วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 14:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2012, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เมื่อเขาเจริญสติปัญญา แล้วปรากฏการณ์ยังงี้ เอาไงดี :b10: ถูกหรือผิดประการใด


อ้างคำพูด:
ผมมีความสนใจในการนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานมาก เคยไปฝึกนั่งอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมที่จังหวัดชลบุรีเมื่อนานมาแล้ว รู้สึกชอบมาก อยากไปอีก แต่เนื่องจากหน้าที่การงานและระยะทาง ทำให้ผมไม่มีโอกาศได้ไปอีก ดังนั้นผมจึงหาเวลานั่งสมาธิในห้องตอนหลังเลิกงานหรือเสาร์อาทิตย์แล้วแต่โอกาศจะอำนวยโดยนั่งอยู่ในห้องเช่าในตอนค่อนข้างดึกของวันนั้นๆ

การนั่งแต่ละครั้งผมจะใช้เวลาประมาณ หนึ่งถึงสองชั่วโมงและทุกครั้งที่ผมนั่ง ผมจะมาถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมีลักษณะจิตใจสงบ และดำดิ่งลงไปเป็นเวลานาน และในทันใดนั้นเองผมจะมีความรู้สึกเหมือนตัวผมกำลังจะหลุดออกจากร่างของตน และเมื่อถึงตรงนั้นผมก็จะรีบลืมตาคลายออกจากสมาธิทุกครั้งไป และผมไม่สามารถจะนั่งให้นานไปกว่านั้นได้เลย (ทั้งๆที่ใจก็อยากจะนั่งให้นานกว่านั้น)

ผมจึงอยากจะเรียนถามว่า อาการดังกล่าวนี้เนื่องมาจาสาเหตุอะไรครับ ผมพยายามจะหาคำตอบมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนเท่าไร อีกอย่าง แถบบริเวณที่ผมทำงานอยู่ก็หาสำนักปฏิบัติกรรมฐานไม่มีเลย จึงไม่รู้จะสอบถามผู้ใด

(มีบางครั้งที่ผมนั่งสมาธิอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนมีใบหน้าผู้หญิงโผล่ขึ้นมาในนิมิตโดยเขาพยายามจะเอาศรีษะแทรกเข้ามาในศรีษะของผม จนต้องสะดุ้งลืมตาคลายจากสมาธิ รบกวนช่วยแนะนำหน่อยครับว่าเป็นเพราะอะไร)
กล้าๆหน่อยๆ ไม่กล้าก็สงสัยไปเรื่อยๆ เรียนรู้เรื่องการพ้นทุกข์เถอะ วิปัสนาอยู่กับความจริงอยู่กับเจ็บนั้นแหล่ะดีที่สุดของแท้ ฝึกสมาธิถ้าไม่เข้าใจแล้วมันเจออย่างนี้แหละถ้าจิตไม่แข็งพอก็เป็นบ้าได้ มาอยู่กับความจริงเถอะอยู่กับลมหายใจอยู่กับความเจ็บนั้นแหละของจริงอยู่กับความรู้สึกผ่านไปให้ได้ด้วยใจเป็นอุเบกขา แค่นี้ก็บรรลุได้ อย่าอยู่กับสมาธิแบบสติไม่ทันหลงสติก็จะเกิดอย่างนีและมีเยอะมันผิดทางเดี๋ยวก็บ้ากันพอดี สำคัญที่สุดอย่าหลงสติจะต้องมีสติคือความระลึกอยู่ตลอดเวลา สมาธิเบอๆเดียวผีก็โผล่มาหลอกเอาอิๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2012, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นำ วิธีปฏิบัติตามแนวพุทธพจน์มาให้ดู

“ดูกรอานนท์ ธรรมเอก คือ อานาปานสติสมาธิ ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน 4 อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ 7 อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์”

"ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ เจริญอย่างไร ทำให้มากอย่างไร จึงจะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ?

ฯลฯ

-เธอมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก


-ใช้บำเพ็ญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานได้

1. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว

2. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น

ฯลฯ

ดูแล้วว่ามีคำบริกรรมไหม :b1:

เราจะทำยังไงจึงจะมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ทำยังไงจึงจะรู้ว่าลมหายใจเข้าหายใจออก (เข้าๆออกๆ ออกๆเข้าๆ) มันสั้นหรือมันยาว หรือมันสั้นๆยาวๆ ฯลฯ :b13:
การที่ให้เรารู้อยู่กับลมหายใจเฝ้าดูด้วยความตั้งใจว่าลมหายใจเข้าออกสั้นหรือยาวนั้นเพื่อให้เรามีสติรู้ตัวอยู่ตลอดไม่ให้หลงสติ ไปคิดเรื่องอื่น ตรงนี้อยู่กับธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีคำบริกรรม เมื่อสติเรามีกำลังสติจะเริ่มรับรู้ความรู้สึกทางกายที่ละเอียดขึ้น จนทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์ได้จนถึงวิมุติเลยทีเดียว ผมขอบอกว่าถ้าท่านไม่ลองไปสถานที่ที่แนะนำตามลายเซ็นข้างล่างแล้ว ท่านจะต้องเดินคลำอีกนานบอกได้เท่านี้จริงๆ เพราะการบอกเล่าเพียงเท่านี้ไม่พอที่ท่านจะได้รับความรู้สึกจริงๆหรอกครับ แค่คุยแล้วท่านก็ลืม ชีวิตเก่าๆก็จะวนมาเหมือนเดิม

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 24 ก.ย. 2012, 06:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2012, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
bigtoo เขียน:
ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้มีการบรกรรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีเแล้วการบริกรรมจะพาเราถึงจุดหมายได้จริงหรือเปล่า หรือจะไปหยุดอยู่ที่สมาธิเพียงอย่างเดียว แล้วก็นึกว่าบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถามเป็นความรู้เพราะบางสถานทีบอกว่าไม่ต้องบริกรรมใดๆทั้งนั้นให้อยู่กับความจริง ถ้าอยู่กับความจริงก็จะได้พบความจริง ถ้าอยู่กัสมมุติก็จะได้ความจริงแบบสมมุติคือสมาธิขั้นฌานโลกีย์ ข้อผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ


ในสมัยครั้งพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีการสอนให้บริกรรมขอรับ อ่านแล้วอย่าคิดค้านว่า ข้าพเจ้ารู้ได้อย่างไรนะขอรับ ถ้าท่านที่เคยติดตามอ่านกระทู้หรือคำตอบของข้าพเจ้าคงจะทราบกันอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงคำบอกเล่าของข้าพเจ้า

การบริกรรม ขณะปฏิบัติสมาธิ ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติสมาธิที่ถูกต้อง และเป็นคนละอย่างกับ หลัก อนุสติ


ข้าพเจ้าเอง ก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง นั่นก็เพราะข้าพเจ้าได้ฝึกปฏิบัติสมาธิตามที่ครูอาจารย์ได้สอนให้ และทดลองปฏิบัติตามที่ได้ยินได้ฟัง ได้เห็น ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ไม่เป็นผล ไม่สามารถทำให้เกิดสมาธิ อย่างแท้จริงได้
สมาธิที่แท้จริง คือ ไม่คิดสิ่งใด (ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง ความมีอารมณ์เพียงอารมณ์เดียว) สงบ ได้ยิน แต่ไม่คิด ว่าเป็นเสียงใด คือได้ยินเสียง แต่ไม่คิดว่าเป็นเสียงนั่นเสียงนี้ เพียงแค่รู้แจ้งในอารมณ์ว่าเป็นเสียงใด นั่นก็คือ ฟุ้งซ่าน ระดับละเอียด ฯลฯ

ส่วนวิธีการฝึกให้เกิด สมาธิที่แท้จริงนั้น ก็หาเอาในเวบฯนี้เแหละขอรับ
นั้นแหละที่ท่านกล่าวมานั้นแหละสุดยอดแล้วใครทำได้ก็จบเรื่องผมเองยังทำไม่ได้หรอกครับมีอะไรก็แนะนำเพิ่มนะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อเขาเจริญสติปัญญา แล้วปรากฏการณ์ยังงี้ เอาไงดี :b10: ถูกหรือผิดประการใด


อ้างคำพูด:
ผมมีความสนใจในการนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานมาก เคยไปฝึกนั่งอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมที่จังหวัดชลบุรีเมื่อนานมาแล้ว รู้สึกชอบมาก อยากไปอีก แต่เนื่องจากหน้าที่การงานและระยะทาง ทำให้ผมไม่มีโอกาศได้ไปอีก ดังนั้นผมจึงหาเวลานั่งสมาธิในห้องตอนหลังเลิกงานหรือเสาร์อาทิตย์แล้วแต่โอกาศจะอำนวยโดยนั่งอยู่ในห้องเช่าในตอนค่อนข้างดึกของวันนั้นๆ

การนั่งแต่ละครั้งผมจะใช้เวลาประมาณ หนึ่งถึงสองชั่วโมงและทุกครั้งที่ผมนั่ง ผมจะมาถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมีลักษณะจิตใจสงบ และดำดิ่งลงไปเป็นเวลานาน และในทันใดนั้นเองผมจะมีความรู้สึกเหมือนตัวผมกำลังจะหลุดออกจากร่างของตน และเมื่อถึงตรงนั้นผมก็จะรีบลืมตาคลายออกจากสมาธิทุกครั้งไป และผมไม่สามารถจะนั่งให้นานไปกว่านั้นได้เลย (ทั้งๆที่ใจก็อยากจะนั่งให้นานกว่านั้น)

ผมจึงอยากจะเรียนถามว่า อาการดังกล่าวนี้เนื่องมาจาสาเหตุอะไรครับ ผมพยายามจะหาคำตอบมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนเท่าไร อีกอย่าง แถบบริเวณที่ผมทำงานอยู่ก็หาสำนักปฏิบัติกรรมฐานไม่มีเลย จึงไม่รู้จะสอบถามผู้ใด

(มีบางครั้งที่ผมนั่งสมาธิอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนมีใบหน้าผู้หญิงโผล่ขึ้นมาในนิมิตโดยเขาพยายามจะเอาศรีษะแทรกเข้ามาในศรีษะของผม จนต้องสะดุ้งลืมตาคลายจากสมาธิ รบกวนช่วยแนะนำหน่อยครับว่าเป็นเพราะอะไร)
กล้าๆหน่อยๆ ไม่กล้าก็สงสัยไปเรื่อยๆ เรียนรู้เรื่องการพ้นทุกข์เถอะ วิปัสนาอยู่กับความจริงอยู่กับเจ็บนั้นแหล่ะดีที่สุดของแท้ ฝึกสมาธิถ้าไม่เข้าใจแล้วมันเจออย่างนี้แหละถ้าจิตไม่แข็งพอก็เป็นบ้าได้ มาอยู่กับความจริงเถอะอยู่กับลมหายใจอยู่กับความเจ็บนั้นแหละของจริงอยู่กับความรู้สึกผ่านไปให้ได้ด้วยใจเป็นอุเบกขา แค่นี้ก็บรรลุได้ อย่าอยู่กับสมาธิแบบสติไม่ทันหลงสติก็จะเกิดอย่างนีและมีเยอะมันผิดทางเดี๋ยวก็บ้ากันพอดี สำคัญที่สุดอย่าหลงสติจะต้องมีสติคือความระลึกอยู่ตลอดเวลา สมาธิเบอๆเดียวผีก็โผล่มาหลอกเอาอิๆ



เขายังไม่กล้าอีกหรือเนี่ย


อ้างคำพูด:
ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิ วิปัสสนา แนวทางท่านอาจารย์โกเอ็นก้า คือนั่งดูลมหายใจเข้าออก เฉยๆไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา
คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกาย ทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะ เหมือนมีเข็มเป็นร้อยๆเล่มอยู่ในห้ว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ
อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะหลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บางอาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารุ้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอดเวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมีตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง
ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

http://board.palungjit.com/f4/ปวดศรีษะจากการนั่งสมาธิ-173606.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เหตุใกล้ให้เกิดปัญญาคือสัมมาสมาธิ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติจึงไม่ใช่การพยายามศึกษาหาความรู้จากตำรับตำราหรือครูบาอาจารย์ และไม่ใช่การคิด พิจารณารูปนามกายใจแต่อย่างใด ถ้าปรารถนาปัญญาที่เป็นวิปัสสนาปัญญาก็มีทางเดียว คือ จะต้องมีสติระลึกรู้รูปนามกายใจ แล้วจิตจะเกิดความ ตั้งมั่นในการรู้รูปนามกายใจ เมื่อรู้แล้วรู้อีกถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดความเข้าใจความเป็นจริงของรูปนามกายใจ ซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับรูปนามกายใจนี้เองคือ วิปัสสนาปัญญา อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า เราจึงต้องอาศัยการศึกษาตำรับตำราและฟังคำสอนของครูบาอาจารย์ เพื่อให้ทราบวิธีการเจริญสติเจริญปัญญาที่ถูกต้องเสียก่อน จึงจะลงมือเจริญสติปัญญาได้อย่างถูกต้อง



อ้างหรือพูดถึงรูปนามกายใจหลายครั้ง ขอถามนิดหนุง รูปนามกับกายใจเนีย เหมือนกันหรือต่างกัน อันเดียวกันไหม ? :b10:

น้อง big แยกรูปกับนามหน่อย เอาที่ตัวเองนั่นแหละ น้อง big ซึ่งนั่งอยู่นั่น ส่วนไหนเป็นรูป ส่วนใหนเป็นนาม ตอบสั้นๆชัดๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อเขาเจริญสติปัญญา แล้วปรากฏการณ์ยังงี้ เอาไงดี :b10: ถูกหรือผิดประการใด


อ้างคำพูด:
ผมมีความสนใจในการนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานมาก เคยไปฝึกนั่งอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมที่จังหวัดชลบุรีเมื่อนานมาแล้ว รู้สึกชอบมาก อยากไปอีก แต่เนื่องจากหน้าที่การงานและระยะทาง ทำให้ผมไม่มีโอกาศได้ไปอีก ดังนั้นผมจึงหาเวลานั่งสมาธิในห้องตอนหลังเลิกงานหรือเสาร์อาทิตย์แล้วแต่โอกาศจะอำนวยโดยนั่งอยู่ในห้องเช่าในตอนค่อนข้างดึกของวันนั้นๆ

การนั่งแต่ละครั้งผมจะใช้เวลาประมาณ หนึ่งถึงสองชั่วโมงและทุกครั้งที่ผมนั่ง ผมจะมาถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมีลักษณะจิตใจสงบ และดำดิ่งลงไปเป็นเวลานาน และในทันใดนั้นเองผมจะมีความรู้สึกเหมือนตัวผมกำลังจะหลุดออกจากร่างของตน และเมื่อถึงตรงนั้นผมก็จะรีบลืมตาคลายออกจากสมาธิทุกครั้งไป และผมไม่สามารถจะนั่งให้นานไปกว่านั้นได้เลย (ทั้งๆที่ใจก็อยากจะนั่งให้นานกว่านั้น)

ผมจึงอยากจะเรียนถามว่า อาการดังกล่าวนี้เนื่องมาจาสาเหตุอะไรครับ ผมพยายามจะหาคำตอบมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนเท่าไร อีกอย่าง แถบบริเวณที่ผมทำงานอยู่ก็หาสำนักปฏิบัติกรรมฐานไม่มีเลย จึงไม่รู้จะสอบถามผู้ใด

(มีบางครั้งที่ผมนั่งสมาธิอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนมีใบหน้าผู้หญิงโผล่ขึ้นมาในนิมิตโดยเขาพยายามจะเอาศรีษะแทรกเข้ามาในศรีษะของผม จนต้องสะดุ้งลืมตาคลายจากสมาธิ รบกวนช่วยแนะนำหน่อยครับว่าเป็นเพราะอะไร)
กล้าๆหน่อยๆ ไม่กล้าก็สงสัยไปเรื่อยๆ เรียนรู้เรื่องการพ้นทุกข์เถอะ วิปัสนาอยู่กับความจริงอยู่กับเจ็บนั้นแหล่ะดีที่สุดของแท้ ฝึกสมาธิถ้าไม่เข้าใจแล้วมันเจออย่างนี้แหละถ้าจิตไม่แข็งพอก็เป็นบ้าได้ มาอยู่กับความจริงเถอะอยู่กับลมหายใจอยู่กับความเจ็บนั้นแหละของจริงอยู่กับความรู้สึกผ่านไปให้ได้ด้วยใจเป็นอุเบกขา แค่นี้ก็บรรลุได้ อย่าอยู่กับสมาธิแบบสติไม่ทันหลงสติก็จะเกิดอย่างนีและมีเยอะมันผิดทางเดี๋ยวก็บ้ากันพอดี สำคัญที่สุดอย่าหลงสติจะต้องมีสติคือความระลึกอยู่ตลอดเวลา สมาธิเบอๆเดียวผีก็โผล่มาหลอกเอาอิๆ



เขายังไม่กล้าอีกหรือเนี่ย


อ้างคำพูด:
ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิ วิปัสสนา แนวทางท่านอาจารย์โกเอ็นก้า คือนั่งดูลมหายใจเข้าออก เฉยๆไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา
คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกาย ทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะ เหมือนมีเข็มเป็นร้อยๆเล่มอยู่ในห้ว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ
อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะหลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บางอาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารุ้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอดเวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมีตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง
ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

http://board.palungjit.com/f4/ปวดศรีษะจากการนั่งสมาธิ-173606.html
ถ้ากล้าจะมีคำถามแบบนี้เหรอ ก็ผ่านไปเลยจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และตัวอย่างที่พี่พยายามเอาคนที่ปฎิบัติที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้ามานะเพื่ออะไร พี่กล้าไปพิสูจน์มั้ยล่ะ ถ้าพี่ไม่กล้าก็ผ่านไปเลยไม่ต้องสงสัย คนที่ฟังธรรมกับพระพุทธองค์แท้ๆยังถึงขนาดทำร้ายพระพุทธองค์ได้เลย และเรื่องแค่นี้พี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่ามันเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างที่เคยกล่าวเอาไว้แล้วต่อไปวันหนึ่งเขาอาจจะขอบใจในสิ่งที่เขาเป็นก็ได้ถ้าวันหนึ่งเขากล้าที่จะผ่านมันไปให้ได้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
เหตุใกล้ให้เกิดปัญญาคือสัมมาสมาธิ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติจึงไม่ใช่การพยายามศึกษาหาความรู้จากตำรับตำราหรือครูบาอาจารย์ และไม่ใช่การคิด พิจารณารูปนามกายใจแต่อย่างใด ถ้าปรารถนาปัญญาที่เป็นวิปัสสนาปัญญาก็มีทางเดียว คือ จะต้องมีสติระลึกรู้รูปนามกายใจ แล้วจิตจะเกิดความ ตั้งมั่นในการรู้รูปนามกายใจ เมื่อรู้แล้วรู้อีกถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดความเข้าใจความเป็นจริงของรูปนามกายใจ ซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับรูปนามกายใจนี้เองคือ วิปัสสนาปัญญา อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า เราจึงต้องอาศัยการศึกษาตำรับตำราและฟังคำสอนของครูบาอาจารย์ เพื่อให้ทราบวิธีการเจริญสติเจริญปัญญาที่ถูกต้องเสียก่อน จึงจะลงมือเจริญสติปัญญาได้อย่างถูกต้อง



อ้างหรือพูดถึงรูปนามกายใจหลายครั้ง ขอถามนิดหนุง รูปนามกับกายใจเนีย เหมือนกันหรือต่างกัน อันเดียวกันไหม ? :b10:

น้อง big แยกรูปกับนามหน่อย เอาที่ตัวเองนั่นแหละ น้อง big ซึ่งนั่งอยู่นั่น ส่วนไหนเป็นรูป ส่วนใหนเป็นนาม ตอบสั้นๆชัดๆ
รูปกายเรานี่แหล่ะรูป นามก็ใจเรานี่แหละนาม ไม่ต้องแยกออกไปอีกหรอก ถ้าแยกออกไปก็มีเยอะ รู้รูปก็รู้หมดเพราะรูปกับนามเชื่อมถึงกันโดยความรู้สึก

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
เหตุใกล้ให้เกิดปัญญาคือสัมมาสมาธิ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติจึงไม่ใช่การพยายามศึกษาหาความรู้จากตำรับตำราหรือครูบาอาจารย์ และไม่ใช่การคิด พิจารณารูปนามกายใจแต่อย่างใด ถ้าปรารถนาปัญญาที่เป็นวิปัสสนาปัญญาก็มีทางเดียว คือ จะต้องมีสติระลึกรู้รูปนามกายใจ แล้วจิตจะเกิดความ ตั้งมั่นในการรู้รูปนามกายใจ เมื่อรู้แล้วรู้อีกถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดความเข้าใจความเป็นจริงของรูปนามกายใจ ซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับรูปนามกายใจนี้เองคือ วิปัสสนาปัญญา อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า เราจึงต้องอาศัยการศึกษาตำรับตำราและฟังคำสอนของครูบาอาจารย์ เพื่อให้ทราบวิธีการเจริญสติเจริญปัญญาที่ถูกต้องเสียก่อน จึงจะลงมือเจริญสติปัญญาได้อย่างถูกต้อง



อ้างหรือพูดถึงรูปนามกายใจหลายครั้ง ขอถามนิดหนุง รูปนามกับกายใจเนีย เหมือนกันหรือต่างกัน อันเดียวกันไหม ? :b10:

น้อง big แยกรูปกับนามหน่อย เอาที่ตัวเองนั่นแหละ น้อง big ซึ่งนั่งอยู่นั่น ส่วนไหนเป็นรูป ส่วนใหนเป็นนาม ตอบสั้นๆชัดๆ


รูปกายเรานี่แหล่ะรูป นามก็ใจเรานี่แหละนาม ไม่ต้องแยกออกไปอีกหรอก ถ้าแยกออกไปก็มีเยอะ รู้รูปก็รู้หมดเพราะรูปกับนามเชื่อมถึงกันโดยความรู้สึก



เป็นอันว่า รูปนาม กับกายใจ เหมือนกันโดยอรรถ ต่างกันแต่พยัญชนะ

ถามต่อ แล้วรูป-นาม (ชีวิต) เนี่ยมันเป็นไปตามธรรมดาของธรรมชาติของมัน หรือมันเป็นตามที่เราอยากให้มันเป็น :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
เหตุใกล้ให้เกิดปัญญาคือสัมมาสมาธิ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติจึงไม่ใช่การพยายามศึกษาหาความรู้จากตำรับตำราหรือครูบาอาจารย์ และไม่ใช่การคิด พิจารณารูปนามกายใจแต่อย่างใด ถ้าปรารถนาปัญญาที่เป็นวิปัสสนาปัญญาก็มีทางเดียว คือ จะต้องมีสติระลึกรู้รูปนามกายใจ แล้วจิตจะเกิดความ ตั้งมั่นในการรู้รูปนามกายใจ เมื่อรู้แล้วรู้อีกถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดความเข้าใจความเป็นจริงของรูปนามกายใจ ซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับรูปนามกายใจนี้เองคือ วิปัสสนาปัญญา อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า เราจึงต้องอาศัยการศึกษาตำรับตำราและฟังคำสอนของครูบาอาจารย์ เพื่อให้ทราบวิธีการเจริญสติเจริญปัญญาที่ถูกต้องเสียก่อน จึงจะลงมือเจริญสติปัญญาได้อย่างถูกต้อง



อ้างหรือพูดถึงรูปนามกายใจหลายครั้ง ขอถามนิดหนุง รูปนามกับกายใจเนีย เหมือนกันหรือต่างกัน อันเดียวกันไหม ? :b10:

น้อง big แยกรูปกับนามหน่อย เอาที่ตัวเองนั่นแหละ น้อง big ซึ่งนั่งอยู่นั่น ส่วนไหนเป็นรูป ส่วนใหนเป็นนาม ตอบสั้นๆชัดๆ


รูปกายเรานี่แหล่ะรูป นามก็ใจเรานี่แหละนาม ไม่ต้องแยกออกไปอีกหรอก ถ้าแยกออกไปก็มีเยอะ รู้รูปก็รู้หมดเพราะรูปกับนามเชื่อมถึงกันโดยความรู้สึก



เป็นอันว่า รูปนาม กับกายใจ เหมือนกันโดยอรรถ ต่างกันแต่พยัญชนะ

ถามต่อ แล้วรูป-นาม (ชีวิต) เนี่ยมันเป็นไปตามธรรมดาของธรรมชาติของมัน หรือมันเป็นตามที่เราอยากให้มันเป็น :b1:
มันเป็นไปตามธรรมชาติมันถ้าไม่ได้มีการศึกษาเรียนรู้พัฒนา คือโง่อย่างไรก็โง่อย่างนั้น เกิดแ่ก่เจ็บตาย เวียนวนไม่รู้จักจบสิ้น ตราบจนพระพุทธองค์ปรากฎขึ้นในโลก รูปนามจึงมีการฝึกพัฒนาให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลง จากความโง่ให้ฉลาดขึ้นมาได้

การฝึกนั้นจะต้องการการกำหนดทิศทางที่ถูกต้อง เริ่มจากความคิดที่ได้ศึกษาจากการฟังการอ่าน คิดพิจารณา แล้วก็สร้างให้มันเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม อย่าตีความหมายว่ารูปนามเป็นอนัตตาอย่างนั้นมันผิดโดยความหมายจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงจะไม่มีคำสอนเกี่ยวกับ เรื่องอานาปานสติให้เข้าไปพิจารณาสังเกตุ นั่งเข่าคู้บัลลังก์ ตัวตรงดำรงสติให้มั่น คำนี้จะไม่ออกจากพระองค์ท่านแน่นอน ศิลต่างๆมีมากมายจะมีขึ้นมากำหนดความดีของบุคคลทำไม

แล้วเราจะมาเรียนรู้กันทำไม พระองค์ตรัสรู้แล้วทำไม่กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม แสนจะสุขสบาย อย่างพระราหุลยังเล็กอยู่ทำไม่ปล่อยให้ใช้ชีวิตสบายๆแบบเจ้าชายน้อย ไม่เห็นต้องมาใช้ชีวิตนับวชเลย ลองคิดถึงเรื่องพวกนี้บ้างหรือเปล่าว่า จริงๆแล้วชีวิตมันจะต้องดำเนินอย่างไร ครูบาอาจารย์เราทั้งหลายทำไมไม่สึกออกมามีลูกมีเมียกันให้หมดล่ะ ทำไมท่านถึงครองเพศบรรพชิต เพศบรรพชิตนั้นมีดีอะไร

ผมไม่ได้หมายความว่าฆราวาสจะบรรลุธรรมไม่ได้หรอกนะ แต่บอกตรงๆมันแสนจะอยาก อย่างยกตัวอย่างในตำราเลยเราไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำไปที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เราเอาตามที่ผู้ที่คิดค้นมรรควิธีอย่างพระพุทธเจ้าไว้นะดีที่สุด ส่วนเรื่องราวๆต่างตามตำรานั้นถ้ามันจะเป็นจริงหรือเท็จนั้น ก็ไม่ต้องเอามาเป็นหลักมากก็ได้ เอากันตรงๆอย่างพระองค์นั้นแหล่ะกลัวอะไร ทำไมถึงกลัว ไม่ใช่เพราะเราเอียงเหรอ ของดีพระองค์ทำเป็นตัวอย่างไม่ค่อยมีคนทำตาม ไปทำตามในสิ่งที่เป็นสาวกรุ่นหลังๆ พูดกันจริงๆแล้ว มีใครรู้ว่าใครเป็นอะไรกันจริงๆบ้าง(โดยเฉพาะอาจารย์ที่เป็นฆราวาสนะขอบอกเลยเชื่อยากครับ)ถ้าเป็นแล้วประโยชน์อะไรกับเรา เราต้องทคำคุณธรรมนั้นให้เกิดกับตัวเองไม่ใช่หรอครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 15:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลืมบอกไปว่าพึงตอบสั้นๆชัดๆ อยู่ในประเด็น ให้ตอบใหม่ครับ

อ้างคำพูด:
เป็นอันว่า รูปนาม กับกายใจ เหมือนกันโดยอรรถ ต่างกันแต่พยัญชนะ

ถามต่อ แล้วรูป-นาม (ชีวิต) เนี่ยมันเป็นไปตามธรรมดาของธรรมชาติของมัน หรือมันเป็นตามที่เราอยากให้มันเป็น


อย่าเพิ่งไปเอาภาคปฏิบัติหรืออะไรต่ออะไรมาปน เอาภาคธรรมชาติธรรมดาของมันก่อน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลืมบอกไปว่าพึงตอบสั้นๆชัดๆ อยู่ในประเด็น ให้ตอบใหม่ครับ

อ้างคำพูด:
เป็นอันว่า รูปนาม กับกายใจ เหมือนกันโดยอรรถ ต่างกันแต่พยัญชนะ

ถามต่อ แล้วรูป-นาม (ชีวิต) เนี่ยมันเป็นไปตามธรรมดาของธรรมชาติของมัน หรือมันเป็นตามที่เราอยากให้มันเป็น


อย่าเพิ่งไปเอาภาคปฏิบัติหรืออะไรต่ออะไรมาปน เอาภาคธรรมชาติธรรมดาของมันก่อน :b1:
มันเป็นได้ทั้สองอย่าง สั้นดีมั้ยพี่ :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ลืมบอกไปว่าพึงตอบสั้นๆชัดๆ อยู่ในประเด็น ให้ตอบใหม่ครับ

อ้างคำพูด:
เป็นอันว่า รูปนาม กับกายใจ เหมือนกันโดยอรรถ ต่างกันแต่พยัญชนะ

ถามต่อ แล้วรูป-นาม (ชีวิต) เนี่ยมันเป็นไปตามธรรมดาของธรรมชาติของมัน หรือมันเป็นตามที่เราอยากให้มันเป็น


อย่าเพิ่งไปเอาภาคปฏิบัติหรืออะไรต่ออะไรมาปน เอาภาคธรรมชาติธรรมดาของมันก่อน :b1:


มันเป็นได้ทั้สองอย่าง สั้นดีมั้ยพี่


คำตอบนี้บอก...อยู่ในตัว คือ ไม่รู้เข้าใจธรรมชาติ (รูปนาม) ที่เป็นส่วนมัชเฌนธรรม กับ มัชฌิมาปฏิปทา ที่เป็นภาคปฏิบ้ติ วิธีปฏิบัติสายกลาง ซึ่งพอเหมาะพอดีแก่การรู้เข้าใจในมัชเฌนธรรม หรือ รูปนาม นั้น :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ลืมบอกไปว่าพึงตอบสั้นๆชัดๆ อยู่ในประเด็น ให้ตอบใหม่ครับ

อ้างคำพูด:
เป็นอันว่า รูปนาม กับกายใจ เหมือนกันโดยอรรถ ต่างกันแต่พยัญชนะ

ถามต่อ แล้วรูป-นาม (ชีวิต) เนี่ยมันเป็นไปตามธรรมดาของธรรมชาติของมัน หรือมันเป็นตามที่เราอยากให้มันเป็น


อย่าเพิ่งไปเอาภาคปฏิบัติหรืออะไรต่ออะไรมาปน เอาภาคธรรมชาติธรรมดาของมันก่อน :b1:


มันเป็นได้ทั้สองอย่าง สั้นดีมั้ยพี่


คำตอบนี้บอก...อยู่ในตัว คือ ไม่รู้เข้าใจธรรมชาติ (รูปนาม) ที่เป็นส่วนมัชเฌนธรรม กับ มัชฌิมาปฏิปทา ที่เป็นภาคปฏิบ้ติ วิธีปฏิบัติสายกลาง ซึ่งพอเหมาะพอดีแก่การรู้เข้าใจในมัชเฌนธรรม หรือ รูปนาม นั้น :b13:
ก็บอกเอาสั้นๆ ก็สั้นดีนี่ครับ บางอย่างเราก็สั่งได้บางอย่างเราก็สั่งไม่ได้ มันก็เท่านี้ไม่เห็นมีอะไรมากเลย คนชอบพูดสุดโต่งว่ามันสั่งไม่ได้บังคับบัญชาไม่ได้ ถึงมันชั่วคราวมันก็ทำให้เกิดประโยชน์ได้ ของบางอย่างเพียงงูแลบลิ้นก็เป็นเรื่องเป็นราวได้ เพียงแต่มันไม่สามารถคงทนสภาพเดิมได้เท่านั้นเอง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อเขาเจริญสติปัญญา แล้วปรากฏการณ์ยังงี้ เอาไงดี :b10: ถูกหรือผิดประการใด


อ้างคำพูด:
ผมมีความสนใจในการนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานมาก เคยไปฝึกนั่งอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมที่จังหวัดชลบุรีเมื่อนานมาแล้ว รู้สึกชอบมาก อยากไปอีก แต่เนื่องจากหน้าที่การงานและระยะทาง ทำให้ผมไม่มีโอกาศได้ไปอีก ดังนั้นผมจึงหาเวลานั่งสมาธิในห้องตอนหลังเลิกงานหรือเสาร์อาทิตย์แล้วแต่โอกาศจะอำนวยโดยนั่งอยู่ในห้องเช่าในตอนค่อนข้างดึกของวันนั้นๆ

การนั่งแต่ละครั้งผมจะใช้เวลาประมาณ หนึ่งถึงสองชั่วโมงและทุกครั้งที่ผมนั่ง ผมจะมาถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมีลักษณะจิตใจสงบ และดำดิ่งลงไปเป็นเวลานาน และในทันใดนั้นเองผมจะมีความรู้สึกเหมือนตัวผมกำลังจะหลุดออกจากร่างของตน และเมื่อถึงตรงนั้นผมก็จะรีบลืมตาคลายออกจากสมาธิทุกครั้งไป และผมไม่สามารถจะนั่งให้นานไปกว่านั้นได้เลย (ทั้งๆที่ใจก็อยากจะนั่งให้นานกว่านั้น)

ผมจึงอยากจะเรียนถามว่า อาการดังกล่าวนี้เนื่องมาจาสาเหตุอะไรครับ ผมพยายามจะหาคำตอบมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนเท่าไร อีกอย่าง แถบบริเวณที่ผมทำงานอยู่ก็หาสำนักปฏิบัติกรรมฐานไม่มีเลย จึงไม่รู้จะสอบถามผู้ใด

(มีบางครั้งที่ผมนั่งสมาธิอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนมีใบหน้าผู้หญิงโผล่ขึ้นมาในนิมิตโดยเขาพยายามจะเอาศรีษะแทรกเข้ามาในศรีษะของผม จนต้องสะดุ้งลืมตาคลายจากสมาธิ รบกวนช่วยแนะนำหน่อยครับว่าเป็นเพราะอะไร)


กล้าๆหน่อยๆ ไม่กล้าก็สงสัยไปเรื่อยๆ เรียนรู้เรื่องการพ้นทุกข์เถอะ วิปัสนาอยู่กับความจริงอยู่กับเจ็บนั้นแหล่ะดีที่สุดของแท้ ฝึกสมาธิถ้าไม่เข้าใจแล้วมันเจออย่างนี้แหละถ้าจิตไม่แข็งพอก็เป็นบ้าได้ มาอยู่กับความจริงเถอะอยู่กับลมหายใจอยู่กับความเจ็บนั้นแหละของจริงอยู่กับความรู้สึกผ่านไปให้ได้ด้วยใจเป็นอุเบกขา แค่นี้ก็บรรลุได้ อย่าอยู่กับสมาธิแบบสติไม่ทันหลงสติก็จะเกิดอย่างนีและมีเยอะมันผิดทางเดี๋ยวก็บ้ากันพอดี สำคัญที่สุดอย่าหลงสติจะต้องมีสติคือความระลึกอยู่ตลอดเวลา สมาธิเบอๆเดียวผีก็โผล่มาหลอกเอาอิๆ



และทุกครั้งที่ผมนั่ง ผมจะมาถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมีลักษณะจิตใจสงบ และดำดิ่งลงไปเป็นเวลานาน และในทันใดนั้นเองผมจะมีความรู้สึกเหมือนตัวผมกำลังจะหลุดออกจากร่างของตน และเมื่อถึงตรงนั้นผมก็จะรีบลืมตาคลายออกจากสมาธิทุกครั้งไป และผมไม่สามารถจะนั่งให้นานไปกว่านั้นได้เลย

มีบางครั้งที่ผมนั่งสมาธิอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนมีใบหน้าผู้หญิงโผล่ขึ้นมาในนิมิต โดยเขาพยายามจะเอาศรีษะแทรกเข้ามาในศรีษะของผม จนต้องสะดุ้งลืมตาคลายจากสมาธิ



ก็ธรรมชาติธรรมดาของ รูปนาม มันเป็นอย่างนั้น มันจึงเป็นอย่างนั้น ตามธรรมดาของมัน

แต่ผู้ปฏิบัติกรรมฐาน หรือ ปฏิบัติธรรม หรือจะเรียกว่าอะไรอีกก็แล้วแต่ ไม่รู้เข้าใจพื้นฐานของรูปนาม (ชีวิต) เขาจึงวุ่นวายใจขัดใจอย่างนั้น

สรูปก่อนก็คือ มันถูกต้องตามธรรมะ แต่ไม่ถูกใจรู้สึกข้ดใจเรา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2012, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อเขาเจริญสติปัญญา แล้วปรากฏการณ์ยังงี้ เอาไงดี :b10: ถูกหรือผิดประการใด


อ้างคำพูด:
ผมมีความสนใจในการนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานมาก เคยไปฝึกนั่งอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมที่จังหวัดชลบุรีเมื่อนานมาแล้ว รู้สึกชอบมาก อยากไปอีก แต่เนื่องจากหน้าที่การงานและระยะทาง ทำให้ผมไม่มีโอกาศได้ไปอีก ดังนั้นผมจึงหาเวลานั่งสมาธิในห้องตอนหลังเลิกงานหรือเสาร์อาทิตย์แล้วแต่โอกาศจะอำนวยโดยนั่งอยู่ในห้องเช่าในตอนค่อนข้างดึกของวันนั้นๆ

การนั่งแต่ละครั้งผมจะใช้เวลาประมาณ หนึ่งถึงสองชั่วโมงและทุกครั้งที่ผมนั่ง ผมจะมาถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมีลักษณะจิตใจสงบ และดำดิ่งลงไปเป็นเวลานาน และในทันใดนั้นเองผมจะมีความรู้สึกเหมือนตัวผมกำลังจะหลุดออกจากร่างของตน และเมื่อถึงตรงนั้นผมก็จะรีบลืมตาคลายออกจากสมาธิทุกครั้งไป และผมไม่สามารถจะนั่งให้นานไปกว่านั้นได้เลย (ทั้งๆที่ใจก็อยากจะนั่งให้นานกว่านั้น)

ผมจึงอยากจะเรียนถามว่า อาการดังกล่าวนี้เนื่องมาจาสาเหตุอะไรครับ ผมพยายามจะหาคำตอบมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนเท่าไร อีกอย่าง แถบบริเวณที่ผมทำงานอยู่ก็หาสำนักปฏิบัติกรรมฐานไม่มีเลย จึงไม่รู้จะสอบถามผู้ใด

(มีบางครั้งที่ผมนั่งสมาธิอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนมีใบหน้าผู้หญิงโผล่ขึ้นมาในนิมิตโดยเขาพยายามจะเอาศรีษะแทรกเข้ามาในศรีษะของผม จนต้องสะดุ้งลืมตาคลายจากสมาธิ รบกวนช่วยแนะนำหน่อยครับว่าเป็นเพราะอะไร)
กล้าๆหน่อยๆ ไม่กล้าก็สงสัยไปเรื่อยๆ เรียนรู้เรื่องการพ้นทุกข์เถอะ วิปัสนาอยู่กับความจริงอยู่กับเจ็บนั้นแหล่ะดีที่สุดของแท้ ฝึกสมาธิถ้าไม่เข้าใจแล้วมันเจออย่างนี้แหละถ้าจิตไม่แข็งพอก็เป็นบ้าได้ มาอยู่กับความจริงเถอะอยู่กับลมหายใจอยู่กับความเจ็บนั้นแหละของจริงอยู่กับความรู้สึกผ่านไปให้ได้ด้วยใจเป็นอุเบกขา แค่นี้ก็บรรลุได้ อย่าอยู่กับสมาธิแบบสติไม่ทันหลงสติก็จะเกิดอย่างนีและมีเยอะมันผิดทางเดี๋ยวก็บ้ากันพอดี สำคัญที่สุดอย่าหลงสติจะต้องมีสติคือความระลึกอยู่ตลอดเวลา สมาธิเบอๆเดียวผีก็โผล่มาหลอกเอาอิๆ



เขายังไม่กล้าอีกหรือเนี่ย


อ้างคำพูด:
ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิ วิปัสสนา แนวทางท่านอาจารย์โกเอ็นก้า คือนั่งดูลมหายใจเข้าออก เฉยๆไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา
คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกาย ทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะ เหมือนมีเข็มเป็นร้อยๆเล่มอยู่ในห้ว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ
อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะหลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บางอาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารุ้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอดเวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมีตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง
ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

http://board.palungjit.com/f4/ปวดศรีษะจากการนั่งสมาธิ-173606.html
ถ้ากล้าจะมีคำถามแบบนี้เหรอ ก็ผ่านไปเลยจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และตัวอย่างที่พี่พยายามเอาคนที่ปฎิบัติที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้ามานะเพื่ออะไร พี่กล้าไปพิสูจน์มั้ยล่ะ ถ้าพี่ไม่กล้าก็ผ่านไปเลยไม่ต้องสงสัย คนที่ฟังธรรมกับพระพุทธองค์แท้ๆยังถึงขนาดทำร้ายพระพุทธองค์ได้เลย และเรื่องแค่นี้พี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่ามันเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างที่เคยกล่าวเอาไว้แล้วต่อไปวันหนึ่งเขาอาจจะขอบใจในสิ่งที่เขาเป็นก็ได้ถ้าวันหนึ่งเขากล้าที่จะผ่านมันไปให้ได้



ตัวอย่างนี้ก็เช่นเดียวกัน แสดงถึงความไม่เข้าใจพื้นฐานขของชีวิตหรือรูปนาม ทั้งผู้ให้และผู้รับ พอเข้าใจไหมครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 135 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร