ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=43771
หน้า 1 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 05 พ.ย. 2012, 03:44 ]
หัวข้อกระทู้:  ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

เคยได้ยินคำว่า......อภัพบุคคลมั้ยครับ
ความหมายของ อภัพบุคคล คือ............
ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงหรือบรรลุธรรมในชาติปัจจุบันนั้นครับ

ปัญหาของผมมันอยู่ตรงที่ อรรถกถาจารย์ไปตีความไว้ว่า..
มีบุคคลจำพวกหนึ่ง ที่เข้าข่ายเป็นผู้ไม่สามารถบรรลุธรรม นั้นคือ พวกพิการแต่กำเนิด
ตัวอย่างเช่น พวกบ้าใบ้ ตาบอด หูหนวก ฯลฯ

ความเห็นผม คนพิการไม่สามารถบรรลุธรรมได้จริงครับ แต่อย่าเหมาหมด
มันมีพิการบางอย่างเท่านั้นที่ไม่สามารถบรรลุธรรม

อยากขอความเห็นครับ ใครรู้แตกฉานบาลียิ่งดีครับ
เน้นไปเลยครับว่า.....ไอ้ที่ว่าพิการมันพิการส่วนไหนถึงไม่สามารถบรรลุธรรม :b13:

เจ้าของ:  เสียงธรรม [ 05 พ.ย. 2012, 08:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

โฮฮับ เขียน:
เคยได้ยินคำว่า......อภัพบุคคลมั้ยครับ
ความหมายของ อภัพบุคคล คือ............
ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงหรือบรรลุธรรมในชาติปัจจุบันนั้นครับ

ปัญหาของผมมันอยู่ตรงที่ อรรถกถาจารย์ไปตีความไว้ว่า..
มีบุคคลจำพวกหนึ่ง ที่เข้าข่ายเป็นผู้ไม่สามารถบรรลุธรรม นั้นคือ พวกพิการแต่กำเนิด
ตัวอย่างเช่น พวกบ้าใบ้ ตาบอด หูหนวก ฯลฯ

ความเห็นผม คนพิการไม่สามารถบรรลุธรรมได้จริงครับ แต่อย่าเหมาหมด
มันมีพิการบางอย่างเท่านั้นที่ไม่สามารถบรรลุธรรม

อยากขอความเห็นครับ ใครรู้แตกฉานบาลียิ่งดีครับ
เน้นไปเลยครับว่า.....ไอ้ที่ว่าพิการมันพิการส่วนไหนถึงไม่สามารถบรรลุธรรม :b13:


นี่โฮกฮากยังคิดว่าจะมีใครอยากแสดงความเห็นกับโฮกฮากอีกมิทราบ เห็นโฮฮับชอบทำตัวเก่งกว่า
คนอื่นเขาไปซะหมด ยังคิดว่าจะมีใครแนะนำโฮกฮากได้อีกเหรอ เพราะหากแนะนำไป เดี๋ยวโฮกฮาก
ก็ไปแขวะเขาอีก โบราณว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา เลยไม่มีใครถือสาโฮกฮากหรอก แต่โบราณ
ก็ยังบอกอีกว่า อย่าคุยกับคนบ้า อย่าสนทนากับคนเมา เพราะคุยไม่รู้เรื่องนะจ๊ะๆ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 05 พ.ย. 2012, 10:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

ปลายฝนต้นหนาว อาการ "ปวดหัว" คล้ายจะเป็นไข้ ย่อมเกิดขึ้นได้ เบื้องต้นแนะนำให้กินยาแก้ปวด ลดไข้ ดื่มน้ำเยอะๆ หลับสักตื่นก็หาย :b1:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 05 พ.ย. 2012, 10:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

โฮฮับ เขียน:
อยากขอความเห็นครับ ใครรู้แตกฉานบาลียิ่งดีครับ
เน้นไปเลยครับว่า.....ไอ้ที่ว่าพิการมันพิการส่วนไหนถึงไม่สามารถบรรลุธรรม


พิการใจ :b12: :b32:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 05 พ.ย. 2012, 10:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

พิการทางกายเนี่ย พอจะพึงตนเองได้ ให้แง่คิดข้อธรรมกับผู้อื่นได้ :b20:





ให้ฉันต้องเป็นชายร่างพิการ
ยังดีกว่าดวงมาลย์
พิการวอดวายอย่างนี้
เพียงร่างพิการยังมีวันยิ้มชื่นชีวี
แต่ใจพิการนี่ซิมันยับชีวีจนตาย

เจ้าของ:  nongkong [ 05 พ.ย. 2012, 13:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

คุนน้องคิดว่าคือบุคคลที่พิการทางสมองมาแต่กำเนิด. บุคคลเหล่านี้ไม่สามารถเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ได้ และมีอีกพวกหนึ่งคือบุคคลที่มีอกุศลวิบากจิตอยู่ในจิตไร้สำนึกเยอะเกิน เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเราซ่อนอะไรไว้ในจิตไร้สำนึก. เพราะจิตไร้สำนึกจะแสดงตัวตน และบุคคลิกคนนั้นออกมา ทางกายบ้าง วาจาบ้าง คนที่สามารถควบคุมจิตไร้สำนึกได้ต้องมีวิปัสนาญานระดับสูง :b43:

เจ้าของ:  din [ 05 พ.ย. 2012, 22:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

ผมก็ไม่รู้นะ แต่ผมมีความคิดโน้มเอียงว่าคนบ้าโดยสมบูรณ์ซึ่งระบบประสาทสมองทำงานเพี้ยนจนไม่สามารถฟื้นฟูได้แล้ว ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ผิดถูกอย่างไรรบกวนแก้ไขอีกทีนึง

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 06 พ.ย. 2012, 02:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

ท่านว่า อภัพบุคคล หมายถึงบุคคลที่ไม่สามารถ เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า
ได้แก่คน ๔ ประเภทคือ .....
๑. คนที่เกิดด้วยอุเบกขาสันตีรณะอเหตุกกุศลวิบาก คือเกิดด้วยปฏิสนธิจิตที่เป็นผลของกุศลที่
ไม่มีเหตุประกอบ เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน
เกิดเป็นบ้าใบ้ ตาบอด หูหนวก ปัญญาอ่อนมาแต่กำเนิด คนพวกนี้เป็นคนอาภัพเพราะไม่อาจบรรลุมรรคผลได้
แม้จะได้หันเหชีวิตมาเจริญมรรคมีองค์ ๘ ก็ตาม
๒. คนที่ทำกรรมหนักชนิดที่เรียกว่าอนันตริยกรรม คือฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ ทำโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อ
ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน คนที่ทำกรรม ๕ อย่างนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านเรียกว่าอภัพพบุคคล
เพราะแม้จะฉลาดอย่างไรก็ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ เพราะได้ทำกรรมหนักที่จะต้องนำไปสู่นรกทันที
เมื่อตายลง กรรมดีใดๆ ไม่อาจขวางกั้นกรรมหนักได้ กรรมหนักทั้ง ๕ นี้ต้องให้ผลก่อน
๓. เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเป็นคนมีความเห็นผิด ไม่เชื่อบุญเชื่อบาปเป็นต้น ใครจะชี้แจงแสดงเหตุผลอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง
คนอย่างนี้เป็นคนอาภัพเช่นกัน เพราะไม่มีทางบรรลุมรรคผลในชาตินี้ได้
๔. คนที่แม้จะเกิดมาด้วยไตรเหตุ ไม่ทำกรรมหนัก เป็นสัมมาทิฏฐิ คือเชื่อบุญเชื่อบาปแล้ว
แต่ว่าไม่มีศรัทธาประพฤติปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือเป็นผู้เกียจคร้าน
ไม่มีฉันทะในการทำกุศล พวกนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเป็นคนอาภัพเช่นกัน
เพราะไม่อาจบรรลุมรรคผลได้
บุคคล ๔ พวกนี้แหละ คือคนอาภัพในความหมายของทางธรรม

ข้อความข้างบนนนี้ ผมไปเอามาจากการอธิบายความของธรรมกถึกบางท่าน

ในคนประเภทที่๑. ที่ท่านบอกว่า...คนพิการที่ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้มีลักษณะ..
๑บ้าใบ้...๒.ตาบอด...๓.หูหนวก...๔.ปัญญาอ่อน

ความเห็นผม ผมเห็นด้วยแค่สามลักษณะครับ ไม่เห็นด้วยกับที่บอกว่า
คนหูหนวกไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้


ก็ไม่ทราบนะครับว่า ธรรมกถึกท่านนี้ไปยึดหลักอะไรมาพิจารณาแล้วบอกว่า
คนเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงธรรม(บรรลุธรรม) แต่ผมแน่ใจครับว่าคงไม่พ้น
หลักในเรื่อง ปริยัติ....ปฏิบัติ...ปฏิเวธ

ทั้งปริยัติและปฏิบัติเป็นเหตุทำให้เกิดผลคือ ปฏิเวธ
ดังนั้นจะเอาแค่ปริยัติและปฏิบัติมาพิจารณา

เราลองมาดูกันว่า คนพิการที่ท่านธรรมกถึกกล่าวไว้มีผู้ใดไม่สามารถเข้าถึงปริยัติ
นั้นก็คือ..๑.คนบ้าใบ้ ๒.คนปัญญาอ่อน บุคคลสองประเภทนี้ย่อมไม่มี
สติปัญญาไปศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าได้
แต่ คนหูหนวก คนตาบอดสามารถทำได้


ที่นี้มาในส่วนของการปฏิบัติ หลักสำคัญของการปฏิบัตินั้นก็คือการพิจารณารูปและนาม
เรามาดูว่าบุคคลใดที่ไม่สามารถปฏิบัติในส่วนนี้ได้

*คนบ้าใบ*... *คนปัญญาอ่อน* คนสองประเภทนี้มีสติปัญญาบกพร่อง ซี่งสติปัญญา
เป็นส่วนของนาม ที่เอามาใช้ในการพิจารณาธรรม เมื่อมันบกพร่องเสียแล้ว
ย่อมเอามาพิจารณาไม่ได้

*คนตาบอด* สามารถทำปริยัติได้ สามารถศีกษาธรรมด้วยการฟังธรรมได้
แต่ไม่สามารถทำขั้นตอนการปฏิบัติได้ เพราะ ไม่สามารถพิจารณา รูปนามได้
รูปนั้นต้องอาศัย จักขุหรือดวงตาเป็นหลักในการพิจารณารูป หมายความว่า...
"การมองเห็นตามความเป็นจริง" ที่สำคัญ การบรรลุธรรมขั้นต้น จะต้องละกิเลส
ในเรื่องของสักกายทิฐิ สักกายทิฐิเป็นเรื่องการยึดมั่นในกาย การจะรู้กายได้
ก็ต้องเป็นรูปที่ผ่านจากดวงตาและประสาทตา

ผมว่า คนหูหนวกเท่านั้นที่สามารถบรรลุธรรมได้ ซึ่งเป็นความเห็นแย้งกับธรรมกถึก
คนหูหนวกสามารถศึกษาพระธรรมด้วยการอ่าน และยังมีอวัยวะในส่วนที่ใช้ในการพิจารณาธรรม
คือสามารถพิจารณารูปและนามได้


สรุปคนพิการที่ไม่สามารถบรรลุธรรมดังที่ธรรมกถึกกล่าวไว้
มีคนพิการประเภทเดียวที่ผมไม่เห็นด้วย คนหูหนวกสามารถบรรลุธรรมได้ครับ

เจ้าของ:  nongkong [ 06 พ.ย. 2012, 10:25 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

แต่คุนน้องกล้าฟันธงว่าคนตาบอดลามาบรรลุธรรมได้. พี่โฮลองหลับตาแล้วเปิดคลิปบรรยายธรรมฟัง. ลองโยนิโสมนสิการไปด้วย คนตาบอดไม่ต้องเข้าใจปริยัตคือการอ่าน แต่สามารถฟัง เพื่อกำหนดรู้ (ปฏิบัติ)เพื่อเข้าถึงปฏิเวธได้ คนที่เข่้าถึงปฏ้เวธเท่านั้นที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของปัจจัตตัง :b45:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 06 พ.ย. 2012, 10:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

ถึงจะมีอวัยวะครบทุกอย่าง เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปกติ แต่ใจบอดใจพิการเสียอย่างเดียว ก็ไม่อาจรู้ข้อธรรมใดๆได้ อย่าว่าแต่โลกุตรธรรมเลย โลกียธรรมก็ไม่อาจรู้เข้าใจได้เลย :b1:

ไฟล์แนป:
Y12890235-2.jpg
Y12890235-2.jpg [ 58.01 KiB | เปิดดู 6596 ครั้ง ]

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 06 พ.ย. 2012, 13:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

nongkong เขียน:
แต่คุนน้องกล้าฟันธงว่าคนตาบอดลามาบรรลุธรรมได้. พี่โฮลองหลับตาแล้วเปิดคลิปบรรยายธรรมฟัง. ลองโยนิโสมนสิการไปด้วย คนตาบอดไม่ต้องเข้าใจปริยัตคือการอ่าน แต่สามารถฟัง เพื่อกำหนดรู้ (ปฏิบัติ)เพื่อเข้าถึงปฏิเวธได้ คนที่เข่้าถึงปฏ้เวธเท่านั้นที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของปัจจัตตัง :b45:

น้องคิงคองชอบหยิบเอาศัพท์มาใช้ฟุ่มเฟือย ถามหน่อย ที่ว่า.."โยนิโสไปด้วย" ทำอย่างไรหรือ
ลักษณะอย่างไรจึงเรียกว่าการโยนิโส..?

แล้วที่ว่าคนตาบอดสามารถ กำหนดรู้ได้ จะไปกำหนดรู้อะไรในเมื่อตาบอด
กายเป็นอย่างไร รูปเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็น แล้วที่พี่บอกตาบอด หมายความว่า
บอดแต่กำเนิดน่ะ อยากให้น้องดูคนหูหนวกแต่กำเนิด เขาสามารถใช้คำพูดสื่อสารได้หรือเปล่า
มันไม่ได้ใช่มั้ย ที่พูดไม่ได้เป็นเพราะเขาหูหนวกแต่กำเนิด ไม่เคยได้ยินเสียงแม้แต่ครั้งเดียว
เลยไม่มีความทรงจำ

เจ้าของ:  nongkong [ 06 พ.ย. 2012, 14:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

โฮฮับ เขียน:
nongkong เขียน:
แต่คุนน้องกล้าฟันธงว่าคนตาบอดลามาบรรลุธรรมได้. พี่โฮลองหลับตาแล้วเปิดคลิปบรรยายธรรมฟัง. ลองโยนิโสมนสิการไปด้วย คนตาบอดไม่ต้องเข้าใจปริยัตคือการอ่าน แต่สามารถฟัง เพื่อกำหนดรู้ (ปฏิบัติ)เพื่อเข้าถึงปฏิเวธได้ คนที่เข่้าถึงปฏ้เวธเท่านั้นที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของปัจจัตตัง :b45:

น้องคิงคองชอบหยิบเอาศัพท์มาใช้ฟุ่มเฟือย ถามหน่อย ที่ว่า.."โยนิโสไปด้วย" ทำอย่างไรหรือ
ลักษณะอย่างไรจึงเรียกว่าการโยนิโส..?

แล้วที่ว่าคนตาบอดสามารถ กำหนดรู้ได้ จะไปกำหนดรู้อะไรในเมื่อตาบอด
กายเป็นอย่างไร รูปเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็น แล้วที่พี่บอกตาบอด หมายความว่า
บอดแต่กำเนิดน่ะ อยากให้น้องดูคนหูหนวกแต่กำเนิด เขาสามารถใช้คำพูดสื่อสารได้หรือเปล่า
มันไม่ได้ใช่มั้ย ที่พูดไม่ได้เป็นเพราะเขาหูหนวกแต่กำเนิด ไม่เคยได้ยินเสียงแม้แต่ครั้งเดียว
เลยไม่มีความทรงจำ

555สุดท้ายพี่ก็ไม่เข้าใจเรื่องของจิตหรือนามธรรม :b32: คุนน้องลืมบอกพี่ไปอย่างคุนน้องเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธองค์เพียงคนเดียว และคุนน้องจัเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพิสูจน์ๆด้และให้คำตอบตัวเองได้. คนตาบอด ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปภายนอก เพราะรูปภายนอกมันก็ไม่ใช่ของจริงอยู่แล้วในส่วนของนามธรรม ถึงแม้ตาจะบอดแต่หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น มีประสททสัมผัส ลิ้นรับรสๆได้ คนตาบอดรู้ว่าใครคือแม่ ใครคือพ่อ มีความรู้สึกพอใจไม่พอใจในเสียงนั้น ชอบใจไม่ชอบใจในกลิ่นนั้น รสนั้น แต่คนตาบอดจะแยกนามรูปไม่ๆด้แค่นั้นว่าคนไหนน่าตาพึงพอใจคนไหนหน้าตาไม่พึงพอใจ คนตาบอดจะไม่เกิดการปรุงแต่งตันหาในเรื่องนามรูป เพราะจะสวยไม่สวยคนตาบอดกำหนดรู้ไม่ได้แต่คนตาบอดสามารถกำหนดรู้ได้ว่า เรารู้สึกยินดีพใจกับบุคคลนั้นหรือไม่จากเสียง สัมผัสหรือเรียกว่าธรรมมารมย์ :b44:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 06 พ.ย. 2012, 21:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ มี ๒ อย่าง คือ

๑. ปัจจัยภายนอก เรียกว่า ปรโตโฆสะ แปลว่า เสียงจากผู้อื่น หรือเสียงบอกจากผู้อื่น ได้แก่ การรับถ่ายทอด หรืออิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมทางสังคม เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อนที่คบหา หนังสือ สื่อมวลชน และวัฒนธรรม ซึ่งให้ข่าวสารที่ถูกต้อง สั่งสอนอบรม แนะนำชักจูงไปในทางที่ดีงาม

๒. ปัจจัยภายใน เรียกว่า โยนิโสมนสิการ แปลว่า การทำในใจโดยแยบคาย หมายถึง การคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด หรือ คิดเป็น

ในทำนองเดียวกัน แหล่งที่มาของการศึกษาที่ผิด หรือความไร้การศึกษา ที่เรียกว่า ปัจจัยแห่งมิจฉาทิฏฐิ ก็มี ๒ อย่างเหมือนกัน คือ ปรโตโฆสะ เสียงบอกจากภายนอกที่ไม่ดีงาม ไม่ถูกต้อง และ อโยนิโสมนสิการ การทำในใจไม่แยบคาย การไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็น หรือการขาด โยนิโสมนสิการนั่นเอง :b1:

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 07 พ.ย. 2012, 03:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

nongkong เขียน:
555สุดท้ายพี่ก็ไม่เข้าใจเรื่องของจิตหรือนามธรรม :b32: คุนน้องลืมบอกพี่ไปอย่างคุนน้องเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธองค์เพียงคนเดียว และคุนน้องจัเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพิสูจน์ๆด้และให้คำตอบตัวเองได้

ดีแล้วที่ไม่เป็นศิษย์พี่โฮ ไม้งั้นพี่โฮอายตายเลย :b32:
พูดได้พูดดี ถามโยนิโสทำอย่างไร ก็ไม่บอกมา รู้หรือเปล่าหลักสำคัญที่จะอธิบาย
เรื่องที่เราคุยมันต้องอาศัย หลักโยนิโส แต่ที่น้องไม่เอาหลักโยนิโสมาอธิบายด้วย
แสดงว่า ที่น้องบอกเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พี่โฮว่า น้องคิงคองขี้ตู่ล่ะมั้ง

ที่ไม่เอาหลักโยนิโสฯมาอธิบายเป็นเพราะ ไม่รู้จริงหรือไม่รู้เรื่อง
ไอ้ที่พูดๆมา ก็แค่จำขี้ปากชาวบ้านมาพูด :b32:
nongkong เขียน:
คนตาบอด ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปภายนอก เพราะรูปภายนอกมันก็ไม่ใช่ของจริงอยู่แล้วในส่วนของนามธรรม

ที่น้องละเลงบัญญัติแบบนั้นเพราะไม่รู้เหตุ สมุฐาน จึงไม่เข้าใจหลักของ โยนิโสฯ
หลักของโยนิโส ท่านว่าให้เอาปัญญามองธรรมตามความเป็นจริง แล้วน้อมจิตเอาธรรมตามจริงนั้น
มาเป็นหลักในการพิจารณาธรรม ธรรมที่เราพิจารณาจะได้ไม่เป็นการปรุงแต่งธรรม
nongkong เขียน:
ถึงแม้ตาจะบอดแต่หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น มีประสททสัมผัส ลิ้นรับรสๆได้ คนตาบอดรู้ว่าใครคือแม่ ใครคือพ่อ มีความรู้สึกพอใจไม่พอใจในเสียงนั้น ชอบใจไม่ชอบใจในกลิ่นนั้น รสนั้น แต่คนตาบอดจะแยกนามรูปไม่ๆด้แค่นั้นว่าคนไหนน่าตาพึงพอใจคนไหนหน้าตาไม่พึงพอใจ คนตาบอดจะไม่เกิดการปรุงแต่งตันหาในเรื่องนามรูป เพราะจะสวยไม่สวยคนตาบอดกำหนดรู้ไม่ได้แต่คนตาบอดสามารถกำหนดรู้ได้ว่า เรารู้สึกยินดีพใจกับบุคคลนั้นหรือไม่จากเสียง สัมผัสหรือเรียกว่าธรรมมารมย์ :b44:

อายตนะภายนอกทั้งหก ที่เราสามารถรับรู้หรือเกิดการกระทบจนเกิดเป็น อารมณ์หรือนามได้
เป็นเพราะ อายตนะภายในทั้งหก อายตนะภายในทั้งหกก็คือ หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ

อารมณ์ต่างๆที่เกิดการกระทบของอายตนะ แล้วเราก็เข้าไปยึด กายหรือร่างกายทั้งของเรา
และคนอื่น ทั้งสัตว์และสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เราไปยีดมั่นจนเป็นตัวเป็นตน

และสาเหตุหรือสมุฐานที่ทำให้เกิดการยึดมั่น เพราะตาเราไปเห็น กายหรือร่างกายเป็นตัวเรา
ตาจึงมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เห็น สมุทัย เมื่อเห็นเหตุแห่งทุกข์จึงสมารถดับทุกข์ได้

การใช้หลักของโยนิโสฯก็คือ น้อมจิตเอาปัญญารู้ไตรลักษณ์ เอาสภาวะไตรลักษณ์ที่ว่า...
สังขาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เอามาพิจารณาธรรมที่เกิดหลังจากการกระทบจนเป็นอารมณ์
แท้จริงแล้ว เป็นแค่สังขาร ไม่เที่ยงเป็นทุกข์และไม่ใช่ตัวตน
พิจารณาดังนี้จะทำให้ไม่ไปยึดเอาอารมณ์เป็นตัวตน รู้แค่ว่ามันเป็นการปรุงแต่ง
เมื่อมันเกิดแล้วก็ดับ

ทำได้อย่างนี้จิตที่เคยมองเห็นสิ่งภายนอกเป็นตัวตนเราเขาก็จะดับ
ที่สำคัญการมองเห็นเมื่อในอดีตว่า ร่างกายที่เรามองเห็นเป็นตัวตน
มันเป็นแค่รูปที่ตาไปกระทบ แล้วเกิดอารมณ์สังขารปรุงแต่งเป็นน้องคิงคอง
หรือเป็นพี่โฮฮับ แท้จริงแล้วมันเป็นมหาภูติรูปสี่ เป็นแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ


ที่กล่าวข้างบน ต้องผ่านการละ สักกายทิฐิให้ได้ก่อนจึงจะเห็นสภาวะนั้น
หลักการละสักกายทิฐิ ต้องอาศัยตาและจักขุปสาทรูปเพี่อหาสมุฐานหรือเหตุ
จึงจะดับเหตุนั้นได้

น้องคิงคอง พี่โฮจะบอกให้ สิ่งที่น้องพูดมันไม่ได้บ่งบอกถีงแก่นธรรมซักนิด
มันก็แค่เอาบัญญัติมาพูด แต่ไม่ได้ลงลึกหรือใกล้เคียงประเด็นธรรมเลย
ลักษณะแบบน้องพี่โฮ ขอมอบตำแหน่ง นักเจรจา ฉายา ใบไม้นอกกำมือ
แต่น้องเป็นแค่เหรียญเงิน อันดับสอง อันดับหนี่งพี่ให้คนอื่นไปแล้ว :b32:

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 07 พ.ย. 2012, 03:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปวดหัวกับคำศัพท์จริงๆ

กรัชกาย เขียน:
ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ มี ๒ อย่าง คือ

๑. ปัจจัยภายนอก เรียกว่า ปรโตโฆสะ แปลว่า เสียงจากผู้อื่น หรือเสียงบอกจากผู้อื่น ได้แก่ การรับถ่ายทอด หรืออิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมทางสังคม เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อนที่คบหา หนังสือ สื่อมวลชน และวัฒนธรรม ซึ่งให้ข่าวสารที่ถูกต้อง สั่งสอนอบรม แนะนำชักจูงไปในทางที่ดีงาม

๒. ปัจจัยภายใน เรียกว่า โยนิโสมนสิการ แปลว่า การทำในใจโดยแยบคาย หมายถึง การคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด หรือ คิดเป็น

ในทำนองเดียวกัน แหล่งที่มาของการศึกษาที่ผิด หรือความไร้การศึกษา ที่เรียกว่า ปัจจัยแห่งมิจฉาทิฏฐิ ก็มี ๒ อย่างเหมือนกัน คือ ปรโตโฆสะ เสียงบอกจากภายนอกที่ไม่ดีงาม ไม่ถูกต้อง และ อโยนิโสมนสิการ การทำในใจไม่แยบคาย การไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็น หรือการขาด โยนิโสมนสิการนั่นเอง :b1:

เละแล้วกรัชกาย มันคนละเรื่อง ไอ้เรื่องปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายใน มันเป็นเรื่องการพิจารณาธรรม
โดยใช้หลักของ ธรรมมานุปัสสนา

โยนิโสฯ เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาธรรม เรียกว่า .......
เป็นตัวเชื่อมปัญญาสัมมาทิฐิ กับธรรมที่จะพิจารณา

และไอ้ปรโตโฆสะที่กรัชกายว่า เป็นปัจจัยแห่งสัมมาทิฐิ...มันใช่ซะที่ไหนกันเล่า :b32:

*ปรโตโฆสะ*คือธรรมภายนอก เป็นธรรมที่ต้องพิจารณา
*ปัญญาสัมมาทิฐิ* คือการมองธรรมตามความเป็นจริง นั้นคือการไม่ยึดเอาธรรมที่
กำลังพิจารณาเป็นตัวตน
*โยนิโสฯ คือ การที่จิตน้อมเอาปัญญาสัมมาทิฐิมาเป็นหลัก แล้วไล่หาเหตุและผลในธรรม
หรือปรโตโฆสะนั้น กล่าวได้ว่า....โยนิโสฯเป็นปัญญา(ธัมวิจยะ)ที่มุ่งตรงต่อ.....
ปัญญาสัมมาสังกัปปะ
:b13:

หน้า 1 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/