ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=44088 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | ขณะจิต [ 17 ธ.ค. 2012, 14:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาแค่ไม่ใช่สุขหรือสวรรค์ เพราะสุขนั้นเป็นแค่เวทนาอย่างหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า ประกอบกันแล้วหลงยึดถือว่าเป็นตน เป็นเครื่องเกาะเกี่ยว ร้อยรัด แต่สุขมีประโยชน์เป็นเครื่องเยียวยาในโลกนี้ แต่ที่แท้ต้องว่างจากทุกข์และสุข พระพุทธองค์ทรงสอนเสมอ ให้ละอภิชชา(ยินดีในสุข)และโทมนัส(ยินร้ายในทุกข์)เสีย เป็นจิตประถัสสร จิตที่เกลี้ยงเกลาเป็นประภัสสรนั้น เป็นสภาวะสะอาด สว่าง สงบ ที่ปราศจากทุกข์ คนเรามักหลงติดสุขกันถูกล่ามพัวพันไว้ด้วยสุข ไม่อาจพ้นไปได้ง่าย ออกจากทุกข์ด้วยสุข ออกจากสุขด้วยว่าง จึงถึงความเกลี้ยงเกลาประภัสสร อยู่ด้วยสติและธรรมหมุนไป มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้น คงอยู่ และดับไปอย่างปราศจากตัวตนจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 17 ธ.ค. 2012, 14:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
อยากฟังความเห็นพี่โฮฮับ ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 17 ธ.ค. 2012, 14:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
![]() ![]() ![]() ไม่อนุโมทนา ไม่ได้ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 17 ธ.ค. 2012, 15:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 18 ธ.ค. 2012, 01:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
กรัชกาย เขียน: อยากฟังความเห็นพี่โฮฮับ ![]() มันเหนื่อยรู้มั้ยที่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชกับ คนที่ชอบเอาบทลครเวทีมาพูด แล้วบอกว่าเป็น พระธรรมของพระพุทธเจ้า เอาน่ะ! ไหนๆก็ไหนๆ ร่วมด้วยช่วยซะเล็กน้อย ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 18 ธ.ค. 2012, 02:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
ขณะจิต เขียน: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาแค่ไม่ใช่สุขหรือสวรรค์ เพราะสุขนั้นเป็นแค่เวทนาอย่างหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า ประกอบกันแล้วหลงยึดถือว่าเป็นตน เป็นเครื่องเกาะเกี่ยว ร้อยรัด ใครบอกคุณกันครับว่าสุข คือเวทนาอย่างหนึ่ง นี่แหล่ะผลของการศึกษาธรรมะจากบทความ ทำให้เอาบัญญัติของคนโน้นที คนนี่ทีมาผสมปนเปกันจนสับสนวุ่นวาย ฟังกันให้ชัดๆนะครับว่าความสุข ความทุกข์และเวทนาคืออะไร ความสุขมันเป็นกิเลสตัณหาหรือสังโยชน์อย่างหนึ่ง มันเป็นเป็นเป็นเหตุทำให้เกิดกระบวนการชันธ์ห้าหรืออุปาทานขันธ์ แล้วมันมาเกิดในจิตในใจได้อย่างไร ก็เพราะเราไปรับมันเข้ามาพร้อมกับ อายตนะภายนอกเมื่อเกิดการกระทบของสฬายตนะ ความทุกข์ ในความหมายของพระพุทธเจ้านั้นก็คือ การ เกิด แก่ เจ็บ ตายวนเวียนกันไม่รู้จบสิ้น แบบนี้จึงเรียกว่า...ความทุกข์ ส่วนเวทนา คือการรับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น อารมณ์ที่ว่านี้ มันไม่ใช่ ความสุขหรือความทุกข์ มันเป็นเพียงสภาวะที่เกิดจากผัสะ ผลของผัสสะหรือสภาวะต่างๆที่ได้รับจากทวารแต่ละทวารของทวารทั้งหกต่อเมื่อเกิดสัญญาขึ้น นั้นก็คือการจำได้หมายรู้ในลักษณะที่เคยเกิดการกระทบในอดีต คือ เย็น ร้อน อ่อนแข็ง.....ฯลฯ สิ่งที่ตามมาก็คือ อาการของจิตสังขาร คือ.... โมหะ โทสะและโลภะ ที่เราเข้าใจว่า เป็นสุข เป็นทุกข์นั้น แท้จริงเป็นการเข้าใจผิดมาก มันเป็นอาการของจิตที่เกิดความหลง เกิดเป็นโทสะและโมหะสลับสับเปลี่ยนกันของจิต เมื่อเกิดอกุศลจิตสาม มันทำให้เกิดขันธ์ห้านี่แหล่ะ |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 18 ธ.ค. 2012, 02:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
ขณะจิต เขียน: แต่สุขมีประโยชน์เป็นเครื่องเยียวยาในโลกนี้ แต่ที่แท้ต้องว่างจากทุกข์และสุข นี่ก็ใช้บัญญัติจนเคลื้ม ความสุขเป็นเครื่องเยียวยาในโลกนี้ ถ้าพูดภาษาบ้านๆ ความสุขมันเป็นผล มันต้องมีเหตุซะก่อน อยู่ดีๆจะเอาความสุขมาเยียวยา พูดไปเรื่อยเหมือนหลี่ไป่นักกวีจีนกำลังพร่าม เพราะฤทธิ์สุรา สิ่งที่จะเอามาเยียวยาโลกคือความรัก แบบนี้เขาเรียกว่าเหตุมันทำให้เกิดผลที่เรียกว่า...สุข แต่เนื่องด้วยความรักและความสุข มันเป็นกิเลส มันจะส่งผลให้เกิดทุกข์(วัฏสงสาร) พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ใช้ พรหมวิหารสี่มาเยียวยาโลก เพราะเราต้องวางอุเบกขา ต่อความรักและความสุขนั้น ขณะจิต เขียน: พระพุทธองค์ทรงสอนเสมอ ให้ละอภิชชา(ยินดีในสุข)และโทมนัส(ยินร้ายในทุกข์)เสีย เป็นจิตประถัสสร จิตที่เกลี้ยงเกลาเป็นประภัสสรนั้น เป็นสภาวะสะอาด สว่าง สงบ ที่ปราศจากทุกข์ คนเรามักหลงติดสุขกันถูกล่ามพัวพันไว้ด้วยสุข ไม่อาจพ้นไปได้ง่าย ออกจากทุกข์ด้วยสุข ออกจากสุขด้วยว่าง จึงถึงความเกลี้ยงเกลาประภัสสร อยู่ด้วยสติและธรรมหมุนไป มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้น คงอยู่ และดับไปอย่างปราศจากตัวตนจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ![]() เละตุ้มเป่ะ! ออกจากทุกข์ด้วยสุข พูดให้นักปฏิบัติเขาปวดหัว....... มันต้องออกจากสุขแล้วจะพ้นทุกข์ มันถึงจะถูก |
เจ้าของ: | ขณะจิต [ 18 ธ.ค. 2012, 23:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
ผมยังยืนยันว่า สุข เป็นเวทนาอย่างหนึ่งครับ จะเป็นกิเลสก็ต่อเมื่อหลงปรุงเป็นตัณหาจึงเป็นกิเลส ถ้าไม่ปรุงก็เป็นแค่เวทนาเฉยๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ![]() ที่สุขเป็นเครื่องเยียวยาในโลกนั้นเพราะสุขทำให้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกง่ายขึ้น เหมือนยารักษาอาการชั่วคราว ทำให้หมู่สัตว์เกิดความปรารถนา ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ที่ออกจากทุกข์ด้วยสุขหมายถึงคนที่เป็นทุกข์อยู่ เดือดร้อนอยู่ต้องคลายทุกข์คลายความเดือดร้อนแล้ว มีจิตชุ่มชื่นแล้วเขาย่อมยินดีที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่ยิ่งกว่า เมื่อเขาเห็นความไม่เที่ยงในสุขแล้ว จึงจะยอมรับสิ่งที่ยิ่งกว่าคือว่าง(นิพพาน) แต่นิพพานไม่ใช่สุขเวทนา แต่เป็นสภาวะที่เป็นสุข เพราะปราศจากเครื่องร้อยรัด เป็นอิสระ ปราศจากทุกข์กระทบเข้าถึง ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 19 ธ.ค. 2012, 04:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
ขณะจิต เขียน: ผมยังยืนยันว่า สุข เป็นเวทนาอย่างหนึ่งครับ จะเป็นกิเลสก็ต่อเมื่อหลงปรุงเป็นตัณหาจึงเป็นกิเลส ถ้าไม่ปรุงก็เป็นแค่เวทนาเฉยๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ![]() แล้วที่คุณบอกว่า.......... ขณะจิต เขียน: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาแค่ไม่ใช่สุขหรือสวรรค์ เพราะสุขนั้นเป็นแค่เวทนาอย่างหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า ประกอบกันแล้วหลงยึดถือว่าเป็นตน เป็นเครื่องเกาะเกี่ยว ร้อยรัด ถามหน่อยที่บอกเวทนาเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า ขันธ์ห้ามันไม่ใช่การปรุงแต่งหรอกหรือ จะบอกให้กระบวนการขันธ์ห้ามันเกิดจาก มีเหตุปัจจัยไปปรุงแต่งกิเลสตัณหา มันจึงทำให้เกิดขันธ์ห้า ถ้าเรามีปัญญารู้เห็นสภาพสังขารเกิด ตั้งอยู่ ดับไปตามความเป็นจริง มันก็จะไม่เกิดขันธ์ห้า ที่เราเกิดขันธ์ห้า เพราะเรายังไม่เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ที่คุณพูดๆอยู่นี่มันไม่ใช่การเห็นตามความเป็นจริง มันเป็นลักษณะพูดตามจินตนาการ ขณะจิต เขียน: ที่สุขเป็นเครื่องเยียวยาในโลกนั้นเพราะสุขทำให้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกง่ายขึ้น เหมือนยารักษาอาการชั่วคราวทำให้หมู่สัตว์เกิดความปรารถนา ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ จิตของคนมันไม่มีอาการที่เรียกว่า เป็นสุข อาการจิตที่แท้จริงมันคือความหลง ถ้ามันเกิดกับปุถุชน มันจะเป็นอาการของ โลภะและโทสะ สลับกันไป คุณพูดพระธรรมเหมือน ตาเฒ่านักกวีบางคน พูดจาอะไรชาวบ้านแม้กระทั้งพระพุทธเจ้า ยังฟังไม่รู้เรื่อง จินตนาการซะก้อนหินกลายเป็นทอง ขณะจิต เขียน: ที่ออกจากทุกข์ด้วยสุขหมายถึงคนที่เป็นทุกข์อยู่ เดือดร้อนอยู่ต้องคลายทุกข์คลายความเดือดร้อนแล้ว มีจิตชุ่มชื่นแล้วเขาย่อมยินดีที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่ยิ่งกว่า เมื่อเขาเห็นความไม่เที่ยงในสุขแล้ว จึงจะยอมรับสิ่งที่ยิ่งกว่าคือว่าง(นิพพาน) แต่นิพพานไม่ใช่สุขเวทนา แต่เป็นสภาวะที่เป็นสุข เพราะปราศจากเครื่องร้อยรัด เป็นอิสระ ปราศจากทุกข์กระทบเข้าถึง ![]() ที่คุณพูดมันเป็นการเอาบัญญัติมาจินตนาการ ตามใจตามกิเลสตนเอง พูดออกนอกลู่นอกทางพระธรรมของพระพุทธเจ้า ความหมายของ "สุข"ตามพระธรรมมันคือความทุกข์ เราต้องเห็น"สุข"เป็นทุกข์ให้ได้ จิตมันจะได้เลิกไขว่คว้าหาสุข แบบนี้เรียกว่า จิตวางอุเบกขาหรือปล่อยวาง ขณะจิต เขียน: จึงจะยอมรับสิ่งที่ยิ่งกว่าคือว่าง(นิพพาน) แต่นิพพานไม่ใช่สุขเวทนา แต่เป็นสภาวะที่เป็นสุข เพราะปราศจากเครื่องร้อยรัด เป็นอิสระ ปราศจากทุกข์กระทบเข้าถึง ![]() เห็นพูดได้พูดดีไอ้คำว่า "ว่าง" ถ้างั้นอรหันต์ที่มีอารมณ์นิพาน สงสัยต้องอยู่นิ่งๆเป็นแท่งปูน ห้ามเดินไปไหน ยิ่งในกรุงเทพนี่ยิ่งห้ามเดิน เดี๋ยวจะเดินตกท่อกทมเข้า ![]() คุณยังไม่รู้เลยว่า ทุกข์ของปุถุชนคืออะไร ดันไปรู้สภาวะนิพพาน ผมถามหน่อย คุณเชื่อในสิ่งที่คุณพูดหรือเปล่า ![]() |
เจ้าของ: | ขณะจิต [ 19 ธ.ค. 2012, 08:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
โฮฮับ เขียน: ขณะจิต เขียน: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาแค่ไม่ใช่สุขหรือสวรรค์ เพราะสุขนั้นเป็นแค่เวทนาอย่างหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า ประกอบกันแล้วหลงยึดถือว่าเป็นตน เป็นเครื่องเกาะเกี่ยว ร้อยรัด ถามหน่อยที่บอกเวทนาเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า ขันธ์ห้ามันไม่ใช่การปรุงแต่งหรอกหรือ จะบอกให้กระบวนการขันธ์ห้ามันเกิดจาก มีเหตุปัจจัยไปปรุงแต่งกิเลสตัณหา มันจึงทำให้เกิดขันธ์ห้า ถ้าเรามีปัญญารู้เห็นสภาพสังขารเกิด ตั้งอยู่ ดับไปตามความเป็นจริง มันก็จะไม่เกิดขันธ์ห้า ที่เราเกิดขันธ์ห้า เพราะเรายังไม่เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ที่คุณพูดๆอยู่นี่มันไม่ใช่การเห็นตามความเป็นจริง มันเป็นลักษณะพูดตามจินตนาการ ![]() ขอบคุณท่านโฮที่เข้ามาซักค้าน ผมขออภิบายความเห็นของผมดังนี้ ขันธ์ห้าย่อมดำรงค์อยู่ตราบที่ยังไม่ตายกายแตกสลายไปเพราะกายเป็นเครื่องประคองกองขันธ์ไว้ แต่กระบวนการขันธ์จะทำงานสมบูรณ์เมื่อเกิดการกระทบปรุงแต่งปัจจัยนอก-ใน แม้เรามีปัญญาตราบที่ยังไม่ตายกองขันธ์นี้ทำงานก็ยังต้องใช้กระบวนการขันธ์นี้ พูดทำ นึกคิด กระบวนขันธ์ก็ยังต้องทำงานอยู่ แต่ทำงานในลักษณะที่พอดี เย็นไม่เป็นทุกข์ เพราะหมดสิ้นปัจจัยภายในฝ่ายกิเลสแล้ว โฮฮับ เขียน: จิตของคนมันไม่มีอาการที่เรียกว่า เป็นสุข อาการจิตที่แท้จริงมันคือความหลง ถ้ามันเกิดกับปุถุชน มันจะเป็นอาการของ โลภะและโทสะ สลับกันไป คุณพูดพระธรรมเหมือน ตาเฒ่านักกวีบางคน พูดจาอะไรชาวบ้านแม้กระทั้งพระพุทธเจ้า ยังฟังไม่รู้เรื่อง จินตนาการซะก้อนหินกลายเป็นทอง ![]() โฮฮับ เขียน: โฮฮับ เขียน: ที่คุณพูดมันเป็นการเอาบัญญัติมาจินตนาการ ตามใจตามกิเลสตนเอง พูดออกนอกลู่นอกทางพระธรรมของพระพุทธเจ้า ความหมายของ "สุข"ตามพระธรรมมันคือความทุกข์ เราต้องเห็น"สุข"เป็นทุกข์ให้ได้ จิตมันจะได้เลิกไขว่คว้าหาสุข แบบนี้เรียกว่า จิตวางอุเบกขาหรือปล่อยวาง ![]() ถ้าไม่เรียกสิ่งนั้นว่าสุขก็ถูก แต่จะปฏิเสธสิ่งที่รู้สึกน่าพอใจเต็มอยู่ในดวงงใจของปถุชนว่าอย่างไร ผมขอเรียกมันว่าสุขตามที่เคยเรียกกันมาก็แล้วกัน จนวันหนึ่งเมื่อเขารู้ว่าจริงๆแล้วเหล่านั้นเป็นทุกข์อีกรูปแบบหนึ่ง เขาย่อมละวางมันเอง โฮฮับ เขียน: ที่คุณพูดมันเป็นการเอาบัญญัติมาจินตนาการ ตามใจตามกิเลสตนเอง พูดออกนอกลู่นอกทางพระธรรมของพระพุทธเจ้า เห็นพูดได้พูดดีไอ้คำว่า "ว่าง" ถ้างั้นอรหันต์ที่มีอารมณ์นิพาน สงสัยต้องอยู่นิ่งๆเป็นแท่งปูน ห้ามเดินไปไหน ยิ่งในกรุงเทพนี่ยิ่งห้ามเดิน เดี๋ยวจะเดินตกท่อกทมเข้า ![]() คุณยังไม่รู้เลยว่า ทุกข์ของปุถุชนคืออะไร ดันไปรู้สภาวะนิพพาน ผมถามหน่อย คุณเชื่อในสิ่งที่คุณพูดหรือเปล่า ![]() ท่านโฮยังไม่รู้จักความว่างดีพอ ว่างไม่ได้หมายความว่าไม่ทำอะไรเลย สภาวะที่ว่าง คือสภาวะที่ปราศจากทุกข์ ว่างคือการปราศจากการถูกครอบงำโดยอำนาจใดๆ กายก็ว่าง จิตก็ว่าง ธรรมชาติที่ว่าง ล้วนเป็นอิสระต่อกัน เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยกาย-จิตที่อิสระถึงที่สุด ทำอะไรตามสมควรแก่เหตุ-ปัจจัย ตามสติปัญญา จนสุดท้ายเมื่อสิ้นเหตุปัจจัย(ตาย) ย่อมสู่ความว่างโดยสมบูรณ์(นิพพาน) ![]() |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 19 ธ.ค. 2012, 09:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
เหมือนมาดูการต่อสู้ทางภาษา |
เจ้าของ: | nongkong [ 19 ธ.ค. 2012, 10:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
มาฟังการเทศนานักเจรจา ฉายาใบไม้นอกกำมือ รองอันดับหนึ่ง(เหรียญเงิน)บ้างนะเจ้าค่ะ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 19 ธ.ค. 2012, 10:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
ขณะจิต เขียน: ขอบคุณท่านโฮที่เข้ามาซักค้าน ผมขออภิบายความเห็นของผมดังนี้ ขันธ์ห้าย่อมดำรงค์อยู่ตราบที่ยังไม่ตายกายแตกสลายไปเพราะกายเป็นเครื่องประคองกองขันธ์ไว้ บุคคลหรือพระอริยะยังมีขันธ์ห้า แตพระอรหันต์ไม่มีแล้ว พระอริยะที่ยังมีขันธ์อยู่เป็นเพราะ ยังละกิเลสสังโยชน์ได้ไม่หมด กิเลสสังโยชน์เป็นเหตุแห่งทุกข์ เหตุการปรุงแต่งให้เกิดขันธ์ห้า ก็มาจากกิเลสสังโยชน์ที่ว่านี้ พระอรหันต์มีเพียงรูปกับนามที่ไม่มีเหตุมาปรุงแต่งแล้ว เมื่อไม่ปรุงแต่งย่อมต้อง ไม่มีกระบวนการขันธ์ห้า รูปของพระอรหันต์เป็นเพียงกายที่มีธาตุสี่มาประชุมกัน นามของพระอรหันต์ไม่ไปยึดรูปมาปรุงแต่ง มันจึงไม่เกิดรูปขันธ์ และนามที่เกิดจากผัสสะหรือกายที่เป็นธาตุสี่ เป็นเพียงกิริยาจิตหรือเป็นเพียง จิตผู้รู้ เป็นนามแต่ไม่ใช่นามขันธ์ กายของพระอรหันต์ไม่ได้ประคองอะไร ไม่ได้ประคองจิต ยิ่งบอกประคองขันธ์ยิ่งไม่ใช่ พระอรหันต์ย่อมรู้ว่า .....จิตหรือนามมันเกิดขึ้นมาตามเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับ และเหตุปัจจัยที่ว่าก็คือ ทวารทั้งหกหรือกาย เมื่อกายแตกสลายลง ย่อมต้องหมดเหตุ จิตก็ย่อมหมดไปตามกายที่ว่านั้น วัฏฏะแห่งรูปนามก็หมดไปด้วย ขณะจิต เขียน: แต่กระบวนการขันธ์จะทำงานสมบูรณ์เมื่อเกิดการกระทบปรุงแต่งปัจจัยนอก-ใน แม้เรามีปัญญาตราบที่ยังไม่ตายต้องกองขันธ์นี้ทำงานก็ยังต้องใช้กระบวนการขันธ์นี้ พูดทำ นึกคิด กระบวนขันธ์ก็ยังต้องทำงานอยู่ แต่ทำงานในลักษณะที่พอดี เย็นไม่เป็นทุกข์ เพราะหมดสิ้นปัจจัยภายในฝ่ายกิเลสแล้ว ที่คุณพูดมันเป็นลักษณะของปุถุชน ขันธ์ห้าเป็นกองทุกข์ ถ้าคุณไปดูในวงปฏิจสมุบาท ไล่ตั้งแต่อวิชามาจนถึงชรา มรณะ ทั้งหมดรวมเรียกว่ากองทุกข์ ขันธ์ห้าก็คือกองทุกข์ในปฏิจฯ เมื่อยังมีขันธ์ห้า แล้วมันจะไปตัดวงจรปฏิจจ์ฯได้อย่างไร เพราะพระอรหันต์ ไม่มีขันธ์ห้าแล้ว จึงไม่มีกองทุกข์ในวงปฎิจจ์ฯ เมื่อไม่มีกองทุกข์ วงจรปฏิจจ์ย้อมขาดลง วัฏสงสารย่อมต้องหมดไปด้วย หมดการเวียนว่ายตายเกิดครับ |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 19 ธ.ค. 2012, 10:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
ถ้าเรามอง พระอรหันต์ เราจะเห็นท่านเหมือนคนเราทั่วๆไป มีเนื้อ หนัง มีขันธ์ แบบนี้ใช่ไหมครับ แต่ถ้าพระอรหันต์ มองตัวท่านเอง ท่านรู้ว่าไม่มีขันธ์อะไรอีกต่อไป ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 19 ธ.ค. 2012, 11:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จุดหมายปลายทางของพุทธศาสนาไม่ใช่แค่สุขหรือสวรรค์ |
ขณะจิต เขียน: ถ้าไม่เรียกสิ่งนั้นว่าสุขก็ถูก แต่จะปฏิเสธสิ่งที่รู้สึกน่าพอใจเต็มอยู่ในสองใจของปถุชนว่าอย่างไร ผมขอเรียกมันว่าสุขตามที่เคยเรียกกันมาก็แล้วกัน จนวันหนึ่งเมื่อเขารู้ว่าจริงๆแล้วเหล่านั้นเป็นทุกข์อีกรูปแบบหนึ่ง เขาย่อมละวางมันเอง จิตที่เป็นขันธ์ห้าในปุถุชน มันจะเกิดกระบวนการเริ่มต้น ตั้งแต่ได้รับกิเลสทางทวารทั้งห้า เมื่อได้รับกิเลสมาทางทวารใดทวารหนึ่งแล้ว ย่อมต้องต้องเกิดเป็นกระบวนการขันธ์ กระบวนการขันธ์จากผัสสสะนั้นจะมาจบที่ สังขารขันธ์(อาการของจิต) อาการของจิตที่เป็นอกุศล(โมหะ โทสะและโลภะ) มันจะเกิดการปรุงแต่งต่อ ในรูปของ ธัมมารมณ์นั้นก็คือก็เกิดการคิดขึ้นที่สมองหรือหทัยวัตถุ เรื่องราวที่เกี่ยวกับความสุขที่คุณพูด มันเป็นเพียงความคิด มันเป็นเพียงผัสสะตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ขณะจิต เขียน: ท่านโฮยังไม่รู้จักความว่างดีพอ ว่างไม่ได้หมายความว่าไม่ทำอะไรเลย สภาวะที่ว่าง คือสภาวะที่ปราศจากทุกข์ ผมว่าคุณนั้นแหล่ะที่ไม่รุ้จัก ความว่างมันจะเกิดขึ้นได้มันต้องปิดทวารทั้งหก ปิดเพี่อไม่ให้เกิดผัสสะ เมื่อไม่มีผัสสะจิตก็ว่าง แบบนี้มันเป็นธรรมชาติหรือเปล่าล่ะ แล้วบอกว่า เป็นสภาวะที่ปราศจากทุกข์ ที่คุณพูดแบบนี้เพราะ คุณยังไม่รู้จัก ทุกข์ ยังไม่เห็นทุกข์ ความว่างที่คุณว่า มันเป็นกิเลสที่เรียกว่า สุขหรือเรียกว่าอรูปราคะ คุณกำลังหลงกิเลส อรูปราคะหรือที่คุณเรียกว่าสุข เลยไม่เห็นคิดว่าปราศจากทุกข์ ขณะจิต เขียน: ว่างคือการปราศจากการถูกครอบงำโดยอำนาจใดๆ กายก็ว่าง จิตก็ว่าง ธรรมชาติที่ว่าง ล้วนเป็นอิสระต่อกัน เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยกาย-จิตที่อิสระถึงที่สุด ทำอะไรตามสมควรแก่เหตุ-ปัจจัย ตามสติปัญญา จนสุดท้ายเมื่อสิ้นเหตุปัจจัย(ตาย) ย่อมสู่ความว่างโดยสมบูรณ์(นิพพาน) ![]() บอกมาได้ว่าเป็นอิสระ เป็นธรรมชาติ คุณเข้าใจผิดตั้งแต่แรก การพูดให้เหตุผล มันเลยผิดตามกันไปหมด ทวารทั้งหกยังอยู่ ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ไปบังคับมัน จิตมันจะว่างได้ไง คุณไม่เข้าใจเรื่องจิตวางอุเบกขากับจิตว่าง มันเลยทำให้คุณสับสน นึกว่าพระอรหันต์จิตว่าง ท่านยังมีทวารทั้งหกอยู่ ท่านยังใช้ทวารนั้น ท่านใช้แล้ววางอุเบกขา ไม่ใช่ ไม่ใช้แล้วบอกว่าจิตว่าง หรือบอกว่าใช้แต่จิตว่าง ถ้าจิตว่างแล้วท่านจะรู้เรื่องจะสื่อสารได้ไง |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |