วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 06:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 00:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชามีอยู่ หนึ่งรอบสังขาร จะทำลายจิต ทำลายผู้รู้ ต้องมี วิหารธรรมอยู่ เมื่อสงบเย็นในวิหารธรรมที่อยู่นั้น จะเป็นเหตุ ให้จิต ไปอาศัยอยู่ บ่อยขึ้นเอง

กระผมเข้าใจอย่างนั้นนะ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 00:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับ อวิชชาเกิดได้ทุกครังที่มีผัสสะทีเดียว การเจริญกุศลธรรมช่วยเพิ่มเหตุปัจจัยในทางดับทุกข์ได้มากทีเดียว :b41:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 00:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ครับ อบรม ด้วย กุศลธรรม 1ในวิธีละ อาสวะ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาด้วยนะครับคุณขณะจิต และขอให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปอีกในเร็ววันครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ขอบคุณครับ ทางนี้เป็นทางสำหรับทุกคนครับ :b8:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณขณะจิตเขียน




อ้างคำพูด:
ส่วนความสงบเย็นที่พบนั้นตอนนี้เป็นดังนี้

ทางกายเมื่อมองดูกายก็รู้ว่ากายนี้มีความตายรออยู่เบื้องหน้าจริงแท้แน่นอน เห็นกายนี้ชราภาพ ผุพังลงทกวัน โรคภัยรุมเร้ามากขึ้น ก็รอความตายอันเป็นธรรมดาโดยไม่สะดุ้ง อาลัยอาวรณ์ การงานที่ผมทำก็มั่นคงดี ก็มองชีวิตจนตลอดสาย(ถึงตายแล้ว)จัดการชีวิตพอแล้ว มีงาน บ้าน ครอบครัวที่พอแล้ว ความทะยานอยากใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ผมแทบไม่มีแล้ว

ทางจิต จิตมั่นแล้วในพระธรรมระดับหนึ่ง ความปรารถนากามผมยังมีแต่ไม่เคยทำให้เป็นทุกข์หรือคิดล่วงประเวณีผู้อื่น ที่มีอยู่เพียงพอแล้ว ผมไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

จิตไม่ดิ้นรนในความคิดฟุ้งซ่านไสยศาสตร์ใดๆ จิตไม่ดื้อรั้น ไม่อาลัยในสวรรค์หรือชั้นพรหม

แม้นตายลงเมื่อใดก็ไม่ปรารถนาการเกิดอีกเพียงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดำเนินตามกระแสแห่งธรรม ชำระจิตไห้กระจ่างแจ้งยิ่งขึ้นไปเท่านั้น

ผมรู้สึกว่าวางภาระได้หกสิบกว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว ในแต่ละวันจิตมีความเบาสบายมากกว่าทุกข์ มองเห็นทางที่มั่นใจทั้งทางโลกและทางจิตแล้วขอเดินต่อไปเรื่อยๆจนสุดทางหรือหมดเวลาแค่นั้นเอง

ส่วนการรักษาความสงบเย็นนั้นเมื่อจิตมันรู้แล้วมันรักษาสภาพของมันเองเหมือนปลาอยู่ในน้ำเมื่อมันพลัดหลงขึ้นบกมันย่อมดิ้นรนกลับมาหาน้ำเองเพราะธรรมชาติของมันที่ชอบน้ำมันต้องอยู่ในน้ำ

ผมเห็นอย่างนี้ :b46:






เราเคยฟังธรรมเทศนาจากอาจารย์องค์เทพ ท่านได้พูดถึงอารมณ์ของผู้ที่เข้าสู่ถึงธรรมแล้วเป็นอย่างไง
เท่าที่เราจำได้ จะเป็นแบบที่คุณขณะจิตเขียนมาน่ะ แต่เราสงสัยอยู่อย่างหนึ่งคือ
ผู้ที่เข้าสู่ถึงธรรม กับผู้ที่บรรลุธรรมเหมือนกันหรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณขณะจิตเขียน

อ้างคำพูด:
:b46:


เราเคยฟังธรรมเทศนาจากอาจารย์องค์เทพ ท่านได้พูดถึงอารมณ์ของผู้ที่เข้าสู่ถึงธรรมแล้วเป็นอย่างไง
เท่าที่เราจำได้ จะเป็นแบบที่คุณขณะจิตเขียนมาน่ะ แต่เราสงสัยอยู่อย่างหนึ่งคือ
ผู้ที่เข้าสู่ถึงธรรม กับผู้ที่บรรลุธรรมเหมือนกันหรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:


