วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 15:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2013, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น ย่อมแสดงว่า สัตว์ทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
ใครทำดี ย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว บาปกรรมต่างๆที่ได้ทำไปแล้ว ย่อมไม่อาจลบล้างได้
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังพอมีหนทางที่แก้ไขให้อกุศลกรรมที่ตนได้ทำไปแล้ว กลายเป็นอโหสิกรรมได้

พุทธศาสนิกชน ผู้ได้ศึกษาธรรม ย่อมมีความเชื่อในเรื่องกรรม และผลของกรรมเป็นส่วนมาก
แต่บางครั้งก็ด้วยอำนาจของกิเลสต่างๆ มีโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้น
ทำให้ต้องกระทำบาปลงไป มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น
และเมื่อกระทำลงไปแล้วรู้สึกตัว กลัวจะต้องได้รับโทษของอกุศลกรรมนั้น ทำให้ต้องกลุ้มใจ เสียใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมทำให้อกุศลกรรมเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย อปราเจตนามีกำลังมากขึ้นด้วย
จนส่งผลได้แน่นอน ทั้งภพนี้และภพหน้า ตลอดจนภพต่อๆไป จนไม่มีโอกาสที่กลายเป็นอโหสิกรรมได้

แต่อย่างไรก็ตาม ในพุทธศาสนานี้ ก็แนะวิธีแก้ไขอกุศลกรรมที่ตนทำไปแล้ว
ให้กลายเป็นอโหสิกรรมได้ คือ
เมื่อกระทำอกุศลกรรมไปแล้ว และได้มีความรู้สึกผิดชอบเกิดชึ้น ต้องอธิษฐานใจตนเองว่า
จะไม่กระทำสิ่งทุจริตอีกเช่นนี้อีกต่อไป แล้วไม่ต้องหวนกลับไปคิดเรื่องนั้นอีก
พยายามสร้างแต่กุศลที่เป็น "อาจิณกรรม" ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอโดยการเรียนการสอนปริยัติธรรม
สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญตักบาตร แผ่เมตตารักษาศีล เจริญภาวนาอยู่เสมอๆ เช่นนี้
อกุศลทิฏฐธรรมเวทนียกรรมย่อมมีโอกาสส่งผลกลายเป็นอโหสิกรรมไปได้

แต่สำหรับอกุศลครุกรรมนั้นไม่อาจแก้ไขได้
เพราะกรรมชนิดนี้ต้องให้ผลแน่นอนในภพถัดไปในลำดับ แห่งจุติ
ส่วนอกุศลอปราเวทนียกรรม แม้จะไม่กลายเป็นอโหสิกรรมไปได้ก็จริง
แต่การส่งผลของอกุศลกรรมชนิดนี้ ย่อมถูกทำให้เบาบางลงไปด้วย
อำนาจกุศลอาจิณกรรมนั่นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อโหสิกรรม เป็นกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผล. เป็นกรรมที่ไม่มีผล. หรือกรรมที่จะไม่ให้ผล.
ดังในปฏิสัมภิทามรรคพระบาลี แสดงว่า

"อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก.
อโหสิ กมฺม นตฺถิ กมฺมวิปาโก.
อโหสิ กมฺม น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก ."


แปลความว่า
กรรมนั้นกระทำสำเร็จแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นหาใช่เกิดผลไม่.
กรรมนั้นสำเร็จแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นหาใช่กำลังเกิด.
กรรมนั้นสำเร็จแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นไม่เกิด.
จากพระบาลีนี้ จะเห็นได้ว่า อโหสิกรรม มีชื่อเรียกได้ ๓ อย่าง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




rtublog5.gif
rtublog5.gif [ 20.12 KiB | เปิดดู 4943 ครั้ง ]
อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก" ชื่อว่ากรรมที่ยังไม่ให้ผล
หมายความว่า กรรมที่กระทำสำเร็จแล้วนั้น เป็นอโหสิกรรมไป
โดยที่ผลของกรรมนั้นยังไม่มีโอกาสได้ส่งผล

เช่น เจตนาที่อยู่ในชวนะดวงที่ ๑ ที่ชื่อว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
ซึ่งจะต้องส่งผลในปัจจุบันชาติเท่านั้น ถ้าไม่มีโอกาสส่งผลได้ในชาตินี้
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้น ก็ชื่อว่า เป็นอโหสิกรรมไป

เจตนาที่อยู่ในชวนะดวงที่ ๗ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม
ซึ่งจะต้องส่งผลในภพที่ ๒ แต่ถ้าไม่มีโอกาสส่งผลในภพที่ ๒ ได้
อุปปัชชเวทนียกรรมนั้น ก็ชื่อว่า เป็นอโหสิกรรมไป

หรือเจตนา ดวงที่ ๒ - ๖ (ชวนะตรงกลาง ๕ ดวง) ที่เรียกว่า อปราปริยเวทนียกรรม
ซึ่งจะต้องส่งผลตั้งแต่ภพที่ ๓ เป็นต้นไปจนถึงพระนิพพาน ถ้าไม่มีโอกาสส่งผลแล้วก็ชื่อว่า อโหสิกรรมไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 06:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
หรือเจตนา ดวงที่ ๒ - ๖ (ชวนะตรงกลาง ๕ ดวง) ที่เรียกว่า อปราปริยเวทนียกรรม
ซึ่งจะต้องส่งผลตั้งแต่ภพที่ ๓ เป็นต้นไปจนถึงพระนิพพาน ถ้าไม่มีโอกาสส่งผลแล้วก็ชื่อว่า อโหสิกรรมไป


แล้วที่เคยได้ยินมาว่า กรรมส่งผล ซ้ำๆ หลายๆ ชาติ หลายๆ ร้อยชาติ นี่มันเป็นยังไงครับ ลุง

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
หรือเจตนา ดวงที่ ๒ - ๖ (ชวนะตรงกลาง ๕ ดวง) ที่เรียกว่า อปราปริยเวทนียกรรม
ซึ่งจะต้องส่งผลตั้งแต่ภพที่ ๓ เป็นต้นไปจนถึงพระนิพพาน ถ้าไม่มีโอกาสส่งผลแล้วก็ชื่อว่า อโหสิกรรมไป


แล้วที่เคยได้ยินมาว่า กรรมส่งผล ซ้ำๆ หลายๆ ชาติ หลายๆ ร้อยชาติ นี่มันเป็นยังไงครับ ลุง


กรรมที่ ๒ - ๖ ที่ตามส่งผลนั้นมีมากมาย นับไม่ชาติที่จะส่งผลไม่ถ้วน
เมื่อผู้นั้นยังไม่เข้านิพพาน ได้โอกาสเมื่อไหร่ก็จะส่งผลเมื่อนั้น
เมื่อกรรมใดส่งผลแล้วก็เป็นอันว่าหมดไป จะไม่มาให้ผลซ้ำอีก (เรียกว่าอโหสิกรรม)
ส่วนกรรมที่เหลือก็ต้องหาโอกาสส่งผลต่อไป จนกว่าจะเข้านิพพาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เมื่อกรรมใดส่งผลแล้วก็เป็นอันว่าหมดไป จะไม่มาให้ผลซ้ำอีก (เรียกว่าอโหสิกรรม)


แน่ใจหรือลุง ผมเคยอ่านเจอ
รู้สึก ฆ่าผู้อื่นครั้งนึง ผลคือ โดนคนอื่นฆ่า นับร้อยๆ ชาติ ทีเดียว ดอกเบี้ย เยอะมากเลย
กรรมส่งผล ซ้ำ ๆ ๆ แล้วก็ซ้ำ น่ากลัวมากๆ เลยลุง

เมื่อผมหาหลักฐานเจอ ผมจะมาแชร์ให้ลุงได้เห็น ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
เมื่อกรรมใดส่งผลแล้วก็เป็นอันว่าหมดไป จะไม่มาให้ผลซ้ำอีก (เรียกว่าอโหสิกรรม)


แน่ใจหรือลุง ผมเคยอ่านเจอ
รู้สึก ฆ่าผู้อื่นครั้งนึง ผลคือ โดนคนอื่นฆ่า นับร้อยๆ ชาติ ทีเดียว ดอกเบี้ย เยอะมากเลย
กรรมส่งผล ซ้ำ ๆ ๆ แล้วก็ซ้ำ น่ากลัวมากๆ เลยลุง

เมื่อผมหาหลักฐานเจอ ผมจะมาแชร์ให้ลุงได้เห็น ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน


แล้วแน่ใจหรือว่า ในอดีตชาติทีเคยเกิดมาแล้วที่นับชาติไม่ถ้วน เราเคยฆ่ามาครั้งเดียว
เอาแค่ชาตินี้เท่าที่นึกได้ เคยฆ่ามาเท่าไหร่แล้วกี่ครั้งจำได้ไหม ก็นับไม่ถ้วนอีก
เอาแค่ชาติได้เกิดเป็นนกกระยาง ฆ่าสัตว์มาเป็นอาหารตลอดชีวิต มากไหม?
ก็สัตว์ที่มีอยู่ในโลกนี้เราเคยเกิดมาแล้วทั้งนั้น หรือภพไหนๆเราก็เคยเกิดมาแล้วทั้งนั้น
เว้นไว้ใน " ภพที่เป็นสุทธาวาสภูมิ ๕ " เท่านั้นที่เราไม่เคยไปเกิด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละวิธีแก้กรรมได้ดีที่สุด
พ้นทุกข์พ้นกรรม กรรมทั้งหลายเป็นอโหสิกรรมแน่นอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 10:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

เมื่อกรรมใดส่งผลแล้วก็เป็นอันว่าหมดไป จะไม่มาให้ผลซ้ำอีก (เรียกว่าอโหสิกรรม)
ส่วนกรรมที่เหลือก็ต้องหาโอกาสส่งผลต่อไป จนกว่าจะเข้านิพพาน


ลองไปดูกรรมที่ทำให้นางสามาวดีที่ถูกเผาพร้อมบริวาร500 เนื่องจากกรรมที่เผาพระปัจเจกพุทธเจ้า...ที่รับกรรมอย่างนี้มานับชาติไม่ถ่วน...อันนี้ไม่รู้ว่ามีพุทธดำรัสหรือไม่..นะ ใครมีความรู้ลองหาดูหน่อย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ในบรรดากรรมที่ทำสำเร็จแล้วมีหลายๆ อย่าง
มีทิฏฐธรรมเวทนียกรรมเป็นต้นนั้น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมให้ผล
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมที่เหลือนอกนั้นก็ไม่ได้ให้ผล จึงเป็นอโหสิกรรมไป

อุปปัชชเวทนียกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งนำปฏิสนธิให้เกิดขึ้นแล้ว
อุปปัชชเวทนียกรรมที่เหลือนอกนั้นก็ไม่ได้ให้ผล (เป็นปฏิสนธิ) จึงเป็นอโหสิกรรมไป

หรือโดยอนันตริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งส่งผลให้เกิดในนิรยภูมิแล้ว
อนันตริกรรมนอกนั้นก็ไม่ได้ส่งผล จึงเป็นอโหสิกรรมไป

ส่วนฌานสมาบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาฌานสมาบัติ ๘ ส่งผลให้เกิด
ยังพรหมโลกแล้ว สมาบัติที่เหลือนอกนั้นก็เป็นอโหสิกรรมไป

พระสารีบุตรมุ่งหมายเอากรรมชนิดนี้ จึงกล่าวว่า นาโหสิ กมฺมวิปาโก หมายถึง
ผลกรรมนั้นหาใช่เกิดขึ้นแล้วไม่ คือผลกรรมนั้นไม่ได้โอกาสสนองผลนั่นเอง

อนึ่ง กรรมเล็กๆ น้อยๆ นั้นคืออกุศลเจตนาสามัญที่ไม่เข้าถึงกรรมบท
คือกุศลอกุศลที่ผู้กระทำมิได้ตั้งใจทำโดยเฉพาะ เพียงแต่ทำตามผู้อื่น โดยถูกผู้อื่นชักชวน
และไม่ได้ตั้งใจเป็นพิเศษ เจตนาเหล่านี้ไม่มีอำนาจสืบต่ออยู่สันดานเหนียวแน่นนัก
ฉะนั้น จึงเป็นอโหสิกรรมเป็นส่วนมาก

นอกจากนี้ กรรมที่ให้ผลไปแล้ว ย่อมไม่ให้ผลซ้ำอีก ก็ชื่อว่าเป็นอโหสิกรรมไปด้วย
อโหสิกรรมข้อนี้ มุ่งหมายถึงกรรมในอดีตที่ได้กระทำสำเร็จแล้วตกเป็นอโหสิกรรมไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 18:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
แต่อย่างไรก็ตาม ในพุทธศาสนานี้ ก็แนะวิธีแก้ไขอกุศลกรรมที่ตนทำไปแล้ว
ให้กลายเป็นอโหสิกรรมได้ คือ
เมื่อกระทำอกุศลกรรมไปแล้ว และได้มีความรู้สึกผิดชอบเกิดชึ้น ต้องอธิษฐานใจตนเองว่า
จะไม่กระทำสิ่งทุจริตอีกเช่นนี้อีกต่อไป แล้วไม่ต้องหวนกลับไปคิดเรื่องนั้นอีก
พยายามสร้างแต่กุศลที่เป็น "อาจิณกรรม" ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอโดยการเรียนการสอนปริยัติธรรม
สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญตักบาตร แผ่เมตตารักษาศีล เจริญภาวนาอยู่เสมอๆ เช่นนี้
อกุศลทิฏฐธรรมเวทนียกรรมย่อมมีโอกาสส่งผลกลายเป็นอโหสิกรรมไปได้


แต่สำหรับอกุศลครุกรรมนั้นไม่อาจแก้ไขได้
เพราะกรรมชนิดนี้ต้องให้ผลแน่นอนในภพถัดไปในลำดับ แห่งจุติ
ส่วนอกุศลอปราเวทนียกรรม แม้จะไม่กลายเป็นอโหสิกรรมไปได้ก็จริง
แต่การส่งผลของอกุศลกรรมชนิดนี้ ย่อมถูกทำให้เบาบางลงไปด้วย
อำนาจกุศลอาจิณกรรมนั่นเอง

:b16:
ลุงหมานครับ

วิธีที่จะทำให้ วิบาก (ผลของอดีตกรรม)ทั้งหลายกลายเป็นอโหสิกรรมนั้น
มีวิธีเดียวในโลกและอนันตจักรวาล

คือการเจริญวิปัสสนาภาวนา

วิธีที่ลุงหมานบอกนั้น ไม่ทำให้เกิดอโหสิกรรมได้จริงๆหรอกครับ มันเป็นเพียงการเพิ่มกุศลให้มากจนล้นเหลือ จนแทบมองไม่เห็น วิบากของอดีตกรรมนั้นๆ เหมือน ก้อนดินโคลนก้อนเล็กๆ ในถังน้ำสะอาดใบมหึมา แต่ก้อนดินโคลนก้อนนั้นไม่หายไปไหน
:b6:
แต่วิปัสสนาภาวนานั้น เปรียบเหมือนการแยกเอาก้อนดินโคลนออกมาจากถัง...เปรียบเหมือนการโกยขยะออกมาจากถังขยะใจ เมื่อขยะหมดถังแล้ว ถังขยะใจใบใหญ่คือ สักกายทิฏฐิ ถูกทุบทิ้ง.....ถังขยะใจใบเล็ก คือมานะทิฏฐิ ก็ถูกทุบทิ้ง .....ขยะ บุญ บาป ทั้งหลายไม่มีที่อยู่ จึงกระจัดกระจายหายสูญ ไปตามธรรมชาติ วิบากแห่งกุศลและอกุศลทั้งหลายไม่สามารถจะกลับมาส่งผลได้ เพราะแยกกันไปอยู่คนละที่ละทาง...ที่สุดของวิปัสสนาภาวนาคือ วิบากของกุศลและอกุศลกรรมทั้งหลาย ตามไม่ทัน มันจึงเป็นอโหสิกรรมโดยปริยาย
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Quote Tipitaka:
ความตายของพระนางสามาวดีควรแก่กรรมในปางก่อน
ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า๑- “ความตายเช่นนี้ ของอุบาสิกาผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาเห็นปานนี้ ไม่สมควรเลยหนอ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.”
____________________________
๑- ยังกถาให้ตั้งขึ้นในโรงธรรม.

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ?” เมื่อพวกภิกษุนั้นกราบทูลว่า “ด้วยเรื่องชื่อนี้” ดังนี้แล้ว
ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ความตายนั่นของหญิงทั้งหลาย มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ไม่ควรแล้วในอัตภาพนี้ แต่ว่า ความตายอันหญิงเหล่านั้นได้แล้ว สมควรแท้แก่กรรมซึ่งเขาทำไว้ในกาลก่อน”, อันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาว่า “กรรมอะไร อันหญิงเหล่านั้นทำไว้ในกาลก่อน พระเจ้าข้า? ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย” ดังนี้แล้ว
จึงทรงนำอดีตนิทานมา (เล่าว่า)

บุรพกรรมของพระนางสามาวดีกับบริวาร
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ ฉันอยู่ในพระราชวังเนืองนิตย์ หญิง ๕๐๐ คน ย่อมบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น. ในท่านเหล่านั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์ไปสู่หิมวันตประเทศ อีกองค์หนึ่งนั่งเข้าฌานอยู่ในที่รกด้วยหญ้าแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ.
ต่อมาวันหนึ่ง เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไปแล้ว, พระราชาทรงพาหญิงเหล่านั้นไป เพื่อทรงเล่นน้ำในแม่น้ำ. ณ สถานที่นั้น หญิงเหล่านั้นเล่นน้ำตลอดส่วนแห่งวัน ขึ้นแล้ว ถูกความหนาวบีบคั้นเทียวใคร่จะผิงไฟ กล่าวกันว่า “ท่านทั้งหลาย พึงหาดูที่ก่อไฟของพวกเรา”, เที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ เห็นที่รกด้วยหญ้า (ชัฏหญ้า) นั้น จึงยืนล้อมก่อไฟแล้วด้วยสำคัญว่า “กองหญ้า”
เมื่อหญ้าทั้งหลายไหม้แล้วก็ยุบลง, หญิงเหล่านั้นแลเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงกล่าวกันว่า “พวกเราฉิบหายแล้ว! พวกเราฉิบหายแล้ว! พระปัจเจกพุทธเจ้าของพระราชาถูกไฟคลอก, พระราชาทรงทราบจักทำพวกเราให้ฉิบหาย, เราจักทำท่านให้ไหม้ทั้งหมด”, ทุกคนนำฟืนมาจากที่โน้นที่นี้ ทำให้เป็นกองในเบื้องบนแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น กองฟืนใหญ่ได้มีแล้ว.
ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นสุมฟืนนั้นแล้วหลีกไป ด้วยสำคัญว่า “บัดนี้ จักไหม้ละ” ครั้งก่อน พวกเขาเป็นผู้ไม่มีความจงใจ ก็ถูกกรรมติดตามแล้วในบัดนี้. ก็คนทั้งหลายแม้นำฟืน ๑,๐๐๐ เล่มเกวียนมาสุมอยู่ ก็ไม่อาจเพื่อจะทำ พระปัจเจกพุทธเจ้าภายในสมาบัติ แม้ให้มีอาการสักว่าอุ่นได้. เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ในวันที่ ๗ จึงได้ลุกขึ้นไปตามสบายแล้ว.
หญิงเหล่านั้นไหม้ในนรกลิ้นหลายพันปี เพราะความที่กรรมนั้นอันทำไว้แล้ว ไหม้แล้วในเรือนที่ถูกไฟไหม้อยู่ โดยทำนองนี้แล สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ ด้วยวิบากอันเหลือลงแห่งกรรมนั้นแล. นี้เป็นบุรพกรรมของหญิงเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Quote Tipitaka:
๕. เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล [๑๓๑]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสกผู้โสดาบันคนหนึ่งชื่อมหากาล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อตฺตนา หิ กตํ ปาปํ" เป็นต้น.

มหากาลถูกหาว่าเป็นโจรเลยถูกทุบตาย
ได้ยินว่า มหากาลนั้นเป็นผู้รักษาอุโบสถ ๘ วันต่อเดือน (เดือนละ ๘ วัน) ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่งในวิหาร.
ครั้งนั้น พวกโจรตัดที่ต่อในเรือนหลังหนึ่งในเวลากลางคืน ถือเอาห่อภัณฑะไป ถูกพวกเจ้าของตื่นขึ้น เพราะเสียงภาชนะโลหะ (กระทบกัน) ติดตามแล้ว ทิ้งสิ่งของที่ตนถือไว้แล้วก็หลบหนีไป.
ฝ่ายพวกเจ้าของติดตามโจรเหล่านั้นเรื่อยไป. พวกโจรเหล่านั้นกระจัดกระจายหนีกันไปทั่วทิศ. ส่วนโจรคนหนึ่งถือเอาทางที่ไปยังวิหาร ทิ้งห่อภัณฑะไว้ข้างหน้ามหากาล ผู้ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่ง ล้างหน้าอยู่ริมสระโบกขรณีแต่เช้าตรู่แล้ว หลบหนีไป.
พวกมนุษย์ติดตามหมู่โจรมา พบห่อภัณฑะแล้ว จึงจับมหากาลนั้นไว้ ด้วยกล่าวว่า "แกตัดที่ต่อในเรือนของพวกฉัน ลักห่อภัณฑะไปแล้ว เที่ยวเดินเหมือนฟังธรรมอยู่" ได้ทุบให้ตายแล้วก็ทิ้งไว้เลยไป.

มหากาลตายสมแก่บุรพกรรม
ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายถือหม้อน้ำดื่มไปแต่เช้าตรู่ พบมหากาลนั้น กล่าวว่า "อุบาสกฟังธรรมกถาอยู่ในวิหาร ได้มรณะ ไม่สมควร" ดังนี้แล้ว จึงได้กราบทูลแด่พระศาสดา.
พระศาสดา ตรัสว่า "อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย นายกาล๑- ได้มรณะไม่สมควรในอัตภาพนี้, แต่เขาได้มรณะสมควรแก่กรรมที่ทำไว้แล้วในกาลก่อนนั่นแล"
อันภิกษุหนุ่มและสามเณรเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงตรัสบุรพกรรมของมหากาลนั้นว่า :-
____________________________
๑- น่ามี มหา ด้วย.

บุรพกรรมของมหากาล
ดังได้สดับมา ในอดีตกาลพวกโจรซุ่มอยู่ที่ปากดงแห่งปัจจันตคาม๑- แห่งหนึ่ง ในแคว้นของพระเจ้าพาราณสี. พระราชาทรงตั้งราชภัฏ๒- คนหนึ่งไว้ที่ปากดง. ราชภัฏนั้นรับค่าจ้างแล้ว ก็นำคนไปจากฟากข้างนี้ สู่ฟากข้างโน้น นำคนจากฟากข้างโน้นมาสู่ฟากข้างนี้.
____________________________
๑- บ้านตั้งอยู่ริมเขตแดน.
๒- คนอันพระราชาชุบเลี้ยง ได้แก่ข้าราชการ.

ต่อมา มนุษย์คนหนึ่งพาภริยารูปสวยของตนขึ้นสู่ยานน้อยแล้ว ได้ไปถึงที่นั้น. ราชภัฏพอเห็นหญิงนั้น ก็เกิดสิเนหา เมื่อมนุษย์นั้น แม้กล่าวว่า "นาย ขอท่านจงช่วยกระผมทั้งสองให้ผ่านพ้นดงเถิด" ก็ตอบว่า "บัดนี้ ค่ำมืดเสียแล้ว, เช้าตรู่เถอะ เราจักช่วยให้ผ่านพ้นไป."
มนุษย์. นาย ยังมีเวลา, ขอโปรดนำกระผมทั้งสองไปเดี๋ยวนี้เถอะ.
ราชภัฏ. กลับเถิดท่านผู้เจริญ อาหารและที่พักอาศัยจักมีในเรือนของเราทีเดียว.
มนุษย์นั้นไม่ปรารถนากลับเลย. ฝ่ายราชภัฏนอกนี้ ให้สัญญาแก่พวกบุรุษยังยานน้อยให้กลับแล้ว ให้ที่พักอาศัยที่ซุ้มประตู ให้ตระเตรียมอาหารแก่เขาผู้ไม่ปรารถนาเลย.
ก็ในเรือนราชภัฏนั้นมีแก้วมณีดวงหนึ่ง. เขาให้เอาแก้วมณีนั้นซ่อนไว้ในซอกแห่งยานน้อยของมนุษย์ผู้นั้นแล้ว ในเวลาจวนรุ่ง ให้ทำเสียงเป็นพวกโจรเข้าไป (บ้าน).
ลำดับนั้น พวกบุรุษแจ้งแก่เขาว่า "นาย แก้วมณีถูกพวกโจรลักเอาไปแล้ว." เขาสั่งว่า "พวกเจ้าจงตั้งกองรักษาไว้ที่ประตูบ้านทั้งหลาย ตรวจค้นคนผู้ออกไปจากภายในบ้าน."
ฝ่ายมนุษย์นอกนี้ จัดยานน้อยเสร็จแล้ว ก็ขับไปแต่เช้าตรู่.
ทีนั้น พวกคนใช้ของราชภัฏจึงค้นยานน้อยของมนุษย์นั้น พบแก้วมณีที่ตนซ่อนไว้ จึงขู่พูดว่า "เจ้าลักเอาแก้วมณีหนีไป" ดังนี้แล้ว ก็โบย แสดงแก่นายบ้านว่า "นาย พวกผมจับตัวได้แล้ว."
เขาพูดว่า "ตัวเราเป็นถึงนายราชภัฏ ให้พักอาศัยในเรือนให้ภัตแล้ว มันยังลักแก้วมณีไปได้. พวกเจ้าจงจับอ้ายบุรุษชั่วช้านั้น" ดังนี้แล้ว ให้ช่วยกันทุบตายแล้วให้ทิ้งเสีย.
นี้เป็นบุรพกรรมของมหากาลนั้น.
ราชภัฏนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในอเวจี ไหม้อยู่ในอเวจีนั้นสิ้นกาลนาน ถูกทุบถึงความตายอย่างนั้นแล ใน ๑๐๐ อัตภาพ เพราะวิบากที่ยังเหลืออยู่.

บาปย่อมย่ำยีผู้ทำ
พระศาสดา ครั้นทรงแสดงบุรพกรรมของมหากาลอย่างนั้นแล้ว ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย บาปกรรมอันตนทำไว้นั่นแล ย่อมย่ำยีสัตว์เหล่านี้ในอบาย ๔ อย่างนี้"
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๕. อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตชํ อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ ทุมฺเมธํ วชิรํวมฺหยํ มณึ.
บาปอันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็นแดนเกิด
ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชรย่ำยีแก้ว
มณี อันเกิดแต่หินฉะนั้น.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2013, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


มหากาล ทำความดีตลอดชีวิต แต่ก็ต้องมาตายโหง ด้วยผลกรรมเก่า

และเป็นอย่างนี้มา นับร้อยชาติ

กรรม จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ดอกเบี้ย มันเยอะมาก

กรรมชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2013, 05:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
อ้างคำพูด:
แต่อย่างไรก็ตาม ในพุทธศาสนานี้ ก็แนะวิธีแก้ไขอกุศลกรรมที่ตนทำไปแล้ว
ให้กลายเป็นอโหสิกรรมได้ คือ
เมื่อกระทำอกุศลกรรมไปแล้ว และได้มีความรู้สึกผิดชอบเกิดชึ้น ต้องอธิษฐานใจตนเองว่า
จะไม่กระทำสิ่งทุจริตอีกเช่นนี้อีกต่อไป แล้วไม่ต้องหวนกลับไปคิดเรื่องนั้นอีก
พยายามสร้างแต่กุศลที่เป็น "อาจิณกรรม" ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอโดยการเรียนการสอนปริยัติธรรม
สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญตักบาตร แผ่เมตตารักษาศีล เจริญภาวนาอยู่เสมอๆ เช่นนี้
อกุศลทิฏฐธรรมเวทนียกรรมย่อมมีโอกาสส่งผลกลายเป็นอโหสิกรรมไปได้


แต่สำหรับอกุศลครุกรรมนั้นไม่อาจแก้ไขได้
เพราะกรรมชนิดนี้ต้องให้ผลแน่นอนในภพถัดไปในลำดับ แห่งจุติ
ส่วนอกุศลอปราเวทนียกรรม แม้จะไม่กลายเป็นอโหสิกรรมไปได้ก็จริง
แต่การส่งผลของอกุศลกรรมชนิดนี้ ย่อมถูกทำให้เบาบางลงไปด้วย
อำนาจกุศลอาจิณกรรมนั่นเอง

:b16:
ลุงหมานครับ

วิธีที่จะทำให้ วิบาก (ผลของอดีตกรรม)ทั้งหลายกลายเป็นอโหสิกรรมนั้น
มีวิธีเดียวในโลกและอนันตจักรวาล

คือการเจริญวิปัสสนาภาวนา

วิธีที่ลุงหมานบอกนั้น ไม่ทำให้เกิดอโหสิกรรมได้จริงๆหรอกครับ มันเป็นเพียงการเพิ่มกุศลให้มากจนล้นเหลือ จนแทบมองไม่เห็น วิบากของอดีตกรรมนั้นๆ เหมือน ก้อนดินโคลนก้อนเล็กๆ ในถังน้ำสะอาดใบมหึมา แต่ก้อนดินโคลนก้อนนั้นไม่หายไปไหน
:b6:
แต่วิปัสสนาภาวนานั้น เปรียบเหมือนการแยกเอาก้อนดินโคลนออกมาจากถัง...เปรียบเหมือนการโกยขยะออกมาจากถังขยะใจ เมื่อขยะหมดถังแล้ว ถังขยะใจใบใหญ่คือ สักกายทิฏฐิ ถูกทุบทิ้ง.....ถังขยะใจใบเล็ก คือมานะทิฏฐิ ก็ถูกทุบทิ้ง .....ขยะ บุญ บาป ทั้งหลายไม่มีที่อยู่ จึงกระจัดกระจายหายสูญ ไปตามธรรมชาติ วิบากแห่งกุศลและอกุศลทั้งหลายไม่สามารถจะกลับมาส่งผลได้ เพราะแยกกันไปอยู่คนละที่ละทาง...ที่สุดของวิปัสสนาภาวนาคือ วิบากของกุศลและอกุศลกรรมทั้งหลาย ตามไม่ทัน มันจึงเป็นอโหสิกรรมโดยปริยาย
:b8:


ดูภาพวิถีจิตด้านบน อาจจะเข้าใจ
ดวงที่ ๑ ทิฎฐธัมมเวทนียกรรมเป็นกรรมที่ให้ผลในชาตินี้ เมื่อไม่มีโอกาสให้ผล ก็จะไปให้ผลในชาติที่ ๒ หรือชาติ ๓ ไม่ได้ เพราะหมดหน้าที่ของตน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นอโหสิกรรมไป

ดวงที่ ๗ อุปัชชเวทนียกรรม จะส่งผลในชาติที่ ๒ คือการนำไปปฏิสนธิ อุปัชชเวทนียกรรมใดไม่สามารถนำปฏิสนธิได้ก็เป็นอโหสิกรรมไป จะไม่นำไปถึงในปวัตติกาล เพราะหมดหน้าของตน

ดวงที่ ๒ - ๖ อปราปรเวทนียกรรม กรรมอันนี้จะส่งผลในชาติที่ ๓ ทั้งที่เป็นปฏิสนธิกาลและในปวัตติกาล จนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน เมื่อเข้านิพพานไปแล้ว กรรมใดที่ยังไม่ได้ส่งผล ก็จะเป็นอโหสิกรรมไป

ผมก็อธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะให้เข้าใจได้อย่างไร? ก็ควรคลายความเห็นเดิมๆ แล้วกลับมาคิดใหม่ก็คงจะพอมีทางอยู่บ้าง

การเจริญวิปัสสนาไม่ใช่เป็นการตัดวิบาก แต่มันเป็นหนทางเข้าถึงนิพพาน
พระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อรูปนามยังอยู่ยังไม่สิ้นไป วิบากกรรมก็ยังส่งผลอยู่
เมื่อดับขันธ์ปรินิพพานเมื่อใดนั่นแหละ กรรมที่เป็นวิบากจึงจะเป็นอโหสิกรรมไป

ที่ยกตัวอย่างมานั้นมันเป็นข้ออุปมาเพื่อจะให้เชื่อในความคิดเห็นของตน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร