วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 08:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
nongkong เขียน:
ปล.และคุนน้องก็ศรัธราว่าพระพุทธองค์ต้องเห็นด้วยกับคุนน้อง แต่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของลุงที่บอกธรรมของพระพุทธองค์เป็นของยาก สิ่งใดที่มันง่ายๆนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า คุนน้องขอค้าน Onion_L[/color]

พระอภิธรรม ซึ่งจะสามารถปรากฎขึ้นได้ในโลกนี้ ก็ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ
ตามธรรมดาสภาวธรรมทั้งทั้งหลาย คือรูปกับนามทั้ง ๒ อย่างนี้มีอยู่แล้วในโลกนี้
หากแต่ว่าไม่มีใครสามารถจะแสดงขึ้นมาให้ปรากฎได้เท่านั้น นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์เดียว แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่สามารถทำให้ปรากฎขึ้นได้
อุปมาเหมือนแสงไฟฟ้า เครื่องส่งเครื่องรับวิทยุ เครื่องส่งเครื่องรับโทรทัศน์ โทรศัพท์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ เป็นต้นเหล่านี้ ในระหว่างที่ยังไม่มีผู้คิดขึ้น ทำขึ้น ก็ย่อมมีอยู่แล้วในโลก ต่อมาเมื่อมีผู้สามารถค้นคว้าประดิษฐ์ขึ้นมาให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลายได้แล้วนั้น สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ก็ปรากฎขึ้นในโลกตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
ข้อนี้ฉันใด พระอภิธรรมก็เช่นเดียวกัน สภาวะมีอยู่แล้วแต่ผู้ที่สามารถทำให้ปรากฎขึ้นไม่มี สภาวะนั้นก็ย่อมไม่ปรากฏต่อเมื่อมีผู้ค้นพบและนำมาแสดงให้ปรากฎได้ ซึ่งได้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สภาวะเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นทันที
ฉะนั้น พระอภิธรรม อันเป็นธรรมที่เกี่ยวกับสภาวะที่สามารถปรากฏขึ้นได้นั้น ก็ต้องอาศัยญาณอันสูงสุด ซึ่งได้แก่พระสัพพัญญุตญานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่พระองค์ทรงค้นพบ และนำออกมาแสดงให้ปรากฎในโลก กับทรงสอนให้บุคคลชั้นหลังๆไข้ใจได้ด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่อุบัติขึ้นในโลกนี้ พระอภิธรรม หรือสภาวธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ก็จะไม่สามารถรู้ได้เลย
อนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แม้ว่าจะเป็นผู้ตรัสรู้สภาวธรรมเองก็ตาม แต่ความรู้ของพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ จะเทียบเท่ากับความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาได้ไม่ ฉะนั้นการรู้สภาวธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจึงรู้เพียง ๑ ในร้อยส่วนของพระอภิธรรมเท่านั้น และส่วนหนึ่งที่รู้นั้น ก็รู้เพียงอรรถรส ไม่ใช่ธรรมรส คือไม่สามารถแสดงได้ให้สัตว์ทังหลายรู้ตามได้ ซึ่งจะเปรียบเทียบกับความรู้แห่งสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังดีกว่า เพราะรู้ในธรรมรส ฉะนั้นพระอภิธรรม ไม่ใช่วิสัยของผู้อื่นที่จะนำมาแสดงให้ปรากฎขึ้นได้ ก็เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น และการแสดงพระอภิธรรมที่ปรากฎขึ้นได้ ก็โดยอำนาจแห่งพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นเอง

คนที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์อย่างแท้จริงคือคนที่บรรลุโสดาบัณเกิดดวงตาเห็นธรรม. แล้วเพราะธรรมของพระพุทธองค์เป็นของสูง บุคคลที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ย่อมจะสำรวมตนถ้ายังไม่รู้ละเอียดลึกซึ้งในธรรมนั้น บุคคลนั้นย่อมจะไม่ย่ำยีธรรมของพระพุทธองค์ให้แปดเปื้อน เพราะด้วยที่สำรวมตนว่ายังไม่ใช่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานยิ่งจะต้องสำรวมโดยเฉพาะอภิธรรมชั้นสูง แล้วพระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้เอาคนนั้น คนนี้มาเปรียบเทียบ พระพุทธองค์สอนให้เห็น เรา เห็น เขา เสมอกัน ลุงมาพูดว่าสาวกของพระพุทธเจ้ารู้ในธรรมรสก็ยังดีกว่าพระปัจเจทพุทธเจ้า นี่มันเป็นความคิดของลุงเอง แต่พระองค์เคยตรัสว่า เว้นเราแล้วไม่มีผู้ใดเสมอพระปัจเจทพุทธเจ้า เพราะพระปัจเจทพุทธเจ้าท่านมีปัญญาถึงตรัสรู้ธรรมได้ด้วยตนเอง แล้วลุงดันมาบอกสาวกพระพุทธเจ้าย่อมดีกว่า แบบนี้มันเท่ากับว่าลุงกำลังลบหลู่คุนท่าน แล้วที่คุนน้องแสดงความเห็นถ้าลุงไม่ชอบหรือไม่พอใจก็วางมันลงนะค่ะ คุนน้องไม่ได้คิดอกุศลกับลุงแต่คุยกับลุงในฐานะ บันทิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


องค์ประกอบของปฏิจจสมุปบาท :b44:
เพราะการหมุนเวียนของวัฏชีวิตที่มีทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมุนเวียนไปตามองค์ประกอบ ของการเกิด หาจุจบไม่ได้และไม่สามารถหาต้นเหตุได้ว่าอะไร คือ ต้นเหตุของการเกิด และอะไร คือ ปลายเหตุของการดับ เริ่มจากอดดีตสู่ปัจจุบัน ปัจจุบันสู่อนาตค อนาคตกลับมาเป็นอดีต อดีตมาเป็นปัจจุบัน ประดุจห่วงของลูกโซ่ที่ผูกต่อกันไปหาที่สุดมิได้ เรียกว่า เป็นวงจรของปฏิจจสมุปบาท หรือ บาทฐานการเกิดของกองทุกข์ ซึ่งประกอบด้วย :-

1. อวิชชา
คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริงในความทุกข์ของจิต ไม่รู้ในเหตุให้เกิดแห่งความทุกข์ไม่รู้ในการดับ ทุกข์ไม่รู้ในปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์ อวิชชาเป็นจิตที่ไม่รู้จิตในจิต
เพราะความไม่รู้หรืออวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร

2. สังขาร
คือ การปรุงแต่งของจิตให้เกิดหน้าที่
ทางกาย - เรียกกายสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งร่างกายให้เกิดลมหายใจเข้าออก
ทางวาจา - เรียกวจีสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งวาจาให้เกิดวิตกวิจาร
ทางใจ - เรียกจิตสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดสัญญา เวทนา สุข ทุกข์ทางใจ
เพราะการปรุงแต่งของจิตหรือสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ

3. วิญญาณ
คือ การรับรู้ในอารมณ์ที่มากระทบในทวารทั้ง 6 คือ
ทางตา - จักขุวิญญาณ
ทางเสียง - โสตวิญญาณ
ทางจมูก - ฆานวิญญาณ
ทางลิ้น - ชิวหาวิญญาณ
ทางกาย - กายวิญญาณ
ทางใจ - มโนวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

4. นามรูป
นาม คือ จิตหรือความนึกคิด ในรูปกายนี้ เป็นของละเอียดได้แก่
เวทนา คือ ความรู้สึกเสวยในอารมณ์ต่างๆ
สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ จดจำในเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วทั้งดีและไม่ดีดังแต่อดีต
เจตนา คือ ความตั้งใจ การทำทุกอย่างทั้งดีและชั่ว
ผัสสะ คือ การกระทบทางจิต
มนสิการ คือ การน้อมจิตเข้าสู่การพิจารณา
รูป คือ รูปร่างกายที่สัมผัสได้ทางตา เป็นของหยาบ ได้แก่ มหาภูตรูป 4 คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม
เพราะนามรูปเกิด จึงเป้นปัจจัยให้มีสฬายตนะ คือ ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ

5. สฬาตนะ
คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกันทางวิถีประสาทด้วยอายตนะทั้ง 6 มี
ตา - จักขายตนะ
หู - โสตายตนะ
จมูก - ฆานายตนะ
ลิ้น - ชิวหายตนะ
กาย - กายายตนะ
ใจ - มนายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

6. ผัสสะ
คือ การกระทบกับสิ่งที่เห็นรู้ทุกทวารทั้งดีและไม่ดี เช่น
จักขุผัสสะ - สัมผัสทางตา
โสตผัสสะ - สัมผัสทางเสียง
ฆานผัสสะ - สัมผัสทางจมูก
ชิวหาผัสสะ - สัมผัสทางลิ้น
กายผัสสะ - สัมผัสทางกาย
มโนผัสสะ - สัมผัสทางใจ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

7. เวทนา
คือ ความรู้สึกเสวยอารมณ์พอใจ, ไม่พอใจและอารมณ์ที่เป็นกลางกับสิ่งที่มากระทบพบมาได้แก่
จักขุสัมผัสสชาเวทนา - ตา
โสตสัมผัสสชาเวทนา - เสียง
ฆานสัมผัสสชาเวทนา - จมูก
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา - ลิ้น
กายสัมผัสสชาเวทนา - กาย
มโนสัมผัสสชาเวทนา - ใจ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องรับของความรู้สึกต่างๆ
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

8. ตัณหา
คือ ความทะยานอยาก พอใจ และไม่พอใจในสิ่งที่เห็นรู้ใน
รูป - รุปตัณหา
เสียง - สัททตัณหา
กลิ่น - คันธตัณหา
รส - รสตัณหา
กาย - โผฎฐัพพตัณหา
ธรรมารมณ์ - ธัมมตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

9. อุปาทาน
คือ ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ และที่เกิดขึ้นในขัน 5 มี 4 เหล่า คือ
กามุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุกาม
ทิฎฐุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในการเห็นผิด
สีลัพพตุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในการปฎิบัติผิด
อัตตวาทุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนในขันธ์ 5
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

10. ภพ
คือ จิตที่มีตัณหาปรุงแต่ง เกิดอยู่ในจิตปุถุชนผู้หนาแน่นในตัณหา 3 เจตจำนงในการเกิดใหม่ ความกระหายในความเป็น เพราะยึดติดในรูปในสิ่งที่ตนเองเคยเป็น มี 3 ภพ คือ
กามภพ - ภพมนุษย์, สัตว์เดรัจฉาน, เทวดา
รูปภพ - พรหมที่มีรูป
อรูปภพ - พรหมที่ไม่มีรูป
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ

11. ชาติ
คือ ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง ได้แก่ จิตที่ผูกพันกันมากๆจึงเกิดการสมสู่กัน อย่างสม่ำเสมอ จนปรากฎแห่งขันธ์ แห่งอายตนะในหมู่สัตว์
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกปริเทวะทุกขโทมมัส อุปายาส มีความเศร้าโศก เสียใจ ร้องไห้อาลัย อาวรณ์

12. ชรา มรณะ
ชรา คือ ความแก่ ภาวะของผมหงอก ฟันหลุด หนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ของอินทรีย์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์อยู่ในตัว
มรณะ คือ ความเคลื่อน ความทำลาย ความตาย ความแตกแห่งขันธ์ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์

บ่อเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ เกิดขึ้นมาได้เพราะอวิชา ดั่งพืชเมื่อเกิดเป็นต้นไม้แล้ว มีราก ลำต้น ใบ ดอก ผล เป็นลำดับไป ไม่ปรากฎว่าเบื้องต้นเกิดมาแต่ครั้งไหน ดั่งรูปนาม ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ปรากฎว่าเบื้องต้นคือ " อวิชชา" เกิดมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะ เกิดการผูกต่อกันมาเป็นลำดับ เกิดเป็นปฎิจจสมุปบาทขึ้นมา
ปุถุชนดับวงของปฎิจจสมุปบาทได้บ้าง เป็นการดับชั่วขณะจึงต้องเกิดอีก เพราะ ตัววิชชายังไม่แจ้งในขันธ์ 5
ส่วนตัวอริยชนดับวงของปฎิจจสมุปบาทได้สนิท เพราะดับได้ด้วยวิชชาจึงไม่ต้องเกิดอีก เป็นการดับไม่เหลือเชื้อ เพราะวิชชาแจ้งในขันธ์ 5 พ้นจากการเกิด เปรียบเหมือนไฟ ที่สิ้นเชื้อดับไปแล้ว
:b46: :b46: :b46:
อนุโมทนาครับ


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... =1&gblog=7

http://www.dharma-gateway.com/dhamma/dhamma-32-01.htm

Picture :b46:
http://picasaweb.google.com/lh/photo/0v ... lJ5swbADfw


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คนที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์อย่างแท้จริงคือคนที่บรรลุโสดาบัณเกิดดวงตาเห็นธรรม. แล้วเพราะธรรมของพระพุทธองค์เป็นของสูง บุคคลที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ย่อมจะสำรวมตนถ้ายังไม่รู้ละเอียดลึกซึ้งในธรรมนั้น บุคคลนั้นย่อมจะไม่ย่ำยีธรรมของพระพุทธองค์ให้แปดเปื้อน เพราะด้วยที่สำรวมตนว่ายังไม่ใช่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานยิ่งจะต้องสำรวมโดยเฉพาะอภิธรรมชั้นสูง แล้วพระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้เอาคนนั้น คนนี้มาเปรียบเทียบ พระพุทธองค์สอนให้เห็น เรา เห็น เขา เสมอกัน ลุงมาพูดว่าสาวกของพระพุทธเจ้ารู้ในธรรมรสก็ยังดีกว่าพระปัจเจทพุทธเจ้า นี่มันเป็นความคิดของลุงเอง แต่พระองค์เคยตรัสว่า เว้นเราแล้วไม่มีผู้ใดเสมอพระปัจเจทพุทธเจ้า เพราะพระปัจเจทพุทธเจ้าท่านมีปัญญาถึงตรัสรู้ธรรมได้ด้วยตนเอง แล้วลุงดันมาบอกสาวกพระพุทธเจ้าย่อมดีกว่า แบบนี้มันเท่ากับว่าลุงกำลังลบหลู่คุนท่าน แล้วที่คุนน้องแสดงความเห็นถ้าลุงไม่ชอบหรือไม่พอใจก็วางมันลงนะค่ะ คุนน้องไม่ได้คิดอกุศลกับลุงแต่คุยกับลุงในฐานะ บันทิต


งั้นก็เอาอย่างงี้เกาะกันให้แน่นๆ เดี๋ยวพลัดหลง ไม่อยากจะต่อเรื่องให้มันยาว ถามหน่อยรู้จักพุทธสาวกหรือเปล่า พุทธสาวกท่านบำเพ็ญบารมีมาแค่ไหน อธิบายหน่อย ไม่อธิบายก็ได้อธิบายก็ได้ คงไม่จำเป็นต้องคุยด้วยแล้วมั้ง เพราะมันเรามันรู้กันคนละทางเดินไปเถอะหนทางยังมีอีกยาวไกล ขืนมาติติงกันมันเสียมันเวลา ต่างคนต่างไปเถอะ โชคดีแล้วกัน สวัสดี

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 16:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทำไม...ทางตรง...โล่ง...เดินสะดวก....ทำไมไม่เดิน

เพราะ...เราไม่ชอบ..งั้ย

ความชอบ...ไม่ชอบ...นี้มันบังคับกันไม่ได้....ก็แต่ละคนสะสมกันมาเอง

นักธรณีวิทยา...ผ่านไปทางไหน...ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าภูเขาสองข้างทางเป็นหินอะไร
นักพฤษาศาสตร์....ผ่านไปทางไหน...ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า..พื้ชพันธุ์สองข้างทางเป็นพวกไหน
นักสังคมศาสตร์...ผ่านไปทางไหน...ก็อดคิดไม่ได้ว่า...ผู้คนสองข้างทางเขาอยู่กันยังงัย

คิดว่า..พระอภิธรรม...ก็เช่นกัน


:b32:

นักจิตตศาสตร์

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ทำไม...ทางตรง...โล่ง...เดินสะดวก....ทำไมไม่เดิน

เพราะ...เราไม่ชอบ..งั้ย

ความชอบ...ไม่ชอบ...นี้มันบังคับกันไม่ได้....ก็แต่ละคนสะสมกันมาเอง

นักธรณีวิทยา...ผ่านไปทางไหน...ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าภูเขาสองข้างทางเป็นหินอะไร
นักพฤษาศาสตร์....ผ่านไปทางไหน...ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า..พื้ชพันธุ์สองข้างทางเป็นพวกไหน
นักสังคมศาสตร์...ผ่านไปทางไหน...ก็อดคิดไม่ได้ว่า...ผู้คนสองข้างทางเขาอยู่กันยังงัย

คิดว่า..พระอภิธรรม...ก็เช่นกัน


:b32:

นักจิตตศาสตร์

:b32: :b32: :b32:


นักพุทธศาสร์ :b21: :b21:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 17:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอภิธรรมนี้ พระพุทธองค์แสดงครั้งแรกที่สวรรค์ชั้น ดาวดึงส์
เพื่อโปรดพุทธมารดาและทวยเทพทั้งหลาย ..

เมื่อสเด็จกลับยังโลกมนุษย์ พระองค์ก็เพียงแสดงแก่พระสารีบุตรเท่านั้น
ไม่แสดงแก่พระภิกษุรูปใด ๆ อีกเลย ..


:b1: :b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะพระอภิธรรมเป็นธรรมะที่เกี่ยวข้องกับปรมัตถธรรมล้วน ๆ
ยากแก่การที่จะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย .. :b8:

บุคคลที่จะรับอรรถรสของพระอภิธรรมได้นั้นต้องเป็นบุคคลที่ประกอบด้วย
ศรัทธาอันมั่นคงและได้เคยสั่งสมบารมีอันเกี่ยวกับปัญญาในเรื่องนี้มาบ้างแล้วแต่กาลก่อน

ซึ่งก็คงมีแต่พระสารีบุตรเท่านั้น ที่สามารถรองรับพระอภิธรรมที่ละเอียดได้

ต่อมาพระสารีบุตรก็แสดงพระอภิธรรมแก่พระภิกษุผู้เป็นลูกศิษย์ ๕๐๐ รูป
ที่เคยสร้างสมบารมีมาครั้งก่อน ๆ .. โดยไม่ย่อและไม่ลงละเอียดเกินไป ..

เราท่านปัญญาคงเทียบไม่ได้กับพระสารีบุตร คงรับได้แต่พอประมาณ ..


:b1: :b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2013, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นบทสวด...

ค้างคาว 500 เคยฟังพระสวดในถ่ำ...ค้างคาวทั้ง500 ชอบ...ฟังจนเคลิ้ม..เลยหล่นลงมาหัวกระแทกพื้นตาย...ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาเพราะอานิจสงแห่งการฟังธรรม...(แค่ชอบ...แต่ไม่รู้ในความหมายเลยสักนิด)...เสวยสุขนานแสนนาน

ถึงพุทธกาล...ก็เลือกลงมาเกิด...แล้วพากันมาสมัครอยู่ในสำนักพระสารีบุตรทั้ง 500...พระพุทธเจ้าปลีกตัวจากสวรรค์ลงมาโลกมนุษย์...เล็งญาณเห็น..ทราบว่า...ลูกศิกษ์ทั้ง 500 ของพระสารีบุตร..เมื่อฟังบทสวดมนต์อันนั้น...(บทที่พระสวดในถ่ำจนตัวเองเคลิ้มหล่นลงมาตาย)...ฟังจบ...จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์...พระพุทธเจ้าจึงสวดให้พระสารีบุตรฟัง...พระสารีบุตรก็ไปสวดให้ลูกศิกษ์ทั้ง 500..ฟังอีกที...ทั้ง 500 ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์...

พระพุทธเจ้า..จะทำอะไร..มีเหตุแล้วต้องได้ผล...

นี้คือนิทาน...ไม่ไช่อภิธรรม

ปล. + พระที่สวดในถ่ำจนค้างคาวตกมาตาย...คงเป็นพระในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
+ ค้างคาวตกลงมาแต่ลืมขนาดว่า..ลืมกระพือปีกบิน..นี้นะ...น่าจะเป็นสมาธิไปแล้ว..แต่ได้เป็นแค่เทวดา...???
+ บทสวดนั้น....เป็นของค้างคาว500...ไม่น่าจะเป็นธรรมที่พระพุทธองค์เทศน์โปรดเทวดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2013, 01:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ค. 2010, 23:55
โพสต์: 55

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะศึกษาอภิธรรม หรือไม่ศึกษาอภิธรรม

ถ้ารู้แก่นแห่งธรรมแล้ว เรื่องก็จบ เหมือนใบไม้ในกำมือ กับใบไม้ทั้งป่า

เมื่อรู้ถึงแก่นแห่งธรรมแล้ว หากมีโอกาสได้ศึกษาอภิธรรมบทใด ก็เข้าใจว่า

อ๋อ บทธรรมกล่าวอย่างนี้หนอ มันเป็นอย่างนี้เองหนอ

... แล้วก็วางลง

ผู้ที่เข้าใจบทอภิธรรมได้อย่างลึกซึ้งจริงๆ นั้น ท่านไม่ได้อยู่ในลานหรอก

ท่านต้องออกบวช อยู่ธุดงค์ ตามป่า ตามเขา เพ่งฌาน อยู่อย่างสันโดษ

อย่างน้อยๆ ต้องระดับปฏิสัมภิทาญาณ

แล้วเราๆ ท่านๆ ทำได้หรือเปล่าละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2013, 02:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
nongkong เขียน:
คนที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์อย่างแท้จริงคือคนที่บรรลุโสดาบัณเกิดดวงตาเห็นธรรม. แล้วเพราะธรรมของพระพุทธองค์เป็นของสูง บุคคลที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ย่อมจะสำรวมตนถ้ายังไม่รู้ละเอียดลึกซึ้งในธรรมนั้น บุคคลนั้นย่อมจะไม่ย่ำยีธรรมของพระพุทธองค์ให้แปดเปื้อน เพราะด้วยที่สำรวมตนว่ายังไม่ใช่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานยิ่งจะต้องสำรวมโดยเฉพาะอภิธรรมชั้นสูง แล้วพระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้เอาคนนั้น คนนี้มาเปรียบเทียบ พระพุทธองค์สอนให้เห็น เรา เห็น เขา เสมอกัน ลุงมาพูดว่าสาวกของพระพุทธเจ้ารู้ในธรรมรสก็ยังดีกว่าพระปัจเจทพุทธเจ้า นี่มันเป็นความคิดของลุงเอง แต่พระองค์เคยตรัสว่า เว้นเราแล้วไม่มีผู้ใดเสมอพระปัจเจทพุทธเจ้า เพราะพระปัจเจทพุทธเจ้าท่านมีปัญญาถึงตรัสรู้ธรรมได้ด้วยตนเอง แล้วลุงดันมาบอกสาวกพระพุทธเจ้าย่อมดีกว่า แบบนี้มันเท่ากับว่าลุงกำลังลบหลู่คุนท่าน แล้วที่คุนน้องแสดงความเห็นถ้าลุงไม่ชอบหรือไม่พอใจก็วางมันลงนะค่ะ คุนน้องไม่ได้คิดอกุศลกับลุงแต่คุยกับลุงในฐานะ บันทิต


งั้นก็เอาอย่างงี้เกาะกันให้แน่นๆ เดี๋ยวพลัดหลง ไม่อยากจะต่อเรื่องให้มันยาว ถามหน่อยรู้จักพุทธสาวกหรือเปล่า พุทธสาวกท่านบำเพ็ญบารมีมาแค่ไหน อธิบายหน่อย ไม่อธิบายก็ได้อธิบายก็ได้ คงไม่จำเป็นต้องคุยด้วยแล้วมั้ง เพราะมันเรามันรู้กันคนละทางเดินไปเถอะหนทางยังมีอีกยาวไกล ขืนมาติติงกันมันเสียมันเวลา ต่างคนต่างไปเถอะ โชคดีแล้วกัน สวัสดี

ก็จขกทเป็นซะแบบนี้ พอใครเขาไม่เห็นด้วยก็เกิดอารมณ์ เด็กมันพูดอะไรลุงเห็นว่า
มันผิดลุงก็เอาเหตุผลมาคัดง้าง ไม่ใช่มาแสดงอาการไม่พอใจ พูดจาโวยวายนอกเรื่อง
แบบนี้แสดงว่า เด็กมันพูดถูกเพราะลุงหาเหตุผลมาแก้ต่างไม่ได้

ไอ้ประเภทเถียงหัวชนฝาแต่หาเหตุผลไม่ได้นี่น่ะเลิกซะเถอะ ดูแล้วมันเหมือนเด็กเกเร
มีเยี่ยงอย่างที่ไหน กำลังพูดอธิบายความกัน ดันอ้างอดีตชาติสะสมบารมี
ทำเป็นหมาป่าในนิทานอีสปไปได้

นี่ทำให้รู้เลยว่า บัณฑิตมันไม่เกี่ยวกับวัย :b32:

แล้วเรื่องเกาะกันให้แน่น ผมว่าบอกใจตัวเองดีกว่าครับ
เห็นเที่ยวได้ชวนสาว แก่ แม่หม้าย ไปเล่นเฟสบุ๊ค
แค่ชอบโพสรูปการ์ตูน มันก็แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของผู้โพสแล้วว่า
ลืมกายใจตัวเอง นี่ยังมาชวนคนอื่นไปเล่นเป็นเด็กอีกแน่ะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2013, 06:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เป็นบทสวด...

ค้างคาว 500 เคยฟังพระสวดในถ่ำ...ค้างคาวทั้ง500 ชอบ...ฟังจนเคลิ้ม..เลยหล่นลงมาหัวกระแทกพื้นตาย...ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาเพราะอานิจสงแห่งการฟังธรรม...(แค่ชอบ...แต่ไม่รู้ในความหมายเลยสักนิด)...เสวยสุขนานแสนนาน

ถึงพุทธกาล...ก็เลือกลงมาเกิด...แล้วพากันมาสมัครอยู่ในสำนักพระสารีบุตรทั้ง 500...พระพุทธเจ้าปลีกตัวจากสวรรค์ลงมาโลกมนุษย์...เล็งญาณเห็น..ทราบว่า...ลูกศิกษ์ทั้ง 500 ของพระสารีบุตร..เมื่อฟังบทสวดมนต์อันนั้น...(บทที่พระสวดในถ่ำจนตัวเองเคลิ้มหล่นลงมาตาย)...ฟังจบ...จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์...พระพุทธเจ้าจึงสวดให้พระสารีบุตรฟัง...พระสารีบุตรก็ไปสวดให้ลูกศิกษ์ทั้ง 500..ฟังอีกที...ทั้ง 500 ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์...

พระพุทธเจ้า..จะทำอะไร..มีเหตุแล้วต้องได้ผล...

นี้คือนิทาน...ไม่ไช่อภิธรรม

ปล. + พระที่สวดในถ่ำจนค้างคาวตกมาตาย...คงเป็นพระในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
+ ค้างคาวตกลงมาแต่ลืมขนาดว่า..ลืมกระพือปีกบิน..นี้นะ...น่าจะเป็นสมาธิไปแล้ว..แต่ได้เป็นแค่เทวดา...???
+ บทสวดนั้น....เป็นของค้างคาว500...ไม่น่าจะเป็นธรรมที่พระพุทธองค์เทศน์โปรดเทวดา

ล่วงมาถึงพรรษาที่ ๗ พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงพระอภิธรรมเป็นครั้งแรก โดยเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทดแทนคุณของพระมารดาด้วยการแสดงพระอภิธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ประสูติประองค์ได้ ๗ วัน และได้อุบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตมีพระนามว่า สันตุสิตเทพบุตร ในการแสดงธรรมครั้งนี้ได้มีเทวดาและพรหมจากหมื่นจักรวาลจำนวนหลายแสนโกฏิมาร่วมฟังธรรมด้วย โดยมีสันตุสิตเทพบุตรเป็นประธาน ณ ที่นั้น

พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรมแก่เหล่าเทวดาและพรหมด้วย วิตถารนัย คือ แสดงโดยละเอียดพิสดารตลอดพรรษา คือ ๓ เดือนเต็ม สำหรับในโลกมนุษย์นั้นพระองค์ได้ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเป็นองค์แรก คือในระหว่าง ที่ทรงแสดงธรรมอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นพอได้เวลาบิณฑบาต พระองค์ก็ทรงเนรมิตพุทธนิมิตขึ้นแสดงธรรมแทนพระองค์แล้วพระองค์ก็เสด็จไปบิณฑบาตในหมู่ชนชาวอุตตรกุรุ เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว ก็เสด็จไปยังป่าไม้จันทร์ ซึ่งอยู่ในบริเวณป่าหิมวันต์ใกล้กับสระอโนดาต เพื่อเสวยพระกระยาหาร โดยมีพระสารีบุตรเถระมาเฝ้าทุกวัน หลังจากที่ทรงเสวยแล้วก็ทรงสรุปเนื้อหาของพระอภิธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงแก่เหล่าเทวดาและพรหมให้พระสารีบุตรฟังวันต่อวัน (พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรด้วย สังเขปนัย คือ แสดงอย่างย่นย่อ) เสร็จแล้วพระองค์จึงเสด็จกลับขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวโลกเพื่อแสดงธรรมต่อไป ทรงกระทำเช่นนี้ทุกวันตลอด ๓ เดือน เมื่อการแสดงบนเทวโลกจบสมบูรณ์แล้ว การแสดง พระอภิธรรมแก่พระสารีบุตรก็จบสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน เมื่อจบพระอภิธรรมเทศนา เทวดาและพรหม ๘๐๐,๐๐๐ โกฎิ ได้บรรลุธรรมและสันตุสิตเทพบุตร (พุทธมารดา) ได้สำเร็จ เป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรมจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็นำมาสอนให้แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านโดยสอนตามพระพุทธองค์วันต่อวันและจบบริบูรณ์ในเวลา ๓ เดือนเช่นกัน การสอนพระอภิธรรมของพระสารีบุตรที่สอนแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้เป็นการสอนชนิดไม่ย่อเกินไป ไม่พิสดารเกินไป เรียกว่า นาติวิตถารนาติสังเขปนัย

ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ เคยมีอุปนิสัยมาแล้วในชาติก่อน คือในสมัยศาสนาของพระกัสสปสัมมา สัมพุทธเจ้า ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้เป็นค้างคาวอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม ๒ รูปที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นเช่นกัน กำลังสวดสาธยายพระอภิธรรมอยู่ เมื่อค้างคาวทั้ง ๕๐๐ ตัวได้ยินเสียงพระสวดสาธยายพระอภิธรรม ก็รู้เพียงว่าเป็นพระธรรมเท่านั้นหาได้รู้ความหมายใด ๆ ไม่ แต่ก็พากัน ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อสิ้นจากชาติที่เป็นค้างคาวแล้วก็ได้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกเหมือนกันทั้งหมด จนกระทั่งศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นจึงได้จุติจากเทวโลกมาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชเป็นภิกษุในศาสนานี้ตลอดจนได้เรียนพระอภิธรรมจากพระสารีบุตรดังกล่าวแล้ว นับแต่นั้นมา

การสาธยายท่องจำและการถ่ายทอดความรู้เรื่องพระอภิธรรมก็ได้แพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ภายหลังที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลังจาก ถวายพระเพลิงได้ ๕๒ วัน ท่านมหากัสสปเถระ พระอุบาลีเถระ พระอานนทเถระ พร้อมด้วยพระอรหันต์รวมทั้งสิ้น ๕๐๐ องค์ ซึ่งล้วนเป็นปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ปฏิสัมภิทัปปัตตะ = ผู้ที่ได้ปฏิสัมภิทา ๔ คือผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจธรรมะอย่างแตกฉาน สามารถแยกแยะและขยายความได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง มีปฏิภาณไหวพริบ มีโวหารและวาทะที่จะทำให้ผู้อื่นรู้ตามเข้าใจตามได้โดยง่าย) ฉฬภิญญะ (ผู้มีอภิญญา ๖ อันได้แก่ ๑ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ๒ มีหูทิพย์ ๓ ทายใจผู้อื่นได้ ๔ ระลึกชาติได้ ๕ มีตาทิพย์ ๖ สามารถทำลายอาสวะกิเลสให้สิ้นไป) และเตวิชชะ (ผู้ที่ได้วิชชา ๓ อันได้แก่ ๑ ระลึกชาติได้ ๒ รู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ ๓ มีปัญญาที่ทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป) ได้ช่วยกันทำสังคายนา พระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และได้กล่าวยกย่องพระอภิธรรมว่าเป็นหมวดธรรมที่สำคัญมากของพระพุทธศาสนา การทำสังคายนาครั้งนี้ มีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2013, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




547030_309047295883632_14884101_n.jpg
547030_309047295883632_14884101_n.jpg [ 46.04 KiB | เปิดดู 4059 ครั้ง ]
พูดจาภาษาดอกไม้ ฟังยังไงก็ไม่เบื่อ จะถามไถ่กรุณาใส่ดอกไม้ด้วย เพื่อกลบกลิ่นปาก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2013, 16:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สวดมนต์เยอะ.ๆ...ชอบบทไหน...บทนั้นอาจเป็นกุญแจของเรา..ก็เป็นได้

ดังนั้น...อย่าไปประมาท...พวกมหายาน...เขา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 75 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร