วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 17:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2012, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ถาม-ตอบ ..เรื่อง การแยกจิต ออกจากกาย

คำถาม...ในกรณีของนั้งสมาธิแล้วจิตหลุด หรือการนั้งสมาธิแล้วถอดจิตไปในที่ต่างๆ โดยที่สังขารยังไม่ตาย อย่างนี้เรียกว่าจิตแยกออกจากกายไหม ชี้แนะที

มีคนบอกว่า จิตก็คือจิต กายก็คือกาย กายคือสมมุติ จิตคือของจริง แม้กายดับแต่จิตยังไม่ดับ(อันนี้เขาบอกมาอีกทีนะ) หากที่ท่านศรีบอกว่ากายคือจิต กายดับจิตไม่ดับไปด้วยหรอ ถ้าจิตกับกายคือสิ่งเดียวกัน หากจิตไม่มีกาย จิตจะแตกสลายหรอ อย่าพึ่งดุเรานะเราพึ่งศึกษาไม่นานช้วยอธิบายที

ปล...เราคิดว่าแท้จริงแล้วการแยกจิตออกจากกายในความหมายของการนั้งสมาธิคงไม่ได้หมายถึงการตายหรอกมั้งนะ แต่คงเป็นเพราะะจิตไปรู้เห็นหรือละวางอะไรสักอย่างเกียวกับกาย หรือจิตอาจจะเบาจนไม่รู้สึกว่ามีกายอยู่ และไม่หลงเหลือลักษณะแห่งตนโดยที่จิตก็ยังคงอาศัยอยู่ในกายแต่แยกด้วยปัญญา หรืออาจจะเป็นสภาวะอื่นที่นอกเหนือจากนี้ คงไม่ใช่การตายอย่างที่ จขกท เข้าใจ หรอกมั้งนะเราก็เดาเอานะถูกไม่ถูกหรือยังไงชี้แนะที ยังไงก็อย่าพึ่งดุด่าเรานะ จขกท เพราะเราก็เดาเอานะ


อธิบายว่า
นั่งสมาธิ แล้วถอดจิต ไม่มีผู้ใดถอดจิตได้เพราะเพียงแค่การนั่งสมาธิดอกขอรับ เว้นแต่คิดเอาเองเท่านั้น
กายกับจิต ถ้าดับ ก็ดับพร้อมกันขอรับ เพราะสิ่งที่ไม่ดับในทางพุทธศาสนา คือ วิญญาณ ขอรับ ไม่ใช่จิต ข้าพเจ้าอธิบายไปแล้วว่า จิตกับใจ คือสิ่ง สิ่งเดียวกัน เพียงแต่ถ้าหากพิจารณาในอีกทางหนึ่ง เช่นหากพิจารณาในเรื่องของ จิต,เจตสิก ,รูป,นิพพาน และ พิจารณาในเรื่องของ สติปัฎฐาน ๔ ก็จะต้องพิจารณาแยกรายละเอียด เกียวกับจิตให้ลึกลงไปอีก เพราะเป็นชั้นของการพิจารณา ญาณ(ยาน) เพี่อให้รู้และเข้าใจในอันที่จะบรรลุนิพพานขอรับ
ไม่มีใครแยกจิตออกจากการได้ขอรับ ที่มันคุยๆกันนั้นมันอวดอุตริฯ กายกับจิตจะอยู่ติดกันตลอด ถ้าไม่มีกาย ก็ไม่มีจิต ถ้ามีจิต ก็ต้องมีกาย จิตและกายจะเป็นอย่างไรนั้นว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกว่า ถ้านั่งสมาธิ แล้วจะตาย เพียงแต่อธิบายว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแยกจิตออกจากกายได้ และไม่สามารถแยกกายออกจากจิตได้
การปฏิบัติสมถกรรมฐาน ไม่ใช่เป็นการแยกจิตออกจากกาย แต่เป็นการฝึกเพื่อควบคุมมิให้เกิดความคิดฟุ้งซ่าน อันก่อให้เกิดจิตใจสงบ ไม่อธิบายต่อนะขอรับ เพราะยังมีอีกเยอะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2012, 22:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ถาม-ตอบ ..เรื่อง การแยกจิต ออกจากกาย