ผมว่าความหมายของภาษาคล้ายกันมากครับ แต่น่าจะอยู่ที่เจตนาของผู้กล่าวนะครับ ว่าจะแสดงถึงความตื้นลึกของการเข้าถึงแค่ไหนอย่างไร

ส่วนการเข้าสู่ถึงธรรมของผมหมายถึงแน่ใจว่าจริงจนกล้าพูดยอมรับ เหมือนเข้าเขตปริมณทลแล้วแต่ยังไปไม่สุด ไม่ตลอด

เหมือนถึงดอนเมืองแล้วก็เข้าเขตกรุงเทพฯแล้ว เห็นทางไป มุ่งตรงไป แต่ยังไม่ถึงศาลาว่าการกรุงเทพฯ :b12:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
แต่ก่อนคิดว่าธรรมะคือการบรรลุถึงสิ่งแปลกใหม่ สภาวะพิเศษ เหนือธรรมดา ปาฎิหารย์

แต่ปัจจุบันกลับเห็นดังนี้ว่า การเข้าถึงธรรม การเข้าถึงความจริงต่างหาก

ความจริงนั้นคือ ถึงสิ่งแปลกใหม่ พิเศษ เหนือธรรมดา ปาฎิหารย์สำหรับจิตที่เคยหลง

แต่คือความจริงที่เป็นธรรมดาในโลกนี้เท่านั้น :b8:

อนุโมทนาด้วยเจ้าค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2012, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
อวิชชามีอยู่ หนึ่งรอบสังขาร จะทำลายจิต ทำลายผู้รู้ ต้องมี วิหารธรรมอยู่ เมื่อสงบเย็นในวิหารธรรมที่อยู่นั้น จะเป็นเหตุ ให้จิต ไปอาศัยอยู่ บ่อยขึ้นเอง

กระผมเข้าใจอย่างนั้นนะ

:b8:



:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2012, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ขณะจิต เขียน:
แต่เมื่อเข้าถึงความจริงแท้แล้วย่อมเข้าถึงสภาวะแห่งความสงบเย็นเช่นเดียวกัน

ดังที่สมเด็จพระศาสดาตรัสว่าธรรมนี้มีรสเดียว คือวิมุตติรส

ธรรมนี้ช่างเป็นปัจจัตตังโดยแท้ ที่ผู้รู้ย่อมรู้ได้เฉพาะตนดังนี้ :b8:


ท่านขณะจิต พบความสงบเย็นแล้วหรือครับ

มันเป็นยังไงน่า s006 ผมยังไม่เจอสักที

แนะนำบ้างนะครับ แล้วรักษามันไว้ได้มั้ย


มันเป็นลักษณะอย่างนี้ครับจิตผมที่เข้ารู้ความจริง(ธรรมะ)ทีแรกมันดื้อดึงอยู่แต่เมื่อมันฝืนขัดไปก็เจอแต่ทุกข์ดื้อรั้นก็เจอแต่ทุกข์ มองย้อนประสบการณ์ชีวิตก็เห็นอนิจจัง ทุกข์ขัง ผมตามดูจิตอยู่ก็เห็นอารมณ์ที่ผ่านมาก็เป็น อนิจจัง ทุกข์ขังเหมือนกันไม่มีเว้น ทุกวันทุกเวลา จนจิตมันลดพยศมาก

เมื่อตามดู กาย จิต ความคิด ต่อเนื่อง ก็เห็นคุณในความสงบเห็นโทษในความฟุ้งซ่าน

เห็นคุณในศีล สมาธิ สติปัญญา จิตมันก็น้อมเข้าสมัครรักใคร่ต่อธรรมแทน

เมื่อก่อนมันชอบผัสสะชอบกิเลส แต่ตอนนี้ก็เห็นว่าเผ็ดร้อนเมื่อนึกถึงความชั่วที่เคยทำ(เช่นการเอาเปรียบผู้อื่น ความคิดร้ายอยากได้เงินโดยมิชอบ) ที่กำลังทำ และที่จะต้องทำในอนาคตก็รู้สึกสกปรกอึดอัดเน่าเหม็น

เห็นความสะอาดของจิตที่บริสุทธฺมีค่ามากกว่าความอิ่มและเงินทอง นี่คือความรู้สึกของผมที่มันคลายออก


ส่วนความสงบเย็นที่พบนั้นตอนนี้เป็นดังนี้

ทางกายเมื่อมองดูกายก็รู้ว่ากายนี้มีความตายรออยู่เบื้องหน้าจริงแท้แน่นอน เห็นกายนี้ชราภาพ ผุพังลงทกวัน โรคภัยรุมเร้ามากขึ้น ก็รอความตายอันเป็นธรรมดาโดยไม่สะดุ้ง อาลัยอาวรณ์ การงานที่ผมทำก็มั่นคงดี ก็มองชีวิตจนตลอดสาย(ถึงตายแล้ว)จัดการชีวิตพอแล้ว มีงาน บ้าน ครอบครัวที่พอแล้ว ความทะยานอยากใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ผมแทบไม่มีแล้ว

ทางจิต จิตมั่นแล้วในพระธรรมระดับหนึ่ง ความปรารถนากามผมยังมีแต่ไม่เคยทำให้เป็นทุกข์หรือคิดล่วงประเวณีผู้อื่น ที่มีอยู่เพียงพอแล้ว ผมไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

จิตไม่ดิ้นรนในความคิดฟุ้งซ่านไสยศาสตร์ใดๆ จิตไม่ดื้อรั้น ไม่อาลัยในสวรรค์หรือชั้นพรหม

แม้นตายลงเมื่อใดก็ไม่ปรารถนาการเกิดอีกเพียงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดำเนินตามกระแสแห่งธรรม ชำระจิตไห้กระจ่างแจ้งยิ่งขึ้นไปเท่านั้น

ผมรู้สึกว่าวางภาระได้หกสิบกว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว ในแต่ละวันจิตมีความเบาสบายมากกว่าทุกข์ มองเห็นทางที่มั่นใจทั้งทางโลกและทางจิตแล้วขอเดินต่อไปเรื่อยๆจนสุดทางหรือหมดเวลาแค่นั้นเอง

ส่วนการรักษาความสงบเย็นนั้นเมื่อจิตมันรู้แล้วมันรักษาสภาพของมันเองเหมือนปลาอยู่ในน้ำเมื่อมันพลัดหลงขึ้นบกมันย่อมดิ้นรนกลับมาหาน้ำเองเพราะธรรมชาติของมันที่ชอบน้ำมันต้องอยู่ในน้ำ

ผมเห็นอย่างนี้ :b46:

จขกทครับ คุณโม้เกิดเหตุหรือเปล่าครับ ผมไม่รู้ว่าคุณอาจไปเห็นปัญญาจริงก็ได้
แต่คุณรู้มั้ยว่า มันยังต้องเอาปัญญามาปหานกิเลสอีก และกิเลสที่ว่า มีอยู่ตั้งสิบตัว
ความร่มเย็นของธรรมจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ เป็นอสังขตธรรมแล้วเท่านั้น รู้จักอสังขตธรรม
รู้จักวิสังขารหรือเปล่าครับ

คุณนี่แสดงความเห็นได้หลายอรรถรสจริงๆครับ เดี๋ยวแนวสงครามแอ็คชั่นทำลายล้าง
นี่มาเป็นแนวดราม่า เลิฟสตอรี่แล้ว :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2012, 07:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ตนเป็นพยานแห่งตน

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2012, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ขณะจิต เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ขณะจิต เขียน:

ผมเห็นอย่างนี้ :b46:

จขกทครับ คุณโม้เกิดเหตุหรือเปล่าครับ ผมไม่รู้ว่าคุณอาจไปเห็นปัญญาจริงก็ได้
แต่คุณรู้มั้ยว่า มันยังต้องเอาปัญญามาปหานกิเลสอีก และกิเลสที่ว่า มีอยู่ตั้งสิบตัว
ความร่มเย็นของธรรมจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ เป็นอสังขตธรรมแล้วเท่านั้น รู้จักอสังขตธรรม
รู้จักวิสังขารหรือเปล่าครับ

คุณนี่แสดงความเห็นได้หลายอรรถรสจริงๆครับ เดี๋ยวแนวสงครามแอ็คชั่นทำลายล้าง
นี่มาเป็นแนวดราม่า เลิฟสตอรี่แล้ว :b32:


ท่านโฮครับผมขอตอบเพราะยืนยันความเห็นของตนนะครับ ไม่มีเจตนาเถียงเอาชนะ เผื่อให้ผู้รู้ท่านอื่นจะได้สอบทานผมได้

ท่านโฮครับคำว่าปัญญามาปหานกิเลสคือปัญญามาประหารกิเลส ที่แปลว่าฆ่ากิเลสใช่ใหมครับถ้าใช่

จิตนั้นไม่ได้ไปเห็นปัญญาแล้วหยิบมาแต่ปัญญานั้นคือความรู้ของจิตที่หายโง่ รู้แล้วปัญญานั้นย่อมกลายเป็นอุปกรณ์ของจิตแทนความไม่รู้ เมื่อจิตเคลื่อนไหวก็เคลื่อนไหวในวงของปัญญาแทน

ส่วนกิเลสนั้นผมเห็นว่ามันไม่ได้มีอยู่จริงหรอกครับ มีแต่ความไม่รู้ที่จิต เมื่อจิตไม่รู้(หรือรู้จริงไม่หมดบ้าง)ก็ทำอะไรออกมาเป็นกิเลส จนเป็นความเคยชิน จนเป็นทุกข์ได้ไวได้ง่ายเสมอ

สรุปคือเกิดมาจิตคบกับความไม่รู้มีผลเป็นกิเลส-ทุกข์

เมื่อจิตมาศึกษาธรรมจิตคบกับความรู้มีผลเป็นโพธิ-ดับทุกข์

และกิเลสที่ว่ามีตั้งสิบตัวนั้น ผมเห็นว่า นั่นเป็นการแยกให้ดูชัดเจนตามลักษณะเท่านั้นเอง ในชีวิตจริงเจอตัวไหน อารมณ์ไหนเกิดเวลาผัสสะเจอกิเลสตัวไหนนำหน้ามาก็ต้องสู้กันต้องรบกันก่อนเพราะมันทำให้ทุกข์ทั้งนั้น

มันไม่ได้เกิดตามคิวหรอกครับ แต่ที่พระพุทธองค์ทรงเรียงลำดับไว้คงเพราะความง่าย-ยากในการละต่างกัน

เหมือนขันธ์ห้านั้นแม้แยกไว้เป็นกองแต่ขันธ์ต่างทำงานร่วมกันตลอดเวลาแต่ว่าขณะใดเน้นหนักทางใด

ส่วนวิสังขารนั้น เมื่อจิดลดละการเกิดสังขารได้เรื่อย ก็เป็นวิสังขารมากขึ้นทุกทีๆ ที่จะบบรลุโครมเดียวเหมือนโดดน้ำนั้น สภาวะนั้นนั้นคงต้องบรรลุอรหันต์แล้วเท่านั้น แต่ที่ผมเห็นนั้นคือดับมากเท่าไรก็เย็นลงไปเรื่อยๆ เพียรเดินไปเรื่อยๆคงถึงสักวันหรือไม่ก็ตายก่อน ชีวิตมีแค่นั้นครับ สำหรับผม :b8:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2012, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
ท่านโฮครับผมขอตอบเพราะยืนยันความเห็นของตนนะครับ ไม่มีเจตนาเถียงเอาชนะ เผื่อให้ผู้รู้ท่านอื่นจะได้สอบทานผมได้:

บอกกล่าวครับคุณจขกท คุยกับผมไม่ต้องมากเรื่อง มากพิธีหรอกครับ
ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง หรือที่เขาเรียกว่า พวกเรื่องมาก
เสแสร้งสร้างภาพอะไรทำนองนั้น
ทำตัวตามสบาย อยากพูดอะไรก็พูด ผมไม่ถือครับ :b13:
ขณะจิต เขียน:
ท่านโฮครับคำว่าปัญญามาปหานกิเลสคือปัญญามาประหารกิเลส ที่แปลว่าฆ่ากิเลสใช่ใหมครับถ้าใช่

คำว่าปหานกิเลส มันเป็นคำของครูบาอาจารย์ผู้เฒ่าท่านใช้กัน ส่วนความหมายมันก็ขึ้นอยู่กับ
ความเข้าใจของแต่ละคนครับ แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่ความหมายว่า "ฆ่า"หรอกครับ

ถ้าจะให้บอกให้คำอธิบาย มันก็คือการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิเลส ด้วยการอาศัย
ปัญญาที่รู้เหตุปัจจัยของกิเลสครับ
ขณะจิต เขียน:
จิตนั้นไม่ได้ไปเห็นปัญญาแล้วหยิบมาแต่ปัญญานั้นคือความรู้ของจิตที่หายโง่ รู้แล้วปัญญานั้นย่อมกลายเป็นอุปกรณ์ของจิตแทนความไม่รู้ เมื่อจิตเคลื่อนไหวก็เคลื่อนไหวในวงของปัญญาแทน

โดยธรรมชาติหรือธรรมะแล้ว จิตไม่มีโง่หรือฉลาดครับ โง่หรือฉลาดเขาใช้กับสมองครับไม่ใช่จิต

จิตมีแค่รู้หรือไม่รู้ครับ เน้นอีกทีความไม่รู้ไม่ใช่ความโง่นะครับอย่าเข้าใจผิด
และอีกอย่างปัญญาเบื้องต้น ก็คือการที่จิตได้ไปเห็นสภาพตามความเป็นจริง มันไม่ใช่
เป็นตัวตนของปัญญาอะไร
สมมุติให้เห็นภาพว่าลักษณะที่เรียกว่า เห็นภาพตามความเป็นจริง
อย่างสมัยโบราณ เราเชื่อว่าโลกแบน แบบนี้เป็นเรียกว่ามิจฉาทิฐิ
ต่อมากาลิเลโอ บอกว่าโลกกลม ด้วยการหาเหตุผลต่างๆ แบบนี้เป็นสัมมาทิฐิ
แต่มันยังไม่ใช่สัมมาทิฐิที่เรียกว่าปัญญาตามความเป็นจริง
ผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฐิเห็นสภาพตามความเป็นจริงก็คือ นักบินอวกาศครับ

หวังว่าคงเข้าใจความหมายของปัญญาสัมมาทิฐิแล้วนะครับ

ขณะจิต เขียน:
ส่วนกิเลสนั้นผมเห็นว่ามันไม่ได้มีอยู่จริงหรอกครับ มีแต่ความไม่รู้ที่จิต เมื่อจิตไม่รู้(หรือรู้จริงไม่หมดบ้าง)ก็ทำอะไรออกมาเป็นกิเลส จนเป็นความเคยชิน จนเป็นทุกข์ได้ไวได้ง่ายเสมอ
สรุปคือเกิดมาจิตคบกับความไม่รู้มีผลเป็นกิเลส-ทุกข์

ไม่ใช่ครับ กิเลสมันมีอยู่ครับ แต่เป็นเพราะจิตไม่รู้การมีอยู่ของกิเลสเลยทำให้
หลงเข้าไปยึดตัวกิเลสเข้า จนทำให้เกิดอาการและทุกข์ขึ้นที่จิตครับ
พระพุทธองค์จึงทรงเน้นเรื่องสติปัฏฐาน เพื่อให้จิตหมั่นระลึกรู้ไม่ให้จิตไปยึด
ตัวตัณหาหรือสังโยชน์ตัวใดตัวหนึ่งครับ
ขณะจิต เขียน:
สรุปคือเกิดมาจิตคบกับความไม่รู้มีผลเป็นกิเลส-ทุกข์
เมื่อจิตมาศึกษาธรรมจิตคบกับความรู้มีผลเป็นโพธิ-ดับทุกข์

จิตไม่ใช่คบกับความไม่รู้ ที่เราเกิดมามันก็มาพร้อมกับความไม่รู้
เพราะความไม่รู้เป็นสาเหตุทำให้เกิดวัฏสงสารครับ

และต่อเมื่อจิตไปรู้สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ทุกข์ ที่เรียกว่าไม่รู้ก็แปลเปลี่ยนเป็นรู้
เอาคำพูดว่า"จิตคบกับความไม่รู้มันไม่ได้ครับ"
ตามธรรมชาติ ทุกคนเกิดมาย่อมต้องไม่รู้ แล้วทำไมไม่รู้
ก็เพราะไม่เคยเห็น พระพุทธเจ้าเองก็ทรงไม่รู้มาก่อนที่จะตรัสรู้ครับ


และความรู้ที่ว่า จะใช้แต่ศึกษาอย่างเดียวไม่ได้มันต้องไปรู้ไปเห็นเองครับ
มันก็เหมือนกับ กาลิเลโอกับนักบินอวกาศ
กาลิเลโอมีสัมมาทิฐิมีปัญญาแต่มันเป็นปัญญาทางโลกเป็นโลกียะ

ผิดกับนักบินอวกาศครับ นักบินเขาไปเห็นโลกตามความเป็นจริง
แบบนี้เรียกสัมมาทิฐิปัญญาโลกุตตระครับ
ขณะจิต เขียน:
และกิเลสที่ว่ามีตั้งสิบตัวนั้น ผมเห็นว่า นั่นเป็นการแยกให้ดูชัดเจนตามลักษณะเท่านั้นเอง ในชีวิตจริงเจอตัวไหน อารมณ์ไหนเกิดเวลาผัสสะเจอกิเลสตัวไหนนำหน้ามาก็ต้องสู้กันต้องรบกันก่อนเพราะมันทำให้ทุกข์ทั้งนั้น

มันไม่ได้เกิดตามคิวหรอกครับ แต่ที่พระพุทธองค์ทรงเรียงลำดับไว้คงเพราะความง่าย-ยากในการละต่างกัน

ที่คุณคิดอย่างนี้ เป็นเพราะคุณยังไม่เกิดปัญญาที่ว่าไงครับ เลยแยกไม่ออกว่า
กิเลสสังโยชน์เป็นตัวไหน นี่ขนาดหลงคิดไปว่า อาการของจิตเป็นกิเลสก็มี เช่น
คิดว่าโทสะเป็นกิเลส โทสะเป็นผลที่จากการกระทำของกิเลสครับ

กิเลสสังโยชน์เวลาจะเกิดมันไม่เรียงคิวกันเกิดถูกครับ
แต่การจะละสังโยชน์ต้องเรียงคิวกันครับ ถ้ายังละสังโยชน์เบื้องต่ำไม่ได้
สังโยชน์เบื้องสูงก็ละไม่ได้ครับ

มันก็เหมือนกับการยังไม่เห็นไตรลักษณ์ มันก็ยังละสักกายทิฐิไม่ได้
การยังละสักายทิฐิไม่ได้มันก็ยังละ วิจิกิจฉาไม่ได้
ละวิจิกิจฉาไม่ได้ มันก็ยังยึดมั่นถือมั่นศีลหัวปักหัวปํา

ขณะจิต เขียน:
เหมือนขันธ์ห้านั้นแม้แยกไว้เป็นกองแต่ขันธ์ต่างทำงานร่วมกันตลอดเวลาแต่ว่าขณะใดเน้นหนักทางใด

มันใช่ซะที่ไหนกันล่ะครับ อย่าเอาบัญญัติมาใช่ผิดกาลเทศะซิครับ
ขันธ์ห้ามันทำงานร่วมกันที่ไหนกันครับ ขันธ็ห้ามันเกิดที่ละขันธ์แล้วก็ดับ
ขันธ์ต่อไปก็มาเกิดแทนที่ เขาเรียกการเกิดดับของขันธ์ห้า เกิดเป็นเหตุปัจจัยแก่กัน

มันเกิดดับเรียงกันอย่างนี้ครับ ผัสสะ(วิญญาณขันธ์) เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์และสังขารขันธ์
ขณะจิต เขียน:
ส่วนวิสังขารนั้น เมื่อจิดลดละการเกิดสังขารได้เรื่อย ก็เป็นวิสังขารมากขึ้นทุกทีๆ ที่จะบบรลุโครมเดียวเหมือนโดดน้ำนั้น สภาวะนั้นนั้นคงต้องบรรลุอรหันต์แล้วเท่านั้น แต่ที่ผมเห็นนั้นคือดับมากเท่าไรก็เย็นลงไปเรื่อยๆ เพียรเดินไปเรื่อยๆคงถึงสักวันหรือไม่ก็ตายก่อน ชีวิตมีแค่นั้นครับ สำหรับผม :b8:

ถ้าคิดแบบนั้นก็ไม่เป็นไรครับ เพียงแต่เห็นว่ากำลังใช้บัญญัติผิดที่ผิดทาง
มันจะทำให้เกิดปัญหากับตัวคุณเองและคนที่ยังไม่ปะสีปะสาเรื่องธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2012, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1077216.gif
1077216.gif [ 33.96 KiB | เปิดดู 3264 ครั้ง ]
โฮฮิเอ้ย หยุดพล่ามแล้วลงมือทำลงมือปฏิบัติสะบ้าง ที่นั่นนี่โน่นโน้นอยู่เนี่ยเขาเรียกว่าฟุ้งซ่านกถา เพ้อเจ้อกถา
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดง ต้องลงมือทำน่ะไม่ใช่มานั่งเสก นโม พุทธายะ ธรรมะ มามา เอหิ จงมามาหาโฮฮับ :b32: เจ้ายังไม่ได้เริ่มต้นเลยโฮฮิเอ้ย

เจ้าอย่าบ้านักเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บางทีก็น่าขำนะ อย่างที่ท่านพุทธทาสพูดว่าน่าหัว ว่าหลายๆครั้งการเข้าถึงความจริงคือการรู้ว่าหลายสิ่งที่เรารู้จักไม่มีอะไรจริง น่าหัวมั้ย :b18: ฮาฮา

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 173 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร