ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ลงสนามจริง http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=42955 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | bigtoo [ 13 ส.ค. 2012, 18:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | ลงสนามจริง |
การปฎิบัติธรรม การเรียนรู้ศึกษาธรรมมะนั้น คงจะศึกษากันได้จากตำราและครูอาจารย์กันได้ทั้งนั้น แต่เมื่อปฎิบัติกันแล้วสิ่งที่พิสูจน์อัตตาตัวตนของเรา ความตระหนี่ของเราได้ดี คือการให้ทาน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมแบบไม่สนใจผู้อื่นเลยมาเกือบ10ปี ไม่สนใจเรื่องการทำบุญทำทานเลย ![]() จนมาระยะหลังจิตใจก็เกิดอยากทำทานขึ้นมาบ้างก็ค่อยๆขยับจากการเข้าวัดฟังธรรม ทำน้ำปานะไปถวายบ้าง ตักบาตรพระเช้าบ้าง ไปตามวัดทำบุญบ้างก็ถือว่าได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงสถานที่บ้าง ได้พิสูจน์ใจตนเองบ้าง การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นบ้าง ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นการตระหนี่ของตนเองในขณะที่บริจาคทานว่ามีการตระหนี่เกิดขึ้นเห็นได้ชัด ในขณะที่ข้าพเจ้าเลือกซื้อสิ่งของเพื่อบริจาคทาน แก่พระภิกษุสงฆ์ก็ตาม แม้แต่เพื่อนๆที่ร่วมหมู่คณะการแบ่งปันของเรามีมั้ยก็รู้สึกว่ายังมีความตระหนี่บ้าง ![]() ตรงนี้ข้าพเจ้าใช้การให้ทานเป็นเรื่องการตัดความตระหนี่ในทรัพย์ได้ดีทีเดียว สองวันนี้ข้าพเจ้าได้เดินทางไปวังน้ำเขียวอีกครั้งเพื่อปฎิบัติธรรมที่วัด ข้าพเจ้าไปตลาดได้ชิมน้ำองุ่นรู้สึกว่าอร่อยมากข้าพเจ้าคิดว่าจะซื้อไปถวายพระดีมั้ย และก็ฝากเพื่อนๆที่ไปด้วยกันดีมั้ย ความตระหนี่มันเกิดขึ้นมา เพราะน้ำองุ่นนั้นมันแพงพอควรเลย ข้าพเจ้ารังเรอยู่นานพอควรด้วยจิตใจที่ยังมีความตระหนี่อยู่มากในเรื่องการให้ แต่ในที่สุดกุศลธรรมก็เป็นฝ่ายชนะใจจนได้ ![]() ก็สามารถได้มอบถวายรสชาติที่ข้าพเจ้าคิดอร่อยแก่พระภิกษุ และได้ให้เพื่อนๆที่ไปด้วยกันด้วย ที่จริงแล้วทรัพย์ที่เราหามาได้นั้น เราก็เอาอะไรไปไม่ได้เพียงเพื่อใช้ดูแลเลี้ยงตัวเองยามที่ยังใช้ชีวิตอยู่ยนโลกนี้เท่านั้น ซึ่งชีวิตจริงแล้วชีวิตเราใช้เงินไม่มากเท่าไหร่ แต่ที่สะสมกันไว้มากจนเกินไปนั้นเป็นเพราะเรามีความกลัวไปต่างๆนาๆ ก็เลยเกิดการสะสมจนเป็นอัตตาขึ้นมา จนยากที่จะไถ่ถอน ![]() ซึ่งแม้ตอนนี้ข้าพเจ้าเองพอมองเห็นแล้วว่าการให้หานก็เป็นบทพิสูจน์ได้ดีทางหนึ่งการการปฎิบัติธรรม ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 14 ส.ค. 2012, 14:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
bigtoo เขียน: การปฎิบัติธรรม การเรียนรู้ศึกษาธรรมมะนั้น คงจะศึกษากันได้จากตำราและครูอาจารย์กันได้ทั้งนั้น แต่เมื่อปฎิบัติกันแล้วสิ่งที่พิสูจน์อัตตาตัวตนของเรา ความตระหนี่ของเราได้ดี คือการให้ทาน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมแบบไม่สนใจผู้อื่นเลยมาเกือบ10ปี ไม่สนใจเรื่องการทำบุญทำทานเลย ![]() จนมาระยะหลังจิตใจก็เกิดอยากทำทานขึ้นมาบ้างก็ค่อยๆขยับจากการเข้าวัดฟังธรรม ทำน้ำปานะไปถวายบ้าง ตักบาตรพระเช้าบ้าง ไปตามวัดทำบุญบ้างก็ถือว่าได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงสถานที่บ้าง ได้พิสูจน์ใจตนเองบ้าง การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นบ้าง ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นการตระหนี่ของตนเองในขณะที่บริจาคทานว่ามีการตระหนี่เกิดขึ้นเห็นได้ชัด ในขณะที่ข้าพเจ้าเลือกซื้อสิ่งของเพื่อบริจาคทาน แก่พระภิกษุสงฆ์ก็ตาม แม้แต่เพื่อนๆที่ร่วมหมู่คณะการแบ่งปันของเรามีมั้ยก็รู้สึกว่ายังมีความตระหนี่บ้าง ![]() ตรงนี้ข้าพเจ้าใช้การให้ทานเป็นเรื่องการตัดความตระหนี่ในทรัพย์ได้ดีทีเดียว สองวันนี้ข้าพเจ้าได้เดินทางไปวังน้ำเขียวอีกครั้งเพื่อปฎิบัติธรรมที่วัด ข้าพเจ้าไปตลาดได้ชิมน้ำองุ่นรู้สึกว่าอร่อยมากข้าพเจ้าคิดว่าจะซื้อไปถวายพระดีมั้ย และก็ฝากเพื่อนๆที่ไปด้วยกันดีมั้ย ความตระหนี่มันเกิดขึ้นมา เพราะน้ำองุ่นนั้นมันแพงพอควรเลย ข้าพเจ้ารังเรอยู่นานพอควรด้วยจิตใจที่ยังมีความตระหนี่อยู่มากในเรื่องการให้ แต่ในที่สุดกุศลธรรมก็เป็นฝ่ายชนะใจจนได้ ![]() ก็สามารถได้มอบถวายรสชาติที่ข้าพเจ้าคิดอร่อยแก่พระภิกษุ และได้ให้เพื่อนๆที่ไปด้วยกันด้วย ที่จริงแล้วทรัพย์ที่เราหามาได้นั้น เราก็เอาอะไรไปไม่ได้เพียงเพื่อใช้ดูแลเลี้ยงตัวเองยามที่ยังใช้ชีวิตอยู่ยนโลกนี้เท่านั้น ซึ่งชีวิตจริงแล้วชีวิตเราใช้เงินไม่มากเท่าไหร่ แต่ที่สะสมกันไว้มากจนเกินไปนั้นเป็นเพราะเรามีความกลัวไปต่างๆนาๆ ก็เลยเกิดการสะสมจนเป็นอัตตาขึ้นมา จนยากที่จะไถ่ถอน ![]() ซึ่งแม้ตอนนี้ข้าพเจ้าเองพอมองเห็นแล้วว่าการให้หานก็เป็นบทพิสูจน์ได้ดีทางหนึ่งการการปฎิบัติธรรม ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() คุณบิกทู่ครับ คนเราถ้าไม่ได้ถือเพศบรรพชิต เขาเรียกฆราวาสครับ และการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดของฆราวาสก็คือการทำงานครับ งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน และยิ่งถ้าเป็นงานสุจริต เป็นกุศล มันก็คือการปฏิบัติธรรมนั้นแหล่ะครับ มันมีหนทางให้เลือกแค่สองอย่างครับ ถ้าไม่ทำงานก็ต้องไปบวชครับ แต่ถ้ายังไม่ยอมบวชอาจเป็นเพราะห่วงเมียที่ยังสาวสยังสวย หรือเป็นเพราะ กลัวเมียจะไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน คุณก็ต้องทำงานครับ ไม่งั้นจะได้ชื่อว่า ไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมครับ ![]() |
เจ้าของ: | <ตะวัน> [ 14 ส.ค. 2012, 17:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
เข้ามาปูเสื่อจองที่ไว้ก่อนเฉยๆครับ แล้วค่อยคุยกันนะครับ |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 ส.ค. 2012, 18:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: การปฎิบัติธรรม การเรียนรู้ศึกษาธรรมมะนั้น คงจะศึกษากันได้จากตำราและครูอาจารย์กันได้ทั้งนั้น แต่เมื่อปฎิบัติกันแล้วสิ่งที่พิสูจน์อัตตาตัวตนของเรา ความตระหนี่ของเราได้ดี คือการให้ทาน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมแบบไม่สนใจผู้อื่นเลยมาเกือบ10ปี ไม่สนใจเรื่องการทำบุญทำทานเลย ![]() จนมาระยะหลังจิตใจก็เกิดอยากทำทานขึ้นมาบ้างก็ค่อยๆขยับจากการเข้าวัดฟังธรรม ทำน้ำปานะไปถวายบ้าง ตักบาตรพระเช้าบ้าง ไปตามวัดทำบุญบ้างก็ถือว่าได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงสถานที่บ้าง ได้พิสูจน์ใจตนเองบ้าง การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นบ้าง ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นการตระหนี่ของตนเองในขณะที่บริจาคทานว่ามีการตระหนี่เกิดขึ้นเห็นได้ชัด ในขณะที่ข้าพเจ้าเลือกซื้อสิ่งของเพื่อบริจาคทาน แก่พระภิกษุสงฆ์ก็ตาม แม้แต่เพื่อนๆที่ร่วมหมู่คณะการแบ่งปันของเรามีมั้ยก็รู้สึกว่ายังมีความตระหนี่บ้าง ![]() ตรงนี้ข้าพเจ้าใช้การให้ทานเป็นเรื่องการตัดความตระหนี่ในทรัพย์ได้ดีทีเดียว สองวันนี้ข้าพเจ้าได้เดินทางไปวังน้ำเขียวอีกครั้งเพื่อปฎิบัติธรรมที่วัด ข้าพเจ้าไปตลาดได้ชิมน้ำองุ่นรู้สึกว่าอร่อยมากข้าพเจ้าคิดว่าจะซื้อไปถวายพระดีมั้ย และก็ฝากเพื่อนๆที่ไปด้วยกันดีมั้ย ความตระหนี่มันเกิดขึ้นมา เพราะน้ำองุ่นนั้นมันแพงพอควรเลย ข้าพเจ้ารังเรอยู่นานพอควรด้วยจิตใจที่ยังมีความตระหนี่อยู่มากในเรื่องการให้ แต่ในที่สุดกุศลธรรมก็เป็นฝ่ายชนะใจจนได้ ![]() ก็สามารถได้มอบถวายรสชาติที่ข้าพเจ้าคิดอร่อยแก่พระภิกษุ และได้ให้เพื่อนๆที่ไปด้วยกันด้วย ที่จริงแล้วทรัพย์ที่เราหามาได้นั้น เราก็เอาอะไรไปไม่ได้เพียงเพื่อใช้ดูแลเลี้ยงตัวเองยามที่ยังใช้ชีวิตอยู่ยนโลกนี้เท่านั้น ซึ่งชีวิตจริงแล้วชีวิตเราใช้เงินไม่มากเท่าไหร่ แต่ที่สะสมกันไว้มากจนเกินไปนั้นเป็นเพราะเรามีความกลัวไปต่างๆนาๆ ก็เลยเกิดการสะสมจนเป็นอัตตาขึ้นมา จนยากที่จะไถ่ถอน ![]() ซึ่งแม้ตอนนี้ข้าพเจ้าเองพอมองเห็นแล้วว่าการให้หานก็เป็นบทพิสูจน์ได้ดีทางหนึ่งการการปฎิบัติธรรม ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() คุณบิกทู่ครับ คนเราถ้าไม่ได้ถือเพศบรรพชิต เขาเรียกฆราวาสครับ และการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดของฆราวาสก็คือการทำงานครับ งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน และยิ่งถ้าเป็นงานสุจริต เป็นกุศล มันก็คือการปฏิบัติธรรมนั้นแหล่ะครับ มันมีหนทางให้เลือกแค่สองอย่างครับ ถ้าไม่ทำงานก็ต้องไปบวชครับ แต่ถ้ายังไม่ยอมบวชอาจเป็นเพราะห่วงเมียที่ยังสาวสยังสวย หรือเป็นเพราะ กลัวเมียจะไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน คุณก็ต้องทำงานครับ ไม่งั้นจะได้ชื่อว่า ไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมครับ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 15 ส.ค. 2012, 03:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: คุณบิกทู่ครับ คนเราถ้าไม่ได้ถือเพศบรรพชิต เขาเรียกฆราวาสครับ ถ้าคุณหมายความว่าการทำงานคือการหาเงิน ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมพอที่จะหาเงินได้บ้าง แต่ไม่ต้องมากมายหรอกเพราะผมไม่ต้องการเยอะอะไร ผมกินน้อยใช้น้อยครับ และการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดของฆราวาสก็คือการทำงานครับ งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน และยิ่งถ้าเป็นงานสุจริต เป็นกุศล มันก็คือการปฏิบัติธรรมนั้นแหล่ะครับ มันมีหนทางให้เลือกแค่สองอย่างครับ ถ้าไม่ทำงานก็ต้องไปบวชครับ แต่ถ้ายังไม่ยอมบวชอาจเป็นเพราะห่วงเมียที่ยังสาวสยังสวย หรือเป็นเพราะ กลัวเมียจะไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน คุณก็ต้องทำงานครับ ไม่งั้นจะได้ชื่อว่า ไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมครับ ![]() ![]() ว่าแล้วมั้ยล่ะว่าคุณยังไม่เข้าใจถึงการปฏิบัติธรรม เห็นวันๆได้แต่พูดโน้นพูดนี่เรื่อยเปื่อย ขาดซึ่งสัมมาวาจา ขาดซึ่งสติที่จะพิจารณาธรรม ผมก็บอกแล้วว่า "งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน" ยังถามมาได้ว่าการทำงานคือการหาเงิน จะบอกให้ครับ คุณไม่ทำงานมันเป็นเรื่องคนที่ขาดสัมมาอาชีวะ แถมยังหน้ามึนมาบอกอีกว่า มีวิธีการหาเงิน ถ้าไม่ได้ทำงานแต่มีวิธีหาเงิน แบบนี้มันเป็นมิจฉากัมมันตะ และมิจฉาอาชีวะครับ ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 15 ส.ค. 2012, 03:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
<ตะวัน> เขียน: เข้ามาปูเสื่อจองที่ไว้ก่อนเฉยๆครับ แล้วค่อยคุยกันนะครับ คุณคนขี้เหงาครับ จะทำตัวเป็นอึ้งอ่างพองลมไปทำไมกันครับ พิมพ์ตัวหนังสือให้มันเหมือนชาวบ้านเขาก็ได้ กลัวใครเขาไม่เห็นหรือครับ กลัวความโดดเดียวอ้างว้างหรือครับ ![]() |
เจ้าของ: | bigtoo [ 15 ส.ค. 2012, 06:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: คุณบิกทู่ครับ คนเราถ้าไม่ได้ถือเพศบรรพชิต เขาเรียกฆราวาสครับ ถ้าคุณหมายความว่าการทำงานคือการหาเงิน ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมพอที่จะหาเงินได้บ้าง แต่ไม่ต้องมากมายหรอกเพราะผมไม่ต้องการเยอะอะไร ผมกินน้อยใช้น้อยครับ และการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดของฆราวาสก็คือการทำงานครับ งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน และยิ่งถ้าเป็นงานสุจริต เป็นกุศล มันก็คือการปฏิบัติธรรมนั้นแหล่ะครับ มันมีหนทางให้เลือกแค่สองอย่างครับ ถ้าไม่ทำงานก็ต้องไปบวชครับ แต่ถ้ายังไม่ยอมบวชอาจเป็นเพราะห่วงเมียที่ยังสาวสยังสวย หรือเป็นเพราะ กลัวเมียจะไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน คุณก็ต้องทำงานครับ ไม่งั้นจะได้ชื่อว่า ไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมครับ ![]() ![]() ว่าแล้วมั้ยล่ะว่าคุณยังไม่เข้าใจถึงการปฏิบัติธรรม เห็นวันๆได้แต่พูดโน้นพูดนี่เรื่อยเปื่อย ขาดซึ่งสัมมาวาจา ขาดซึ่งสติที่จะพิจารณาธรรม ผมก็บอกแล้วว่า "งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน" ยังถามมาได้ว่าการทำงานคือการหาเงิน จะบอกให้ครับ คุณไม่ทำงานมันเป็นเรื่องคนที่ขาดสัมมาอาชีวะ แถมยังหน้ามึนมาบอกอีกว่า มีวิธีการหาเงิน ถ้าไม่ได้ทำงานแต่มีวิธีหาเงิน แบบนี้มันเป็นมิจฉากัมมันตะ และมิจฉาอาชีวะครับ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 15 ส.ค. 2012, 09:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: คุณบิกทู่ครับ คนเราถ้าไม่ได้ถือเพศบรรพชิต เขาเรียกฆราวาสครับ ถ้าคุณหมายความว่าการทำงานคือการหาเงิน ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมพอที่จะหาเงินได้บ้าง แต่ไม่ต้องมากมายหรอกเพราะผมไม่ต้องการเยอะอะไร ผมกินน้อยใช้น้อยครับ และการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดของฆราวาสก็คือการทำงานครับ งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน และยิ่งถ้าเป็นงานสุจริต เป็นกุศล มันก็คือการปฏิบัติธรรมนั้นแหล่ะครับ มันมีหนทางให้เลือกแค่สองอย่างครับ ถ้าไม่ทำงานก็ต้องไปบวชครับ แต่ถ้ายังไม่ยอมบวชอาจเป็นเพราะห่วงเมียที่ยังสาวสยังสวย หรือเป็นเพราะ กลัวเมียจะไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน คุณก็ต้องทำงานครับ ไม่งั้นจะได้ชื่อว่า ไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมครับ ![]() ![]() ว่าแล้วมั้ยล่ะว่าคุณยังไม่เข้าใจถึงการปฏิบัติธรรม เห็นวันๆได้แต่พูดโน้นพูดนี่เรื่อยเปื่อย ขาดซึ่งสัมมาวาจา ขาดซึ่งสติที่จะพิจารณาธรรม ผมก็บอกแล้วว่า "งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน" ยังถามมาได้ว่าการทำงานคือการหาเงิน จะบอกให้ครับ คุณไม่ทำงานมันเป็นเรื่องคนที่ขาดสัมมาอาชีวะ แถมยังหน้ามึนมาบอกอีกว่า มีวิธีการหาเงิน ถ้าไม่ได้ทำงานแต่มีวิธีหาเงิน แบบนี้มันเป็นมิจฉากัมมันตะ และมิจฉาอาชีวะครับ ![]() ![]() คุณบิกทู่คงจะไม่รู้ตัวว่าคำพูดของคุณ มันชวนให้คนฟังเขากังขาครับ ความหมายก็คือมันไม่มีเหตุมีผล ดูๆแล้วมันมีแต่ผล แต่ถ้าให้สืบค้นเหตุ มันไม่เจอหรือมันขัดแย้งกันครับ นี่ก็มาอีกแล้วแก้ผ้าเอาหน้ารอด ไปมันเรื่อย ไปมันน้ำขุ่นๆ งานไม่ทำมีลูกติด ลูกยังเรียนอยู่ บอกตื่นเช้ามาเตรียมอาหารใส่บาตร ปัญหาก็คือคุณเอาเงินทองมาจากไหน มาซื้ออาหารใส่บาตร มาส่งเสียเลี้ยงดูลูก แล้วตัวเองอีกล่ะ หรือทุกอย่างขอเมียเอา อย่าลืมนะครับ เราเป็นผู้ชายหน้าที่ของ หัวหน้าครอบครัวมันก็เป็นธรรมที่ฝ่ายชายพึ่งปฏิบัติ ที่สำคัญหน้าที่ของพ่อ ที่ต้องมีต่อลูก ไม่ใช่โยนหน้าที่ไปให้ฝ่ายหญิง ต่อให้ฝ่ายหญิงเป็นแม่ยังไม่เหมาะเลย นี่เป็นแค่แม่เลี้ยงลูกเต้าก็ไม่ใช่ รับรองได้เดี๋ยวมีเรื่องแก้ตัวอีกไปได้เรื่อยๆ ![]() |
เจ้าของ: | bigtoo [ 15 ส.ค. 2012, 13:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: คุณบิกทู่ครับ คนเราถ้าไม่ได้ถือเพศบรรพชิต เขาเรียกฆราวาสครับ ถ้าคุณหมายความว่าการทำงานคือการหาเงิน ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมพอที่จะหาเงินได้บ้าง แต่ไม่ต้องมากมายหรอกเพราะผมไม่ต้องการเยอะอะไร ผมกินน้อยใช้น้อยครับ และการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดของฆราวาสก็คือการทำงานครับ งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน และยิ่งถ้าเป็นงานสุจริต เป็นกุศล มันก็คือการปฏิบัติธรรมนั้นแหล่ะครับ มันมีหนทางให้เลือกแค่สองอย่างครับ ถ้าไม่ทำงานก็ต้องไปบวชครับ แต่ถ้ายังไม่ยอมบวชอาจเป็นเพราะห่วงเมียที่ยังสาวสยังสวย หรือเป็นเพราะ กลัวเมียจะไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน คุณก็ต้องทำงานครับ ไม่งั้นจะได้ชื่อว่า ไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมครับ ![]() ![]() ว่าแล้วมั้ยล่ะว่าคุณยังไม่เข้าใจถึงการปฏิบัติธรรม เห็นวันๆได้แต่พูดโน้นพูดนี่เรื่อยเปื่อย ขาดซึ่งสัมมาวาจา ขาดซึ่งสติที่จะพิจารณาธรรม ผมก็บอกแล้วว่า "งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน" ยังถามมาได้ว่าการทำงานคือการหาเงิน จะบอกให้ครับ คุณไม่ทำงานมันเป็นเรื่องคนที่ขาดสัมมาอาชีวะ แถมยังหน้ามึนมาบอกอีกว่า มีวิธีการหาเงิน ถ้าไม่ได้ทำงานแต่มีวิธีหาเงิน แบบนี้มันเป็นมิจฉากัมมันตะ และมิจฉาอาชีวะครับ ![]() ![]() คุณบิกทู่คงจะไม่รู้ตัวว่าคำพูดของคุณ มันชวนให้คนฟังเขากังขาครับ ความหมายก็คือมันไม่มีเหตุมีผล ดูๆแล้วมันมีแต่ผล แต่ถ้าให้สืบค้นเหตุ มันไม่เจอหรือมันขัดแย้งกันครับ นี่ก็มาอีกแล้วแก้ผ้าเอาหน้ารอด ไปมันเรื่อย ไปมันน้ำขุ่นๆ งานไม่ทำมีลูกติด ลูกยังเรียนอยู่ บอกตื่นเช้ามาเตรียมอาหารใส่บาตร ปัญหาก็คือคุณเอาเงินทองมาจากไหน มาซื้ออาหารใส่บาตร มาส่งเสียเลี้ยงดูลูก แล้วตัวเองอีกล่ะ หรือทุกอย่างขอเมียเอา อย่าลืมนะครับ เราเป็นผู้ชายหน้าที่ของ หัวหน้าครอบครัวมันก็เป็นธรรมที่ฝ่ายชายพึ่งปฏิบัติ ที่สำคัญหน้าที่ของพ่อ ที่ต้องมีต่อลูก ไม่ใช่โยนหน้าที่ไปให้ฝ่ายหญิง ต่อให้ฝ่ายหญิงเป็นแม่ยังไม่เหมาะเลย นี่เป็นแค่แม่เลี้ยงลูกเต้าก็ไม่ใช่ รับรองได้เดี๋ยวมีเรื่องแก้ตัวอีกไปได้เรื่อยๆ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 15 ส.ค. 2012, 14:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: คุณบิกทู่ครับ คนเราถ้าไม่ได้ถือเพศบรรพชิต เขาเรียกฆราวาสครับ ถ้าคุณหมายความว่าการทำงานคือการหาเงิน ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมพอที่จะหาเงินได้บ้าง แต่ไม่ต้องมากมายหรอกเพราะผมไม่ต้องการเยอะอะไร ผมกินน้อยใช้น้อยครับ และการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดของฆราวาสก็คือการทำงานครับ งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน และยิ่งถ้าเป็นงานสุจริต เป็นกุศล มันก็คือการปฏิบัติธรรมนั้นแหล่ะครับ มันมีหนทางให้เลือกแค่สองอย่างครับ ถ้าไม่ทำงานก็ต้องไปบวชครับ แต่ถ้ายังไม่ยอมบวชอาจเป็นเพราะห่วงเมียที่ยังสาวสยังสวย หรือเป็นเพราะ กลัวเมียจะไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน คุณก็ต้องทำงานครับ ไม่งั้นจะได้ชื่อว่า ไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมครับ ![]() ![]() ว่าแล้วมั้ยล่ะว่าคุณยังไม่เข้าใจถึงการปฏิบัติธรรม เห็นวันๆได้แต่พูดโน้นพูดนี่เรื่อยเปื่อย ขาดซึ่งสัมมาวาจา ขาดซึ่งสติที่จะพิจารณาธรรม ผมก็บอกแล้วว่า "งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน" ยังถามมาได้ว่าการทำงานคือการหาเงิน จะบอกให้ครับ คุณไม่ทำงานมันเป็นเรื่องคนที่ขาดสัมมาอาชีวะ แถมยังหน้ามึนมาบอกอีกว่า มีวิธีการหาเงิน ถ้าไม่ได้ทำงานแต่มีวิธีหาเงิน แบบนี้มันเป็นมิจฉากัมมันตะ และมิจฉาอาชีวะครับ ![]() ![]() คุณบิกทู่คงจะไม่รู้ตัวว่าคำพูดของคุณ มันชวนให้คนฟังเขากังขาครับ ความหมายก็คือมันไม่มีเหตุมีผล ดูๆแล้วมันมีแต่ผล แต่ถ้าให้สืบค้นเหตุ มันไม่เจอหรือมันขัดแย้งกันครับ นี่ก็มาอีกแล้วแก้ผ้าเอาหน้ารอด ไปมันเรื่อย ไปมันน้ำขุ่นๆ งานไม่ทำมีลูกติด ลูกยังเรียนอยู่ บอกตื่นเช้ามาเตรียมอาหารใส่บาตร ปัญหาก็คือคุณเอาเงินทองมาจากไหน มาซื้ออาหารใส่บาตร มาส่งเสียเลี้ยงดูลูก แล้วตัวเองอีกล่ะ หรือทุกอย่างขอเมียเอา อย่าลืมนะครับ เราเป็นผู้ชายหน้าที่ของ หัวหน้าครอบครัวมันก็เป็นธรรมที่ฝ่ายชายพึ่งปฏิบัติ ที่สำคัญหน้าที่ของพ่อ ที่ต้องมีต่อลูก ไม่ใช่โยนหน้าที่ไปให้ฝ่ายหญิง ต่อให้ฝ่ายหญิงเป็นแม่ยังไม่เหมาะเลย นี่เป็นแค่แม่เลี้ยงลูกเต้าก็ไม่ใช่ รับรองได้เดี๋ยวมีเรื่องแก้ตัวอีกไปได้เรื่อยๆ ![]() ![]() ไม่ต้องเรียนรู้หรอกครับ อย่างคุณผมว่าเพื่อนๆในนี้เขาไม่ทำกันหรอกครับ เพราะอะไรรู้มั้ยครับ "ก็อายยังไงล่ะครับ" คนอื่นญาติพี่น้องเป็นหมอ จบด๊อกเตอร์ เป็นผู้พิพากษา เขายังไม่เอามาคุย ทั้งๆที่เป็นพี่น้องสายเลือด เชื้อdna เดี่ยวกัน นี่อะไรอวดสิ่งที่ไม่เข้าท่า ที่เขาไม่เอามาคุยเป็นเพราะ มันเป็นกิเลสมันแสดงถึงความอยากได้ใคร่ดี ผู้ชายไม่ทำงาน ให้ไปบวชก็ไม่ไป ให้ผู้หญิงหาเลี้ยง แต่ปากก็โม้ว่า ตัวเองปฏิบัติ วางอุเบกขาแล้ว บรรลุแล้ว ผมว่าคุณเข้าใจผิดมากเลยนะครับ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แบบคุณเขาไม่เรียกนักปฏิบัติธรรมนะครับ เขาเรียกอะไร ถ้าคุณตั้งสติสักหน่อยก็จะรู้ครับ แบบว่าผู้ชายเขาจะโกรธมาก ถ้ามีใครไปเรียกเขาอย่างนั้น คือมันหมิ่นศักศรีความเป็นชายครับ |
เจ้าของ: | bigtoo [ 15 ส.ค. 2012, 15:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: คุณบิกทู่ครับ คนเราถ้าไม่ได้ถือเพศบรรพชิต เขาเรียกฆราวาสครับ ถ้าคุณหมายความว่าการทำงานคือการหาเงิน ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมพอที่จะหาเงินได้บ้าง แต่ไม่ต้องมากมายหรอกเพราะผมไม่ต้องการเยอะอะไร ผมกินน้อยใช้น้อยครับ และการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดของฆราวาสก็คือการทำงานครับ งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน และยิ่งถ้าเป็นงานสุจริต เป็นกุศล มันก็คือการปฏิบัติธรรมนั้นแหล่ะครับ มันมีหนทางให้เลือกแค่สองอย่างครับ ถ้าไม่ทำงานก็ต้องไปบวชครับ แต่ถ้ายังไม่ยอมบวชอาจเป็นเพราะห่วงเมียที่ยังสาวสยังสวย หรือเป็นเพราะ กลัวเมียจะไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน คุณก็ต้องทำงานครับ ไม่งั้นจะได้ชื่อว่า ไม่รู้จักการปฏิบัติธรรมครับ ![]() ![]() ว่าแล้วมั้ยล่ะว่าคุณยังไม่เข้าใจถึงการปฏิบัติธรรม เห็นวันๆได้แต่พูดโน้นพูดนี่เรื่อยเปื่อย ขาดซึ่งสัมมาวาจา ขาดซึ่งสติที่จะพิจารณาธรรม ผมก็บอกแล้วว่า "งานไม่ว่าจะเงินมากเงินน้อย มันก็ได้ชื่อว่างาน" ยังถามมาได้ว่าการทำงานคือการหาเงิน จะบอกให้ครับ คุณไม่ทำงานมันเป็นเรื่องคนที่ขาดสัมมาอาชีวะ แถมยังหน้ามึนมาบอกอีกว่า มีวิธีการหาเงิน ถ้าไม่ได้ทำงานแต่มีวิธีหาเงิน แบบนี้มันเป็นมิจฉากัมมันตะ และมิจฉาอาชีวะครับ ![]() ![]() คุณบิกทู่คงจะไม่รู้ตัวว่าคำพูดของคุณ มันชวนให้คนฟังเขากังขาครับ ความหมายก็คือมันไม่มีเหตุมีผล ดูๆแล้วมันมีแต่ผล แต่ถ้าให้สืบค้นเหตุ มันไม่เจอหรือมันขัดแย้งกันครับ นี่ก็มาอีกแล้วแก้ผ้าเอาหน้ารอด ไปมันเรื่อย ไปมันน้ำขุ่นๆ งานไม่ทำมีลูกติด ลูกยังเรียนอยู่ บอกตื่นเช้ามาเตรียมอาหารใส่บาตร ปัญหาก็คือคุณเอาเงินทองมาจากไหน มาซื้ออาหารใส่บาตร มาส่งเสียเลี้ยงดูลูก แล้วตัวเองอีกล่ะ หรือทุกอย่างขอเมียเอา อย่าลืมนะครับ เราเป็นผู้ชายหน้าที่ของ หัวหน้าครอบครัวมันก็เป็นธรรมที่ฝ่ายชายพึ่งปฏิบัติ ที่สำคัญหน้าที่ของพ่อ ที่ต้องมีต่อลูก ไม่ใช่โยนหน้าที่ไปให้ฝ่ายหญิง ต่อให้ฝ่ายหญิงเป็นแม่ยังไม่เหมาะเลย นี่เป็นแค่แม่เลี้ยงลูกเต้าก็ไม่ใช่ รับรองได้เดี๋ยวมีเรื่องแก้ตัวอีกไปได้เรื่อยๆ ![]() ![]() ไม่ต้องเรียนรู้หรอกครับ อย่างคุณผมว่าเพื่อนๆในนี้เขาไม่ทำกันหรอกครับ เพราะอะไรรู้มั้ยครับ "ก็อายยังไงล่ะครับ" คนอื่นญาติพี่น้องเป็นหมอ จบด๊อกเตอร์ เป็นผู้พิพากษา เขายังไม่เอามาคุย ทั้งๆที่เป็นพี่น้องสายเลือด เชื้อdna เดี่ยวกัน นี่อะไรอวดสิ่งที่ไม่เข้าท่า ที่เขาไม่เอามาคุยเป็นเพราะ มันเป็นกิเลสมันแสดงถึงความอยากได้ใคร่ดี ผู้ชายไม่ทำงาน ให้ไปบวชก็ไม่ไป ให้ผู้หญิงหาเลี้ยง แต่ปากก็โม้ว่า ตัวเองปฏิบัติ วางอุเบกขาแล้ว บรรลุแล้ว ผมว่าคุณเข้าใจผิดมากเลยนะครับ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แบบคุณเขาไม่เรียกนักปฏิบัติธรรมนะครับ เขาเรียกอะไร ถ้าคุณตั้งสติสักหน่อยก็จะรู้ครับ แบบว่าผู้ชายเขาจะโกรธมาก ถ้ามีใครไปเรียกเขาอย่างนั้น คือมันหมิ่นศักศรีความเป็นชายครับ |
เจ้าของ: | ขณะจิต [ 15 ส.ค. 2012, 16:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
ใกล้แล้วครับ ใกล้แล้ว ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 15 ส.ค. 2012, 17:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
![]() อ้างคำพูด: Bigtoo ซึ่งแม้ตอนนี้ข้าพเจ้าเองพอมองเห็นแล้วว่าการให้หานก็เป็นบทพิสูจน์ได้ดีทางหนึ่งการการปฎิบัติธรรม ข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่าทำมั้ย คนเราถึงมีความแตกต่างกันในความร่ำรวยและยากจนข้าพเจ้าก็พอจะเข้าใจได้ถึงเหตุผลนี้บ้างแล้วล่ะ แต่มันไม่ได้อยู่ที่การให้ทรัพย์มากๆหรอกนะข้าพเจ้าคิเว่ามันอยู่ที่จิตใจที่คิดว่าจะให้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นทานประเภทไหนๆ ธรรมมะที่นำมาฝากในสองวันนี้ที่ข้าพเจ้าได้เดินทางไปปฎิบัติมา เป็นประสบการณ์แขร์กันนะครับ ![]() ![]() ![]() เจริญสุขครับคุณ bigtoo ผมมอบของขวัญ 1 ชิ้น เค้ก 1 ก้อน กาแฟร้อนหนึ่งถ้วย เพื่อสลับฉาก ช่วยผ่อนคลายสถานการณ์หรือปัจจัยที่ทำให้กระทู้นี้ร้อนระอุขึ้นมานะครับ (ดูตามรูป) ![]() การให้ทานนั้นถ้าเราตีความไม่แตกว่าทานนั้นเพื่อประโยชน์อันใดโดยแท้ เราก็จะมีเรื่องให้วิตกวิจารณ์ไปได้ไม่รู้กี่มุมมอง วัตถุประสงค์ที่ลึกซึ้งที่สุดของทาน คือ "การฝึกสละละวางอัตตา สักกายทิฏฐิ" ตัวกู ของกู นั่นเลยทีเดียว ลองนึกคิดวิเคราะห์ดูให้ดีๆนะครับ การให้ทานคือการฝึกต่อสู้กับ "กู" ฝึกสลาย กู สลายความเห็นผิดว่าเป็น ตัวกู ของกู ให้มันผอม เบาบาง เจือจาง หมดกำลังไปทุกทีๆ จนถึงโอกาสที่จะได้ยกระดับ ขึ้นไปสู้ "กู" ด้วย ศีล ด้วย สมาธิ ด้วยปัญญา และชนะมันโดยเด็ดขาดในตอนท้ายด้วย "โสดาปัตติมรรค" ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 16 ส.ค. 2012, 05:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: ไม่ต้องเรียนรู้หรอกครับ อย่างคุณผมว่าเพื่อนๆในนี้เขาไม่ทำกันหรอกครับ ผมก็อวดแต่คุณเท่านั้นแหละพี่โฮ ผมสนทนากับท่านอื่นผมมีแต่ยกย่องเขา แต่กับท่านนี้ต้องแสดงปฎิหารข่มก็เท่านั้นเพราะอะไรรู้มั้ยครับ "ก็อายยังไงล่ะครับ" คนอื่นญาติพี่น้องเป็นหมอ จบด๊อกเตอร์ เป็นผู้พิพากษา เขายังไม่เอามาคุย ทั้งๆที่เป็นพี่น้องสายเลือด เชื้อdna เดี่ยวกัน นี่อะไรอวดสิ่งที่ไม่เข้าท่า ที่เขาไม่เอามาคุยเป็นเพราะ มันเป็นกิเลสมันแสดงถึงความอยากได้ใคร่ดี ผู้ชายไม่ทำงาน ให้ไปบวชก็ไม่ไป ให้ผู้หญิงหาเลี้ยง แต่ปากก็โม้ว่า ตัวเองปฏิบัติ วางอุเบกขาแล้ว บรรลุแล้ว ผมว่าคุณเข้าใจผิดมากเลยนะครับ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แบบคุณเขาไม่เรียกนักปฏิบัติธรรมนะครับ เขาเรียกอะไร ถ้าคุณตั้งสติสักหน่อยก็จะรู้ครับ แบบว่าผู้ชายเขาจะโกรธมาก ถ้ามีใครไปเรียกเขาอย่างนั้น คือมันหมิ่นศักศรีความเป็นชายครับ ก็ด้วยสติปัญญาแค่นี่ไง เลยคิดว่าสิ่งที่อวดผม มันเป็นสิ่งดีน่าอวด ผมก็อธิบายให้ฟังแล้วว่า การกระทำของคุณลูกผู้ชายเขาไม่ทำกัน อย่าว่าแต่คนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ผู้ที่ปฏิบัติเขายิ่งรังเกียจสิ่งที่คุณกระทำครับ คุณนี่มันทู่สมชื่อเลยครับ bigtoo เขียน: เพราะคุณมันดื้อ ผมจบม6ผมกล้าบอกความต้อยต่ำของตนเองให้คนอื่นรู้ อย่างนี้เรียกว่าอวดเหรอครับ ใครเขาจะอวดกันแค่ม6 ทู่เอ้ยทู่ ก็เพราะการที่คุณจบแค่ม.6ไงครับ มันเป็นปมด้อยในใจ จะบอกใครว่า จบม.6เฉยมันเกิดความอับอายครับ เลยต้องสร้างเรื่อง เพื่อลบปมด้อยตัวเอง ด้วยการบอกว่า ได้เมียที่จบโท ดูความคิดคุณแล้วไม่น่าจบม.6นะครับ เหมือนคนจบป.6มากกว่า พูดอะไรคิดอะไรตื้นๆ bigtoo เขียน: แต่ความที่มีดีนี่ต่างหากครับที่อยากอวดเพราะอยากให้ทำตาม เพื่อนผมมีเงินเดือนเกือบครึ่งล้าน ทำไมเขาจึงเป็นเพื่อนสนิทผมเพราะอะไรครับ เพราะสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้เขารู้จักผมดีไง ว่าผมเป็นอย่างไร หลงตัวเองซะไม่มีล่ะ หัดดูคนอื่นเขาบ้าง หัดมองเห็นความดีรอบตัวเองบ้าง อย่าโมเมคิดเอาเองว่า ตัวเองเป็นศูนย์กลางของความดี เพื่อนคุณที่มีเงินเดือนเกือบครึ่งล้าน แล้วยังคบคนอย่างคุณอยู่ เป็นเพราะความดีของเพื่อนคุณ ไม่ใช่ความดีของคุณ ที่เขาคบคุณก็ด้วยความเป็นเพื่อน เขาไม่รังเกียจความต่ำต้อยของคุณ เขาไม่สนใจที่คุณจะอ้างธรรมเพื่อที่จะไม่ทำงาน ดังนั้นผมว่านะครับ เพื่อนคุณเขาดีเกินกว่าที่จะปฏิเสธความเป็นเพื่อนกับคุณครับ เมียคุณก็เช่นกันครับ เมียคุณจบโทและยังหาเลี้ยงคุณได้ มันก็เป็นความดีของเมียคุณ คุณอย่าหลงว่าคุณมีดีครับ ความดีคุณไม่มีซักกระผีก เห็นมีแต่คนดีๆเขาหยิบหยื่นความดี ให้กับคุณ แต่คุณก็ยังไม่สำเหนียก เขาใจไปเองว่าตัวเองมีดี พูดแล้วผะอืดผะอมจริงๆครับ bigtoo เขียน: ธรรมมะที่ทำได้ยากใครๆเขาก็ชื่นชม อย่างพระทุกวันนี้เรากราบท่านเพราะอะไร ก็เพราะศิลที่ท่านมีใช่มั้ยครับ และที่ภรรยาผม และเพื่อนๆที่เขาให้ความเคารพผมนั้นก็เพราะผมทำในสิ่งที่เขายอมรับว่ามันทำได้ยากและเป็นสิ่งที่ดียังไงครับ ไม่ใช่ได้แต่พูดถึงธรรมมะแต่ลดละอะไรไม่ได้เลย ผมกำลังทำอะไรคุณก็ไม่รู้ ผมคิดอะไรอยู่คุณก็ไม่รู้ คนที่รับอาหารมื้อเดียว ไม่เสพเมถุน และเสพกามทุกชนิดไม่มีอะไรที่เขาจะทำเพื่อตัวเองแล้วครับ นั้นเป็นการพูดเองเออของคุณครับ ผมก็บอกเหตุผลไปแล้ว คำพูดที่อวยตัวเองซ้ำซาก ผมก็ได้บอกเหตุผลไปแล้ว การกระทำของคุณไม่ใช่ว่าคนอื่นเขาทำไม่ได้ หรือไม่เคยทำ เขาก็บอกให้ฟังแล้วว่ามันเป็นประสบการณ์ เขาเคยทำมาทั้งนั้น ถ้าคุณไม่ดื้อด้านเหมือนที่คุณว่าคนอื่น คุณก็จะรู้ว่า... เป็นคุณนั้นแหล่ะที่ทำไม่ได้ แต่คนอื่นเขาทำได้ เปรียบให้ดูคุณว่าคุณกินข้าวมื้อเดียว ผมก็เคยทำมาแล้ว แถมกินเจซะด้วย แต่มันผิดกันตรงที่ผมทำงาน คุณไม่ทำงาน คุณบอกว่า คุณมีเมียคุณไม่ยุ่งกับเมีย ผมก็เคยมีเมียและไม่ยุ่งกับเมีย เมียคุณรักคุณ เมียผมก็รักผม สรุปคือเมียเราดีทั้งคู่ แต่ปัญหาไม่ใช่อยู่ตรงนั้น ปัญหาก็คือเราต้องเป็นคนดีด้วย นั้นก็คือต้องมีความเสียสละครับ เสียสละอย่างไร ก็คืออย่ากับเมียเปิดโอกาสให้เขาไปมีคนอื่น แล้วจะทำอย่างไร เพราะเมียเรารักเราคงจะไม่ยอมหย่า มันก็ต้องทำให้เธอเลิกรักเราซะ ด้วยการทำให้เธอเห็นว่า เราเป็นคนไม่เหมาะสมกับเธอ (จะทำอย่างไรขึ้นอยู่กับเหตุการณ์) ตัวอย่างพูดจากระทบน้ำใจเธอก็ได้(แสร้งทำ) ก็แค่เนี้ยง่ายๆ มันอยู่ที่คนดีอย่างคุณกล้าเสียสละหรือเปล่าหรือดีแต่ขี้โม้ |
เจ้าของ: | bigtoo [ 16 ส.ค. 2012, 09:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลงสนามจริง |
โฮฮับ เขียน: bigtoo เขียน: โฮฮับ เขียน: ไม่ต้องเรียนรู้หรอกครับ อย่างคุณผมว่าเพื่อนๆในนี้เขาไม่ทำกันหรอกครับ ผมก็อวดแต่คุณเท่านั้นแหละพี่โฮ ผมสนทนากับท่านอื่นผมมีแต่ยกย่องเขา แต่กับท่านนี้ต้องแสดงปฎิหารข่มก็เท่านั้นเพราะอะไรรู้มั้ยครับ "ก็อายยังไงล่ะครับ" คนอื่นญาติพี่น้องเป็นหมอ จบด๊อกเตอร์ เป็นผู้พิพากษา เขายังไม่เอามาคุย ทั้งๆที่เป็นพี่น้องสายเลือด เชื้อdna เดี่ยวกัน นี่อะไรอวดสิ่งที่ไม่เข้าท่า ที่เขาไม่เอามาคุยเป็นเพราะ มันเป็นกิเลสมันแสดงถึงความอยากได้ใคร่ดี ผู้ชายไม่ทำงาน ให้ไปบวชก็ไม่ไป ให้ผู้หญิงหาเลี้ยง แต่ปากก็โม้ว่า ตัวเองปฏิบัติ วางอุเบกขาแล้ว บรรลุแล้ว ผมว่าคุณเข้าใจผิดมากเลยนะครับ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แบบคุณเขาไม่เรียกนักปฏิบัติธรรมนะครับ เขาเรียกอะไร ถ้าคุณตั้งสติสักหน่อยก็จะรู้ครับ แบบว่าผู้ชายเขาจะโกรธมาก ถ้ามีใครไปเรียกเขาอย่างนั้น คือมันหมิ่นศักศรีความเป็นชายครับ ก็ด้วยสติปัญญาแค่นี่ไง เลยคิดว่าสิ่งที่อวดผม มันเป็นสิ่งดีน่าอวด ผมก็อธิบายให้ฟังแล้วว่า การกระทำของคุณลูกผู้ชายเขาไม่ทำกัน อย่าว่าแต่คนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ผู้ที่ปฏิบัติเขายิ่งรังเกียจสิ่งที่คุณกระทำครับ คุณนี่มันทู่สมชื่อเลยครับ bigtoo เขียน: เพราะคุณมันดื้อ ผมจบม6ผมกล้าบอกความต้อยต่ำของตนเองให้คนอื่นรู้ อย่างนี้เรียกว่าอวดเหรอครับ ใครเขาจะอวดกันแค่ม6 ทู่เอ้ยทู่ ก็เพราะการที่คุณจบแค่ม.6ไงครับ มันเป็นปมด้อยในใจ จะบอกใครว่า จบม.6เฉยมันเกิดความอับอายครับ เลยต้องสร้างเรื่อง เพื่อลบปมด้อยตัวเอง ด้วยการบอกว่า ได้เมียที่จบโท ดูความคิดคุณแล้วไม่น่าจบม.6นะครับ เหมือนคนจบป.6มากกว่า พูดอะไรคิดอะไรตื้นๆ bigtoo เขียน: แต่ความที่มีดีนี่ต่างหากครับที่อยากอวดเพราะอยากให้ทำตาม เพื่อนผมมีเงินเดือนเกือบครึ่งล้าน ทำไมเขาจึงเป็นเพื่อนสนิทผมเพราะอะไรครับ เพราะสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้เขารู้จักผมดีไง ว่าผมเป็นอย่างไร หลงตัวเองซะไม่มีล่ะ หัดดูคนอื่นเขาบ้าง หัดมองเห็นความดีรอบตัวเองบ้าง อย่าโมเมคิดเอาเองว่า ตัวเองเป็นศูนย์กลางของความดี เพื่อนคุณที่มีเงินเดือนเกือบครึ่งล้าน แล้วยังคบคนอย่างคุณอยู่ เป็นเพราะความดีของเพื่อนคุณ ไม่ใช่ความดีของคุณ ที่เขาคบคุณก็ด้วยความเป็นเพื่อน เขาไม่รังเกียจความต่ำต้อยของคุณ เขาไม่สนใจที่คุณจะอ้างธรรมเพื่อที่จะไม่ทำงาน ดังนั้นผมว่านะครับ เพื่อนคุณเขาดีเกินกว่าที่จะปฏิเสธความเป็นเพื่อนกับคุณครับ เมียคุณก็เช่นกันครับ เมียคุณจบโทและยังหาเลี้ยงคุณได้ มันก็เป็นความดีของเมียคุณ คุณอย่าหลงว่าคุณมีดีครับ ความดีคุณไม่มีซักกระผีก เห็นมีแต่คนดีๆเขาหยิบหยื่นความดี ให้กับคุณ แต่คุณก็ยังไม่สำเหนียก เขาใจไปเองว่าตัวเองมีดี พูดแล้วผะอืดผะอมจริงๆครับ bigtoo เขียน: ธรรมมะที่ทำได้ยากใครๆเขาก็ชื่นชม อย่างพระทุกวันนี้เรากราบท่านเพราะอะไร ก็เพราะศิลที่ท่านมีใช่มั้ยครับ และที่ภรรยาผม และเพื่อนๆที่เขาให้ความเคารพผมนั้นก็เพราะผมทำในสิ่งที่เขายอมรับว่ามันทำได้ยากและเป็นสิ่งที่ดียังไงครับ ไม่ใช่ได้แต่พูดถึงธรรมมะแต่ลดละอะไรไม่ได้เลย ผมกำลังทำอะไรคุณก็ไม่รู้ ผมคิดอะไรอยู่คุณก็ไม่รู้ คนที่รับอาหารมื้อเดียว ไม่เสพเมถุน และเสพกามทุกชนิดไม่มีอะไรที่เขาจะทำเพื่อตัวเองแล้วครับ นั้นเป็นการพูดเองเออของคุณครับ ผมก็บอกเหตุผลไปแล้ว คำพูดที่อวยตัวเองซ้ำซาก ผมก็ได้บอกเหตุผลไปแล้ว การกระทำของคุณไม่ใช่ว่าคนอื่นเขาทำไม่ได้ หรือไม่เคยทำ เขาก็บอกให้ฟังแล้วว่ามันเป็นประสบการณ์ เขาเคยทำมาทั้งนั้น ถ้าคุณไม่ดื้อด้านเหมือนที่คุณว่าคนอื่น คุณก็จะรู้ว่า... เป็นคุณนั้นแหล่ะที่ทำไม่ได้ แต่คนอื่นเขาทำได้ เปรียบให้ดูคุณว่าคุณกินข้าวมื้อเดียว ผมก็เคยทำมาแล้ว แถมกินเจซะด้วย แต่มันผิดกันตรงที่ผมทำงาน คุณไม่ทำงาน คุณบอกว่า คุณมีเมียคุณไม่ยุ่งกับเมีย ผมก็เคยมีเมียและไม่ยุ่งกับเมีย เมียคุณรักคุณ เมียผมก็รักผม สรุปคือเมียเราดีทั้งคู่ แต่ปัญหาไม่ใช่อยู่ตรงนั้น ปัญหาก็คือเราต้องเป็นคนดีด้วย นั้นก็คือต้องมีความเสียสละครับ เสียสละอย่างไร ก็คืออย่ากับเมียเปิดโอกาสให้เขาไปมีคนอื่น แล้วจะทำอย่างไร เพราะเมียเรารักเราคงจะไม่ยอมหย่า มันก็ต้องทำให้เธอเลิกรักเราซะ ด้วยการทำให้เธอเห็นว่า เราเป็นคนไม่เหมาะสมกับเธอ (จะทำอย่างไรขึ้นอยู่กับเหตุการณ์) ตัวอย่างพูดจากระทบน้ำใจเธอก็ได้(แสร้งทำ) ก็แค่เนี้ยง่ายๆ มันอยู่ที่คนดีอย่างคุณกล้าเสียสละหรือเปล่าหรือดีแต่ขี้โม้ ![]() ครับ และผมก็น้อมนำความดีที่ท่านบอกกล่าวเอามะกระทำก็เท่านั้นเอง เรื่องที่คุณเคยฝึกมานั้นแทนที่จะพัฒนาขึ้นดันปล่อยให้มันต่ำลง ผมนะฝึกมาตั้งนานแล้วทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ในที่สุด แล้วก็มั่นใจเลยทำต่อให้ดีกว่าเก่า ไม่ใช่ทนไม่ไหวแล้วบอกว่ามันไม่ถูกทาง ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |