ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม่ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=45832 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | govit2552 [ 11 ก.ค. 2013, 13:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม่ |
ตอนนี้ไม่ทราบ จริงๆ ครับ รู้แต่ว่า พระเก็บของไว้ เพื่อฉัน(กิน)ในวันรุ่งขึ้น ผิดครับ อาบัติ วัตถุประสงค์ของพระพุทธองค์ น่าจะ ให้หามื้อ กินมื้อ เท่านั้น ไม่ให้เก็บเลย เมื่อเช้า ได้รับประเคนแล้ว ฉัน(รับประทาน)ไปส่วนหนึ่ง มื้อเที่ยง จะหยิบของที่เหลือจากเมื่อเช้ามาฉันต่อ เข้าใจว่า ไม่ได้ ................. อาบัติครับ ยิ่งข้ามวันยิ่งไม่ได้ใหญ่ แต่การสะสมเงินทองไว้ เพียงพอสำหรับซื้อรับประทานตลอดเดือน ตลอดปี ตลอดชาติ ก็ไม่หมด แบบนี้ ........................................เข้าข่าย. ผิดหรือไม่ |
เจ้าของ: | ศิษย์หลวงปู่ทา [ 12 ก.ค. 2013, 06:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม |
รอคำตอบเหมือนกันครับ ![]() |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 12 ก.ค. 2013, 08:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม |
พระภิกษุ ที่ยินดีในเงินทอง รับไว้เองหรือให้ผู้อื่นรับไว้ "เพื่อตน" ท่านปรับอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ (ต้องสละเงินทองนั้น) ถ้ารับไว้ "เพื่อศาสนาหรือสาธารณะประโยชน์" ไม่ถือว่าผิด = ความเห็นของผู้โพส พระภิกษุท่านมีราคาแค่ หนึ่งมาสก (หนึ่งบาท) คือหากโขมยหรือยักยอกทรัพย์ มีค่าหนี่งมาสก ปรับอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระทันที .. ![]() |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 12 ก.ค. 2013, 16:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม |
เงินก็เหมือน อสรพิษ จะเก็บไว้ดีไหมนะ ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 13 ก.ค. 2013, 03:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม |
ในพระวินัยหรือศีลของพระ มีกำหนดครอบคลุมไว้หมด ขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่วายเลี่ยงบาลี ด้วยเพราะกิเลสพาไปหรืออะไรก็ตามแต่ ดังนั้นพวกเราฆราวาสจะต้องปฏิบัติในส่วนของตนด้วย อย่างเช่น ไม่กระทำการที่เป็นการสนับสนุนให้พระผิดวินัย ที่มีข่าวพระผิดวินัยหรือพระไม่ดีบ่อยๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากฆราวาส เพราะความที่รู้หรือไม่รู้ว่า สิ่งใดพระทำได้หรือไม่ได้ เลยกระทำการเหมือนเป็นการสนับสนุนให้พระทำผิดวินัย ตัวอย่างง่ายที่มักเห็นบ่อยๆก็คือ การเอาเงินถวายพระ ก็รู้อยู่แล้วว่า พระไม่สามารถรับเงินรับทองได้ แต่ก็มิวายเอาเงินถวายพระ ทำไมไม่เอาเหล้าถวายพระ ให้รู้แล้วรู้รอดไป มันก็เป็นการผิดวินัยเหมือนๆกัน ทั้งหมดทั้งมวล มันก็เกิดจากกิเลสครับ พระรับเงินก็มีกิเลส ฆราวาสก็มีกิเลส ฆราวาสชอบเงิน ชาติหน้าอยากมีเงินเยอะๆ ก็เอาเงินถวายพระ ตัวฆราวาสไม่ชอบเหล้า เกลียดคนเมา พอเห็นพระกินเหล้า ก็ไล่พระให้ไปสึก ไม่รู้หรือว่า พระรับเงินกับพระกินเหล้า เป็นความผิดวินัยเหมือนกัน พระเป็นแค่กิเลสในตัวท่านเอง ความผิดของท่านสามารถปลงอาบัติได้ แต่ความผิดของฆราวาสปลงไม่ได้นะครับ เพราะฆราวาสมีกิเลสไม่ใช่แต่ของตน มันเป็นการเอากิเลสของตนไปทำให้ผู้อื่นเกิดกิเลสด้วย พระรับเงินผิดวินัยก็จริงแต่ไม่บาป (แต่ไม่สมควรทำ ถ้าทำบ่อยๆก็ไม่สมควรเป็นพระ) ฆราวาสถวายเงินไม่ผิดวินัย แต่มันเป็นบาป เพราะสนับสนุนให้บุคคลเกิดกิเลส เป็นมารในทางธรรม เป็นผู้มาปิดกั้นทางนิพพานของพระสงฆ์ ปล. อันที่จริงแล้วผมถือคติว่า...ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ แต่ได้ฟังพระนักเทศน์นักพัฒนาท่านหนึ่งท่านออกสื่อว่า พวกเราต้องช่วยกันทำทุกวิถีทางให้สถาบันสงฆ์เป็นสถาบันที่ปราศจากมิจฉาชีพ ดังนั้นบางครั้งดูแล้วเหมือนผมวิจารณ์พระ ไม่ใช่ครับกำลังวิจารณ์พวกมิจฉาชีพที่แฝงตัว เข้ามาในสถาบันสงฆ์ครับ อ่านแล้วต้องแยกแยะนะครับ ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 13 ก.ค. 2013, 03:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม |
govit2552 เขียน: ตอนนี้ไม่ทราบ จริงๆ ครับ รู้แต่ว่า พระเก็บของไว้ เพื่อฉัน(กิน)ในวันรุ่งขึ้น ผิดครับ อาบัติ วัตถุประสงค์ของพระพุทธองค์ น่าจะ ให้หามื้อ กินมื้อ เท่านั้น ไม่ให้เก็บเลย เมื่อเช้า ได้รับประเคนแล้ว ฉัน(รับประทาน)ไปส่วนหนึ่ง มื้อเที่ยง จะหยิบของที่เหลือจากเมื่อเช้ามาฉันต่อ เข้าใจว่า ไม่ได้ ................. อาบัติครับ ยิ่งข้ามวันยิ่งไม่ได้ใหญ่ การพิจารณาว่าทำผิดพระวินัยหรือไม่ เราไม่ควรดูแต่เพียงข้อใดข้อหนึ่ง เราต้องดูข้ออื่นเพื่อเอามาเป็นส่วนประกอบในการพิจารณาด้วย ที่พระต้องท่องพระปาฏิโมกและต้องจำพระปาฏิโมกให้ได้ ไม่ใช่เพียงเพื่อไม่ให้พระทำผิดปาฏิโมกข้อใดข้อหนึ่ง แต่ความสำคัญก็เพื่อสามารถเอาข้อปาฎิโมกอื่นมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อการระงับอธิกรณ์(การหาเหตุผลมาอธิบายว่าการกระทำนั้นผิดหรือไม่) ในกรณีของคุณโกวิท เราต้องเอาพระวินัยในข้อ..๑.ห้ามฉันอาหารยามวิกาล กับ๒.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน ถ้าเอาสองข้อนี้ไปพิจารณา กรณีคุณโกวิทไม่อาบัติ เพราะอาหารรับประเคนแล้ว การฉันอาหารก็ไม่ได้ฉันยามวิกาล และอาหารก็ไม่ได้เป็นการเก็บไว้ค้างคืน สรุปคือไม่อาบัติครับ govit2552 เขียน: แต่การสะสมเงินทองไว้ เพียงพอสำหรับซื้อรับประทานตลอดเดือน ตลอดปี ตลอดชาติ ก็ไม่หมด แบบนี้ ........................................เข้าข่าย. ผิดหรือไม่ ในขณะครองเพศเป็นบรรพชิตรับเงินแค่บาทเดียว มันก็ผิดวินัยแล้วครับ ในกรณีนี้เราต้องดูก่อนนะครับว่า ..ต้องเป็นงินจากคนอื่น ที่เขาถวายให้นะครับ ถ้าเป็นการที่เงินทองที่เราเก็บสะสมมาตั้งแต่เป็นฆราวาส มันไม่ผิดครับ เราสามารถเก็บไว้ได้ แต่พระก็ไม่สามารถ เอามันออกมาใช้จ่ายได้ด้วยตัวเอง เพราะมันผิดวินัยในข้อที่...ห้ามซื้อขายด้วยเงินทองและห้ามแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน พระสามารถใช้จ่ายเงินทอง ที่สะสมไว้ตอนเป็นฆราวาสได้ ก็โดยผ่านทางผู้เป็นอุปัฏฐากครับ แต่สิ่งของที่ให้อุปัฏฐากหามาด้วยเงินของพระเองนั้น ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าของนั้น ผิดพระวินัยหรือไม่ |
เจ้าของ: | พุทธคุณ [ 13 ก.ค. 2013, 10:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม |
จะเล่าให้ฟัง คนสมัยก่อยเวลาทำบุญเขาไม่บริจาคเงินกันหรอกนะครับ เพราะคนสมัยก่อน ยากจน เขาไม่มีเงินบริจาค ถึงคนที่ฐานะดีเอาเงินมาบริจาคพระท่านก็ไม่รับ ด้วยเหตุนี้วัด ทุกวัดจึงมีมัคทายก สิทธิ์ขาดในการใช้เงินบริจาคอยู่ที่มัคทายกคนเดียวเท่านั้น มัคทายก จะนำเงินบริจาคไปใช้ส่วนตัว(ถ้าไม่มีคนรู้)ก็ย่อมทำได้ เรื่องเงินบริจาคนี่ไม่เกี่ยวกับพระท่าน นี่พูดถึงสมัยก่อนนะ จะสร้างวัด สร้างโบสถ์มัคทายกก็เป็นธุระให้ ป่าวประกาศให้คนมา บริจาค สร้าง จ่ายเงิน มัคทายกทำให้หมด สาเหตุที่โยมนำเงินมาบริจาคแรกๆนั้นด้วยความจำเป็นจริงๆ บางวัดไม่มีศาลาการเปรียญ บางวัดทรุดโทรม หลังคารั่วคุ้มแดดคุ้มฝนไม่ได้ โยมจึงบริจาคเงินมาให้ซ่อมแซมวัดด้วย ความจำเป็นของวัด และความศรัทธา(ที่ถูกต้อง)ของโยม แต่หลังๆมันมีคนหัวใสคิดหากินทางนี้ จึงใช้ช่องทางนี้หาผลประโยชน์ เพราะฉนั้นสมัย หลังๆมาเราจึงมักเห็นอยู่กันเกลื่อน วัดบางวัดมีศาลาการเปรียญแล้ว สภาพดีเยี่ยม แต่ ก็ยังไม่พอใจ อยากมีหลังที่สอง หลังที่สาม สี่ ห้า ไปเรื่อยๆ มีศาลาการเปรียญแล้วก็ยัง ไม่จบ อยากมีอุโบสถ มีหลังเดียวไม่พอ อยากมีสอง สามหลัง ยังไม่จบ ยังอยากได้กุฏิ แต่กุฏิธรรมดาไม่พอใจ อยากได้กุฏิติดแอร์ ปูพื้นปาร์เก้ ห้องน้ำปูพื้นกระเบื้องนำเข้าจาก ต่างประเทศ ฝรั่งเศษ อิตาลี่ หรูหรา บางวัดล่ำซำถึงขนาดไม่รู้จะสร้างอะไรอีกเลยเอามา สร้างห้องน้ำทองคำ ติดแอร์ฝังเพชรก็ว่ากันไป เท่านี้จบหรือยัง พอหรือยัง ยัง ยังไม่พอ พระจำเป็นจะต้องมีอินเตอร์เนตใช้ มีคอมพิวเตอร์เพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมือง ติดตาม สถาณการณ์ความเคลื่อนไหวของโลกแบบนาทีต่อนาที เท่านี้ยังไม่พอนะ มีคอมพิวเตอร์ ธรรมดาไม่ได้ แต่ต้องเป็นของแอปเปิ้ลที่ราคาแพงลิบลิ่ว เท่านี้ยังไม่พอ ยังต้องการโทรศัพท์ อีก โทรศัพท์บ้านที่ใช้ในวัดท่านว่ามันไม่ทันใจไม่รวดเร็วต้องมีมือถือ แล้วมือถือธรรมดา ท่านใช้ไม่ได้นะ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็น ไอโฟน ไอแพด ท่านว่ารุ่นอื่นมันเชย ไม่มีอิน เทอร์เนต ไม่มีแอพ คือสมัยก่อนพระไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายอะไร จะไปไหนมาไหนมัคทายกจะจัดการให้ หรือไม่ก็ญาติโยมเป็นฝ่ายเป็นธุระในเรื่องการเดินทาง เรื่องค่าใช้จ่าย ต่างจากสมัยใหม่ที่ อะไรๆมันรวดเร็วไปซะหมด เราก็พิจารณาดูเอาตามความถูกต้องและเหมาะสมก็แล้วกันครับ |
เจ้าของ: | deecup [ 13 ก.ค. 2013, 18:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม |
151. สวัสดีครับ ดร.สนอง มีคําถามอยากถามครับ 1. ถวายเงินพระบาปไหม หากต้องถวายเงินพระต้องทําอย่างไรถึงไม่บาป คำตอบ : ถวายเงินให้พระสงฆ์เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 คือการให้ปัจจัยเป็นทาน ก่อนถวายเต็มใจ ขณะถวายสบายใจ ถวายแล้วอิ่มใจอย่างนี้เป็นการถวายเงินที่มีอานิสงส์เป็นบุญ http://www.kanlayanatam.com/sonthana/so ... 1to200.htm |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 14 ก.ค. 2013, 04:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การที่พระมีบัญชีเงินฝาก สมควรหรือ ผิดพระธรรมวินัย หรือไม |
deecup เขียน: 151. สวัสดีครับ ดร.สนอง มีคําถามอยากถามครับ 1. ถวายเงินพระบาปไหม หากต้องถวายเงินพระต้องทําอย่างไรถึงไม่บาป คำตอบ : ถวายเงินให้พระสงฆ์เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 คือการให้ปัจจัยเป็นทาน ก่อนถวายเต็มใจ ขณะถวายสบายใจ ถวายแล้วอิ่มใจอย่างนี้เป็นการถวายเงินที่มีอานิสงส์เป็นบุญ http://www.kanlayanatam.com/sonthana/so ... 1to200.htm การถวายเงินพระไม่มีอานิสงส์ผลบุญ มีแต่ผลบาป ทานมัยหรือการให้ปัจจัยเป็นทาน ปัจจัยไม่ได้หมายถึงเงินทอง ปัจจัยที่ว่าก็คือ ปัจจัยใจสี่ ๑.อาหาร ๒.เครื่องนุ่งห่ม ๓.ยารักษาโรค ๔.ที่อยู่อาศัย จะเป็นทานที่ให้แก่พระสงฆ์หรือฆราวาส จะต้องเป็นปัจจัยสี่ที่ว่านี้ ถ้านอกเหนือจากนี้เขาไม่เรียกเป็นทาน การให้เงินเป็นทาน เป็นการหยิบยื่นกิเลสของตนให้แก่ผู้อื่น การจะให้ปัจจัยสี่แก่พระ ก็ด้วยการใส่บาตรก็คือการให้อาหารเป็นทาน การถวายสังฆทาน ก็คือการให้ไตรจีวรและยารักษาโรค ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัย ต้องทำความเข้าใจ เมื่อพุทธกาลพระสงฆ์อาศัยอยู่ตามป่า ตามโค่นต้นไม้ แต่เนื่องด้วยพระเจ้าพิมพิสารต้องการถวายพระอาราม(วัด) แก่พระพุทธเจ้า เพื่อเป็นพุทธบูชา พระพุทธองค์ทรงขัดไม่ได้ จึงทรงอนุญาติให้สาวกของพระองค์อยู่วัด หรืออารามได้ แทนที่จะต้องอยู่ตามป่า ตามโค่นต้นไม้ วัดหรือกุฎิถ้าไม่มีฆราวาสมาสร้างถวาย พระก็ไม่มีสิทธิ์สร้างเอง เมื่อไม่มีวัดหรือไม่มีกุฎิจากการทำทานของฆราวาส พระสงฆ์ก็ต้องอยู้ตามป่าตามโค่นต้นไม้ มาสมัยนี้มักจะมีคนอ้างว่า ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป จะให้ทำเหมือนสมัยพุทธกาลไม่ได้ มันง่ายๆ ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ มันก็แค่ไม่ต้องมาบวชเป็นพระ แค่นั้นเอง บวชเป็นพระแล้วยังอ้างจะต้องทำอย่างโน้น จะต้องทำอย่างนี้ ไม่รู้จะมาบวชทำไม ก่อนจะบวชจะต้องรู้ว่า เป็นพระต้องทำอะไร ไม่ใช่รู้ว่าฉันทำอะไรมาก่อนบวช |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |