ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
พระสูตร http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=43271 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | bigtoo [ 13 ก.ย. 2012, 15:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | พระสูตร |
พระสูตรทั้งหมดที่หลายๆท่านยกมานั้น ตั้งเป็นข้อสังเกตุนะครับ พระสูตรนั้นพระองค์เพียงอธิบายว่าสิ่งนี้เป็นเหตุให้เิกิดสิ่งนั้น หรือพูดง่ายๆว่าสิ่งทั้งหลายนั้นทำให้เกิดทุกข์ ละสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็หมดทุกข์ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปในทางนี้ทั้งนั้น แต่นั้นเป็นการกล่าวถึงการละ มิได้กล่าวถึงวิธีละหรือวิธีปฎิบัติ หลายๆท่านตีความว่าวางซะก็จบเพียงไม่เข้าไปยึดก้จบ ท่านต้องกลับมาดูที่มรรคซิครับเส้นทางเดินหรือวิธีปฎิบัติมันมีอะไรมากมาย ไม่ใช่ล่ะด้วยความคิด ความคิดที่ถูกต้องเป้นเพียงแค่การเห็นทางเดินเริ่มต้นบนทางเท่านั้น วิธีเดินก้าวที่สองนั้นสัมมาสังกัปโปนั้นไงการคิดออกจากกามเริ่มขบวนการลดละเลิกแล้ว ย้อนกับไปดูสาวกของพระองค์ที่บรรลุไว ย้อนไปดูสิจะรู้ว่าแต่ละท่านนั้นบำเพ็ญกันมามากแค่ไหนในอดีตชาติ เราจะยึดเป็นตัวอย่างเพียงว่าบรรลุง่ายๆเท่านั้นได้อย่างไร ถ้าท่านกล่าวว่าเราก็ผ่านมาในสังสารวัฎมากมายก็ต้องบำเพ็ญมาแล้วเหมือนกัน อันนี้ผมไม่ขัดแย้ง แล้วท่านฟังเสร็จอ่านเสร็จมากี่ปีแล้ว มันบรรลุหรือเปล่า รู้ก็รู้เรื่องเดิมๆถ้ามีปัญญาพอสะสมมามากพอบรรลุไปนานแล้ว มันขาดขั้นตอนอะไรหรือเปล่า ถามตัวเองดูแล้วจะรู้ ไม่มีใครรู้หรอกครับ ยังหลงอยู่เยอะ ตั้งเป็นข้อสังเกตุถ้าใครบอกว่าปล่อยวางแบบสบายๆ คือท่านบรรลุแล้วแต่บรรลุในแบบของท่านท่านจึงเข้าใจว่าปล่อยสบายๆแล้วบรรลุ ไม่สามารถสั่งสอนในด้านอื่นได้ หรือท่านไม่รู้และเข้าใจในพระธรรมที่ท่านทรงแสดงเลย |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 ก.ย. 2012, 17:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระสูตร |
จุดยอดปรารถนาหรือความต้องการสูงสุด ก็อันเดียว คือ ต้องการเข้าถึงความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดานี่เอง แต่มนุษย์ก็วนเวียนอยู่กับแง่มุมต่าง่ๆของมัน สำหรับธรรมที่เปิดเผยไว้ด้วยปัญญาตรัสรู้ในพระพุทธศาสนานั้น เรามองเห็นกันว่า เป็นความจริงที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ความจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้น เป็นหลักการใหญ่ที่ไม่จำกัดเฉพาะด้านวัตถุอย่างเดียว และไม่จำกัดเฉพาะนามธรรม แต่ท่านมองครอบทุกอย่าง ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ที่เราเรียกกันว่า นามรูป เราถือกันว่า ชีวิตมนุษย์นี้ เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก ถ้าเราไปค้นพบแต่เพียงวัตถุ เราก็ได้เพียงด้านเดียวของธรรม และเข้ามาถึงตัวเราก็แค่ด้านร่างกายเท่านั้นเอง |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 ก.ย. 2012, 17:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระสูตร |
ยิ่งกว่านั้น ในเมือรูปธรรม กับ นามธรรมมันอิงอาศัยกันอยู่ จะว่าทางด้านวัตถุ ก็คือส่วนที่เรียกกันง่ายๆว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งกลั่นกรองมาสุดยอด จึงมาเป็นร่างกาย นอกจากร่างกายแล้ว ยังมีส่วนจิตใจอีกซึ่งเป็นนามธรรม รวมเรียกว่า ขันธ์ ๕ มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ ทั้ง ๕ อย่างนี้ละ เป็นชีวิตของมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรม ตรัสรู้ความจริงแห่งกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมทั้งเรื่องนามธรรม และรูปธรรม เพราะฉะนั้น จึงเป็นความจริงที่มีความสมบูรณ์ในตัว ไม่ใช่เป็นความจริงเฉพาะด้าน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 ก.ย. 2012, 17:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระสูตร |
ถ้ามนุษย์จะเข้าถีงความจริงแท้ เขาหนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าใจตัวมนุษย์เอง ถ้าเข้าใจตัวมนุษย์เองแล้ว กล่าวได้ว่าเข้าใจหมดทุกอย่าง เพราะว่า ตัวมนุษย์นี้เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก และในสากลพิภพ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้เราค้นพบตัวเอง ให้รู้จักตัวเอง ให้เข้าถึงความจริงที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ นี้ เมื่อเข้าถึงความจริงนี้แล้ว ก็จะทำให้เราปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ทั้งภายในและภายนอก ถ้าปฏิบัติต่อจิตใจของตัวเองยังไม่ถูกต้อง ก็ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายภายนอกให้ถูกต้องไม่ได้ด้วย และก็จะแก้ปัญหาไม่จบไม่สิ้น ปํญหาทุกอย่างนั้น มันโยงกันไปหมด มีเหตุปัจจัยถึงกัน ทั้งรูปธรรม และนามธรรม ในที่สุดมนุษย์จะหนีไม่พ้น ที่จะต้องทำความเข้าใจตัวมนุษย์เองให้ชัดเจน คนจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยทั้งกาย และใจ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม พระพุทธเจ้าได้จับจุดของความจริงนี้ คือค้นพบความจริงของชีวิตนี้ทั้งหมด ทั้งนามธรรมและรูปธรรม โดยมองเห็นระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยที่ครอบคลุม |
เจ้าของ: | bigtoo [ 13 ก.ย. 2012, 17:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระสูตร |
สิ่งที่หยิบยกมาก็มีประโยชน์มาก สรุปชีวิตให่แคบลงไม่ต้องอธิบายมากขันต์5ก็จบเรื่อง จะดับขันต์ต่างหากหน้าที่เรา เข้าไปดูต่อที่กิจจญาณจบตรงนี้(เพราะเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่ต้องการจบเรื่องทุกเรื่องใน การสาระวน็ |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 14 ก.ย. 2012, 05:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระสูตร |
bigtoo เขียน: พระสูตรทั้งหมดที่หลายๆท่านยกมานั้น ตั้งเป็นข้อสังเกตุนะครับ พระสูตรนั้นพระองค์เพียงอธิบายว่าสิ่งนี้เป็นเหตุให้เิกิดสิ่งนั้น หรือพูดง่ายๆว่าสิ่งทั้งหลายนั้นทำให้เกิดทุกข์ ละสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็หมดทุกข์ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปในทางนี้ทั้งนั้น แต่นั้นเป็นการกล่าวถึงการละ มิได้กล่าวถึงวิธีละหรือวิธีปฎิบัติ ในพระสูตรแต่ละบท เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ทรงชี้แนะหรือบอกวิธิการปฏิบัติละกิเลส ของแต่ละบุคคลแล้วแต่จริต เนื้อหาในนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต ควรจะเดินจิตอย่างไร เมื่อเกิดกิเลสขึ้น ที่บิกทู่แสดงความเห็นแบบนี้เป็นเพราะบิกทุ่ ยังติดใน วิจิกิจฉา เลยทำให้ไม่สามารถอ่านหรือพิจารณาพระสูตรได้ เลยโมเมพูดเข้าข้างตัว ในลักษณะที่ว่า ถ้าสิ่งไหนที่ฉันไม่รู้ก็คือไม่ใช่ อวิชามั้ยครับบิกทู่ bigtoo เขียน: หลายๆท่านตีความว่าวางซะก็จบเพียงไม่เข้าไปยึดก้จบ ท่านต้องกลับมาดูที่มรรคซิครับเส้นทางเดินหรือวิธีปฎิบัติมันมีอะไรมากมาย ไม่ใช่ล่ะด้วยความคิด ที่บิกทู่เห็นว่ามรรคมันมากมาย เป็นเพราะบิกทู่เอามรรคมาเป็นความคิดไง การอธิบายความมาเป็นบัญญัติ มันก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา แต่การปฏิบัติจริง มันเป็นการปฏิบัติที่ใจ การทำงานของใจมันชั่วพริบตาเดียว สมัยพุทธกาล พระอริยสาวกแต่ละองค์ก่อนมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ท่านก็ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวก็บรรลุธรรมแล้ว สรุปตัวเองนั้นแหล่ะคิด แล้วไปว่าชาวบ้านเขาคิด บิกทู่คิดแล้วยัคิดนอกลู่นอกทางเสียด้วย ![]() bigtoo เขียน: ความคิดที่ถูกต้องเป้นเพียงแค่การเห็นทางเดินเริ่มต้นบนทางเท่านั้น วิธีเดินก้าวที่สองนั้นสัมมาสังกัปโปนั้นไงการคิดออกจากกามเริ่มขบวนการลดละเลิกแล้ว เละแล้วบิกทู่ ความคิดที่ถูกต้องคือความคิดที่ อยู่ในแนวทางของสัมมาทิฐิ นั้นก็คืออย่าไปคิดทำอะไร นอกลู่นอกทาง ให้มันผิดไปจากสถานะความเป็นอยู่ของตน ที่สำคัญ อย่าคิดผิดในเหตุแห่งทุกข์ bigtoo เขียน: ย้อนกับไปดูสาวกของพระองค์ที่บรรลุไว ย้อนไปดูสิจะรู้ว่าแต่ละท่านนั้นบำเพ็ญกันมามากแค่ไหนในอดีตชาติ เราจะยึดเป็นตัวอย่างเพียงว่าบรรลุง่ายๆเท่านั้นได้อย่างไร ที่บิกทู่บอกว่า เขาบำเพ็ญเพียรกันมาหลายชาติ เป็นเพราะยังไม่มีคนนำทาง พูดง่ายๆก็คือพระพุทธเจ้ายังไม่ค้นพบวิถีแห่งการพ้นทุกข์ มันก็เลยเป็นต่างคนต่างทำ ผิดๆถูกๆ แต่นี้เรามีพระพุทธเจ้านำทางแล้ว แล้วทำไมเราจะต้องไปบำเพ็ญเพียร ผิดๆถูกๆอีกหือบิกทู่ และถ้าสาวกที่บรรลุไว ไม่ใช้เพราะมาเจอพระพุทธเจ้าหรอกหรือ ผมว่าถ้ายังไม่มีพระพุทธเจ้า ปานนี้ก็ยังบำเพ็ญเพียรอยู่เลยมั้ง บิกทู่จะแสดงความเห็น ไม่รู้ใช้สติปัญญาคิดตามหรือเปล่า ทำไมความคิดของตัว มันแย้งกันเอง bigtoo เขียน: ถ้าท่านกล่าวว่าเราก็ผ่านมาในสังสารวัฎมากมายก็ต้องบำเพ็ญมาแล้วเหมือนกัน อันนี้ผมไม่ขัดแย้ง มันไม่เกี่ยวว่าจะบำเพ็ญหรือไม่บำเพ็ญ การจะพูดเรื่องบำเพ็ญเขาจะเน้นไปถึงพระพุทธเจ้า อริยสัจจ์สี่หรือพระธรรมพระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบองค์แรก นั้นหมายถึงยังไม่มีใครรู้ ไม่มีใครบอก ผู้ค้นพบค้นแรกมันก็ต้องลองผิดลองถูก ต้องใช้เวลานานกว่า เหตุเพราะไม่มีคนบอก แต่ถ้าเป็นเราในชาตินี้ เกิดในศาสนาพุทธมีพระธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปค้นหาเองแบบพระพุทธเจ้า เวลามันจึงแตกต่างกัน ส่วนเรื่องในอดีตมันก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เรื่องของคนอื่นในอดีต อาจเหมือนคุณในชาตินี้ก็ได้ นั้นก็คือเข้าใจพระธรรมนอกลู่นอกทาง แล้วตีความหมายไปเองว่า เป็นการบำเพ็ญเพียร bigtoo เขียน: แล้วท่านฟังเสร็จอ่านเสร็จมากี่ปีแล้ว มันบรรลุหรือเปล่า รู้ก็รู้เรื่องเดิมๆถ้ามีปัญญาพอสะสมมามากพอบรรลุไปนานแล้ว มันขาดขั้นตอนอะไรหรือเปล่า มันเป็นคุณคิดไปเอง ว่าเขาท่องตำราให้คุณฟัง คุณไม่เข้าใจแล้ว ก็โมเมไปเองว่า เขาท่องตำรา คุณไม่คิดในมุมกลับว่า ที่คุณว่าคุณปฏิบัติ แต่ทำไมเอาสิ่งที่เกิดมาอธิบายไม่ได้ พูดแสดงความเห็นเหมือนเขียนเรียงความ ใช้จินตนาการในการแสดงความเห็น ที่แน่ๆจะตีความอย่างไรมันก็ไม่ตรงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน พอมีคนมาอธิบายแสดงความเห็น และยืนยันความเห็นตัวเองถูกต้อง ด้วยการอ้างอิงพุทธพจน์ คุณกลับมองไปว่าเขาท่องตามตำรา จะบอกให้ทั้งบิกทู่และฝึกจิต มันก็แค่แสดงอาการกลบเกลื่อนความไม่รู้ของตน ผมถีงได้บอกว่าคุณสองคนแสดงอาการปลอบใจกันเอง มันไม่มีประโยชน์อะไรซักนิด bigtoo เขียน: ถามตัวเองดูแล้วจะรู้ ไม่มีใครรู้หรอกครับ ยังหลงอยู่เยอะ ตั้งเป็นข้อสังเกตุถ้าใครบอกว่าปล่อยวางแบบสบายๆ คือท่านบรรลุแล้วแต่บรรลุในแบบของท่านท่านจึงเข้าใจว่าปล่อยสบายๆแล้วบรรลุ ไม่สามารถสั่งสอนในด้านอื่นได้ หรือท่านไม่รู้และเข้าใจในพระธรรมที่ท่านทรงแสดงเลย คนที่เขารู้จริง เขาถามใจตัวเองอยู่เสมอว่า จะแสดงความเห็น ในใจมีกิเลสมั้ย เขาตัวรู้เท่าทันกิเลสไงครับ เขาถึงไม่แสดงอาการโอ่อวด พูดแสดงความเห็นก็พยายาม ให้อยู่ในกรอบของพุทธพจน์ หรือแม้แต่กลัวว่าผู้ฟังจะเข้าใจความเห็นตนเป็นอย่างอื่น เลยต้องโพสอ้างอิงพุทธพจน์ เพื่อจะสื่อให้เห็นว่า ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ การแสดงความเห็น อาจใช้คำไม่ตรงกับพุทธพจน์ แต่ความหมายต้องการสื่อในสิ่งที่ พระพุทธเจ้าทรงสอน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 ก.ย. 2012, 05:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระสูตร |
bigtoo เขียน: สิ่งที่หยิบยกมาก็มีประโยชน์มาก สรุปชีวิตให่แคบลงไม่ต้องอธิบายมากขันต์5ก็จบเรื่อง จะดับขันต์ต่างหากหน้าที่เรา เข้าไปดูต่อที่กิจจญาณจบตรงนี้(เพราะเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่ต้องการจบเรื่องทุกเรื่องใน การสาระวน็ ดับขันต์ต่างหากหน้าที่เรา พูดกำกวม ดับขันธ์ ดับชีวิตหรือ ผูกคอตายหรือ หรือดับยังไงอธิบายด้วย ขันธ์ 5 หรือชีวิตมันมีมันเป็นของมันยังงั้นตามธรรมชาติ ในเมื่อมันเป็นธรรมชาติ มนุษย์ก็แค่รู้ๆๆๆตามที่มันเป็นคือไม่ยึดขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง หรือยึดทั้งชีวิตว่าเป็นเราอย่างนี้ต่างหากถึงจะจบแบบศพสวย ![]() "สงฺขิตเตน ปญจุปาทานักขันธา ทุกฺขา" ทุกข์เพราะอุปาทานขันธ์ นี่เข้าทุกขอริยสัจแล้ว |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 ก.ย. 2012, 05:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระสูตร |
ย้ำ ธรรมชาติ (ขันธ์ 5 ชีวิต) มันเป็นของมันยังงั้น แต่มนุษย์โง่ (อวิชชา) ไปยึดมั่นถือมั่นธรรมชาติ ก็จึงกลายเป็นทุกขอริยสัจ พอเข้าใจมั้ยครับ ![]() |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 ก.ย. 2012, 07:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระสูตร |
กรัชกาย เขียน: ย้ำ ธรรมชาติ (ขันธ์ 5 ชีวิต) มันเป็นของมันยังงั้น แต่มนุษย์โb0.oviง่ (อวิชชา) ไปยึดมั่นถือมั่นธรรมชาติ ก็จึงกลายเป็นทุกขอริยสัจ พอเข้าใจมั้ยครับ อะไรๆก็เข้าใจกันเนาะ แต่กิจในอริยสัจ ไม่เข้าใจกันต่างหาก วนไปวนมาอย่างไรก็กิจในอริยสัจ(เป็นหน้าที่) ลด ละ เลิก ง่ายไม่ใช่เข้าใจอย่างเดียว ลด ละ เลิก ชัวร์สุดเป็นรูปธรรม ความคิดมันของปลอม
![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |