ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=43365
หน้า 1 จากทั้งหมด 4

เจ้าของ:  bigtoo [ 21 ก.ย. 2012, 16:33 ]
หัวข้อกระทู้:  สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้มีการบรกรรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีเแล้วการบริกรรมจะพาเราถึงจุดหมายได้จริงหรือเปล่า หรือจะไปหยุดอยู่ที่สมาธิเพียงอย่างเดียว แล้วก็นึกว่าบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถามเป็นความรู้เพราะบางสถานทีบอกว่าไม่ต้องบริกรรมใดๆทั้งนั้นให้อยู่กับความจริง ถ้าอยู่กับความจริงก็จะได้พบความจริง ถ้าอยู่กัสมมุติก็จะได้ความจริงแบบสมมุติคือสมาธิขั้นฌานโลกีย์ ข้อผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ

เจ้าของ:  asoka [ 21 ก.ย. 2012, 17:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

bigtoo เขียน:
ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้มีการบรกรรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีเแล้วการบริกรรมจะพาเราถึงจุดหมายได้จริงหรือเปล่า หรือจะไปหยุดอยู่ที่สมาธิเพียงอย่างเดียว แล้วก็นึกว่าบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถามเป็นความรู้เพราะบางสถานทีบอกว่าไม่ต้องบริกรรมใดๆทั้งนั้นให้อยู่กับความจริง ถ้าอยู่กับความจริงก็จะได้พบความจริง ถ้าอยู่กัสมมุติก็จะได้ความจริงแบบสมมุติคือสมาธิขั้นฌานโลกีย์ ข้อผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ

:b8:
สอนบริกรรมตรงๆน่าจะไม่มี มีแต่เพียง ตรัสบอกกลายๆว่า กรรมฐาน 40 ก็ ดีอยู่

แต่ที่ทรงสอนให้เจริญปัญญาวิปัสสนาภาวนา หรือเจริญมรรค 8 หรือสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญสมถะควบคู่กับวิปัสสนาภาวนาอย่าง อานาปานสติสูตรนี่ มีเยอะครับ

onion onion

เจ้าของ:  bigtoo [ 21 ก.ย. 2012, 18:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

asoka เขียน:
bigtoo เขียน:
ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้มีการบรกรรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีเแล้วการบริกรรมจะพาเราถึงจุดหมายได้จริงหรือเปล่า หรือจะไปหยุดอยู่ที่สมาธิเพียงอย่างเดียว แล้วก็นึกว่าบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถามเป็นความรู้เพราะบางสถานทีบอกว่าไม่ต้องบริกรรมใดๆทั้งนั้นให้อยู่กับความจริง ถ้าอยู่กับความจริงก็จะได้พบความจริง ถ้าอยู่กัสมมุติก็จะได้ความจริงแบบสมมุติคือสมาธิขั้นฌานโลกีย์ ข้อผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ

:b8:
สอนบริกรรมตรงๆน่าจะไม่มี มีแต่เพียง ตรัสบอกกลายๆว่า กรรมฐาน 40 ก็ ดีอยู่

แต่ที่ทรงสอนให้เจริญปัญญาวิปัสสนาภาวนา หรือเจริญมรรค 8 หรือสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญสมถะควบคู่กับวิปัสสนาภาวนาอย่าง อานาปานสติสูตรนี่ มีเยอะครับ

onion onion
เหมือนว่ามีก๋วยเตี๋ยวอยู่ถ้วยหนึ่งรสชาติอย่างนี้แล้วก็มาปรุงกันเพิ่มรสก๋วยเีตี๋ยวก็เป็นอีกรสหนึ่ง แล้วก็ปรุงกันไปเรื่อยๆ แต่ก็กินได้ แต่รสชาติเก่าๆก็ไม่เหลือแล้วประมาณนี้ละเนาะ

ไฟล์แนป:
ธรรมะ5 (11).jpg
ธรรมะ5 (11).jpg [ 69.29 KiB | เปิดดู 6822 ครั้ง ]

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 21 ก.ย. 2012, 18:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

คำจำกัดความ "บริกรรม" ? เอาชัดๆสิครับ :b1:

เจ้าของ:  bigtoo [ 21 ก.ย. 2012, 19:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

กรัชกาย เขียน:
คำจำกัดความ "บริกรรม" ? เอาชัดๆสิครับ :b1:
ในที่นี้หมายความว่าการที่เอาคำอย่างเช่น" พุทธโธ" " สัมมาอะระหัง" มาท่องในใจเพื่อให้เกิดสมาธินะครับ

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 21 ก.ย. 2012, 20:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

bigtoo เขียน:
ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้มีการบรกรรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีเแล้วการบริกรรมจะพาเราถึงจุดหมายได้จริงหรือเปล่า หรือจะไปหยุดอยู่ที่สมาธิเพียงอย่างเดียว


เขาดูที่ผล...ส่วนกุสโลบายเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล...ของดอกเตอร์อาจใช้ไม่ได้ผลกับพวก ป.ตรี

อ้างคำพูด:
แล้วก็นึกว่าบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถามเป็นความรู้เพราะบางสถานทีบอกว่าไม่ต้องบริกรรมใดๆทั้งนั้นให้อยู่กับความจริง ถ้าอยู่กับความจริงก็จะได้พบความจริง ถ้าอยู่กัสมมุติก็จะได้ความจริงแบบสมมุติคือสมาธิขั้นฌานโลกีย์ ข้อผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ


ต้องกลับไปถามผู้ทำ...ว่าทำแล้ว...ผลเป็นอย่างไร

เจ้าของ:  นายฏีกาน้อย [ 21 ก.ย. 2012, 21:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

เรานั้นมีอายุ ๑๘ ปี ออกบวชเป็นบรรพชิต
เรายังไม่ได้คุณวิเศษในศาสนาของพระศากยบุตร เรามีปัญญาเขลา เพราะ
เราอบรมอยู่ในบุรี พระพี่ชายจึงขับไล่เราว่า จงไปสู่เรือนเดี๋ยวนี้ เราถูก
พระพี่ชายขับไล่แล้วน้อยใจ ได้ยืนอยู่ที่ซุ้มประตูสังฆาราม ไม่หวังใน
ความเป็นสมณะ ลำดับนั้น พระศาสดาเสด็จมา ณ ที่นั้น ทรงลูบศีรษะ
เรา ทรงจับเราที่แขน พาเข้าไปในสังฆาราม พระศาสดาได้ทรงอนุเคราะห์
ประทานผ้าเช็ดพระบาทให้แก่เราว่า จงอธิษฐานผ้าอันสะอาดอย่างนี้วางไว้
ณ ส่วนข้างหนึ่ง เราจับผ้านั้นด้วยมือทั้งสองแล้วจึงระลึกถึงดอกบัวได้
จิตของเราปล่อยไปในดอกบัวนั้น เราจึงได้บรรลุอรหัต
เราถึงที่สุดใน
ฌานทั้งปวง ในกายอันบังเกิดแล้วแต่ใจ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว
ไม่มีอาสวะอยู่ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมปภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ
อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้วฉะนี้แล.
--------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
จุลลปันถกเถราปทานที่ ๔ (๑๔)
ว่าด้วยพระจุลลปันถกปัญญาเขลา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 283&Z=1319



พระศาสดาตรัสว่า ปันถกะเอ๋ย! อย่าคิดมากไปเลย. เธอบวชในศาสนาของเรา มานี่ มารับผ้าผืนนี้ไป แล้วจงทำบริกรรมในใจว่า รโชหรณํ รโชหรณํ (ผ้าเช็ดธุลี ผ้าเช็ดธุลี) ดังนี้แล้ว จึงได้ประทานท่อนผ้าสะอาดอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ให้.

ท่านนั่งใช้มือลูกคลำบริกรรมท่อนผ้าที่พระศาสดาทรงประทานให้มาว่า รโชหรณํ รโชหรณํ ดังนี้. เมื่อท่านบริกรรมลูบคลำผ้าผืนนั้นไปมา ผ้าสะอาดก็กลายเป็นเศร้าหมอง เมื่อท่านบริกรรมลูบคลำไปอีก ผ้าสะอาดก็กลายเป็นเช่นกับผ้าเช็ดหม้อข้าว, เพราะมีญาณอันแก่กล้า ท่านจึงคิดอย่างนี้ว่า แต่เดิมมาท่อนผ้าผืนนี้ก็บริสุทธิ์สะอาด เพราะอาศัยสรีระอันมีวิญญาณครองนี้ จึงได้กลายเป็นอย่างอื่นเศร้าหมองไป ฉะนั้น ผ้าผืนนี้เป็นอนิจจังอย่างไร แม้จิตก็คงเป็นอย่างนั้นแน่ จึงเริ่มตั้งความสิ้นไปเสื่อมไป ยังฌานในนิมิตนั้นนั่นแลให้เกิดขึ้นแล้ว ทำฌานให้เป็นบาท เริ่มเจริญวิปัสสนาก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา ๔.

พอท่านได้บรรลุพระอรหัตแล้วเท่านั้น พระไตรปิฎกและอภิญญา ๕ ก็ติดตามมาแล้ว.
------------------------------------------------------------
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๒.
สีหาสนิวรรค ๔. จุลลปันถกเถราปทาน
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=16

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 21 ก.ย. 2012, 21:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

สาธุ.... :b8:

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 22 ก.ย. 2012, 03:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

bigtoo เขียน:
ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้มีการบรกรรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีเแล้วการบริกรรมจะพาเราถึงจุดหมายได้จริงหรือเปล่า หรือจะไปหยุดอยู่ที่สมาธิเพียงอย่างเดียว แล้วก็นึกว่าบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถามเป็นความรู้เพราะบางสถานทีบอกว่าไม่ต้องบริกรรมใดๆทั้งนั้นให้อยู่กับความจริง ถ้าอยู่กับความจริงก็จะได้พบความจริง ถ้าอยู่กัสมมุติก็จะได้ความจริงแบบสมมุติคือสมาธิขั้นฌานโลกีย์ ข้อผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ

จุดประสงค์ของการบริกรรม ก็คือ การทำให้สติมาอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
หรือให้สติมาอยู่ที่กายใจ ไม่ให้ฟุ้งซ่าน
ตัวอย่างเช่น ห้องสนทนาธรรม การตั้งกระทู้มันต้องอยู่ที่
ประเด็นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ถ้ามีคนคนมาตั้งกระทู้
ไร้สาระไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า โพสคำกลอน โพสคลิป
โพสคำพูดเรื่อยเจื้อย
เขาว่าคนพวกนี้กำลังขาดสติ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยการบริกรรม
เพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา :b13:


จขกทอาจจะยังไม่รู้จัก นิวรณ์ห้า
นิวรณ์ห้าเป็นสิ่งที่มาขว้างกั้นความดี
เราสามารถปฏิบัติในสิ่งที่ป้องกันไม่ให้นิวรณ์เกิดได้ เช่นการทำระลึกรู้....
อนุสติสิบ
หรือถ้านิวรณ์เกิดแล้วก็ใช้หลักของกรรมฐานสีสิบกอง

ซึ่งทั้งสองวิธีเรียกว่า...การบริกรรม

อยากแนะนำจขกท ให้บริกรรมกรรมฐานสี่สิบอันใดอันหนึ่ง
เพราะรู้สึกว่า จขกทโดนนิวรณ์เล่นงานอยู่ สติสตังจขกทกำลังกระเจิดกระเจิง
บริกรรมก่อนนานๆ แล้วค่อยตั้งกระทู้นะครับ :b13:

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 22 ก.ย. 2012, 03:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

กรัชกาย เขียน:
คำจำกัดความ "บริกรรม" ? เอาชัดๆสิครับ :b1:

จขกทเขาถาม ผิดถูกอย่างไรก็บอกเขาไป
อย่าลืมว่าเขาเป็นผู้ถาม เขาไม่ได้ตั้งกระทู้บอกว่า..
บริกรรมคืออย่างโน้น คืออย่างนี้

กรัชกายทำแบบนี้มันไม่เท่หรอกจะบอกให้ มันเหมือนเด็กเอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง
มาเป็นประเด็น ทำแบบนี้สติของจขกทกำลังจะเข้ารูปเข้ารอย เดี๋ยวก็กลับไปกระเจิงอีกหรอก

บอกไปเลยว่า บริกรรมหมายถีงอะไร แล้วที่จขกทขยายความต่อจาก
คำว่าบริกรรมผิดถูกอย่างไร


กรัชกายอายุอานามก็มากแล้วน่ะ ถามเซ้าซี้เป็นเด็กไปได้ :b32:

เจ้าของ:  bigtoo [ 22 ก.ย. 2012, 06:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

บางคนบอกว่าบริกรรมได้ดี บางคนบอกว่าบริกรรมไม่ดี เอ้ะ อันไหนดีน้า!เราจะเอาอะไรมาเป็นหลักดีน้า! onion

ไฟล์แนป:
ธรรมะ6 (1).jpg
ธรรมะ6 (1).jpg [ 69.21 KiB | เปิดดู 6757 ครั้ง ]

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 22 ก.ย. 2012, 09:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คำจำกัดความ "บริกรรม" ? เอาชัดๆสิครับ :b1:

จขกทเขาถาม ผิดถูกอย่างไรก็บอกเขาไป
อย่าลืมว่าเขาเป็นผู้ถาม เขาไม่ได้ตั้งกระทู้บอกว่า..
บริกรรมคืออย่างโน้น คืออย่างนี้

กรัชกายทำแบบนี้มันไม่เท่หรอกจะบอกให้ มันเหมือนเด็กเอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง
มาเป็นประเด็น ทำแบบนี้สติของจขกทกำลังจะเข้ารูปเข้ารอย เดี๋ยวก็กลับไปกระเจิงอีกหรอก

บอกไปเลยว่า บริกรรมหมายถีงอะไร แล้วที่จขกทขยายความต่อจาก
คำว่าบริกรรมผิดถูกอย่างไร


กรัชกายอายุอานามก็มากแล้วน่ะ ถามเซ้าซี้เป็นเด็กไปได้ :b32:




ก่อนจะพูดกันเนี่ย ต้องเอาให้แน่เอาให้ชัดกันดิ มิใช่อะไรก็ ธรรมๆๆ บริกรรมๆๆๆ อะไรธรรม อะไรบริกรรม ขีดวงกันก่อน

แล้วเจ้าลัทธิโฮล่ะยังไง :b1:

อ้อ แล้วรู้ได้ไงสติ จขกท. กำลังเป็นรูปเป็นร่าง ถ้าแค่นี้กระเจิดกระเจิงแสดงว่าไม่เป็นสติแล้ว :b32:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 22 ก.ย. 2012, 09:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คำจำกัดความ "บริกรรม" ? เอาชัดๆสิครับ :b1:
ในที่นี้หมายความว่าการที่เอาคำอย่างเช่น" พุทธโธ" " สัมมาอะระหัง" มาท่องในใจเพื่อให้เกิดสมาธินะครับ


เบื้องต้น พึงมองคำบริกรรม เช่น พุทโธก็ดี พองหนอ ยุบหนอ ก็ดี สัมมาอรหังก็ตาม เป็นเหมือนเครื่องตรึงจิตให้แนบอยู่กับกรรมฐานที่ใช้เช่น ลมเข้าลมออก เป็นต้นได้มั่นขึ้นเท่านั้น ขั้นเริ่มต้นนะ :b1:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 22 ก.ย. 2012, 10:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

2 ลิงค์นี้ บอกเรื่องที่พูดมาแล้วก่อนหน้า และเดี๋ยวนี้

ถ้ารู้คุณค่าของศีล ๘ ถูกต้องแล้ว จะรักษาอุโบสถแบบไหนๆ ก็เลือกได้อย่างสมเป็นพุทธชน

ที่

http://www.watnyanaves.net/th/clip_detail/53

และ

จะไปนั่งสมาธิ หรือเข้าวิปัสสนา ก็มาทำความเข้าใจให้มีพื้นกันไว้ก่อน

http://www.watnyanaves.net/th/clip_detail/54

เจ้าของ:  bigtoo [ 22 ก.ย. 2012, 11:01 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สมัยพระพุทธองค์ยังอยู่สอนให้มีคำบริกรรมหรือไม่ครับ

กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คำจำกัดความ "บริกรรม" ? เอาชัดๆสิครับ :b1:
ในที่นี้หมายความว่าการที่เอาคำอย่างเช่น" พุทธโธ" " สัมมาอะระหัง" มาท่องในใจเพื่อให้เกิดสมาธินะครับ


เบื้องต้น พึงมองคำบริกรรม เช่น พุทโธก็ดี พองหนอ ยุบหนอ ก็ดี สัมมาอรหังก็ตาม เป็นเหมือนเครื่องตรึงจิตให้แนบอยู่กับกรรมฐานที่ใช้เช่น ลมเข้าลมออก เป็นต้นได้มั่นขึ้นเท่านั้น ขั้นเริ่มต้นนะ :b1:
นี่แหละครับพี่กายอยู่ๆไปนั่งบริกรรมกัน ผมเห็นมาเยอะครับนั่งบริกรรมกันได้สมาธิใบ่หวยใบ่เบอร์กันมาก บ้างก็ออกทะเลเป็นบ้าเป็นหลังกัน บางคนสะสมปัญญามาก็ต่อยอดได้เอาตัวรอดไป บางคนจมปลักอยู่กับตัวเองนึกว่าเป็นผู้วิเศษเสกของขลังสร้างตระกรุด มันจะหลุดพ้นได้จริงเหรอครับ กิจในอริยสัจสำคัญที่สุด ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรทำให้เจริญขึ้น นี่แหละหัวใจเลย จะทำอะไรก็ให้เรียนรู้อริยสัจก่อนจิตใจจะได้เนี่ยวนำอยู่กับการต้องการออกจากทุกข์ เพราะในขณะเดินทางนั้นมันมีสิ่งหลอกล่อมากมาย

ไฟล์แนป:
0b1a02f35be50cee3f38d6463447436c_size3.jpg
0b1a02f35be50cee3f38d6463447436c_size3.jpg [ 33.99 KiB | เปิดดู 6730 ครั้ง ]

หน้า 1 จากทั้งหมด 4 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/