คำถาม...ในกรณีของนั้งสมาธิแล้วจิตหลุด หรือการนั้งสมาธิแล้วถอดจิตไปในที่ต่างๆ โดยที่สังขารยังไม่ตาย อย่างนี้เรียกว่าจิตแยกออกจากกายไหม ชี้แนะที

มีคนบอกว่า จิตก็คือจิต กายก็คือกาย กายคือสมมุติ จิตคือของจริง แม้กายดับแต่จิตยังไม่ดับ(อันนี้เขาบอกมาอีกทีนะ) หากที่ท่านศรีบอกว่ากายคือจิต กายดับจิตไม่ดับไปด้วยหรอ ถ้าจิตกับกายคือสิ่งเดียวกัน หากจิตไม่มีกาย จิตจะแตกสลายหรอ อย่าพึ่งดุเรานะเราพึ่งศึกษาไม่นานช้วยอธิบายที

ปล...เราคิดว่าแท้จริงแล้วการแยกจิตออกจากกายในความหมายของการนั้งสมาธิคงไม่ได้หมายถึงการตายหรอกมั้งนะ แต่คงเป็นเพราะะจิตไปรู้เห็นหรือละวางอะไรสักอย่างเกียวกับกาย หรือจิตอาจจะเบาจนไม่รู้สึกว่ามีกายอยู่ และไม่หลงเหลือลักษณะแห่งตนโดยที่จิตก็ยังคงอาศัยอยู่ในกายแต่แยกด้วยปัญญา หรืออาจจะเป็นสภาวะอื่นที่นอกเหนือจากนี้ คงไม่ใช่การตายอย่างที่ จขกท เข้าใจ หรอกมั้งนะเราก็เดาเอานะถูกไม่ถูกหรือยังไงชี้แนะที ยังไงก็อย่าพึ่งดุด่าเรานะ จขกท เพราะเราก็เดาเอานะ


อ้างคำพูด:
อธิบายว่า
นั่งสมาธิ แล้วถอดจิต ไม่มีผู้ใดถอดจิตได้เพราะเพียงแค่การนั่งสมาธิดอกขอรับ เว้นแต่คิดเอาเองเท่านั้น
กายกับจิต ถ้าดับ ก็ดับพร้อมกันขอรับ เพราะสิ่งที่ไม่ดับในทางพุทธศาสนา คือ วิญญาณ ขอรับ ไม่ใช่จิต ข้าพเจ้าอธิบายไปแล้วว่า จิตกับใจ คือสิ่ง สิ่งเดียวกัน เพียงแต่ถ้าหากพิจารณาในอีกทางหนึ่ง เช่นหากพิจารณาในเรื่องของ จิต,เจตสิก ,รูป,นิพพาน และ พิจารณาในเรื่องของ สติปัฎฐาน ๔ ก็จะต้องพิจารณาแยกรายละเอียด เกียวกับจิตให้ลึกลงไปอีก เพราะเป็นชั้นของการพิจารณา ญาณ(ยาน) เพี่อให้รู้และเข้าใจในอันที่จะบรรลุนิพพานขอรับ
ไม่มีใครแยกจิตออกจากกายได้ขอรับ ที่มันคุยๆกันนั้นมันอวดอุตริฯ กายกับจิตจะอยู่ติดกันตลอด ถ้าไม่มีกาย ก็ไม่มีจิต ถ้ามีจิต ก็ต้องมีกาย จิตและกายจะเป็นอย่างไรนั้นว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกว่า ถ้านั่งสมาธิ แล้วจะตาย เพียงแต่อธิบายว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแยกจิตออกจากกายได้ และไม่สามารถแยกกายออกจากจิตได้
การปฏิบัติสมถกรรมฐาน ไม่ใช่เป็นการแยกจิตออกจากกาย แต่เป็นการฝึกเพื่อควบคุมมิให้เกิดความคิดฟุ้งซ่าน อันก่อให้เกิดจิตใจสงบ ไม่อธิบายต่อนะขอรับ เพราะยังมีอีกเยอะ


cool

การแยกกายออกจากจิตไปอยู่คนละที่ละทางนอกกายออกไปห่างจากกันไปนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้อย่างคุณศรีอริยะว่า น่าจะจริงนะครับ

แต่การแยก รูป (กาย)....กับ....นาม (จิต).....นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่เป็นกระบวนการที่เกิดในร่างกายหรือขันธ์ 5 ก้อนนี้ คือ

จิตผู้รู้ กับ กาย หรือ รูปที่ถูกรู้ จะถูกแยกออกอยู่เป็นคนละส่วนกัน อุปมาเหมือนเรายืนดู วัตถุ แต่ทั้งหมดเกิดในขันธ์ก้อนนี้

การแยกรูป กับ นาม นั้นเป็นญาณหรือปัญญาอันแรกที่จะต้องเกิดกับผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา ท่านเรียกว่า

"นาม-รูป ปริเฉทญาณ"......ถ้าญาณนี้ยังไม่เกิด วิปัสสนาญาณก็จักไม่เดินหรือเจริญขึ้นไป สู่ มรรค ผล นิพพาน


นาม กับ รูปจะแยกออกจากกันได้ ความนิ่ง ความตั้งมั่น หรือสมาธิของจิตต้องถึงระดับที่หยุดความคิดนึกวิตกวิจารณ์ได้ คือ "ขนิกะสมาธิ"(หยุดคิดนึกได้เป็นพักๆ)และ "อุปจาระสมาธิ" (หยุดความคิดนึกหรือวิตกวิจารณ์ได้ชั่วคราว นานกว่า ขณิกะสมาธิ)

รูป - นาม จะต้องแยกจากกันได้ การสังเกต พิจารณาและรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริงจึงจะสามารถเกิดขึ้นมาได้

:b45:
เรื่องการแยกจิตออกจากกาย ตามกระทู้นี้น่าจะเข้ามาทาง....แยกรูป...แยกนาม... นี้มากกว่า สิ่งที่ดูเป็นอภินิหาร ที่แยกจิตให้หลุดออกไปจากกายด้วยอำนาจสมาธิ แล้วท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ อย่างที่เราพูดว่ากายทิพย์ นั่นอาจจะนอกทางธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไปกระมังครับ onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2012, 23:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 00:41
โพสต์: 9


 ข้อมูลส่วนตัว


งั้นถามด้วยอีกคนแล้วกันครับ s004

หลงไปนึกไปคิด...กายนั่งอยู่ท่าไหนทำอะไรอยู่ยังไม่รู้ตัวเนี่ยยยยย
ถอดจิตรึป่าวววว??? s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2012, 23:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กาย...ไม่ใช่เรา...แล้วทำไม...มันกับเราถึงจะแยกกันไม่ได้...

ถึง...เราไม่อยากจะแยก..พอธาตุขันธ์มันเสื่อม...เราก็อยู่กับมันไม่ได้...

อะไรกันที่ถูกเอาไปเผา...ไม่รู้ร้อนรู้หนาว....อะไรกันที่ไปเวียนว่ายตายเกิด...รับวิบากกรรมกรำทุกข์ตลอดสายในวัฏฏะ...

ตัวที่แยกไป..จะเรียกจิต..หรือ..ใจ..จะเรียกอะไรก็แล้วแต่...แต่...มันมีแน่.ๆ..แหละ...

เอิ๊ก...เอิ๊ก...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 05:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


บางคนว่า เหนือชั้นกว่าคือ

ถอดกายทิพย์

ตามทฤษฏีแล้ว จิตจะไปอยู่โดดเดี่ยวไม่มีกาย ไม่ได้เลย

เวลาอธิบายของคนที่พอจะรู้ทฤษฏีนี้ ก็จะพูดเป็นว่า ถอดกายทิพย์ไปดูนรก สวรรค์ หรือไปโน่น มานี่

ส่วน นามรูปปริเฉทญาณ ก็คือ
ขันธ์ที่เป็นกลุ่มก้อน ยังแยกเป็น5กองเลย คือกองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ

นั่นเป็นทฤษฏี ที่นี้เขาให้ใช้ปัญญา มองให้เห็นว่า มันแยกกันจริงหรือ

ฝึกมองให้เห็นความแยก ความไม่รวมกัน ด้วยปัญญา

มิใช่ว่า พอได้ญาณตัวนี้แล้ว จะถอดจิตไปอีกทาง กายไปอีกทาง ..........คงไม่ใช่อย่างนั้น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอยู่กับหญิงคนหนึ่ง :b13: แต่ใจไปอยู่กับหญิงอีกคนหนึ่ง :b13: อย่างนี้เรียกแยกรู้แยกนานหรือเปล่าอิๆๆ :b9:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เคยเจอไม่ได้แปลว่าไม่มีนะลุง พิสูจไม่ได้ไม่ได้แปลว่าไม่จริงนะลุง

นั้งสมาธิจิตหลุดกลับเข้ากายไม่ได้กลายเป็นผีจรก็มี

นั้งสมาธิแบ่งจิตญาณไปในที่ต่างๆก็มีไม่ได้ไปทั้งหมดแต่ทิ้งจิตญาณไว้กับกายส่วนนึงก็มี
มีจริงทั้งสิ้น คนไม่เคยเจอก็บอกไม่มี

(จิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจนะลุง)

555+ ฟังแล้วไม่ตรงกับสิ่งที่ลุงรู้ก็อย่าบ่นล่ะลุง เดียวมายเกรนขึ้น ฮร้ะๆๆๆๆๆๆ

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


แก้ไขล่าสุดโดย wangmingdi เมื่อ 30 ส.ค. 2012, 10:09, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 09:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ตัวอยู่กับหญิงคนหนึ่ง :b13: แต่ใจไปอยู่กับหญิงอีกคนหนึ่ง :b13: อย่างนี้เรียกแยกรู้แยกนานหรือเปล่าอิๆๆ :b9:


:b14: :b14: :b14:

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 09:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นการที่จิตไปสร้างอัตภาพ อีกอัตภาพหนึ่ง(สร้าง ภพ)

ตรงนี้ต้องไปดูพระสูตรที่กล่าวถึง การเกิดขึ้นแห่ง อัตภาพ/ภพ

ซึ่งเอกอนคิดว่าน่าจะมีที่พระพุทธองค์สอนไว้
ที่ว่าอัตภาพประกอบด้วยขันธ์อย่างไรได้บ้างน่ะ
เพราะมันจะโยงสัมพันธ์กับ วิญญาณฐิติ
ที่จะมี .... รูปพรหม อรูปพรหม สัญญีพรหม อสัญญีพรหม

อิอิ ไม่รู้จะเขียนผิดรึเปล่า
พอดีรู้ว่ามีลักษณะเช่นนั้นปรากฎ
แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธองค์เอามาสอน/บัญญัติไว้ว่าอย่างไร


:b12: :b13: :b13: :b12:

คือ ในความเข้าใจของเอกอน
ถ้าใครสามารถถอดจิตได้
ตอนที่จิตเข้าไปปรากฎในอีกอัตภาพ
คือมันจะต้องมี (บางสิ่ง) ปรากฎ ให้จิตเข้าไปตั้งอยู่ได้
ซึ่งถ้าเข้าพิจารณาได้ก็จะมองเห็นการปรากฎแห่งอัตภาพ
และการที่จิตเข้าไปตั้งอยู่ได้ในอัตภาพนั้น
และอัตภาพนั้น ๆ มีขันธ์ ใด อย่างไร และมีช่วงชีวิตแห่งอัตภาพนั้นอย่างไร (เกิด-ดับ / อายุ)


:b23: :b23: :b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 10:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


วิญญาณฐิติ ๗

วิญญาณฐิติ หมายถึง ภูมิอันเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ ที่ตั้งแห่งปฏิสนธิวิญญาณ มีสิ่งควรกำหนดความแตกต่างกันดังนี้

๑. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน ได้แก่มีร่างกาย ตัวตนที่แตกต่างกันไป สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม พิการ สมบูรณ์ เป็นรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นได้ทั่วไป ดังเช่น คนไทย กับฝรั่ง นิโกร เป็นต้น

๒. สัตว์บางพวก มีสัญญาต่างกัน ได้แก่มีการรู้ และรับอารมณ์ที่แตกต่างกันไป ดี ชั่ว ประณีต หยาบ เพราะสัตว์เหล่านี้ถือว่าเป็นปุถุชนอยู่ ยังมีกิเลสหนาปัญญาหยาบแตกต่างกันไปเป็นลำดับชั้น ท่านจัดไว้ ๗ ประเภท ตามลักษณะของสัตว์ที่ยังมีสัญญาอยู่ ดังนี้

๑. ประเภทที่มีกายต่างกันมีสัญญาต่างกัน ได้แก่ มนุษย์ เทวดาในสวรรค์ชั้นฉกามาวจร ( จาตุมหาราช-ปรนิมมิตวสวัตดี ) และพวกเวนิกเปรต ที่พ้นจากอบายภูมิ ๔

๒. ประเภทที่มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่ พรหมผู้เกิดในชั้นปฐมฌานภูมิ ๓ ชั้น คือ พรหมปาริสัชชา, พรหมปโรหิตา, มหาพรหม

๓. ประเภทที่มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน ได้แก่ พรหมผู้เกิดในชั้นทุติยฌานภูมิ คือ อาภัสสรพรหม

๔. ประเภทที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่ พรหมผู้เกิดในชั้นตติยฌานภูมิ คือ สุภกิณหพรหม

๕. ประเภทที่เข้าถึงอากาสานัญจยตนฌาน ได้แก่ อรูปพรหมผู้เกิดในอรูปาวจรภูมิชั้นที่ ๑ ด้วยฌานที่กำหนดอากาศ คือช่องว่างอันหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์

๖. ประเภทที่เข้าถึงวิญญาณณัญจายตนฌาน ได้แก่ อรูปพรหมผู้เกิดในอรูปาวจรภูมิชั้นที่ ๒ ด้วยฌานที่กำหนดวิญญาณอันหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์

๗. ประเภทที่เข้าถึงอากิญจัญญายตนฌาน ได้แก่ อรูปพรหมผู้เกิดในอรูปาวจรภูมิชั้นที่ ๓ ด้วยฌานที่กำหนดภาวะที่ไม่มีอะไร ( ความว่าง ) เป็นอารมณ์

:b48: :b50: :b50: :b50: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 10:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: การจะไล่ลำดับ อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท

มันต้องเห็นการเข้าไปตั้งอยู่ของ วิญญาณ

และ การปรากฎแห่งอวิชชา

การเดินของสาย จนกระทั่ง จะปรากฎการหย่อนลงสู่ ภพ

ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน
จะเห็นชัด ๆ ก็น่าจะเป็นคนที่เข้า นิโรธ ได้

เพราะเขาจะเห็นการเริ่มต้นวงที่ดำเนินมาแบบเพรียว ๆ
ถ้าปรากฎ ภพ แต่ สัตว์ ยังไม่เข้าไปตั้งใน ภพ นั้น
ก็เข้า นิโรธ ต่อ
แต่ถ้ามีการหย่อนจิตลงสู่ ภพ ก็จะปรากฎ สัตว์

ซึ่งพระพุทธองค์ต้องระบุให้ ภิกษุที่เข้านิโรธสมาบัติ
ก่อนเข้าต้อง กำหนดจิตว่าหากมีเรื่องเกี่ยวกับทางสงฆ์จะต้องออกจากนิโรธสมาบัติ
เพราะถ้า ภิกษุไม่กำหนดจิตก่อนเข้าไว้
ก็จะทำให้ท่านอยู่ในนิโรธสมาบัติตามรอบวิถีของท่าน

:b14: :b5: :b5: :b14:

แบบว่า...ว่าไปตามประสาเดา...หง่ะ

:b45: :b48: :b48: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 10:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
สัญเจตนิยวรรคที่ ๓

[๑๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกายมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะกายสัญเจตนา ๑- เป็นเหตุ หรือเมื่อวาจามีอยู่ สุขทุกข์ในภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะวจีสัญเจตนา ๒- เป็นเหตุ หรือเมื่อใจมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะ
มโนสัญเจตนา ๓- เป็นเหตุ อีกอย่างหนึ่ง เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย บุคคลย่อม
ปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งกายสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย
ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น หรือบุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็น
ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือบุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขารอันเป็น
ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร
ของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง หรือบุคคล
รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือ
บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งมโนสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย
ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง หรือบุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัย
ให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือบุคคลไม่รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็น
ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชาติดตามไปแล้วใน
ธรรมเหล่านี้ แต่เพราะอวิชชานั่นแลดับโดยสำรอกไม่เหลือ กายอันเป็นปัจจัย
ให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ย่อมไม่มี วาจา ... ใจ ... เขต ... วัตถุ
... อายตนะ ... อธิกรณะอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น
ย่อมไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน
คือ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป
@๑. ความจงใจทางกาย ๒. ความจงใจทางวาจา ๓. ความจงใจทางใจ
ก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของตนเป็นไป
ก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปก็มี
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนก็มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นก็มิใช่เป็นไปก็มี ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้แล ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อนี้ ข้าพระองค์ทราบชัด
เนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้ว่า บรรดาความได้อัตภาพ ๔ ประการนั้น ความได้
อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปนี้ คือ การจุติ
จากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนเป็นเหตุ ความได้
อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป มิใช่สัญเจตนาของตนเป็นไปนี้ คือ การจุติ
จากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของผู้อื่นเป็นเหตุ ความได้
อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปนี้ คือ การจุติจาก
กายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนและสัญเจตนาผู้อื่นเป็นเหตุ
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไปก็มิใช่ สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปก็มิใช่นี้
จะพึงเห็นเทวดาทั้งหลายด้วยอัตภาพนั้นเป็นไฉน พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรสารีบุตร พึงเห็นเทวดาทั้งหลายผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ด้วยอัตภาพนั้น ฯ
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้
สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามีกลับมาสู่ความเป็นอย่าง
นี้ อนึ่ง อะไรเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้น
แล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์
ไม่ได้ แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี
และถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญา-
*นาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม


เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานา-
*สัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่าง
นี้ ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึง
ความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งในเนวสัญญานา-
*สัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญา-
*นาสัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความ
เป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลก
นี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ อนึ่ง นี้เป็นเหตุ
เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี
ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 11:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 191


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่นก็ต้องมาดูความหมายของเจ้าของกระทู้ว่า การแยกจิตออกจากกายนั้น หมายเอาภาวธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ หรือ ลักษณะการแยกจิตออกจากกายที่เป็นการทำด้วยอำนาจฤทธิ์ทางใจ ภาวธรรมที่เกิดภายในจิตใจนั้น เป็นภาวธรรมที่เกิดขึ้นได้จริง คือ อารมณ์ เจตสิก สังขารทั้งหลายไม่เจือปนด้วยจิตใจ เป็นแต่เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตใจเป็นแต่ผู้รู้ผู้ดูอยู่ เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว อันนี้จะเกิดขึ้นแก่ผู้ทำแล้วมีสมถะและวิปัสสนาเป็นกิจ อารมณ์ภาวธรรมอย่างนี้ ก็เรียกว่า กายกับจิตแยกจากกัน ส่วนลักษณะการแยกจิตออกจากกายที่เป็นการทำด้วยอำนาจฤทธิ์ทางใจ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง บางท่านก็เรียกว่า มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งกำลังใจ อันนี้ก็เป็นการเริ่มจากการทำใจให้สงบเป็นฌาน ทำให้ชำนาญในการเข้าออก ก็เป็นสิ่งที่สำเร็จด้วยใจได้ แม้พระวิปัสสนาจารย์อย่างท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านก็ได้เคยสนทนาเกี่ยวการทำกรรมฐานของท่านทำนองนี้ว่า จิตของผมนี้แปลก เวลาจิตรวมสงบแล้ว มันโลดโผนทะลุลงดิน ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านทั้งหลาย ในเรื่องของ การแยกจิตออกจากกาย นี้ ข้าพเจ้าได้นำกระทู้มาเพราะเห็นว่า ผู้เขียน ไม่มีความรู้ความเข้าใจดีพอ รวมไปถึงท่านทั้งหลายด้วย ที่กล่าวไปนี้ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นดูถูกนะขอรับ

เพราะผู้เขียนเรื่อง การแยกจิตออกจากกาย นั้น ได้ยกข้ออ้างมากล่าวว่า "สมถกรรมฐาน" คือ การแยกจิตออกจากาย
เป็นไปไม่ได้ขอรับ และไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด ไม่ว่า จิต ที่กล่าวถึง จะเป็น รูป หรือ นาม ก็ตาม เพราะการปฏิบัติ สมถกรรมฐาน เป็นเพียง การทำให้ใจสงบ หรือจะเรียกว่า ปฏิบัตสมาธิ ไม่มีทางที่จะ แยกจิตออกจากกายได้ ถึง จิต จะเป็นเพียงนามใดใดก็ตาม จิตที่เป็นนามเหล่านั้น ก็จะยังคงวนเวียนอยู่ในสมอง อยู่ในจิตใจ อยู่ในระบบประสาท เพราะมันเป็นระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์ อันเป็นธรรมชาติ
ยิ่งพวกที่คิดว่า ถอดกายทิพย์ได้ ด้วยการนั่งสมาธิยิ่งเพ้อเจ้อ เข้าไปหนัก เพราะไม่มีทางถอดกายทิพย์ได้ เพราะในร่างกายของคนเรา มนุษย์เรา ไม่มีกายทิพย์ มีแต่ อะตอม นิวเคลียส ฯลฯ อันประกอบกัน เป็นอวัยวะต่างๆ ถ้าประกอบกันเป็น จิต ในทางพุทธศาสนา นั่นย่อมหมายถึง "หัวใจและสมอง" ซึ่งเป็นได้ทั้งรูป และนาม ขึ้นอยู่กับการทำงานของมัน

มนุษย์แยก ดวงจิตได้ไหม (ดวงจิตในที่นี้หมายถึง อะตอม นิวเคลียส) แยกได้ขอรับ และสามารถแยกออกมาเป็นร่างกายอีกร่างกายหนึ่งได้ ถ้าหากมีความรู้ความเข้าใจ มีการฝึกที่ถูกต้อง และรวมไปถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่นๆอีกหลายประการ

แต่ไม่ใช่การแยกจิต ออกจากกาย เพราะมันเป็นการ สร้างดวงจิตใหม่ขึ้นมา และในร่างกายเดิมก็ยังคงมีดวงจิตนั้นคงอยู่ ไม่หายไปไหน จึงไม่ใช่การแยกจิตออกจากร่างกาย แต่เป็นการ แบ่งภาค คนละความหมายกับการ แยกจิตออกจากร่างกาย
อธิบายพอสังเขปก่อนขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2012, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


บางครั้งคนเราก็ยากที่จะแยกออกระหว่างอัจฉริยะกับปัญญาอ่อน

คุณนั้งสมาธิคงได้แต่สงบซินะ เลยไม่รู้ว่าเมื่อฝึกสมาธิถึงขั้นขั้นนึงผลลัพมันไม่ใช่แค่จิตสงบอย่างเดียว

ถ้าคุณนั้งสมาธิแล้วได้แค่สงบก็ไม่แปลกหรอกที่จะบอกรูปกับนามเป็นอย่างที่คุณบอก

ถ้าจะให้สงบแค่ดูลมหายใจไปเรื่อยๆก็สงบแล้วไม่จำเป็นต้องไปนั้งด้วยซ้ำไป

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 139 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร