป็นเครื่องปิดกั้นนิพพานเช่นกั้น ตัวอย่างเช่น ศีลพรตปรามาสฯลฯ

ดังนั้นการจะเข้าใจเรื่องกิเลส ที่เป็นสมุทัยในอริยสัจสี่
ต้องศึกษาสังโยชน์สิบครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านทั้งหลายต้องทำความเข้าใจเอาไว้อย่างหนึ่งว่า
ความรัก...เป็นเรื่องของธรรมชาติแห่งสรรพสิ่งที่มีชีวิต(ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์)
ถึงแม้ว่า ความรัก จะเป็นคล้ายความหลง ชนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้ว ความรัก นั้น มีติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดธรรมะ ในหมวด "พรหมวิหาร ๔" อันได้แก่
๑.เมตตา คือ ความรักใคร่ หรือ กิริยารักใคร่
๒.กรุณา คือ ความสงสาร หรือ กิริยาสงสาร
๓.มุทิตา คือ ความพลอยมีความยินดี หรือ กิริยาความพลอยมีความยินดี
๔.อุเบกขา คือ ความวางเฉย หรือ กิริยาความวางเฉย
ธรรม ในหมวด พรหมวิหาร ๔ นี้ มิใช่ความหลง แต่เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา หากเกิดความรักใคร่ ก็ยังมีข้ออื่นๆเป็นเครื่องคำจุนมิให้เกิดความหลงจนเกินเหตุ

ส่วนคำว่า "โมหะ"คือ ความหลงนั้น หมายถึง ความหลงในสิ่งที่ไม่รู้ หลงใน รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ โดยไม่ได้คิดพิจารณาให้เป็นไปตามหลักความจริง เป็นอวิชชา อย่างนี้เป็นต้น

อนึ่ง สำหรับ นิวรณ์ หรือ ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี หรือสิ่งที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในธรรมทั้งหลาย มันจะมีกี่ข้อก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยก็ได้ เพราะความหมายก็บอกอยู่แล้วว่า ธรรมที่กั้น ฯลฯ
ถ้าท่านทั้งหลายมัวไปสนใจตามตำราที่แยกแยะรายละเอียดไว้ ก็จะสับสน อวดรู้ อวดฉลาด ไปเอง โดยไม่ได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว นิวรณ์ หรือ ธรรมที่กั้นจิต ฯลฯ ก็คือ ความคิด และ การระลึกนึกถึง นั่นเอง ความคิด และการระลึกนึกถึง เป็นธรรมจัดอยู่ใน มรรคอันมีองค์ ๘ อยู่แล้ว เพียงแต่ท่านทั้งหลายไร้สมองไร้ความคิด ไม่พิจารณาตามหลักความเป็นจริง จึงทำให้หลงติดอยู่กับ ตำรา เหมือน กบอยู่ในกะลา ฉันใดก็ฉันนั้น ขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2012, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ส่วนคำว่า "โมหะ"คือ ความหลงนั้น หมายถึง ความหลงในสิ่งที่ไม่รู้ หลงใน รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ โดยไม่ได้คิดพิจารณาให้เป็นไปตามหลักความจริง เป็นอวิชชา อย่างนี้เป็นต้น

อนึ่ง สำหรับ นิวรณ์ หรือ ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี หรือสิ่งที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในธรรมทั้งหลาย มันจะมีกี่ข้อก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยก็ได้ เพราะความหมายก็บอกอยู่แล้วว่า ธรรมที่กั้น ฯลฯ
ถ้าท่านทั้งหลายมัวไปสนใจตามตำราที่แยกแยะรายละเอียดไว้ ก็จะสับสน อวดรู้ อวดฉลาด ไปเอง โดยไม่ได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว นิวรณ์ หรือ ธรรมที่กั้นจิต ฯลฯ ก็คือ ความคิด และ การระลึกนึกถึง นั่นเอง ความคิด และการระลึกนึกถึง เป็นธรรมจัดอยู่ใน มรรคอันมีองค์ ๘ อยู่แล้ว เพียงแต่ท่านทั้งหลายไร้สมองไร้ความคิด ไม่พิจารณาตามหลักความเป็นจริง จึงทำให้หลงติดอยู่กับ ตำรา เหมือน กบอยู่ในกะลา ฉันใดก็ฉันนั้น ขอรับ

กบในกะลาย่อมต้องดีกว่า แมงกุดจี่ในกองขี้ควายอยู่แล้ว
สมัยนี้ถ้าใครหลงตัวคิดว่าเป็นพระศรีอาริย์ มันก็เปรียบดัง
แมงกุดจี่ที่หลงเสพสุขอยู่ในกองขี้ควาย

จ่านี่พูดจาเพ้อเจ้อ เหมือนเด็กวัดเมากาว มาว่าชาวบ้านหลงติดกับตำรา
แล้วที่ตัวเองโพสเรื่องพรหมวิหารสี่ เรียงหนึ่งสองสามสี่แบบนั้นไม่ใช่เอามาจากตำราหรอกหรือ

แล้วที่บอกว่า ระลึกนึกถึงเป็นความคิดนั้นน่ะ เป็นถึงพระศรีอาริย์ยังไม่รู้หรอกหรือว่า
กายเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร เห็นชอบพร่ามเรื่องวิชาการ เรื่องหลักวิทยาศาสตร์
ไม่รู้หรอกหรือว่าตัวที่ทำให้เกิดความคิด กับตัวที่ทำให้ระลึกนึกถึงมันคนละตัว

ฟังท่านศรือาริย์จันทโครพแล้ว ต้องกินยาระงับประสาทครับ พูดว่า
นิวรณ์ก็คือความคิด อย่าไม่สนใจ แต่มาบอกว่า ความคิดก็เป็นมรรค
แล้วตบตูดว่า ชาวบ้านไร้สมองไร้ความคิด เหมือนกบในกะลา

ถามท่านศรีอาริย์จันทโครพ ตกลงจะให้สนใจความคิดมั้ย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2012, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าถึงธรรมได้ทุกเวลาครับ แต่ประหารกิเลสนั้น ธรรมตัวที่ประหารได้ยากที่สุดคือธรรมตัวไหนต่างหาก บุคคลที่มีการปฏิบัติตนตามทางแห่งมรรค แม้ยังไม่บรรลุ ก็ย่อมพิจารณาธรรมได้ดีกว่า ไม่ยอมให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้าครอบงำได้ง่าย

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2012, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ขอถามความคิดเห็น ในมุมมองของท่านกัลญามิตรทั้งหลายค่ะ คุณคิดว่ากิเลสใน4ข้อ รัก-โลภ-โกรธ-หลง นี้ คุณคิดว่ากิเลสตัวไหน ที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมะได้ช้าค่ะ คือเหมือนในลักษณะแบบไไม่ค่อยจะก้าวหน้าน่ะค่ะ (พูดไม่ถูกค่ะ) :b1: :b41: :b48: :b55:
bigtooกลับมาแล้ว ไปซะหลายวันคิดถึงใจจะขาด555 :b26: :b26: :b26: ที่จริงแล้ว โลภะ โทษะ โมหะ นั้นแหละกิเลส ไม่ต้องไปแปลอะไรให้มันยุ่งยากหรอก ในเมื่อมันมีอยู่มันก็แสดงตัวตามหน้ที่ของมันไปตามธรรมชาติ นั้นแหละครับ เรากำจัดมันไม่ได้หรอก นอกจากท่านจะฝึกสติให้รู้ชัดรู้เท่าทันมันก็เท่านั้นเอง สติที่รู้เท่าทันนั้นก็ต้องมีกำลังสูงมากๆ(สติสัมโพชฌงค์นะครับ) สนับสนุนด้วยอุเบกขาสัมโพชฌงค์อุเบกขานี้ก็ต้องกำลังสูงเช่นกันมันถึงจะอยู่ ที่เราไม่ค่อยจะก้าวหน้าในธรรมมะกันนั้นเพราะเราขาดสัปปายะครับ สัปปายะ7น่ะ สำคัญจริงๆพระพุทธเจ้าถึงทรงบอกกับพวกเราว่าเรายืนอยู่บนปากเหว เพราะเรายุ่งเกี่ยวกับเรื่องหากินหาอยู่จิตมันเกี่ยวพันอยู่อย่างนี้กิเลสมันมีกำลังสูง เราเพียงแต่เล่นเชาว์ปัญญากันอยู่เฉยๆเท่านั้นเอง ไม่ได้เจาะลึกลงไปถึงอนุสัยกสถานที่ที่มันนอนเนื่องอยู่ มันก็อ้วนพลีสบายใจ คุยไปซิ !ธรรมมะนะคุยไป กินไป เที่ยวไป และก็.....อื่นๆอีกมากมาย :b34: :b34: :b34: **ทำยังไงได้เรามีเรื่องมากมายที่จะต้องดูแลนี่**จะทำอย่างไรได้ ใครๆมักจะบอกอย่างนี้ ใช่มั้ย? ถ้าตอบอย่างนี้ก็อยู่ๆไป จะเอาอะไรมากมายกับธรรมมะ นิพพานนะครับ !ไม่ใช่เบ็นซ์ที่จะพอหาซื้อมาได้โดยไม่อยาก จะเอานิพพานมันต้องเอาอะไรไปแลกมาล่ะ มันไม่ใช่สาธารณะนะครับ! ที่คุณถาม4ตัวนะ !มันทำให้ถึงช้าทั้งนั้นแหละถ้าหยุดมันไม่อยู่ ขนาดพระอรหันต์แบบสุขวิปัสสกนะเข้าก็ใช้ชีวิตนับวชเลย ปุถุชนนะมันน้อยนิด อย่าพยายามคิดว่าอาจเป็นเราเลย :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2012, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเจ้าของกรทู้มีภาระครอบครัวเช่นมีบุตรจะต้องเลี้ยงดู ก็ค่อยปฎิบัติตามเวลาที่สมควร ถ้าไม่มีภาระกระโดมาเต็มๆเลยแน่นอนกว่า อย่างไรก็ขอให้ทำความเข้าใจเรื่องในเรื่องอริยสัจสี่ให้มาก เรื่องญาณ3น่ะครับ สัจจะญาณ กิจญาณ กตญาณ ทั้ง3ญาณนี้เป็นความรู้ที่จำเป็นที่สุดในทางสายนี้ครับ ศึกษาให้ละเอียดไม่ต้องห่วงเรื่องกิเลสหรอกครับ สร้างเหตุก็พอ เมื่อเหตุได้ ผลก็ต้องได้ และเรื่องปฎิบัตินั้นก็ขอให้ฟังธรรมเยอะๆโดยเฉพาะเรื่องอริยสัจสี่ และการนั้งสมาธินี้ขอย้ำ ต้องพยายามนั่งให้ได้ทุกวันก่อนนอนนะครับดีที่สุด ทำการงานอะไรให้เรียบร้อยก่อนใจจะได้สบาย แต่จะให้ดีเริ่มจากการสวดมนต์ก่อนก็จะดี เพราะการสวดมนต์นั้นทำให้เรามีสมาธิพอสมควร จะทำให้เรานั่งสมาธิได้ดี ดูอาณาปานสติสูตรนะดีที่สุดครับ ทำไปเรื่อยๆเราจะรับรู้ความรู้สึกสั่นสะเทือนทั่วร่างกายได้ ถ้าเรามาถึงจุดนี้เมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าได้เรื่องแล้วละครับ ทำไปเรื่อยๆ ขอให้โชคดี ประสบความสำเร็จนะครับ :b48: :b48: :b48:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 209 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร