วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 23:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2013, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


อชิตมาณพ ทูลถามปัญหาว่า

โลกคือหมู่สัตว์ อันอะไรหุ้มห่อไว้

โลกย่อมไม่แจ่มแจ้งเพราะอะไร พระองค์

ตรัสอะไรว่า เป็นเครื่องฉาบทาโลกไว้ อะไร

เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนอชิตะ

โลกอันอวิชชาหุ้มห่อไว้ โลกไม่

แจ่มแจ้งเพราะความตระหนี่ เพราะความ

ประมาท เรากล่าวตัณหา ว่าเป็นเครื่อง

ฉาบทาโลกไว้ ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น.



อชิตมาณพทูลถามปัญหาว่า

กระแสทั้งหลาย ย่อมไหลไปใน

อารมณ์ทั้งปวง อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแส

ทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสบอกเครื่องกั้น

กระแสทั้งหลาย กระแสทั้งหลายอันบัณฑิต

ย่อมปิดกั้นได้ด้วยธรรมอะไร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนอชิตะ

ดูก่อนอชิตะ สติเป็นเครื่องกั้น

กระแสในโลก เรากล่าวสติว่าเป็นเครื่องกั้น

กระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้นอันบัณฑิต

ย่อมปิดกั้นได้ด้วยปัญญา.



อชิตมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ปัญญา

สติ และนามรูป ธรรมทั้งหมดนี้ย่อมดับไป

ณ ที่ไหน พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถาม

แล้วขอจงตรัสบอกปัญหาข้อนี้แก่ข้าพระองค์

เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนอชิตะ

ดูก่อนอชิตะ เราจะบอกปัญหา

ที่ท่านได้ถามแล้วแก่ท่าน นามและรูปย่อม

ดับไปไม่มีส่วนเหลือ ณ ที่ใด สติและปัญญา

นี้ ย่อมดับไป ณ ที่นั้น เพราะความดับแห่ง

วิญญาณ



อชิตมาณพทูลถามปัญหาว่า

ชนเหล่าใด ผู้มีธรรมอันพิจารณา

เห็นแล้ว และชนเหล่าใดผู้ยังต้องศึกษาอยู่

เป็นอันมากมีอยู่ในโลกนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ พระองค์ผู้มีปัญญารักษาตน อัน

ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกความ

เป็นไปของตนเหล่านั้นแก่ข้าพระองค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนอชิตะ

ภิกษุ ไม่กำหนัดยินดีในกามทั้ง-

หลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง

มีสติ พึงเว้นรอบ.



ก็ในปัญหานั้น บทว่า นิวุโต หุ้มห่อ คือ ปกปิดไว้. บทว่า กิสฺสา-

ภิเลปนํ พฺรูสิ คืออชิตมาณพทูลถามว่า พระองค์ตรัสว่าอะไรเป็นเครื่องฉาบ

ทาโลกนั้นไว้.

บทว่า เววิจฺฉา ปมาทา นปฺปกาสติ คือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

โลกไม่แจ่มแจ้งเพราะความตระหนี่และเพราะความประมาทเป็นเหตุ. จริงอยู่

ความตระหนี่ไม่ให้เพื่อประกาศคุณมีทานเป็นต้นของเขา และความประมาทไม่

ให้เพื่อประกาศคุณมีศีลเป็นต้น. บทว่า ชปฺปาภิเลปนํ ตัณหาเป็นเครื่อง

ฉาบทา คือตัณหาเป็นเครื่องฉาบทาโลกนั้นไว้ดุจตังดักลิง ฉาบทาลิงไว้ฉะนั้น.

บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์มีชาติเป็นต้น.

บทว่า สวนฺติ สพฺพธิ โสตา กระแสทั้งหลายย่อมแล่นไปใน

อารมณ์ทั้งปวง คือ กระแสมีตัณหาเป็นต้นย่อมแล่นไปในอายตนะทั้งหลายมี

รูปายตนะเป็นต้นทั้งปวง. บทว่า กินฺนิวารณํ อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแส คือ

อะไรเป็นเครื่องกั้น อะไรเป็นเครื่องคุ้มครองรักษากระแสเหล่านั้น. บทว่า สํวรํ

พฺรูหิ คือขอพระองค์ทรงตรัสบอกเครื่องกั้นกระแสอันได้แก่การห้ามกระแส

เหล่านั้น. ด้วยบทนี้อชิตมาณพทูลถามถึงการละกระแสที่เหลือ. บทว่า เกน

โสตา ปิถิยฺยเร คือ กระแสทั้งหลายเหล่านั้นอันบัณฑิตย่อมปิดกั้น คือ ตัด

ขาดได้ด้วยธรรมอะไร. ด้วยบทนี้ อชิตมาณพทูลถามถึงการละกระแสโดยไม่

มีเหลือ.

บทว่า สติ เตสํ นิวารณ สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น คือ

สติอันมีอยู่ด้วยความสงบประกอบแล้วด้วยวิปัสสนาเป็นทางดำเนินของธรรมอัน

เป็นกุศลทั้งหลายเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น. บทว่า โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ

เรากล่าวสติว่าเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสว่า เรากล่าวว่าสตินั้นแลเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย. บทว่า ปญฺญาเยเต

ปิถิยฺยเร กระแสเหล่านั้นอันบัณฑิตปิดกั้นได้ด้วยปัญญา คือ พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสว่า กระเเสเหล่านั้นอันบัณฑิตย่อมปิดกั้นได้ด้วยมรรคปัญญาอันสำเร็จด้วย

การแทงตลอดถึงความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น

โดยประการทั้งปวง.

บทว่า ปญฺญา เจว พึงทราบความสังเขปอย่างนี้ว่า ปัญญา สติ

และนามรูปที่เหลือนั้นอันใด ที่ท่านกล่าวไว้ในคาถาของปัญหาทั้งหมดนั้นย่อม

ดับไป ณ ที่ไหน พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามปัญหา ขอจงตรัสบอกปัญหา

อันแก่ข้าพระองค์เถิด.

พึงทราบความในคาถาแก้ปัญหาของอชิตมาณพต่อไป เพราะปัญญา

และสติสงเคราะห์ (รวม) กันโดยนามนั่นเอง ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมิได้

ตรัสปัญญาและสติไว้ต่างออกไป. นี้เป็นความสังเขปในบทนี้. พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอชิตะ ท่านได้ถามปัญหานี้ว่า นามและรูปย่อมดับไป ณ

ที่ไหน เราจะบอกปัญหาที่ท่านได้ถามแก่ท่านว่า นามและรูปย่อมดับไปไม่มี

ส่วนเหลือ ณ ที่ใด สติและปัญญานี้ย่อมดับไปพร้อมกันไม่ก่อนไม่หลัง ณ ที่

นั้น เพราะครามดับแห่งวิญญาณนั้น ๆ ในเพราะความดับแห่งวิญญาณนี้แล

นามและรูปจึงดับไป ท่านอธิบายว่า การดับนามและรูปนั้นไม่ล่วงพ้นการดับ

แห่งวิญญาณนั้นไปได้เลย.

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันประกาศถึงทุกขสัจจะด้วยบทนี้ว่า ทุกฺข-

มสฺส มหพฺภยํ ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของโลกนี้. ประกาศสมุทยสัจจะด้วยบทนี้ว่า

ยานิ โสตานิ กระแสทั้งหลายเหล่าใดในโลกดังนี้. ประกาศมรรคสัจจะด้วย

บทนี้ว่า ปญฺญาเยเต ปิถิยฺยเร กระแสเหล่านี้อันบัณฑิตย่อมปิดกั้นได้ด้วย

ปัญญา. ประกาศนิโรธสัจจะด้วยบทนี้ว่า อเสสํ อุปรุชฺฌติ นามและรูป

ย่อมดับไปไม่เหลือ. อชิตมาณพได้ฟังสัจจะทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว ยังไม่บรรลุ

อริยภูมิ เมื่อจะทูลถามปฏิปทาของพระเสกขะและอเสกขะต่อไปจึงทูลว่า เย จ

สงฺขาตธมฺมาเส ชนเหล่าใดผู้มีธรรมอันพิจารณาเห็นแล้ว ดังนี้เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้นบทว่า สงฺขาตธมฺมา ได้แก่ ธรรมที่พิจารณาเห็นแล้ว

โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. บทนี้เป็นชื่อของพระอรหัต. บทว่า เสกฺขา

ได้แก่ พระอริยบุคคลที่เหลือผู้ยังต้องศึกษาศีลเป็นต้น. บทว่า ปุถู มาก ได้แก่

ชน ๗ จำพวก. บทว่า เตสํ เม นิปโก อิริยํ ปุฏฺโฐ ปพฺรูหิ ความว่า

พระองค์ผู้มีปัญญารักษาตนอันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกข้อปฏิบัติ

ของชนเหล่านั้น ผู้เป็นเสกขะและอเสกขะ แก่ข้าพระองค์เถิด.

เพราะพระเสกขะควรละกิเลสทั้งหมด ตั้งต้นแต่กามฉันทนิวรณ์ทีเดียว

ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงเสกขปฏิปทาแก่อชิตมาณพนั้นด้วยกึ่ง

คาถาว่า กาเมสุ ในกามทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น.

บทนั้นมีความดังต่อไปนี้ ภิกษุไม่พึงกำหนัดยินดีในวัตถุกามทั้งหลาย

ด้วยความใคร่กิเลส ละธรรมทั้งหลายอันทำความขุ่นมัวแก่ใจมีกายทุจริตเป็นต้น

พึงเป็นผู้มีใจไม่ขุ่นมัว. ก็เพราะพระอเสกขะเป็นผู้ฉลาด เพราะเป็นผู้พิจารณา

สังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นผู้มีสติด้วยการมีสติตามเห็น

ซึ่งกายเป็นต้นในธรรมทั้งปวง และถึงความเป็นภิกษุ เพราะทำลายสักกายทิฏฐิ

เป็นต้นเสียได้ ย่อมเว้นรอบในทุกอิริยาบถ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรง

แสดงอเสกขปฎิปทา ด้วยกึ่งคาถาว่า กุสโล เป็นผู้ฉลาด ดังนี้เป็นต้น. บทที่

เหลือในบททั้งหมดชัดดีแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจบเทศนาด้วยธรรม

เป็นยอด คือพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.

เมื่อจบเทศนา อชิตมาณพได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกับอันเตวาสิก

๑,๐๐๐ ชนอีก ๑,๐๐๐ เหล่าอื่น ได้เกิดดวงตาเห็นธรรม. หนังเสือเหลือง ชฎา

และผ้าป่านเป็นต้นของท่านอชิตะพร้อมด้วยอันเตวาสิกได้หายไปพร้อมกับการ

บรรลุพระอรหัต. ท่านทั้งหมด ทรงบาตรและจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ มีผมสอง

องคุลีเป็นเอหิภิกษุ นั่งประนมมือนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการ

ฉะนี้แล.

เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2013, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า วัจฉะ

ผู้ใดห้ามคนอื่นที่ให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายต่อคน ๓ คน

ทำร้ายต่อคน ๓ คน ๓ คนคือใคร คือ

ทำอันตรายต่อบุญของทายก

ทำอันตรายต่อลาภของปฏิคาหก

อนึ่ง ตัวของผู้นั้นชื่อว่าถูกก่น (ขุดรากคือความดี) และ

ถูกประหาร (ตายไปจากความดี) เสียก่อนแล้ว

วัจฉะ ผู้ใดห้ามคนอื่นที่ให้ทาน

ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายต่อคน ๓ คน

ทำร้ายต่อคน ๓ คนนี้

เราตถาคตกล่าวอย่างนี้ต่างหากวัจฉะ ว่า

แม้สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในหลุมโสโครกหรือท่อโสโครก

ผู้ใดเทน้ำล้างหม้อก็ดี น้ำล้างชามก็ดี ลงไปในหลุมและท่อโสโครกนั้น

ด้วยเจตนาให้สัตว์ในนั้นได้เลี้ยงชีพ

อย่างนี้เราตถาคตยังกล่าวการได้บุญอันมีกิริยาที่ทำอย่างนั้นเป็นมูล

จะกล่าวอะไร (ถึงการให้ทาน) ในผู้ที่เป็นมนุษย์เล่า


จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ

มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลแห่งการจำแนกทาน

เหมือนอย่างเรารู้ไซร้ สัตว์ทั้งหลายยังไม่ให้แล้ว ก็จะไม่พึงบริโภค อนึ่ง

ความตระหนี่อันเป็นมลทิน จะไม่พึงครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้น

ไม่พึงแบ่งคำข้าวคำหลังจากคำข้าวนั้นแล้วก็จะไม่พึงบริโภค ถ้าปฏิคาหกของ

สัตว์เหล่านั้นพึงมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ผลแห่งการ

จำแนกทานเหมือนอย่างเรารู้ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายไม่ให้แล้วจึงบริโภค อนึ่ง

ความตระหนี่อันเป็นมลทินจึงยังครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น.

ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลาย พึงรู้ผลแห่งการ

จำแนกทาน เหมือนอย่างที่ พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ตรัสแล้วโดย

วิธีที่ผลนั้นเป็นผลใหญ่ไซร้ สัตว์ทั้งหลาย

พึงกำจัดความตระหนี่ อันเป็นมลทินเสีย

แล้ว มีใจผ่องไส พึงให้ทานทีให้แล้ว มี

ผลมาก ในพระอริยบุคคลทั้งหลายตามกาล

อันควร อนึ่ง ทายกเป็นอันมาก ครั้นให้

ทักษิณาทาน คือ ข้าวในพระทักษิไณยบุคคล

ทั้งหลายแล้ว จุติจากความเป็นมนุษย์นี้แล้ว

ย่อมไปสู่สวรรค์ และทายกเหล่านั้นผู้ใคร่กาม

ไม่มีความตระหนี่ ไปสู่สวรรค์แล้ว บันเทิงอยู่

ในสวรรค์นั้น เสวยอยู่ซึ่งผลแห่งการจำแนก

ทาน.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

นครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐีนามว่า วิสัยหะ มีทรัพย์

สมบัติ ๘๐ โกฏิ ได้เป็นผู้ประกอบด้วยศีล ๕ มีอัธยาศัยในทางทาน

ยินดียิ่งในทาน. พระโพธิสัตว์นั้นให้สร้างโรงทานในที่ ๖ แห่ง คือ

ที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู ท่ามกลางพระนครและที่ประตูนิเวศน์

ของตน แล้วยังการให้ทานให้เป็นไปอยู่. บริจาคทรัพย์วันละหกแสน

ทุกวัน. พระโพธิสัตว์และยาจกทั้งหลาย ย่อมมีภัตตาหารเป็นเช่น

เดียวกัน. เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นให้ทานกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มี

งอนไถอันยกขึ้นแล้ว คือ ไม่ต้องทำไร่ไถนา ภพของท้าวสักกะก็กัม-

ปนาทหวั่นไหวด้วยอานุภาพของการให้ทาน บัณฑุกัมพลศิลาอาศน์

ของท้าวเทวราชแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงดำริว่า ใครหนอ

ประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่ จึงทรงพิจารณาใคร่ครวญอยู่. ทรงเห็น

ท่านมหาเศรษฐี จึงทรงพระดำริว่า วิสัยหเศรษฐีนี้แผ่ไปกว้างขวาง

ยิ่งนัก ให้ทานกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ไม่ต้องทำไร่ไถนา ชะรอย
จักให้เราเคลื่อนจากที่แล้วเป็นท้าวสุกกะเสียเองด้วยทานแม้นี้ เราจัก

ทำทรัพย์ของเขาให้ฉิบหายเสีย กระทำเศรษฐีนั่นให้เป็นคนขัดสนจน

ให้ทานไม่ได้ จึงบันดาลทรัพย์ทั้งปวง แม้แต่ข้าวเปลือก น้ำมัน

น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น จนชั้นที่สุดแม้ทาสและกรรมกรให้

อันตรธานหายไป. พวกคนผู้จัดทานมาบอกท่านเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย

โรงทานขาดหายไป พวกข้าพเจ้าไม่เห็นอะไร ๆ ในที่ที่เก็บไว้. ท่าน

เศรษฐีกล่าวว่า พวกท่านจงนำทรัพย์สำหรับจับจ่ายไปจากที่นี้ อย่า

ตัดขาดทานเสียเลย แล้วเรียกภรรยามาพูดว่า นางผู้เจริญ เธอจงให้

ทานดำเนินไป. ภรรยานั้นค้นหาจนทั่วเรือนไม่พบแม้แต่กึ่งมาสก

จึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย ดิฉันไม่เห็นอะไรๆ อื่น ยกเว้นผ้าที่เราทั้งหลาย
นุ่งห่มอยู่ ว่างเปล่าไปทั่วทั้งเรือน. ท่านเศรษฐีให้เปิดประตูห้องเก็บ

รัตนะ ๗ ก็ไม่เห็นอะไร ๆ แม้ทาสและกรรมกรอื่นๆ ก็ไม่ปรากฏ

ยกเว้นเศรษฐีกับภรรยา. มหาสัตว์เรียกภรรยามาอีกแล้วกล่าวว่า

นางผู้เจริญ เราไม่อาจตัดขาดการให้ทาน เธอจงค้นหาให้ทั่วนิเวศน์

พิจารณาดูของบางอย่าง. ขณะนั้น คนหาบหญ้าคนหนึ่ง ทิ้งเคียว

คาน และเชือกมัดหญ้าไว้ระหว่างประตูแล้วหนีไป. ภรรยาของ

เศรษฐีเห็นดังนั้น จึงได้นำมาให้โดยพูดว่า ข้าแต่นายเว้นสิ่งนี้ ดิฉัน

ไม่เห็นของอย่างอื่น. พระมหาสัตว์กล่าวว่า นางผู้เจริญ ธรรมดาหญ้า

เราไม่เคยเกี่ยวตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แต่วันนี้ เราจักเกี่ยวหญ้า

นำมาขายแล้วให้ทานตามสมควร เพราะกลัวการให้ทานจะขาด จึง

ถือเอาเคียว คาน และเชือกออกจากพระนครไปยังที่มีหญ้าแล้ว

เกี่ยวหญ้าคิดว่า หญ้าฟ่อนหนึ่งจักเป็นของพวกเรา และจักให้ทาน
ด้วยหญ้าฟ่อนหนึ่ง จึงมัดหญ้าเป็น ๒ ฟ่อน คล้องที่คานถือเอาไป

ขายที่ประตูเมือง ได้มาสกมาแล้วได้ให้ส่วนหนึ่งแก่พวกยาจก แต่

พวกยาจกมีมากด้วยกัน เมื่อพวกเขาร้องขอว่า ให้ข้าพเจ้าบ้าง จึงได้

ให้ส่วนแม้นอกนี้ไปอีก วันนั้น จึงไม่มีอาหารพร้อมทั้งภรรยา ให้

เวลาล่วงผ่านไป. โดยทำนองนี้ ล่วงไป ๖ วัน. ครั้นวันที่ ๗ เมื่อ

เศรษฐีนั้นกำลังนำหญ้ามา เป็นผู้อดอาหารมา ๗ วัน ทั้งเป็น

สุขุมาลชาติ พอเมื่อแสดงอาทิตย์กระทบหน้าผาก นัยน์ตาทั้งสองข้าง

ก็พร่าพราย. เศรษฐีนั้นไม่อาจดำรงสติไว้ได้ จึงล้มทับหญ้าลงไป.

ท้าวสักกะเสด็จเที่ยวตรวจดูกิริยาอาการของเศรษฐีนั้นอยู่. ทันใดนั้น

ท้าวเธอเสด็จมาประทับยืนในอากาศ ตรัสกล่าว่าคาถาที่ ๑ ว่า :-
ดูก่อนวิสัยหะ แต่ก่อนท่านได้ให้ท่าน

เมื่อท่านให้อยู่อย่างนั้น ความเสื่อมได้มี

แต่ท่านแล้ว ต่อแต่นั้นไป ถ้าท่านจักไม่ให้

ทานไซร้ เมื่อท่านประหยัดไว้ โภคะทั้งหลาย

ก็คงดำรงอยู่ตามเดิม.

อธิบายคำที่เป็นคาถานั้นว่า ท่านวิสัยหะผู้เจริญ เมื่อก่อน

แต่กาลนี้ เมื่อทรัพย์ในเรือนของท่านยังมีอยู่ ท่านได้ให้ทานทำ

สกลชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ยกงอนไถขึ้นแล้ว และเมื่อท่านนั้นให้ทานอยู่

อย่างนี้ ธรรมคือความเสื่อมได้แก่สภาวะคือความเสื่อมโภคะจึงได้มี

ขึ้น คือทรัพย์ทั้งมวลหมดสิ้นไป แม้ถ้าเบื้องหน้าแต่นี้ ท่านจะไม่

ให้ทานไซร้ คือจะไม่ให้อะไร ๆ แก่ใคร ๆ เมื่อท่านประหยัดไว้ คือ

ไม่ให้อยู่ โภคทั้งหลายจะพึงดำรงอยู่เหมือนอย่างเดิม ท่านจง

ปฏิญญาว่า ตั้งแต่นี้ไปจักไม่ให้ทาน เราจักให้โภคะทั้งหลายแก่ท่าน.
พระมหาสัตว์ได้ฟังดำรัสของท้าวสักกะนั้นแล้วจึงถามว่า ท่าน

เป็นใคร. ท้าวสักกะตรัสว่าเราเป็นท้าวสักกะ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า

ธรรมดาท้าวสักกะ พระองค์เองให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ

บำเพ็ญวัตรบท ๗ ประการ จึงถึงความเป็นท้าวสักกะ แต่พระองค์

ทรงห้ามการให้ทานอันเป็นเหตุแห่งความเป็นใหญ่ของพระองค์ ทรง

ทำวัตรจรรยาอันมิใช่ของอารยชน แล้วได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า :-

ข้าแต่ท้าวสหัสสเนตร พระอริยะ

ทั้งหลายกล่าวถึงบาปกรรมว่า อันอารยชน

ถึงจะเป็นคนยากจนเข็ญใจก็ไม่ควรทำ ข้า-

แต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ ข้าพระบาทจะพึง

เลิกละศรัทธา เพราะการบริโภคทรัพย์อันใด

เป็นเหตุ ทรัพย์อันนั้นอย่าได้มีเลย.

รถคันหนึ่งแล่นไปทางใด รถคันอื่น

ก็แล่นไปทั้งนั้น ข้าแต่ท้าววาสวะ วัตรที่

ข้าพระบาทบำเพ็ญมาแล้วแต่ครั้งก่อน ขอจง

เป็นไปเหมือนอย่างนั้นเถิด.

ถ้ายังมียังเป็นอยู่ ข้าพระบาทก็จะให้

เมื่อไม่มีไม่เป็น จะให้ได้อย่างไร แม้ถึงจะ

มีสภาพเป็นอย่างนี้แล้วก็ตาม ก็จะต้อง

ให้ เพราะข้าพระบาทจะลืมการให้ทานเสีย

มิได้.
ท้าวสักกะเมื่อไม่อาจทรงห้ามวิสัยหะเศรษฐีนั้น จึงตรัสถามว่า

ท่านให้ทานเพื่อประโยชน์อะไร ? วิสัยหะเศรษฐีทูลว่า ข้าพระบาทมิได้

ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ หรือความเป็นพระพรหม แต่ปรารถนา

พระสัพพัญญุตญาณ จึงให้ทาน. ท้าวสักกะได้ทรงสดับคำของวิสัยหะ

นั้นแล้ว ดีพระทัย จึงเอาพระหัตถ์ลูบหลัง. เมื่อพระโพธิสัตว์พอถูก

ท้าวสักกะทรงลูบหลังในขณะนั้นนั่นเองสรีระทั้งสิ้นก็เต็มบริบูรณ์และด้วย

อานุภาพของท้าวสักกะ กำหนดเขตแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพระ-

โพธิสัตว์นั้นก็กลับเป็นไปตามปกติอย่างเดิม. ท้าวสักกะตรัสว่าท่านมหา-

เศรษฐี จำเดิมแต่นี้ไป ท่านจงสละทรัพย์ ๑๒ แสน ให้ทานทุกวันเถิด

แล้วประทานทรัพย์หาประมาณมิได้ไว้ในเรือนของพระโพธิสัตว์นั้น ทรง

ส่งพระโพธิสัตว์แล้ว เสด็จไปเทวสถานของพระองค์.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก

ว่า ภรรยาของเศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็นมารดาพระราหุล ส่วนวิสัยห-

เศรษฐี ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


วันที่ 7กรกฎาคม 2556 ทอดผ้าป่า วัด กม .26ใน เพื่อระดมทุนสร้างโบสถ์
083-4971720

ทอดกฐินสามัคคีมหากุศล ประจำปี 2556 สมทบทุนสร้างอุทยานหลวงปู่ทวด เฉลิมพระเกียรติ
________________________________________
08-9853-3459


เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างเสาฐาน"พระสมเด็จองค์ปฐมสิขีทศพลที่ ๑ หน้าตัก 8 ศอก
๐๘๙ – ๗๑๙ – ๘๒๗๙

ขอเชิญร่วมบุญสร้างศาลาการเปรียญ วัดศรีสำราญ จ อุดรธานี
โทร 081-1845878

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสมทบทุนสร้างห้องน้ำ-ห้องสุขา
ณ สำนักสงฆ์หลังถ้ำ จ.อุบลฯ ในวันที่ 22 ก.ค.56...
08-46237796

ขอเชิญร่วมงานเททองหล่อพระพุทธรูปหน้าตัก 29นิ้ว และพระอุปคุตมหาเถระเจ้า หน้าตัก19นิ้ว ณวัดคูหาสวรรค์ วรวิหาร แขวงคูหาสวรรค์ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2556 ในเวลา 17.29 น.
โทร 02-868-6483

ขอเชิญร่วมทำบุญซื้อปูนฉาบผนังพระอุโบสถ์ จำนวน ๑๐๐ ถุง ๆ ละ ๑๐๐ บาท
โทร. 084 - 7972215



ปิดทององค์พระะ พระประธาน พระเจ้าล้านตอง จ. เชียงใหม่
โทร 087-1897664


จัดหาถังน้ำถวายวัดพระกรรมฐานภาวนา
วัดภูถ้ำบอน บ้านดงสวนพัฒนา ต.นาทัน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์


ขอเชิญร่วมสร้างศาลาเอนกประสงค์ ถวายวัดนาทิการาม

ร่วมสร้างราวบันไดและราวกันตก (สแตนเลส) รอบเมรุ
สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 09-1264-5525


ขอเรียนเชิญร่วมสร้างห้องน้ำ อ่างล้างหน้า และระบบไฟฟ้า
๐๘๑-๓๒๕-๗๗๗๐

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ 29 นิ้ว
089-5649399


เชิญชวนบูรณะซ่อมแซมวิหารหลวงพ่อดำ วัดโกโรโกโส จ.อยุธยา

รับเจ้าภาพถวายอาสนะพระ
________________________________________
088-2013956

ร่วมบูรณะพื้นภายในพระอุโบสถ วัดเขานางบวช เจ้าภาพตารางเมตรละ ๔๙๙ บาท
082-2501560

หล่อพระสังกัจจายน์ หน้าตัก 32 นิ้ว วัดนางชี กทม วันอาทิตย์ ที่ 21 กค.2556

บุญร่วมสร้างโรงครัว+ห้องน้ำ 2 ห้อง ในวันอาสาฬหบูชา
085-2250559


เชิญร่วมทำบุญ สร้างพระพุทธรูปประจำวัดกาศใต้ จ.แพร่
โทร. 085-1075434

เชิญร่วมบุญหล่อสมเด็จองค์ปฐมที่วัดปานจัยนาราม ต.โคกว่าน อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์
0863046948

เป็นเจ้าภาพสร้างบันไดทางขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ
โทร 082-2255904

ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพชุดสังฆทานถวายพระสงฆ์ งานบุญสรงน้ำองค์เจดีย์
โทร ๐๘๓-๑๑๔๓๖๘๑

ขอเชิญร่วมบูรณะหลังคาศาลาถล่ม ขาดทุนทรัพย์ 300,000 บาท
โทร. 086-7222225

ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างพระธาตุเจดีย์องค์หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร วัดป่าสุนทรารามจ.ยโสธร

ร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อซ่อมแซมอาคารเรียนพระปริยัติธรรม วัดห้วยซ้อ
Tel 081-5302638

ขอเชิญร่วมทำบุญฉลองสมโภชและถวายพระพุทธรูปปางนาคปรก
(กว้าง 6 เมตร, สูง 12 เมตร)
ถวายเทียนพรรษา-ผ้าอาบน้ำฝน ประจำปี พ.ศ. 2556
ภาคเหนือ 19-22 กรกฎาคม 2556
086-341-3761


สำนักปฎิบัติธรรม วัดเกาะแก้วคลองหลวง(วัดเหนือ) จัดปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้ผู้ที่สนใจและเห้นประโยชน์,สามารถปฎิบัติได้ถูกวิธี มีการสวด,สาธยาย พระไตรปิฎก,ปฎิบัติแบบ รูปนาม
สนใจปฎิบัติ,บวชเนกขัมบารมี
ติดต่อ...สอบถามได้ที่
พระครู ประทีป 038-466411

สร้างศาลากัน
085 2008456
เชิญร่วมบุญใหญ่ผ้าป่าตามกำลังศรัทธา ซื้อที่ถวายสถานธรรมและพัฒนาให้เป็นวัด. . .
________________________________________
0811534217

ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสามัคคีสมทบทุนสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดมหานาม จังหวัดอ่างทอง
๐๘๖-๑๒๓๔๒๒๙

ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างห้องน้ำถวายวัดศรีสว่างมงคล จ.ร้อยเอ็ด


งานทอดผ้าป่าวัดประโชติการาม สิงห์บุรีในวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฏาคม 56


ขอเชิญอุปสมบทหมู่วัดเขาตะเครา

วัดอโศการามขอเชิญร่วมบวชชี - พราหมณี เนื่องในโอกาสวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
จ.สมุทรปราการ

ขอเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วมบวชชี - พราหมณี

เนื่องในโอกาสวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๑ กรกฏาคม - วันอังคาร์ที่ ๒๓ กรกฏาคม ๒๕๕๖




เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบวชพระเข้าพรรษาวัดบ้านห้วยน้ำขาว จ.กาญจนบุรี
โทร.๐๘๘-๙๙๕-๖๕๙๕


ขอเชิญเป็นเจ้าภาพร่วมอุปสมบทหมูชาวเขาและร่วมพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูป
http://www.dhammathai.org/webbokboon/dbview.php?No=2416



ขอเชิญร่วมสร้างบารมีทำบุญบูรณะ มณฑป พระบรมสารีริกธาตุ วัดพิชัยญาติการาม
โทร. 02-861-5425


วัดโบสถ์ดอนพรหม ร่วมไถ่ชีวิตโค-กระบือเนื่องในวันแม่แห่งชาติ วันที่ 20 ก.ค.- 12 ส.ค.56
________________________________________
สอบถาม 092-456-2021


ขอเชิญร่วมทำบุญตักบาตรพระกรรมฐาน (สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต)
089 – 0779903


ขอเชิญร่วมโครงการ "ธรรมะสัญจร ครั้งที่ 6"

จังหวัด หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร

ในวันที่ 20-23 กรกฏาคม 2556
089-0779903



ผ้าป่า ๑๐๐ พรรษาสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ
โทร.02-256-4382

ขอเชิญร่วมทำบุญซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยสกลนคร
โทร. 087-2358691


ช่วยเหลือแมวโดนทำร้าย
http://www.pantown.com/board.php?id=786 ... ction=view


ร่วมบริจาคเงินเพื่อสงเคราะห์และช่วยเหลือบุคคลปัญญาอ่อน
02 – 2453954



ร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคตู้กดน้ำโรงเรียนบนเขา
โทร.๐๘๘-๙๙๕-๖๕๙๕


บุญด่วนทอดผ้าป่าวัดประโชติการาม (บูรณะโบราณสถาน วิหารทาน) ในวันอาทิตย์ที่ 7 ก.ค. 56


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2013, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง

ย่อมบริสุทธิ์ เพราะจิตผ่องแผ้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นประภัสสร

แต่ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองแล้ว เพราะอุปกิเลสทั้งหลายจรมา.

จิตนั้นแหละชื่อว่า ปัณฑระ เพราะอรรถว่า บริสุทธิ์. คำว่า

ปัณฑระ นี้ หมายเอาภวังคจิต เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

จิตนี้ประภัสสร แต่จิตนั้นแลเศร้าหมองแล้วด้วยอุปกิเลสที่จรมา ดังนี้ อนึ่ง

แม้กุศลก็ตรัสเรียกว่า ปัณฑระเหมือนกัน เพราะออกจากจิตนั้น เหมือน

แม่น้ำคงคาไหลมาจากแม่น้ำคงคา
ภิกษุได้คุ้มครองดีแล้วซึ่งทวารเหล่านี้

คือ ตา หู จมูก ลี้น กาย และ ใจ

รู้จักประมาณในโภชนะ และ สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย

ภิกษุนั้นย่อมถึงความสุข คือ สุขกาย สุขใจ

ภิกษุเช่นนั้น มีกายไม่ถูกไฟ คือความทุกช์แผดเผา

มีใจไม่ถูกไฟ คือความทุกข์แผดเผา

ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งกลางวันกลางคืน.

.................

ผู้ไม่ถึงความสุข คือ สุขกาย สุขใจ


ผู้ไม่ถึงความสุข คือ สุขกาย สุขใจ

๑. อินทริยาคุตตทวารบุคคล

บุคคลผู้มีทวารอันไม่คุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายเป็นไฉน ?

ความเป็นผู้มีทวารอันไม่คุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย

ในข้อนั้นเป็นไฉน ?

บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นรูปด้วยตา

เป็นผู้ถือเอาซึ่งนิมิต เป็นผู้ถือเอาซึ่งอนุพยัญชนะ

อกุศลธรรมทั้งหลายอันลามก คืออภิชฌา และโทมนัส

พึงซ่านไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวมอินทรีย์ คือ จักษุนี้อยู่

เพราะการไม่สำรวมอินทรีย์

คือ จักษุใด เป็นเหตุ ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมอินทรีย์ คือจักษุนั้น

ย่อมไม่รักษาอินทรีย์ คือ จักษุ ย่อมไม่ถึงความสำรวมในอินทรีย์

คือจักษุ ฟังเสียงด้วยหู ฯลฯ สูดกลิ่นด้วยจมูก ฯลฯ ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ

ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ฯลฯ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว เป็นผู้ถือเอาซึ่งนิมิต

เป็นผู้ถือเอาซึ่งอนุพยัญชนะ อกุศลธรรมทั้งหลายอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัส

พึงซ่านไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวมอินทรีย์ คือ ใจใดเป็นเหตุ ย่อมไม่ปฏิบัติ

เพื่อสำรวมอินทรีย์ คือ ใจนั้น ย่อมไม่รักษาอินทรีย์ คือ ใจ ย่อมไม่ถึงความ

สำรวมอินทรีย์ คือ ใจ การไม่คุ้มครอง การไม่ปกครอง การไม่รักษา การไม่

สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ เหล่านั้นอันใด นี้ชื่อว่า ความเป็นผู้มีทวารอันไม่คุ้มครอง

แล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยความเป็นผู้มีทวารอันไม่คุ้มครอง

แล้วในอินทรีย์ทั้งหลายนี้ ชื่อว่า

เป็นผู้มีทวารอันไม่คุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย.



๒. โภชเนอมัตตัญญูบุคคล

บุคคลผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะเป็นไฉน ?

ความเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะในข้อนั้น เป็นไฉน ? บุคคล

บางคนในโลกนี้ไม่พิจารณาแล้ว โดยแยบคาย บริโภคซึ่งอาหารเพื่อเล่น เพื่อ

มัวเมา เพื่อประดับ เพื่อตกแต่ง ความเป็นผู้ไม่สันโดษ ความเป็นผู้ไม่รู้จัก

ประมาณในโภชนะนั้น ความไม่พิจารณาในโภชนะอันใด นี้เรียกว่า ความ

เป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้ไม่รู้จัก

ประมาณในโภชนะนี้ ชื่อว่า

เป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ

ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาการเปรียญวัดนาเจริญ
________________________________________
0813471811


ขอเชิญร่วมสร้าง " สมเด็จองค์ปฐม " สูง 2.5 ม. ณ วัดกระโจมทอง จ.นนทบุรี
เบอร์ 09-1861-9947


บอกบุญสร้างวิหารจตุรมุขพระพุทธชินราชหน้าตัก 108น, พระสีวลีพระอรหันต์แห่งโชคลาภ
โทร 0881562310

ขอเชิญท่านที่จิตศรัทธาร่วมทอดผ้าป่าลอยฟ้าสมทบทุนในการจัดสร้างได้ตลอดทุกวัน
ติดต่อได้ที่ วัดวังดินสอ หรือ โทรสอบถาม 088-1562310


ร่วมสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่ากมโลฯ (หลวงพ่อทองปาน จารุวัณโณ) อ.วังสามหมอ อุดรธานี
________________________________________
โทร.๐๘๓-๑๔๐-๒๒๘๕


(ปิดรับ12ก.ค.)ซื้อหนังสือ"หนีนรก"เล่มละ 10 บาท แจกที่วัดบางกอบัว
085-361-4989


เชิญเป็นเจ้าภาพงานมุทิตาจิต 60 ปี หลวงปู่วิโรจน์ วัดป่าภูวังงาม จ. อุดรธานี
081-739-9404

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี สมทบทุนสร้างศาลาปฏิบัติธรรมวัดมหานาม
๐๘๙-๗๔๔๑๑๑๘

ร่วมบุญกับกองทุนจัดสร้างหนังสือพระไตรปิฎก เพื่อถวายวัดต่างๆที่ขาดแคลน
โทร. 035-837590

บุญใหญ่จัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์ มงคลภาวนาธรรม
087-6320232

ร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคตู้กดน้ำโรงเรียนบนเขา
โทร.๐๘๘-๙๙๕-๖๕๙๕


แก้ไขล่าสุดโดย รสมน เมื่อ 04 ก.ค. 2013, 13:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2013, 13:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:26 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เรามาเจริญนี้ ด้วยกายกรรมก็ดี ด้วยวจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี กรรมปัจจุบันของเรานี้คือพ้นไปจากอกุศลกรรม พ้นจากกิเลส กรรม วิบากอย่างชั่วร้าย ที่มันเป็นอดีตก็ตามมาทำลายของเราปัจจุบันนี้ เมื่อเรามาเจริญวิริยบารมีในปัจจุบันนี้ ถ้าเรากันไม่ให้มันตามได้ อนาคต กิเลส กรรม วิบากอย่างหยาบก็ไม่ตาม

ธรรมดา เรายังเป็นหมู่มนุษยโลกอยู่ ต้องเจริญกรรมดี คือทาน ศีล ภาวนา ไหว้พระเช้าเย็น อย่างนี้ ฝ่ายปกครองทางฝ่ายบ้านเมืองก็ปกครองง่าย ผู้ที่มีทาน ศีล ภาวนา มาประชุมกันเจริญความดี คือเจริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เจริญบารมีสามสิบทัศ กายกรรมไม่มีผิดกฎหมาย ไม่มีผิดศีลธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า วจีกรรม มโนกรรมนี้บริสุทธิ์ในปัจจุบันนี้เป็นนิสัยปัจจัยให้ถึงมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก จะได้เข้าสู่ในโลกุตตรธรรมในวันใดวันหนึ่งก็ได้

ถึงแม้เรายังไม่มีญาณรู้อดีต เรายังไม่มีญาณรู้อนาคต ขอให้เจริญญาณปัจจุบันไว้ ถ้าเราพบปะอาสวักขยญาณสิ้นไปแห่งกิเลส กรรม วิบาก ในปัจจุบันแล้ว อาสวักขยญาณนั่นเองจะบอกให้ว่า นี้มนุษย์เป็นผู้พ้นไปจากกรรมชั่วทั้งหลาย กิเลส กรรม วิบาก อย่างชั่วไม่มี ตลอดถึงเทวดาก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิอย่างนี้เหมือนกัน เราจะพ้นได้ก็ต้องมาพบโลกุตตรธรรม สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าและสำนักพระสาวกนั่นเอง

เขาจะรู้ได้ว่าอาสวะสิ้นไปอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด วิบากอย่างหยาบไม่ได้เสวยแล้ว เขาจะเสวยตั้งแต่มนุสสธรรมสัมมาทิฏฐิ เทวธรรมสัมมาทิฏฐิ พรหมธรรมสัมมาทิฏฐิ เขาจะได้ก้าวหน้าเข้าสู่ในอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ในโลกุตตรภูมิ เขาจะได้รู้ว่าสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม สังโยชน์ห้า สังโยชน์สิบนั่นเอง เมื่ออวิชชาสิ้นไป เขาก็จะมีความสบายจิตใจ ทั้งหมู่มนุษย์และเทวดา พรหมทั้งหลาย


..........เมื่ออวิชชาสังโยชน์สิ้นไป เมื่ออวิชชานุสัยสิ้นไปแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของชาวมนุษย์และเทวดาและพรหมทั้งหลาย จะอยู่สบายเป็นสุข เพราะไม่มีกิเลส กรรม วิบากอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดมาเสวยอีกแล้ว คือ ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย ก็บริสุทธิ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ก็บริสุทธิ์ไปด้วยกัน จะเป็นจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณก็บริสุทธิ์

เขาบริสุทธิ์ที่ไม่มีกิเลส กรรม วิบาก นั่นเอง คือทุกข์ไม่มี ทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่มี ทุกข์เจ็บไม่มี ทุกข์ตายไม่มี ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้านี่พ้นทุกข์ได้ นี่เป็นนิยยานิกธรรม ทำให้หมู่มนุษย์พ้นจากทุกข์ได้ ให้หมู่เทวดาพ้นจากทุกข์ได้ ทำให้พวกพรหมโลกพ้นทุกข์ได้ ให้พระโสดาพ้นไปจากสังโยชน์ และอนุสัยอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดสิ้นไป จึงได้มีนิโรธธรรม นิพพานธรรม

คือพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านย่อมรู้แจ้งทุกข์มีเกิดขึ้นกับจิตใจและดับไปได้ ทุกข์ก็มี สมุทัยก็มี มรรคก็มี เมื่ออริยมรรคเกิดขึ้นแล้ว มีญาณเห็นสมุทัยดับทุกข์ได้แล้ว มีญาณเห็นทุกข์ได้แล้ว มีญาณเห็นมรรคสัจ มีญาณเห็นอริยมรรคญาณ ญาณเห็นนิโรธธรรม เห็นนิพพานธรรม อริยมรรคสี่นี่แหละ อริยผลสี่นี่แหละ เห็นได้ทั้งหมู่มนุษย์และเทวดาและพรหมทั้งหลาย

ถ้าเข้าไปสู่ในมรรคจิตสี่ อริยผลจิตสี่ นี่นิโรธธรรม นิพพานธรรมเป็นที่พ้นทุกข์ได้จริง พ้นแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย เรียกว่าสืบศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระพุทธเจ้าทุกองค์พ้นจากความเกิดและความตาย หมู่มนุษยสัมมาทิฏฐิ เทวดาสัมมาทิฏฐิ พรหมสัมมาทิฏฐินี้จะไหลเข้าไปสู่โลกุตตรธรรม เข้าไปสู่ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้เสวยแต่นิโรธธรรม นิพพานธรรม ด้วยความสวัสดี.


จะเป็นทศบารมีก็ตาม ทศอุปบารมีก็ตาม ทศปรมัตถบารมีก็ตาม นำจิตใจของชาวพุทธทั้งหลายเข้าสู่ในภูมิธรรม จะได้เจริญมนุษยธรรมทั้งภายในและภายนอก เจริญเทวธรรมทั้งภายในและภายนอก เจริญพรหมธรรมทั้งภายในและภายนอก เจริญทั้งโลกุตตรธรรมภายในและภายนอกควบคู่กันไป


..........ในสมัยอดีตก็ดี มนุษยโลกต้องมีคนสองจำพวก ในมนุษยโลกนี้จะเป็นสัตว์เหล่าใดก็ตาม ถ้าพวกสร้างบารมีต้องมีสัมมาทิฏฐิเกิดกับจิตของพวกมนุษยโลกนั่นเอง ถ้าสวรรคเทวโลกก็ต้องมีสองพวก มีสัมมาทิฏฐิเกิดกับจิตพวกสวรรคเทวโลก พวกพรหมโลกก็มีสองพวก นี่มีสัมมาทิฏฐินั่นเองจะเข้าสู่ภูมิธรรม คือไม่มีโทษมีแต่บุญกุศลนำไปสู่โลกุตตรภูมิ

ถ้าถึงโลกุตตรธรรมแล้วนำเข้าสู่ในอริยมรรคสี่ อริยผลสี่นั่นเองจึงพ้นโทษไป โทษราคะของมนุษย์ก็ดี ของสวรรคเทวโลกก็ดี ของพรหมโลกก็ดี พอไปถึงโลกุตตรภูมิแล้ว ราคะย่อมไม่มีอำนาจอะไร โทสะไม่มีอำนาจอะไร โมหะไม่มีอำนาจอะไรเลย

ส่วนมนุษยโลกก็รอดตัวได้เพราะสัมมาทิฏฐิ พ้นจากราคะโทสะและโมหะ ส่วนสวรรคเทวโลกก็พ้นรอดตัวได้ก็เพราะสัมมาทิฏฐิ ได้อธิษฐานบารมีธรรมให้พ้นจากราคะ โทสะ โมหะได้ พวกพรหมโลกเขาก็มีอธิษฐานบารมีให้พ้นจากราคะ โทสะ โมหะได้ เพราะว่าราคะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี นำพวกมิจฉาทิฏฐิไปสู่อบายภูมิ ไปเกิดในยมโลกแล้วก็เสวยแต่ความทุกข์ทั้งนั้น เป็นทุวิชชาโนไม่ควรเจริญ

ส่วนมนุษยโลกที่ดี สวรรคโลก พรหมโลกที่ดี เจริญสัมมาทิฏฐิเป็นสุวิชชา สุวิชชานี้เป็นไปเพื่อทางสวรรค์ ทางนิพพาน เมื่อได้พบโลกุตตรธรรมของพระอริยเจ้าแล้ว ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ดี จากพระสาวกก็ดี สัมมาทิฏฐิในอริยมรรคนั่นเองจึงทำให้พระอริยเจ้าพ้นจากราคะ โทสะ โมหะ สังโยชน์ขาดไปนั่นเอง อวิชชาสังโยชน์ อวิชชานุสัย อวิชชาสวะ ย่อมรบกวนพระอริยเจ้าไม่ได้

พระอริยเจ้ามีทั้งภิกษุ สามเณรที่ได้ผ่านไปแล้ว มีทั้งอุบาสก อุบาสิกาที่ผ่านไปแล้ว ที่ยังอยู่เจริญสัมมาทิฏฐิ สุวิชชา คือให้เว้นจากทุวิชชา จะเข้าสู่ในอริยมรรคหนึ่ง อริยผลหนึ่งแล้ว สังโยชน์ย่อมขาดไปสาม ถ้าเจริญต่อไป ราคะสังโยชน์ต้องขาด ปฏิฆะสังโยชน์ต้องขาด ยังเหลือแต่รูปฌานและอรูปฌาน มานะ อุทธัจจะ อวิชชายังเหลืออยู่ห้าตัว

ถ้าเจริญอริยมรรคขั้นที่สี่ให้สมบูรณ์แล้วย่อมหมดไป อวิชชาสวะ อวิชชาสังโยชน์ อวิชชานุสัยหมดแล้วไม่มี จิตก็ว่าง ว่างจากราคะ ว่างจากโทสะ ว่างจากโมหะ ว่างจากอาสวะด้วย สังโยชน์ด้วย อนุสัยด้วย ที่จิตอย่างเคยเป็นมนุษยโลกยังข้องอยู่ในบุญในกุศลก็ว่างไป ยังข้องอยู่ในสวรรคเทวโลกก็หมดไป ข้องอยู่ในพรหมโลกก็หมดไป ข้องอยู่ในอาสวะทั้งสี่ ข้องอยู่ในสังโยชน์ทั้งสิบ ข้องอยู่ในอนุสัยเจ็ด ย่อมหมดไปสิ้นไปทั้งราคะโทสะและโมหะ ทุวิชชาโนก็หมดไปสิ้นไป เหลือแต่สุวิชชา

ให้เจริญมรรคสี่ ผลสี่ ให้ถึงนิพพาน ถึงสังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสอง คือไม่มีราคะไปหาจิตนั่นเอง เป็นวิราคะนั่นเอง เมื่อจิตว่างจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ว่างตาม ชาวมนุษย์ที่ดีก็ต้องไปสู่โลกุตตระ ชาวสวรรค์ที่ดีก็ไปสู่โลกุตตระนั่นเอง ชาวสวรรค์พรหมโลกก็ไปสู่โลกุตตรธรรมนั่นเอง

จึงไม่ให้มีราคะมารบกวน โทสะมารบกวน โมหะมารบกวน พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีอยู่ในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก ไปถึงโลกุตตระแล้วไม่มีความเกิด ไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บ ไม่มีความตาย ได้เสวยแต่อสังขตธรรม วิราคธรรม


..........ขอให้ชาวพุทธทั้งหลายได้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ทุกข์ทางตา ทางหู ทางจมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าได้มี ทุกข์ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็ไม่มี ไม่มีภายนอกหกก็ไม่มีความทุกข์ ภายในหกก็ไม่มีความทุกข์ พวกมนุษย์อดีตก็พ้นทุกข์แล้ว พวกมนุษย์ปัจจุบันก็พ้นทุกข์ไปแล้ว ยังแต่จะมาอนาคต

พระพุทธเจ้าที่จะมาอนาคตก็มาเห็นราคะนี่เองเป็นโทษ โทสะนี่เอง โมหะนี่เองเป็นโทษ ก็มาแสดงให้หมู่มนุษย์และเทวดาและพรหมทั้งหลาย ให้เสียสละราคะ โทสะ โมหะเสียแล้ว ได้เข้าสู่ในอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ได้เสวยสังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสอง

ศาสนาของพระพุทธเจ้าอดีตก็ไม่ตาย ปัจจุบันก็ไม่ตาย อนาคตก็ไม่ตาย แต่สัตวโลกนั่นนะอดีตเขาก็เกิดตาย ปัจจุบันเขาก็เกิดตาย อนาคตเขาก็เกิดตาย เขาจึงได้เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความเกิด ทุกข์เพราะความตาย เพราะเกิดมามีราคะ โทสะ โมหะ จึงได้เป็นทุกข์ทั้งเกิดและตาย


..........ขอให้ชาวพุทธทั้งหลายเห็นโทษความเกิดความตายเป็นทุกข์ ให้เห็นโทษราคะ โทสะ โมหะ ให้เห็นคุณสังขตธรรม อสังขตธรรม ให้เห็นคุณวิราคธรรม ให้เห็นคุณของพระพุทธคุณพ้นทุกข์แล้ว คุณของพระธรรมพ้นทุกข์แล้ว คุณของพระสงฆ์พ้นทุกข์แล้ว ให้จิตใจของพี่น้องชาวพุทธได้เสวยพุทธคุณพ้นทุกข์ ธรรมคุณพ้นทุกข์ สังฆคุณพ้นทุกข์ ให้เจริญแต่มรรค ผล นิพพาน ให้เจริญแต่เพียงสังขตะ อสังขตะ และวิราคธรรมด้วยความสวัสดี




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ภายใน คือหมายความว่าอยู่กับจิตใจวิญญาณของตน ภายนอกอยู่กับกาย กับวาจา เป็นนอกเป็นในอยู่อย่างนี้ ให้เจริญในมนุษยสมบัติทั้งภายนอกและภายใน คือมีธรรมะคุ้มครอง ให้เจริญในสวรรค์สมบัติในภายในและภายนอก ธรรมะคุ้มครองอยู่ทั้งภายในจิตก็ดี ทั้งภายในกายวาจาก็ดี ล้วนแต่เป็นธรรมะนั่นแหละ คุ้มครองไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ให้เจริญไปถึงพรหมโลกก็ดี มีธรรมะภายในและภายนอกนั่นเอง

จิตใจของพวกพรหมทั้งหลาย เขาย่อมมีเจริญรูปฌานสี่ อรูปฌานสี่ กายของเขา วาจาของเขาก็อยู่ในรูปฌาน อรูปฌานนั่นเอง แต่อย่างนั้นก็ยังมีสองพวกด้วยกัน มนุษยโลกก็มีสัมมาทิฏฐิธรรม มีมิจฉาทิฏฐิธรรมคู่หนึ่ง สวรรคเทวโลกก็มีสัมมาทิฏฐิ มีมิจฉาทิฏฐิ เป็นอยู่อย่างนี้เข้ากันไม่ได้ ในพรหมโลกก็ดีมีสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐินั่นเอง

เข้าไปสู่ในโลกุตตรธรรม ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระภิกษุสามเณรฝ่ายดีก็บรรลุมรรค ผล นิพพาน ไปอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ทำให้พระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตายทั้งนั้น ส่วนที่ยังไม่รู้ไม่ชี้อะไรเลยก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าไปอย่างไร พระธรรมไปอย่างไร พระสงฆ์ไปอย่างไร อย่างนี้ก็ยังมีเข้าไปปนอยู่ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า


..........ในสมัยพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในกายเจ็ดวันแล้ว พวกหนึ่งที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ร้องไห้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เสียดายไม่ได้พบปะพระองค์ในเวลายังป่วยอยู่ พวกหนึ่งกล่าวว่าร้องไห้ทำไม พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เราทั้งหลายจะได้สบายไม่มีใครว่าจู้จี้จุกจิก เมื่อเป็นเช่นนี้เอง อันนี้เองปุถุชนกับพระอริยเจ้าจึงต่างกัน ถึงไปด้วยกันจำนวนห้าร้อยก็ต่างกันอย่างนั้น

และเมื่อเข้าไปถึงพระบรมศพแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ให้ไฟนั้นติดศพได้อยู่ มีพระกัสสปะเป็นประธานเข้าไปน้อมนมัสการพระสรีระแล้ว อาศัยเหตุนั้นเอง จึงได้นำคำอย่างนี้เองเข้าไปสู่ชุมชนสงฆ์ตั้งแต่ห้าร้อยขึ้นไป


..........ผู้ที่กล่าวติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นผู้ที่ไม่รู้จักคุณค่าของคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ไม่รู้จักคุณค่าของพระพุทธศาสนานั่นเอง จะไปรู้แต่เพียงมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลกนั้นย่อมไปไม่ได้ ต้องให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าพ้นไปจากสวรรคเทวโลก พ้นจากพรหมโลกไปแล้ว ไปอยู่ในอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ไปอยู่ในสังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสองแล้วอย่างนี้

ผู้ใดเป็นผู้รู้จักคุณค่าของพระศาสนา ปริยัติศาสนาก็เป็นตัวหนังสือไปหมด ปฏิบัติศาสนาก็เป็นตัวหนังสือไปหมด ปฏิเวธศาสนาก็เป็นตัวหนังสือไปหมด ทีนี้ศาสนาภายในก็จิตของคนนั่นเอง ถึงพระศาสนาเป็นผู้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนั้นเอง ตัวไม่ตายเป็นตัวศาสนานั่นเอง


..........ถ้ายังเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก ยังอยู่นอกศาสนา ขอให้ชาวพุทธทั้งหลายได้เจริญมนุสสธรรม เทวธรรม พรหมธรรม ตลอดถึงโลกุตตรธรรม อริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ให้เจริญงอกงามในภายในและภายนอก ขอให้จิตใจวิญญาณ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณก็ดี กายวิญญาณก็ดี จิตวิญญาณก็ดี ให้เข้าสู่ในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ให้พ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย

เพราะร่างกายเนื้อนี้ไม่ว่าในโลกไหน มนุษยโลกก็ดี มันย่อมเปลี่ยนแปลง มันย่อมสลายไป กายสวรรค์ เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ถึงกายพระพุทธเจ้าก็ดี กายพระสาวกก็ดี อย่างนานก็แปดสิบปีบ้าง ร้อยยี่สิบปีบ้าง ร้อยหกสิบปีบ้าง ก็สลายไปอย่างนี้ ในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลกก็ทนอยู่ไม่ได้

แต่ว่าให้มาดูจิตใจวิญญาณของเรา เมื่อได้พบปะจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ เขาไม่มีขี้ ไม่มีเยี่ยว เขาไม่มีเลือดเนื้อเหงื่อไคลอะไรก็จริง แต่เขาพบถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาเข้าสู่ในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก เข้าสู่ในภูมิธรรมได้ทุกภูมิ

กามภูมิจิตก็ดี รูปภูมิจิตก็ดี อรูปภูมิจิตก็ดี โลกุตตรภูมิจิตก็ดี จิตของเรานั่นแหละได้เข้าสู่ในมนุสสธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม ได้สิ้นไปแห่งกามาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะนั่นเอง เมื่อเราไม่ติดอยู่ในกามาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะแล้ว อาสวะของจิตไม่มี จิตก็พ้นไปจาก เข้าสู่โลกุตตรธรรม ได้เสวยอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ได้เสวยสังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสอง มนุษย์และเทวดา พรหมทั้งหลายย่อมเจริญจิตใจของตน

พระภิกษุในโลกุตตรธรรมได้รู้ว่าจิต เจตสิก รูปของเรานี้เข้าสู่นิพพาน จิตปรมัตถ์นั้นยังเกิดดับนะ เจตสิกปรมัตถ์ยังเกิดดับ รูปปรมัตถ์ยังเกิดดับ นิพพานปรมัตถ์ไม่เกิดไม่ดับ เพราะฉะนั้น ให้เราเจริญในพระสูตรก็ดี ในพระวินัยก็ดี พระอภิธรรมก็ดี ให้ไปรวมอยู่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ให้พ้นไปจากความเกิด ความตาย




เรามาเจริญนี้ ร่างกายเราก็เป็นมนุษย์ จิตใจของเราก็มีธรรมของชั้นมนุษย์แล้ว ยังเชื่อมไปกับธรรมของเทวดาด้วย ธรรมของพรหมด้วย โลกุตตรธรรมด้วย เพราะมีสถานีเดียวกัน คือจิตเจริญธรรมมีกุศลธรรม บุญกุศลธรรมนี้พระองค์สอนได้ทั่วไปทั้งอดีต ทั้งอนาคต และทั้งปัจจุบัน

สอนไว้สัตถาเทวมนุสสานัง จะเป็นสัตว์โลก สัตว์อยู่ในสวรรคเทวโลก สัตว์อยู่ในพรหมโลกก็ดี เรียกว่าเป็นสัตว์ทั้งนั้น แต่ทำไมพระองค์แสดงได้ทั่วถึงมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก คำสอนนี้สอนให้เจริญบุญกุศลนี้เอง ให้เว้นจากบาปจากอกุศล ให้รู้จักอัพยากตธรรมเป็นพื้นรองรับ

มีแม่บทอยู่ในพระไตรปิฎกว่า กุสลา ธัมมานี้ เป็นบุญกุศลเกิดกับจิต อกุสลา ธัมมานี้ เกิดกับจิต แต่ว่าไม่เกี่ยวกับบุญกับบาป เป็นแต่ว่าเป็นสภาพของชีวิตเท่านั้นเอง


..........ถ้าเราเจริญในปัจจุบันนี้ ตาของเรายังไม่ได้ทำบาปทำอกุศลจะไปโทษว่ามีบาปไม่ได้ หูของเรายังไม่ได้ทำบาปทำอกุศล จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนแต่ยังไม่ได้ทำบาปทำอกุศลทั้งนั้น มีแต่ว่าเราน้อมนำมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มาเจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพราะพุทธคุณเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว จึงได้วางแม่บทไว้ ให้สาวกทั้งหลายรุ่นหลังได้สืบสายกันมาถึงปัจจุบันนี้ ธรรมคุณก็ทรงไว้ซึ่งความตรัสรู้ สังฆคุณนั่นก็เป็นผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าทุกองค์นั่นเอง

แม่บทของธรรมนี้สอนได้ด้วยกันทุกกาล ทุกสมัย ไม่เลือกหน้าว่าสัตว์ บุคคล ว่าจะเป็นกามสัตว์ หรือรูปสัตว์ หรืออรูปสัตว์ก็ตาม อยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลกก็ตามใจ อยู่ในโลกใดๆ ทั้งหมดก็ตาม ท่านไม่ให้ทำบาปเพราะอกุศลทุกโลกเลย ท่านให้เจริญแต่บุญกุศลเท่านั้นเอง ไม่ให้ประมาทในชีวิตของความเป็นอยู่ จะเป็นอยู่ในมนุษยโลกก็ยังอาจสามารถ จะทำบุญกุศลให้มีให้เป็นขึ้นได้ อยู่ในสวรรคเทวโลก ในพรหมโลกก็ดี โลกุตตรภูมิอาจสามารถจะทำให้มรรค ผลเกิดขึ้นในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจได้

ถ้าเราไม่เจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ตัวบารมีประจำวันประจำชีวิต ปริยัติของเราก็จะไม่มี ปฏิบัติก็จะไม่มี ปฏิเวธธรรมก็จะไม่มี เราเจริญเมื่อไรมีปริยัติภายในและภายนอกคู่กันไป เราปฏิบัติภายในและภายนอกคู่กันไป มีปฏิเวธธรรมภายในและภายนอกคู่กันไปอย่างนี้ พระพุทธเจ้าอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดีเหมือนกันหมด


..........เมื่อภิกษุสามเณรที่ดียังสืบเนื่องมาจากอดีตถึงปัจจุบัน ภิกษุสามเณรที่ดีท่านย่อมเจริญแต่บุญกับกุศล เจริญมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม ให้มีอภิญญา ๕ มีสมาบัติ ๘ รูปฌาน ๔ อรูปธาน ๔ อาจสามารถเข้าหาโลกุตตรธรรม ขณะใดขณะหนึ่งได้ นี่ถึงเจริญโลกุตตรธรรมก็จะต้องไปพบอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ในกาลใดกาลหนึ่งก็ได้

เราจะเจริญไปถึงสังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสองในขณะใด ขณะหนึ่งก็คือจิตนั่นเอง จิตนั่นแหละรับผัสสะรองรับทั้งบุญทั้งกุศล ทั้งบาปทั้งอกุศล ทั้งอัพยากตธรรม ทีนี้ถ้าหากว่าวิชชาเข้ามาอาศัยจิต ก็ชี้ไปถึงมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ นฤพานสมบัติเป็นที่สุด ถ้าอวิชชาเข้ามาอาศัยจิต ก็จะไม่รู้ว่ามนุษยสมบัติอยู่ที่ไหน สวรรคสมบัติอยู่ไหน พรหมสมบัติอยู่ไหน รู้แต่ว่าเกิดแล้วก็ต้องเกิดอีก เสวยทุกข์แล้วก็เสวยอีก ตายแล้วก็ตายอีกนั่นเอง

อวิชชานั่นนะไม่ใช่ไม่รู้ รู้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ รู้ต้องตายเป็นทุกข์ แต่ไม่รู้ว่ามนุษยสมบัติ คือสมบัติของจิตใจนั่นเองจะไปได้ทางไหน คือไม่มีแสงสว่างนั่นเอง สวรรค์สมบัติมีอยู่ก็ไม่รู้ไม่เห็น นฤพานสมบัติมีอยู่ก็ไม่รู้ไม่เห็นอย่างนี้ จึงว่าต่างกับวิชชา

อวิชชามาอาศัยจิตเดียวกันก็จริง ถ้ากาลใดมโนวิญญาณ จิตวิญญาณไม่หลับแล้ว วันนั้นเราจะฝันได้ท่องเที่ยวไปมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติก็ได้ แต่ว่าไม่เห็นฝันไปนฤพานสมบัติสักที เพราะว่าญาณยังไม่พอ จึงยังไม่ไป ก็วนอยู่ในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลกนั่นเอง เพราะมโนวิญญาณยังไม่หลับ จิตวิญญาณยังไม่หลับ ถ้าหลับแล้วไม่เห็นใครฝัน ไม่เห็นใครมีร้อนมีหนาว

ถ้าสังเกตดูถ้าหากว่าจิตไม่ตื่น มโนวิญญาณไม่ตื่น จิตวิญญาณไม่ตื่นขึ้นมา เราจะไม่รู้ว่าร่างกายของเรานี้ มีความร้อนและความหนาว ตาของเราจะไม่รับรู้ว่ามีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่มี เพราะเขาหลับเสียแล้ว เจ้าหน้าที่เขาหลับ เพราะฉะนั้นความรู้ทั้งหลายไปรวมมโนวิญญาณ จิตวิญญาณ ความรู้เวทนาก็รวมไปนั่น ความรู้สัญญา ความรู้สังขาร ความรู้วิญญาณไปรวมจิตที่เดียว

จิตนั่นแหละเป็นที่รับรองทั้งวิชชาและอวิชชา อวิชชานี้จะตามไปส่งถึงไหน ส่งถึงมนุษยสมบัติแล้ว มันยังไปแล้ว มันยังไปพบเกิดพบตาย ส่งถึงสวรรคสมบัติ มันก็ยังไปเกิดไปตายอยู่อีก ส่งไปพรหมโลก มันน่าจะพ้นเกิดพ้นตายก็ไม่พ้น ในรูปฌานมันก็เกิดตาย อรูปฌานก็เกิดก็ตาย ในอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ก็เกิดตายทั้งนั้น

เกิดตายในกามสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อวิชชาสังโยชน์ อวิชชานุสัย ไม่ถึงนฤพานสมาบัติสักที ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ พรหมสมบัตินี้นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านผ่านมาแล้วได้แสดงไว้ในกามภูมิจิต รูปภูมิจิต อรูปภูมิจิต โลกุตตรจิต จิตของเราจะได้รับภูมิธรรมทั้งสิ้น ต้องให้เจริญถึงอริยมรรค ๔ อริยผล ๔

นี่ชาวพุทธทั้งหลายอย่าได้ประมาทว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปหมดแล้วรุ่นเก่า รุ่นใหม่ยังไม่มา ยังไม่ถึง ๘,๐๐๐ ปี ท่านก็ไม่มา ที่นี้องค์ปัจจุบันท่านวางไว้ สัตถาเทวมนุสสานังนี้ แสดงไว้สั่งสอนไว้ทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหมทั้งหลาย ให้ธรรมะสอนแทนพระกายของพระองค์

นี่ล่วงไปแล้ว ๒,๐๐๐ ปี ยังไม่จบ ๕,๐๐๐ ปี ยังไม่จบ คำสอนแทนกายพระองค์นั้นเป็นประโยชน์มากกว่าพระกายพระองค์ยังอยู่ พระองค์ยังอยู่ต้องเสด็จไป ๑๖ พระนคร ไปเที่ยวแสดงธรรมด้วยตนเอง ประเดี๋ยวเสด็จไปยมโลกบ้าง สวรรคเทวโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง ท่องเที่ยวอยู่อย่างนั้น นี่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานอายุ ๘๐ ปี พระองค์สบายกว่าเอาร่างกายไว้

เพราะร่างกายนี้ กายเนื้อกายหนังนี้มันต้องฉันข้าวเจ้าข้าวเหนียว ฉันน้ำร้อนน้ำเย็นอยู่เสมอไป ไปอยู่ที่ไหนมันต้องฉันอาหารอย่างนี้ ไม่เหมือนมโนวิญญาณ จิตวิญญาณ อันนั้นเขามีแต่ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เขาจะมีปฏิกูลอย่างไร เขาจะมีเกิดมีตายอย่างไร

เพราะธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า มนุษยสมบัติก็เข้าถึงจิต นฤพานก็เข้าถึงจิต อริยมรรค ๔ ก็คือเข้าอยู่กับจิต อริยผล ๔ ก็เข้าอยู่กับจิตนั่นเอง สังขตธรรมก็ดี จิตนั่นแหละเสวย อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสองเข้าสู่ภูมิจิต จิตถึงธรรม ธรรมถึงจิตนั่นเอง จิตจึงได้ว่างจากอาสวะ อวิชชาสวะไม่มี อวิชชาสังโยชน์ไม่มี อวิชชานุสัยไม่มี จิตว่างได้ จิตว่างจากอาสวะสังโยชน์ อาสวะนุสัยได้ ตาก็ว่าง หูก็ว่าง จมูก ลิ้น กาย ใจก็ว่าง

ทีนี้ไม่มีใครตายหรอก มีแต่ว่าอายุก็ของกายมันจะออกเมื่อไรก็ได้ ลมหายใจไม่ทำงาน มันก็ขยายออกจากกัน ดินก็ขยายออกไป น้ำ ไฟ ลม อากาศขยายออกจากกันไม่คุมกันเป็นรูปแล้ว เรียกว่าในมนุษยโลกเขาก็เรียกว่าคนตาย ถ้าไปสวรรค์เรียกว่าจุติแล้วไปปฏิสนธิขึ้นใหม่ ถ้าลงมามนุษยโลกเรียกว่าตาย ไม่มีลมหายใจ หมายเอากายเนื้อนี้เอง

เพราะฉะนั้นให้รู้ไว้เห็นไว้ว่า มนุษยธรรมมีจริง เทวธรรมมีจริง พรหมธรรมมีจริงโลกุตตรธรรมมีจริง พระพุทธเจ้าพ้นแล้วจากเกิดตายมีจริง พระธรรมทรงไว้ซึ่งความไม่เกิดไม่ตายมีจริง พระสงฆ์เป็นผู้รู้ตาม เห็นตาม ไม่เกิด ไม่ตายตามพระพุทธเจ้าทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตก็ต้องเป็นอย่างนี้

รู้ไว้เห็นไว้ไม่ใส่บ่าแบกหาม ให้เจริญไว้ในปริยัติภายในและภายนอก ปฏิบัติภายในและภายนอก ปฏิเวธธรรมภายในและภายนอก ขอให้ชาวพุทธทั้งหลายได้พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2013, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าได้มีความหลง ความลืม ให้เจริญแต่พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นผู้เจริญพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทั้งภายในและภายนอกมีอยู่ที่จิตใจของตนเอง เจริญถึงคุณพระธรรมอยู่ภายนอกและภายในจิตใจนี่เอง เจริญถึงคุณพระสงฆ์ พระสงฆ์ทั้งหลายท่านพ้นไปแล้วจากโลภมูล โทสมูล โมหมูล ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าไปแล้ว เราก็ให้ตรัสรู้ตามธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ให้ฟื้นฟูตั้งแต่มนุสสธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม ให้ธรรมะรักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าให้ตกไปในโลภมูล โทสมูล โมหมูล นี้เป็นของลำบาก เป็นของทุกข์ ทำให้จิตเศร้าหมอง ทำให้จิตลำบาก แล้วก็มาลำบากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่เอง


..........เราจงเจริญสติปัญญาให้ความหลงความลืม อย่าได้ไปกังวลในข้างหน้าและข้างหลัง ให้มีความยืนตัวอยู่ในธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า พุทธคุณภายนอกและภายใน ท่านไม่เกิดไม่ตายแล้ว ธรรมคุณภายนอกและภายภายใน ท่านไม่เกิดไม่ตายแล้ว สังฆคุณภายนอกและภายใน ท่านไม่เกิดไม่ตายแล้ว

ท่านผู้สำเร็จไปแล้ว พ้นไปแล้วจากมนุษยโลก จากสวรรคเทวโลก จากพรหมโลกไปแล้ว ไม่อยู่ในจิต เจตสิก รูป นิพพาน สมบูรณ์

สมบูรณ์ด้วยอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ สมบูรณ์ด้วยมรรค ผล นิพพาน คือเป็นผู้ไม่มีกิเลส กรรม วิบากไปรบกวนตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เราทำความเพียรจะเป็นกาลใดก็ดี กาลเช้า กาลเย็นก็ดี การเดิน การยืน การนั่ง การนอนก็ดี อย่าได้มีความหลง ความลืมจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าไปลืมความเป็นอยู่ของกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ อย่าได้ไปเกี่ยวข้องกับกิเลส กรรม วิบากเลย

ให้พ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ให้เจริญแต่ธรรมะไม่เกิด ไม่ตายนี่แหละ ให้มีอยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ให้จิตนั้นพ้นไปจากกามภพ รูปภพ อรูปภพ กามสัตว์ รูปสัตว์ และอรูปสัตว์ อย่าได้มาเกี่ยวข้องกับจิตเลย มีความเจริญงอกงามในมรรค ผล นิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า

เราเป็นคนงานแทนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าได้หลงได้ลืม อย่าได้มีความวุ่นวายในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์

ธรรมของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับตามหน้าที่ของอายตนะนี่เอง รูปก็เกิดดับ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดดับตามหน้าที่ของตนเอง

แต่ส่วนจิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นต่างกัน เมื่อมีความเกิดดับก็เป็นฝ่ายอาการของจิตนั่นเอง เมื่อจิตถึงนิพพานแล้วไม่เกิด ไม่ดับ

ให้มีความสวัสดีในธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า



ภายในก็ดี เรียกว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่กับจิตของชาวพุทธทั้งหลาย ภายนอกก็ดี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลัก ธรรมภายนอกก็ดี ธรรมภายในก็ดี ถ้ายังเจริญอยู่ ยังมีความเกิดความดับก็มี ความไม่เกิดไม่ดับก็มี ภายในก็มีอย่างนั้น ภายนอกก็มีอย่างนั้น


..........ธรรมเหล่าใดที่ยังเกิดดับอยู่ ยังไม่ถึงที่สุดของธรรม ธรรมเหล่าใดที่ไม่เกิดไม่ดับ นั่นแหละเรียกว่าธรรมที่พ้นทุกข์ ไม่มีทุกข์ไปเจือปน

เราสังเกตว่า พระพุทธเจ้าภายในคืออยู่กับจิตนั่นเอง พระธรรมภายในก็อยู่กับจิตนั่นเอง พระสงฆ์ภายในก็อยู่กับจิตนั่นเอง ถ้ายังมีเกิดดับอยู่ ก็มีแต่จิต เจตสิก รูปเท่านั้นเอง ถ้าไม่เกิดไม่ดับละก็มีนิพพานด้วย

จิต เจตสิก รูป นิพพาน นี้เป็นธรรมชั้นสูง ภายนอกก็ดีมีเกิดดับอย่างนั้น ภายในก็ดีเกิดดับอย่างนั้น ไม่เกิดไม่ดับก็อย่างเดียวกัน เรียกว่าผู้เห็นธรรมภายในและภายนอก ทั้งเกิดทั้งดับ ทั้งไม่เกิดไม่ดับ เห็นภายนอกก็ไม่เกิดไม่ดับนี้เรียกว่า ผู้นั้นมีธรรมจักษุ

จะเป็นกาลใดๆ ก็ดี กาลอดีตก็ดี กาลปัจจุบันก็ดี กาลอนาคตก็ดี เห็นธรรมอย่างนี้เอง ธรรมจักษุน่ะเห็นธรรมภายในภายนอก


..........ส่วนพระอริยเจ้าท่านไม่ข้องอยู่ในความเกิดและความดับนั่นเอง ตั้งแต่อดีตมาท่านก็ไม่ติดไม่ข้อง มาถึงปัจจุบันท่านก็ไม่ติดไม่ข้องนั่นเอง ไปอนาคต พระอริยเจ้าอนาคตมาถึง มาแล้วท่านไม่เห็นความเกิดความดับของธรรมภายในและภายนอกแล้ว ความเกิด ความดับของธรรมภายนอกก็ดี ภายในก็ดี ท่านย่อมไม่ติดไม่ข้องนั่นเอง

ท่านเห็นแล้วว่ากรรมดำกรรมขาวนี้ มันมีเกิดดับมันจึงมีทุกข์ กรรมไม่ดำไม่ขาว ครั้งอดีตของพระอริยเจ้าก็ดีไม่เกิด ไม่ดับ มาปัจจุบันก็ดี กรรมไม่เกิด กรรมไม่ดำไม่ขาวไม่เกิดไม่ดับนั่นเอง ท่านจึงได้พ้นทุกข์ พ้นเกิด พ้นดับไป อนาคตท่านก็มาอย่างนี้เอง

เราเห็นว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง ธรรมภายในมีจริง ธรรมภายนอกมีจริง เกิดดับก็มี ไม่เกิดไม่ดับก็มี กรรมก็มีจริง กรรมดำกรรมขาวย่อมมี ภายนอกก็เกิดดับ ภายในก็เกิดดับ กรรมไม่ดำไม่ขาวก็มีภายในก็ไม่เกิดไม่ดับ ภายนอกก็ไม่เกิดไม่ดับนั่นเอง

ผู้เห็นธรรมอย่างนี้เรียกว่า เห็นทางโลกียธรรมด้วย ทางโลกุตตรธรรมด้วย เห็นธรรมที่ยังไม่พ้นด้วย เห็นธรรมที่พ้นแล้วด้วย อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้แย่งแก่งแย่งของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย

พระอริยเจ้าอดีตก็ดี ท่านย่อมหมด หมดกรรมดำกรรมขาวนั่นเอง กรรมเกิดกรรมดับนั่นเอง กรรมไม่ดำ กรรมไม่ขาว กรรมไม่เกิดกรรมไม่ดับ ทั้งอดีตก็มีปัจจุบันก็มีอนาคตก็มี

ขอเชิญชวนพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายได้มาเจริญธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เป็นของผู้เจริญด้วย ผู้ศึกษามาด้วย ผู้ศึกษาอยู่ก็เป็นปริยัติธรรมอยู่ ผู้ปฏิบัติอยู่ก็เป็นปฏิบัติธรรมอยู่ ถึงปฏิเวธรรมแล้ว


..........จะเห็นว่าความไม่เกิดไม่ดับนี้มีคุณด้วยกัน ทุกชั้นทุกคน ตลอดถึงมนุษยโลก เขาก็มีคุณธรรมอย่างนี้ สวรรคเทวโลก เขาก็ต้องไปพบธรรมอย่างนี้ พรหมโลกก็ต้องไปพบธรรมอย่างนี้ จึงได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่เกิดเป็นผู้ไม่ดับนั่นเอง

กรรมไม่ดำกรรมไม่ขาวมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระธรรมเป็นประธาน พระอรหันต์เป็นประธานอย่างนี้ เราจะรู้เห็นไว้ดีกว่าไม่รู้ไม่เห็น เราให้ทราบทั้งอดีตและอนาคตและปัจจุบัน ว่าธรรมะมีจริงอย่างนี้

ถึงจำพวกหนึ่งเขายังไม่รู้ไม่เห็น เขาว่าไม่มีในตัวเขาเองนั่นมันเรื่องของคนของคนอื่น ถ้าคนภายในแล้วทั้งรู้ทั้งเห็นแล้วย่อมค้านตัวเองก็ไม่ได้ จะไปค้านพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ไม่ได้

ขอให้เจริญงอกงามในมนุสสธรรม ในเทวธรรม ในพรหมธรรม ในโลกุตตรธรรม ให้รู้จักแจ่มแจ้งทั้งกรรมดำกรรมขาว กรรมไม่ดำไม่ขาว กรรมเกิดกรรมดับก็มี กรรมไม่เกิดไม่ดับก็มี ขอให้รู้ธรรมทั่วถึง ขอให้ได้พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2013, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


การเจริญถึงพุทธคุณภายในคืออยู่กับจิต ภายนอกออกมาอยู่ที่กายกับวาจา เจริญธรรมคุณ ภายในอยู่กับจิตนั่นเอง ภายนอกออกมาอยู่กับกายกับวาจา จึงได้เป็นบทเรียนกันต่อๆ มา เจริญสังฆคุณภายในก็อยู่กับจิต ภายนอกอยู่กับกายกับวาจา ใจ

เมื่อมีภายนอกและภายในอย่างนี้เองจึงเป็นสัทธรรมของพระผู้พระภาคเจ้า จะเป็นภาคปริยัติ ภายในอยู่กับจิต ภายนอกอยู่กับกาย วาจา ปฏิบัติภายในอยู่กับจิต ภายนอกอยู่กับกาย วาจา นี่เอง ปฏิเวธธรรมก็เหมือนกัน ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธธรรม ภายในก็มีภายนอกก็มี

ส่วนมนุษยโลกของเขา ภายในก็มีอยู่กับจิตของเขานั่นเอง เขาก็มีธรรมะนั่นเอง ภายนอกก็อยู่กับกายกับวาจานั่นเอง สวรรคโลกภายในเขาก็อยู่กับจิตนั่นเอง ภายนอกอยู่กับกายกับวาจา นี่เป็นบทเรียนต่อกัน พรหมโลกเขาก็มีอยู่ ภายในมีอยู่กับจิต ภายนอกอยู่กับกายวาจานั่นเอง เป็นที่ติดต่อกันของการบทเรียนและของการสังคมธรรมะ

ส่วนโลกุตตระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฝ่ายอริยะ อริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ต้องมีอยู่กับจิตภายใน ส่วนภายนอกยกขึ้นสู่ กายกับวาจา คือมีพระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหันต์ สี่คู่แปดบุคคล โลกียธรรม ก็มีอยู่ภายในและภายนอก โลกุตตรธรรมก็มีอยู่ภายในภายนอกนั่นเอง

ตลอดถึงอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ตลอดถึงนิพพาน นิพพานภายในมีอยู่กับจิต นิพพานภายนอกอยู่กับพระพุทธเจ้าองค์ข้างนอกกับพระสงฆ์องค์ข้างนอกนั่นเอง ส่วนภายในมีอยู่กับจิตเหมือนกัน เพราะฉะนั้นโลกียธรรมมีภายในและภายนอกฉันใด โลกุตตรธรรมมีภายในภายนอกฉันนั้น


..........หมู่มนุษย์ในโลกนี้ เขาจะทรงไว้แต่เพียงธรรมะของมนุษยธรรมทางภายในและภายนอก แต่ส่วนจิตของเขา สัมมาทิฏฐิเขาทรงไว้ซึ่งเทวธรรมภายในได้ แต่ภายนอกเขายังไม่ได้ไปเป็นรูปเทวดา แต่ว่าจิตเขาถึงซึ่งธรรมของเทวดา เขาก็สังคมโดยสัมมาทิฏฐิธรรม พวกพรหมธรรมเขาก็มีสัมมาทิฏฐิ เขาก็ติดต่อกันได้ทั้งเทวดาสัมมาทิฏฐิ มนุษย์สัมมาทิฏฐินั่นเอง เขาจึงได้ไปติดต่อโลกุตตรธรรม เขาจึงได้น้อมนมัสการโลกุตตรธรรมต่อพระอริยบุคคล

คือพระโสดาเป็นอุบาสก อุบาสิกาก็มี เป็นภิกษุ สามเณรก็มี สกิทาคา อนาคา อรหันต์นี่เป็นภิกษุ สามเณรล้วนก็มี เป็นอุบาสก อุบาสิกาล้วนก็มี แต่ว่าจะทรงเพศนั้น ถ้าสามเณรอายุเจ็ดขวบก็ทรงไว้ซึ่งคุณพระอรหันต์เหมือนกัน ทรงพระโสดาก็ได้ ทรงพระสกิทาคา อนาคา อรหันต์ก็ได้ ส่วนอุบาสก อุบาสิกาก็เหมือนกันนะ เจ็ดขวบก็ทรงพระโสดาได้ พระสกิทาคาได้ อนาคาได้ ทรงพระอรหันต์ได้

แต่ว่าจะตายช้าตายเร็วนั่นน่ะแล้วแต่อายุของกายต่างหาก ถ้าอายุมากพอบรรลุพระอรหันต์แล้วท่านไม่ยอมบวชแล้ว ท่านล่ำลาล่วงหน้าอีกเจ็ดวันอายุก็หมดอายุขัยนั่นเอง ไม่ใช่ว่าอยู่ไม่ได้ อยู่ได้ อยู่ได้อย่างพระนั่นเอง อยู่ได้อย่างธรรมะนั่นเอง ธรรมภายในยังอยู่ได้ ธรรมภายนอกคือกาย กายเนื้อกายหนังก็อยู่ได้ตามธรรมะภายในนั่นเอง

ข้อนี้ไม่มีข้อขัดขวางอะไรกัน แต่ว่าพวกไปจารหนังสือไว้ไปเขียนหนังสือไว้ ถ้าบรรลุอรหันต์แล้วก็อยู่ไม่ได้ต้องตาย ร่างกายนี้ต้องแตกทำลายอย่างนี้ คนมันพูดเอาเอง แต่ธรรมะไม่มีการเบียดเบียนว่าได้บรรลุถึงมรรค ผล นิพพานแล้วรีบตายวันนั้นนะ ไม่แน่นอนเสมอไป


..........พระภิกษุบางรูปร่างกายป่วยเนื้อหนังผุพังหมดแล้ว กระดูกก็ผุหมดแล้ว แต่พระองค์ต้องเสด็จไปชะแผลให้ พระอานนท์เสด็จตามไปต้มน้ำชะแผลให้ เมื่อได้รับความสว่างได้รับความสะดวกแล้วได้ห่มผ้าลุกนั่งตั้งกายฟังธรรมแล้ว ฟังเพียงแต่พระองค์ว่า ร่างกายนี้ไม่ยั่งยืน มันจะต้องนอนทับแผ่นดิน มันอยู่ไม่นาน มันไม่เที่ยง เกิดแล้วมันดับ ส่วนรูปก็เกิดดับ ส่วนนามก็เกิดดับ

พอบรรลุอรหันต์แล้วขอลาเดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่าทำงานของภิกษุ สามเณรไม่ได้แล้ว เนื้อหนังก็เปื่อยพัง กระดูกก็ผุหมดแล้ว เหมือนเนื้อไม้ที่มอดเจาะกินหมดแล้ว ไม่มีเนื้อไม้จะอยู่ได้ วันนี้กระดูกก็อยู่ติดต่อทำงานไม่ได้ เนื้อหนังก็อยู่ทำงานไม่ได้ ถึงได้ลาวันนั้นเลย บรรลุวันนั้นก็ลานิพพานวันนั้นเลยนี่ก็มี

อย่างเป็นฆราวาสฟังธรรมแล้วไปลาไปหาผ้ากาสาวพัสตร์ ยังไม่ได้กลับมา พระองค์เห็นร่างกายตายอยู่แล้ว ก็ต้องทำศพให้อรหันต์ที่ยังไม่ได้บวชนั่นเอง บางองค์ฟังธรรมต่อหน้าพระผู้มีพระภาคเจ้าบรรลุแล้วยังไม่ได้เปลื้องเครื่องกษัตริย์ออกเลย ขอลานิพพานเลย เมื่อนมัสการพระองค์เจ็ดครั้งแล้วก็ขึ้นไปเผาอยู่บนอากาศโน่น แล้วอัฐิก็มาถวายพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างมีวิญญาณ นี่ลอยมาอย่างนี้


..........เมื่อดูธรรมทั้งภายนอกและภายในแล้ว ไม่มีอะไรจะตายช้าจะตายเร็ว ไม่มีอะไรจะตายก่อนตายหลัง โลกุตตระไม่มีที่ตายหรอก จิตใจกับอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ถึงนิพพานหนึ่งแล้ว มรรคจิต ผลจิต วิมุติจิต

จิตวิมุติแล้วจะไม่มีใครมาตาย สัตวะไม่มีตาย มีแต่สัตว์อยู่ในกามภพ ในรูปภพ อรูปภพ สัตว์เหล่านี้ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ส่วนพระอริยเจ้าไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะไป เกิด แก่ เจ็บ ตายได้อย่างไร เกิดก็ไม่มี แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ตายไม่มี

โลกุตตรธรรมชั้นสูงไม่มีตายไม่มีเกิด เรียกว่ามีแต่นิโรโธ นิโรธธรรม นิพพานธรรมนั่นเอง ส่วนสมุทัยสัจดับแล้วไม่มี ทุกขสัจดับแล้วไม่มี มรรคสัจดับแล้วไม่มี ส่วนนิโรธธรรมมีแล้วไม่หาย จึงได้มีแต่นิโรธธรรม นิพพานธรรม

ขอให้ชาวพุทธทั้งหลายได้เจริญพุทธคุณภายในและภายนอก ธรรมคุณภายในและภายนอก สังฆคุณภายในและภายนอก ให้จิตเราพ้นจากโลกียธรรม พ้นจากมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม เข้าสู่โลกุตตรธรรม ให้ได้เสวยอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ให้เสวยวิมุติจิตเสีย ให้ไปพบปะนิโรธธรรม นิพพานธรรม โดยสวัสดี



ในระหว่างเราเกิดมายุคนี้ เราพบคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ธรรมะมีทางพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิภกนี้ จูงจิตใจเราให้เข้าสู่พระนิพพานได้ทุกเมื่อทุกเวลา เว้นไว้แต่เราหลงลืมไปเท่านั้นเอง ที่หลงไปแล้วลืมไปแล้วเอาคืนไม่ได้ เราต้องทำตัวตนยังไม่ตายยังมีอยู่ มีอยู่ในตา ในหู ในจมูก ในลิ้น ในกาย ในใจนั่นเอง

เมื่อความเป็นอยู่ของชีวิตของกายและวาจาและจิตนี้ย่อมมีงานประจำ งานส่วนรวมก็คือทำไปในหมู่ในคณะ ไม่ให้ผิดธรรมไม่ให้ผิดวินัย ไม่ให้ผิดกฎของหมู่คณะรัฐบาลไทยและคณะสงฆ์ไทย เราก็ได้ทำไปตามหลักของรัฐบาลไทย คณะสงฆ์ไทยไป ส่วนจิตส่วนตัวเราก็ทำให้เข้ากรอบในพระวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระสุตตันตปิฎก ของพระวินัย ของพระอภิธรรม ของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ภายนอกก็มีธรรมะ ภายในก็มีธรรมะ มีกฎเกณฑ์ให้เข้าหมู่ให้เข้าคณะกัน คือไม่ให้มีกาย วาจา ใจ เบียดเบียนกัน เราไม่มีเบียดเบียนภายนอก เราไม่เบียดเบียนภายใน ผลอันนั้นก็เป็นผลลัพธ์เข้ามาหาใจของเราเอง ได้รับผลเท่ากัน คือ ผลจากไม่มีกรรมไม่มีเวรนั่นเอง

กายกรรมไม่ได้ทำความชั่ว แล้วก็ไม่มีติดตามมา วจีกรรม มโนกรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิในมนุษยธรรม สัมมาทิฏฐิในเทวธรรม สัมมาทิฏฐิในพรหมธรรม สัมมาทิฏฐิในโลกุตตรธรรม นำไปสู่มรรค ผล นิพพาน






ชาวพุทธทั้งหลายได้มาเจริญปริยัติธรรม ปฏิบัติสัทธรรม ปฏิเวธสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เจริญขึ้นให้สมบูรณ์ไปโดยมนุษยธรรมสัมมาทิฏฐิ เทวธรรมสัมมาทิฏฐิ พรหมธรรมสัมมาทิฏฐิ ให้เนื่องไปไหลไปสู่โลกุตตรธรรมสัมมาทิฏฐิ

ให้ได้เจริญธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ ด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ ได้จูงจิตใจให้เข้าสู่ในคลองธรรม

ให้สมบูรณ์ไปด้วยโลกียธรรม โลกุตตรธรรม ให้ไหลไปเนื่องไปสู่อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ให้เจริญในมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ พระนิพพานสมบัติ

พรหมทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายย่อมเคารพพระผู้มีพระภาคเจ้าและสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จูงจิตใจให้เข้าสู่ในมรรค ผล นิพพาน ให้เข้าสู่ในความไม่เกิดไม่ตาย

อย่าได้มาเวียนเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ เกิดที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่น ให้พ้นจากความเกิดความตาย โดยเข้าสู่ในธรรมะ โลกุตตรธรรม ให้เข้าสู่พระนิพพาน


ชาวพุทธทั้งหลายได้มาเจริญคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ สั่งสมให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีญาณ มีวิชชาโดยฉับพลัน ให้รู้ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม โดยฉับพลัน

ขออำนาจแห่งคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ จูงจิตใจของพี่น้องชาวพุทธให้เข้าสู่ธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เห็นความเกิดและความตายเป็นโทษ ให้เห็นความไม่เกิดและความไม่ตายเป็นคุณธรรมทั้งหลาย

ให้เห็นว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้เป็นเครื่องอาศัย เมื่อเครื่องอาศัยยังมีอยู่ ต้องอาศัยทำให้ถูกต้องธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ผู้มีอธิศีล ศีลของจิตนี้มีอยู่แล้วย่อมมีความเบิกบานสำราญใจ ขอให้ศีลอันนี้รักษาจิตไว้อย่าให้หลงอย่าให้ลืม เมื่อมีศีลก็มีอธิจิต อธิจิตเป็นผู้เว้นจากบาปจากอกุศลแล้ว มั่นคงไม่มีบาปไม่มีอกุศล มีแต่บุญกุศลอย่างเดียว อธิปัญญา เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยว่าศีลกับสมาธินี้ ย่อมมีอยู่ด้วยกันที่จิตเดียว ด้วยอำนาจกายนี้และจิตนี้ให้ทรงไว้ ซึ่งศีล ซึ่งสมาธิ ซึ่งปัญญา

ศีล-สมาธิ-ปัญญานี้แหละ จึงรักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของชาวพุทธทั้งหลาย พระภิกษุ-สามเณรทั้งหลายจะได้ตาดี อุบาสก-อุบาสิกาตาดี หูดี เขาก็มีศีลรักษา มีสมาธิรักษา มีปัญญารักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้พ้นจากบาป จากอกุศล

ให้รู้ธรรมของมนุษย์นี้มีอยู่ทั่วไปในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ธรรมสมบัติของเทวดาก็มีอยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของหมู่มนุษย์และเทวดาต่อกันได้ มีธรรมสมบัติของพรหมมีรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ เป็นสมบัติของพรหม

พรหมก็ไปติดต่อกับสัมมาทิฏฐิของมนุษยธรรม สัมมาทิฏฐิของเทวธรรม ของพรหมนี้จะได้เข้าสู่ในโลกุตตรธรรมสัมมาทิฏฐิ จะรู้ธรรมสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ เป็นสมบัติ

เมื่อเลยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ เป็นผู้ที่เหนือเหตุเหนือผล เป็นผู้ที่เหนือเกิดเหนือตาย ไม่ต้องมาเป็นทุกข์เพราะเกิด ไม่ต้องมาเป็นทุกข์เพราะตาย อยู่กับจิต เจตสิก รูป นิพพาน ในธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยมีสุขส่วนเดียว




ชาวพุทธทั้งหลายได้มาเจริญบารมีธรรมขั้นต้นตั้งแต่วิริยบารมีเป็นต้น เพื่อจะให้อบอุ่นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เข้าสู่บารมีธรรมไปถึงเมืองตรัสรู้ได้ ถ้ายังไม่ตรัสรู้เพียงใด จะทิ้งวิริยบารมีไม่ได้

และเชิญชวนชาวพุทธทั้งหลายตลอดถึงมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม ให้เจริญวิริยะให้มาก

เราพาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเข้าสู่บารมี ทศบารมี ทศอุปบารมี ทศปรมัตถบารมี ให้เต็มรอบเพียงใด เราจะได้พ้นจากภัยความเกิดและความตายนั่นเอง การเกิดเป็นทุกข์เราอย่าได้ถึงที่เกิดเลย ความตายเป็นทุกข์เราอย่าได้ถึงที่ตายเลย ขอให้ถึงธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ถึงแม้หมู่มนุษย์เขาก็ต้องมีธรรมะรักษาไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว พรหมธรรมในโลกทั้งหลาย เขาก็มีธรรมะรักษาไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว คือให้มีแต่บุญกุศลรักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าสู่ในแดนโลกุตตรธรรม

ให้เจริญในมรรค ๔ โดยสมบูรณ์ อริยผล ๔ โดยสมบูรณ์ ให้พ้นจากภัยความเกิดและความตาย อย่าได้มีความเกิดความตายติดตามไป

เพราะว่าอเนกชาติเราก็ได้ผ่านมาแล้ว เกิดแล้วไม่แล้วต้องตาย เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ตายแล้วก็ไม่แล้วต้องเกิดเป็นทุกข์ ขอทุกข์อันนี้อย่าได้มีติดตาม อย่าได้ตามมาในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอให้พ้นไป


..........ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีแต่ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าปูสะพานให้อยู่ใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้รู้อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ โดยฉับพลัน ขออย่าได้มีความเวียนว่ายตายเกิดในอดีต อนาคต ปัจจุบันเลย

ขอให้พ้นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยฉับพลัน อย่าได้มีความเกิดเป็นทุกข์ อย่าได้มีความตายเป็นทุกข์ ให้เสวยแต่โลกุตตรธรรม โดยไม่เกิดไม่ตายนั่นเอง

เมื่อมีทุกข์เท่าไรก็หมดไปเท่านั้น เมื่อไม่มีเกิดก็ไม่มีทุกข์นั่นเอง เมื่อไม่มีตาย ก็ไม่มีทุกข์นั่นเอง



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


สร้างพระบรมรูปพ่อขุนศรีอินทราทิตย์และพ่อขุนผาเมือง ณ ทุ่งบางงา อ ท่าวุ้ง ลพบุรี
________________________________________
โทร 081 834 1338

ร่วมสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่ากมโลฯ (หลวงพ่อทองปาน จารุวัณโณ) อ.วังสามหมอ อุดรธานี
โทร.๐๘๓-๑๔๐-๒๒๘๕


ขอเชิญร่วม บรรจุกรุพระรอด เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา องค์ล่ะ๙ บาท
๐๘๖-๖๗๒๗๘๒๐

รับบริจาคพระพุทธรูปสำหรับเป็นพระประธาน
โทร. ๐๘๖-๖๔๔๔๙๓๔


โครงการบูรณปฏิสังขรณ์ศาลาการเปรียญ กับวัดพระธาตุศรีจอมทอง
http://www.watchomtong.org

ร่วมเป็นเจ้าภาพถวายมหาสังฆทาน และถวายผ้าอาบน้ำฝน วัดพิชยญาติการาม
โทร. 02-861-5425


ขอเชิญสร้างตึกสงฆ์อาพาธ
08-9850-0105

วันที่22กค2556 วัดท่าซุง ขอเชิญร่วมงานสร้างวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์
โทร 089-6589939

ขอเชิญร่วมทำบุญจองเป็นเจ้าภาพสร้างดาวประดับฟ้าเพดานศาลาการเปรียญ
โทร. 084 – 7972215

เป็นเจ้าภาพจัดซื้อหิน ปรับปรุงที่ดินโดนน้ำขัง จำนวน ๕ ลำรถ
โทร ๐๘๓-๑๑๔๓๖๘๑

(ปิดรับ 26 ก.ค) ร่วมบริจาคเงินซื้อไฟฉาย กระบอกละ 45 บาท ถวายแด่พระกรรมฐาน 45 รูป
085-361-4989

ขอเชิญร่วมปิดทองคำถวายสมเด็จองค์ปฐม (หน้าตัก 4 ศอก) วัดช่างเคี่ยน จ. เชียงใหม่ (21 ก.ค. 56)
โทร. 081-5682612

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคีถวายเทียนพรรษา ๙ วัด และสมทบทุนสร้างอุโบสถ
________________________________________
และอุปสมบทนาคเพื่อสมทบทุนสร้างอุโบสถ ทอดถวาย ณ วัดหนองหมี ต.หนองหมี อ.กุดชุม จ.ยโสธร

หากท่านใดสนใจ สามารถร่วมบุญได้ถึงวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖


จัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์ มงคลภาวนาธรรม
087-6320232

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพพิมพ์หนังสือธรรมะ สู้ไม่ถอย ของ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
สามารถบริจาคโดยตรงที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี


ร่วมทำบุญ บริจาคเข้ามูลนิธิเสียงธรรมเพื่่อประชาชน ขององค์หลวงตามหาบัว
โทร. 042-214114

บุญด่วนเจ้าภาพสร้างพระไตรปิฎกพร้อมตู้ พระอภิธรรมพร้อมตู้ รอบปี56 ครั้งที่6
080-7761240


ขอเชิญร่วมงานมหากุศล อุปสมบทหมู่ ครั้งที่ 36
13-15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ณ วัดป้อมแก้ว
จัดโดย ยุวสมาคมแห่งประเทศไทย เจ ซี สมุทรสงคราม
085-198-0052

เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบวชพระเข้าพรรษาวัดบ้านห้วยน้ำขาว จ.กาญจนบุรี
________________________________________
โทร.๐๘๘-๙๙๕-๖๕๙๕

ต้องการจิตอาสาสอนการบ้านนักเรียนตาบอดที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ
________________________________________
จันทร์-ศุกร์ เวลา 15.00 น - 18.00 น นักเรียนอยู่ในระดับชั้น ม.1-ม.6 หนังสือเรียนเหมือนเด็กปกติทั่วไป


ขอเชิญร่วมงานมุทิตาสักการะ หลวงปู่แตงอ่อน กลฺยาณธมฺโม
081-2856834

ร่วมบริจาคทาน ถวายเทียนพรรษาและเครื่องอัฐบริขาร
พักสงฆ์พรหมรังศรี 149 หมู่ 2 ต.น้ำพุ อ.เมือง จ.ราชบุรี
ในวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2556
089-1724662


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 122 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร