ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=46453
หน้า 2 จากทั้งหมด 4

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 27 ก.ย. 2013, 05:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา๓ จ๋าจ๊ะ!

โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตรรกะง่ายๆ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่สร้างไม่เจริญปัญญา แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้ ถามหน่อย ปัญญามันต้องเจริญ (ปัญญาภาวนา) ตรรกะง่ายๆอีก บางคนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ปัญญาก็ไม่เกิด แล้วจะเอาปัญญาจากการฟังมาจากที่ไหน คิกๆๆ มันต้องฟังเป็น คิดเป็น ภาวนาเป็น


ก็เล่นใช้ตรรกง่ายๆ(พี่โฮว่ามักง่ายเสียล่ะมากกว่า :b32: )
จะบอกให้เอาบุญ ที่กรัชกายไม่สำเหนียกกับคำอธิบายความของพี่โฮ
เป็นเพราะกรัชกาย.....ไม่มีสุตตะมยปัญญา

เพราะกรัชกายเล่นท่องจำคำศัพท์ มันเลยทำให้กรัชกายแยกแยะไม่ออก
ระหว่างคำแปลกับคำอธิบาย เมื่อกรัชกายมาเจอคำอธิบายซึ่งมันมีตัวอักษร
ที่ผิดไปจากคำแปลที่กรัชกายจำ จึงทำให้กรัชกายเถียงคำไม่ตกฟาก เถียงข้างๆคูๆ :b9:

ที่ถามว่าจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้ นี่ก็อีกเล่นอ่านแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ขาดปัญญาในเรื่องของสุตตะ เลยไม่รู้จักหาเหตุที่มา

การเอาปัญญามาฟัง มันก็ต้องมีปัญญาอยู่ก่อนแล้ว ปัญญาที่ว่าก็คือ....สภาวะไตรลักษณ์
การรู้สภาวะไตรลักษณ์ คือการไปรู้เห็นสภาวะในกายใจของตนเอง
การรู้ไตรลักษณ์ต้องรู้ด้วยการเห็นสภาวะนั้นจริงๆ ...ไม่ใช่จากการอ่านหรือฟัง
ไตรลักษณ์จึงไม่ใช่ ปัญญาที่เกิดจากการฟังหรืออ่าน
สุตตะมยปัญญาจึงหมายถึง ใช้ปัญญาไตรลักษณ์มาฟังหรืออ่านพระธรรม
เพื่อให้เกิด....สัมมาทิฐิ

กรัชกายท่องแต่คำแปล เลยไม่รู้ว่า ปัญญาก็คือผลของการปฏิบัติ
มันจึงมีหลายความหมาย เช่น.... ไตรลักษณ์ และสัมมาทิฐิเป็นต้น :b32:

สรุปสุตตะมยปัญญาก็คือ การฟังหรืออ่านที่สัมปยุตด้วยปัญญาไตรลักษณ์
ผลที่ได้ก็คือสัมมาทิฐิ



พี่โฮ จงยกตัวอย่าง สุตมยปัญญา :b1: ไม่ต้องพล่ามมากนะขอรับ เอาเนื้อๆ

เจ้าของ:  งามตา [ 27 ก.ย. 2013, 08:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

จ๊ะเอ๋

ตายแล้ว กรัชกาย ช่างกล้าประทะคารมกับโฮฮับนะนี่ กล้าหาญมากทีเดียว ไปให้ตลอดนะจ๊ะ เท่าที่เห็นมาเคยมีคนมาลองของกับโฮฮับอยู่หลายคน แต่อยู่ไม่นานซักคน มาจ๊ะจ๋ากับคุณโฮฮับได้แป๊บเดียวแล้วก็พากันเผ่นหนีโฮฮับไปหมด ของเขาแรง :b9:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 27 ก.ย. 2013, 08:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

งามตา เขียน:
จ๊ะเอ๋

ตายแล้ว กรัชกาย ช่างกล้าประทะคารมกับโฮฮับนะนี่ กล้าหาญมากทีเดียว ไปให้ตลอดนะจ๊ะ เท่าที่เห็นมาเคยมีคนมาลองของกับโฮฮับอยู่หลายคน แต่อยู่ไม่นานซักคน มาจ๊ะจ๋ากับคุณโฮฮับได้แป๊บเดียวแล้วก็พากันเผ่นหนีโฮฮับไปหมด ของเขาแรง :b9:


:b1: เห็นท่าจะจริงของเขาแรงจินๆฟิวมักๆ แต่แพ้คำศัพท์ทางธรรม เห็นงี้เผ่นป่าราบ

เจ้าของ:  งามตา [ 27 ก.ย. 2013, 08:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

กรัชกาย เขียน:
งามตา เขียน:
จ๊ะเอ๋

ตายแล้ว กรัชกาย ช่างกล้าประทะคารมกับโฮฮับนะนี่ กล้าหาญมากทีเดียว ไปให้ตลอดนะจ๊ะ เท่าที่เห็นมาเคยมีคนมาลองของกับโฮฮับอยู่หลายคน แต่อยู่ไม่นานซักคน มาจ๊ะจ๋ากับคุณโฮฮับได้แป๊บเดียวแล้วก็พากันเผ่นหนีโฮฮับไปหมด ของเขาแรง :b9:


:b1: เห็นท่าจะจริงของเขาแรงจินๆฟิวมักๆ แต่แพ้คำศัพท์ทางธรรม เห็นงี้เผ่นป่าราบ


คิดถึงเกมส์ Counter-Strike ที่หลานชายเคยเล่น คิดถึงระบบเสียงในเกมส์สิ่ เผ่นกันป่าราบเลย

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 27 ก.ย. 2013, 10:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา๓ จ๋าจ๊ะ!

กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตรรกะง่ายๆ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่สร้างไม่เจริญปัญญา แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้ ถามหน่อย ปัญญามันต้องเจริญ (ปัญญาภาวนา) ตรรกะง่ายๆอีก บางคนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ปัญญาก็ไม่เกิด แล้วจะเอาปัญญาจากการฟังมาจากที่ไหน คิกๆๆ มันต้องฟังเป็น คิดเป็น ภาวนาเป็น


ก็เล่นใช้ตรรกง่ายๆ(พี่โฮว่ามักง่ายเสียล่ะมากกว่า :b32: )
จะบอกให้เอาบุญ ที่กรัชกายไม่สำเหนียกกับคำอธิบายความของพี่โฮ
เป็นเพราะกรัชกาย.....ไม่มีสุตตะมยปัญญา

เพราะกรัชกายเล่นท่องจำคำศัพท์ มันเลยทำให้กรัชกายแยกแยะไม่ออก
ระหว่างคำแปลกับคำอธิบาย เมื่อกรัชกายมาเจอคำอธิบายซึ่งมันมีตัวอักษร
ที่ผิดไปจากคำแปลที่กรัชกายจำ จึงทำให้กรัชกายเถียงคำไม่ตกฟาก เถียงข้างๆคูๆ :b9:

ที่ถามว่าจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้ นี่ก็อีกเล่นอ่านแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ขาดปัญญาในเรื่องของสุตตะ เลยไม่รู้จักหาเหตุที่มา

การเอาปัญญามาฟัง มันก็ต้องมีปัญญาอยู่ก่อนแล้ว ปัญญาที่ว่าก็คือ....สภาวะไตรลักษณ์
การรู้สภาวะไตรลักษณ์ คือการไปรู้เห็นสภาวะในกายใจของตนเอง
การรู้ไตรลักษณ์ต้องรู้ด้วยการเห็นสภาวะนั้นจริงๆ ...ไม่ใช่จากการอ่านหรือฟัง
ไตรลักษณ์จึงไม่ใช่ ปัญญาที่เกิดจากการฟังหรืออ่าน
สุตตะมยปัญญาจึงหมายถึง ใช้ปัญญาไตรลักษณ์มาฟังหรืออ่านพระธรรม
เพื่อให้เกิด....สัมมาทิฐิ

กรัชกายท่องแต่คำแปล เลยไม่รู้ว่า ปัญญาก็คือผลของการปฏิบัติ
มันจึงมีหลายความหมาย เช่น.... ไตรลักษณ์ และสัมมาทิฐิเป็นต้น :b32:

สรุปสุตตะมยปัญญาก็คือ การฟังหรืออ่านที่สัมปยุตด้วยปัญญาไตรลักษณ์
ผลที่ได้ก็คือสัมมาทิฐิ



พี่โฮ จงยกตัวอย่าง สุตมยปัญญา :b1: ไม่ต้องพล่ามมากนะขอรับ เอาเนื้อๆ


ตอนปัญจวัคคีย์ฟังพระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนในบทของ...อนัตตลักขณสูตร
แบบนี้เรียกว่า......ปัญจวัคคีย์ใช้สุตตะมยปัญญาฟังอนัตตลักขณสูตร

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 27 ก.ย. 2013, 12:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา๓ จ๋าจ๊ะ!

โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตรรกะง่ายๆ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่สร้างไม่เจริญปัญญา แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้ ถามหน่อย ปัญญามันต้องเจริญ (ปัญญาภาวนา) ตรรกะง่ายๆอีก บางคนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ปัญญาก็ไม่เกิด แล้วจะเอาปัญญาจากการฟังมาจากที่ไหน คิกๆๆ มันต้องฟังเป็น คิดเป็น ภาวนาเป็น


ก็เล่นใช้ตรรกง่ายๆ(พี่โฮว่ามักง่ายเสียล่ะมากกว่า :b32: )
จะบอกให้เอาบุญ ที่กรัชกายไม่สำเหนียกกับคำอธิบายความของพี่โฮ
เป็นเพราะกรัชกาย.....ไม่มีสุตตะมยปัญญา

เพราะกรัชกายเล่นท่องจำคำศัพท์ มันเลยทำให้กรัชกายแยกแยะไม่ออก
ระหว่างคำแปลกับคำอธิบาย เมื่อกรัชกายมาเจอคำอธิบายซึ่งมันมีตัวอักษร
ที่ผิดไปจากคำแปลที่กรัชกายจำ จึงทำให้กรัชกายเถียงคำไม่ตกฟาก เถียงข้างๆคูๆ :b9:

ที่ถามว่าจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้ นี่ก็อีกเล่นอ่านแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ขาดปัญญาในเรื่องของสุตตะ เลยไม่รู้จักหาเหตุที่มา

การเอาปัญญามาฟัง มันก็ต้องมีปัญญาอยู่ก่อนแล้ว ปัญญาที่ว่าก็คือ....สภาวะไตรลักษณ์
การรู้สภาวะไตรลักษณ์ คือการไปรู้เห็นสภาวะในกายใจของตนเอง
การรู้ไตรลักษณ์ต้องรู้ด้วยการเห็นสภาวะนั้นจริงๆ ...ไม่ใช่จากการอ่านหรือฟัง
ไตรลักษณ์จึงไม่ใช่ ปัญญาที่เกิดจากการฟังหรืออ่าน
สุตตะมยปัญญาจึงหมายถึง ใช้ปัญญาไตรลักษณ์มาฟังหรืออ่านพระธรรม
เพื่อให้เกิด....สัมมาทิฐิ

กรัชกายท่องแต่คำแปล เลยไม่รู้ว่า ปัญญาก็คือผลของการปฏิบัติ
มันจึงมีหลายความหมาย เช่น.... ไตรลักษณ์ และสัมมาทิฐิเป็นต้น :b32:

สรุปสุตตะมยปัญญาก็คือ การฟังหรืออ่านที่สัมปยุตด้วยปัญญาไตรลักษณ์
ผลที่ได้ก็คือสัมมาทิฐิ



พี่โฮ จงยกตัวอย่าง สุตมยปัญญา :b1: ไม่ต้องพล่ามมากนะขอรับ เอาเนื้อๆ


ตอนปัญจวัคคีย์ฟังพระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนในบทของ...อนัตตลักขณสูตร
แบบนี้เรียกว่า......ปัญจวัคคีย์ใช้สุตตะมยปัญญาฟังอนัตตลักขณสูตร


อ๋อออ จะเลียนแบบปัญจวัคคีย์ แล้วพี่โฮได้คิดไหมว่า ก่อนหน้าพวกท่านเรียนรู้อะไรรู้มาอีกบ้าง :b1: อ่านพระสูตร แล้วจะทำตามตัวหนังสือดิท่า คิดแบบนี้อ่านสูตรพระอรหันต์เลยดิ จะได้เป็นอรหันต์ :b1:

เจ้าของ:  eragon_joe [ 27 ก.ย. 2013, 14:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

งามตา เขียน:
จ๊ะเอ๋

ตายแล้ว กรัชกาย ช่างกล้าประทะคารมกับโฮฮับนะนี่ กล้าหาญมากทีเดียว ไปให้ตลอดนะจ๊ะ เท่าที่เห็นมาเคยมีคนมาลองของกับโฮฮับอยู่หลายคน แต่อยู่ไม่นานซักคน มาจ๊ะจ๋ากับคุณโฮฮับได้แป๊บเดียวแล้วก็พากันเผ่นหนีโฮฮับไปหมด ของเขาแรง :b9:


:b1: :b12:

เอกอนก็เป็นคนหนึ่งที่
ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ต่อกรกับท่านโฮเรยยย...

:b12: :b12: :b12:

เจ้าของ:  asoka [ 27 ก.ย. 2013, 14:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

โฮฮับ เขียน:
มีพระอภิธรรมปิฎกกล่าวญานวัตถุ๓ในเรื่องของปัญญาไว้.........

ติกนิเทศ
[๘๐๔] ในญาณวัตถุหมวดละ ๓ นั้น จินตามยปัญญา เป็นไฉน
ในการงานทั้งหลายที่ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี ในศิลปะทั้งหลายที่ต้อง
น้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี ในวิชาทั้งหลายที่ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี บุคคลมิ
ได้ฟังจากผู้อื่น ย่อมได้กัมมัสสกตาญาณ หรือย่อมได้สัจจานุโลมิกญาณ ว่ารูปไม่
เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าเวทนาไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าสัญญาไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าสังขาร
ทั้งหลายไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าวิญญาณไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ย่อมได้อนุโลมิกญาณ
ขันติญาณ ทิฏฐิญาณ รุจิญาณ มุติญาณ เปกขญาณ ธัมมนิชฌานขันติญาณ
อันใด ซึ่งมีลักษณะอย่างนั้น นี้เรียกว่า จินตามยปัญญา
สุตมยปัญญา เป็นไฉน
ในการงานทั้งหลายที่ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี ในศิลปะทั้งหลายที่ต้อง
น้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี ในวิชาทั้งหลายที่ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี บุคคลได้
ฟังจากผู้อื่นแล้ว จึงได้กัมมัสสกตาญาณ หรือได้สัจจานุโลมิกญาณ ว่ารูปไม่เที่ยง
ดังนี้บ้าง ว่าเวทนาไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าสัญญาไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าสังขารทั้งหลาย
ไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าวิญญาณไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ได้อนุโลมิกญาณ ขันติญาณ
ทิฏฐิญาณ รุจิญาณ มุติญาณ เปกขญาณ ธัมมนิชฌานขันติญาณ อันใด ซึ่งมี
ลักษณะอย่างนั้น นี้เรียกว่า สุตมยปัญญา
ปัญญาของผู้เข้าสมาบัติแม้ทั้งหมด เรียกว่า ภาวนามยปัญญา


อธิบายปัญญา๓ ได้ดังนี้ครับ
๑.จินตมยปัญญา ............๒.สุตมยปัญญา..........๓.ภาวณามยปัญญา

หลักการโดยรวมตามบัญญัติทั้งสาม ไม่ได้มีความหมายว่า ความคิดทำให้เกิดปัญญา
การฟังไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา และการภาวนาไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา

แต่ความหมายที่แท้จริงของบัญญัตินั้น ..............ได้แก่

๑. จินตมยปัญญา คือการใช้ปัญญามาเป็นหลักในการคิด

๒. สุตมยปัญญา คือการใช้ปัญญามาเป็นหลักในการอ่านและฟัง

๓.ภาวนามยปัญญา คือการใช้ปัญญามาเป็นหลักในการพิจารณา....ฌาน


สรุปในช่วงนี้สั้นๆ ก็คือ การเอาปัญญามาฟัง คิด อ่านและภาวนา
จะทำให้เกิด.......ญานรู้(วิชชา) และรู้อะไรบ้างก็มีกล่าวไว้ในพระธรรมที่ผมเอามาอ้างอิง


เน้นอีกครั้งครับว่า จินตมยปัญญา...สุตมยปัญญา...ภาวนามยปัญญา
ไม่ใช่การทำให้เกิดปัญญา แต่เป็นการเอาปัญญามาใช้ ในลักษณะที่แตกต่างกัน
คือเอาปัญญามาใช้กับการคิด ....เอาปัญญามาใช้กับการฟัง....
และเอาปัญญามาใช้กับการภาวนา(ฌาน)
:b13:

:b7:
ความเห็นของโฮฮับเฉพาะตอนนี้ก็เห็นได้ว่าเป็นวิปริตธรรม
ทั่วบ้านทั่วเมืองเขารู้กันทั่วว่าปัญญา แปลว่า รู้
วิธีที่จะทำให้เกิดความรู้มีอยู่ 3 วิธีคือ
1.โดยการศึกษาเล่าเรียน เรียกว่า สุตตมยปัญญา
2.โดยการคิด นึก สังเกต พิจารณา หาเหตุหาผลเรียกว่า จินตมยปัญญา
3.โดยการลงมือทำจริงจนได้พบของจริง

แต่โฮฮับกลับบอกว่าปัญญาทั้งสาม มันมีอยู่เองแล้วเพียงแต่เอามันมาใช้ แถมไม่พอยังไปโยงเอาไตรลักษณ์มาเกี่ยวข้องแถมยำ้ว่าไม่รู้ลฝงในไตรลักษณ์ไม่ใช่ปัญญา

มันฟั่นเฟือนจากธรรมะ ธรรมดาจากที่ผู้คนทั่วไปเข้าใจเยอะเลยนะครับ

คุณโฮจะเขียนคัมภีร์ธรรมะใหม่หรือครับ

ถ้าปัญญาทั้ง 3 มันมีอยู่แล้วในใจมนุษย์ ก็คงไม่ต้องมีโรงเรียน วัด สถาบันการศึกษา ไว้ถ่ายทอดปัญญากันหรอกนะครับ
grin
วิชาทางโลกทั้งหลายก็คงไม่ใช่เรื่องปัญญาแล้วละสิ เราคงต้อเปลี่ยนแปลงบัญญัติคำพูดกันขึ้นใหม่อีกเยอะถ้าจะเอาปัญญาแบบลุงโฮ
:b14:

เจ้าของ:  asoka [ 27 ก.ย. 2013, 14:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

eragon_joe เขียน:
งามตา เขียน:
จ๊ะเอ๋

ตายแล้ว กรัชกาย ช่างกล้าประทะคารมกับโฮฮับนะนี่ กล้าหาญมากทีเดียว ไปให้ตลอดนะจ๊ะ เท่าที่เห็นมาเคยมีคนมาลองของกับโฮฮับอยู่หลายคน แต่อยู่ไม่นานซักคน มาจ๊ะจ๋ากับคุณโฮฮับได้แป๊บเดียวแล้วก็พากันเผ่นหนีโฮฮับไปหมด ของเขาแรง :b9:


:b1: :b12:

เอกอนก็เป็นคนหนึ่งที่
ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ต่อกรกับท่านโฮเรยยย...

:b12: :b12: :b12:

:b12: :b12: :b12:
จะไปกลัวอะไรทำไมกับลุงโฮ...ผู้เฒ่าฟั่นเฟือนธรรม...
แสดงเหตุผลสู่กันฟังไปเรื่อยๆ เดียวผู้อ่าน ท่านจะมาช่วยกันตัดสินเองครับ
ว่าอันไหนใช่ธรรม อันไหนไม่ใช่ธรรม

สุดท้าย "ธรรมะ ย่อมชนะอธรรมเองครับ
:b4:

เจ้าของ:  nongkong [ 27 ก.ย. 2013, 14:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

asoka เขียน:
eragon_joe เขียน:
งามตา เขียน:
จ๊ะเอ๋

ตายแล้ว กรัชกาย ช่างกล้าประทะคารมกับโฮฮับนะนี่ กล้าหาญมากทีเดียว ไปให้ตลอดนะจ๊ะ เท่าที่เห็นมาเคยมีคนมาลองของกับโฮฮับอยู่หลายคน แต่อยู่ไม่นานซักคน มาจ๊ะจ๋ากับคุณโฮฮับได้แป๊บเดียวแล้วก็พากันเผ่นหนีโฮฮับไปหมด ของเขาแรง :b9:


:b1: :b12:

เอกอนก็เป็นคนหนึ่งที่
ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ต่อกรกับท่านโฮเรยยย...

:b12: :b12: :b12:

:b12: :b12: :b12:
จะไปกลัวอะไรทำไมกับลุงโฮ...ผู้เฒ่าฟั่นเฟือนธรรม...
แสดงเหตุผลสู่กันฟังไปเรื่อยๆ เดียวผู้อ่าน ท่านจะมาช่วยกันตัดสินเองครับ
ว่าอันไหนใช่ธรรม อันไหนไม่ใช่ธรรม


สุดท้าย "ธรรมะ ย่อมชนะอธรรมเองครับ
:b4:

5555ที่นี้คงมีแต่พวกธรรมมะ เลยคิดเข้าข้างตนเองว่า ธรรมมะย่อมชนะอธรรม งั้นเชิญเข้าข้างตนเองว่าเป็นพวกธรรมมะธรรมโมกันต่อไปเถอะจ้ะ :b13: แต่ถ้าไม่ใช่ธรรมมะของจริง ก็อย่าอาจหาญมาต่อกรกับวิชามารละกัน :b13:
เคยได้ยินคำนี้มั้ยจ้ะอโสกะ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร อโสกะอยากเป็นพระหรืออโสกะอยากเป็นมาร
แต่คุณน้องอยากเป็นมารเพราะคุณน้องหมั่นไส้อโสกะมากกกก555+ :b32: :b32:

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 27 ก.ย. 2013, 14:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
จะไปกลัวอะไรทำไมกับลุงโฮ...ผู้เฒ่าฟั่นเฟือนธรรม...
แสดงเหตุผลสู่กันฟังไปเรื่อยๆ เดียวผู้อ่าน ท่านจะมาช่วยกันตัดสินเองครับ
ว่าอันไหนใช่ธรรม อันไหนไม่ใช่ธรรม

สุดท้าย "ธรรมะ ย่อมชนะอธรรมเองครับ
:b4:

ลุงโสฯว่าผมเป็นผู้เฒ่า โสกะแก่กว่าผมเยอะครับ
หัวผมไม่หงอกสักเส้น แต่อุ้ยโสกะขาวโพนเต็มหัวเลยครับ
ขออภัยเดี๋ยวหาว่าลามปาม :b32:

เจ้าของ:  asoka [ 27 ก.ย. 2013, 18:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

nongkong เขียน:
asoka เขียน:
eragon_joe เขียน:
งามตา เขียน:
จ๊ะเอ๋

ตายแล้ว กรัชกาย ช่างกล้าประทะคารมกับโฮฮับนะนี่ กล้าหาญมากทีเดียว ไปให้ตลอดนะจ๊ะ เท่าที่เห็นมาเคยมีคนมาลองของกับโฮฮับอยู่หลายคน แต่อยู่ไม่นานซักคน มาจ๊ะจ๋ากับคุณโฮฮับได้แป๊บเดียวแล้วก็พากันเผ่นหนีโฮฮับไปหมด ของเขาแรง :b9:


:b1: :b12:

เอกอนก็เป็นคนหนึ่งที่
ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ต่อกรกับท่านโฮเรยยย...

:b12: :b12: :b12:

:b12: :b12: :b12:
จะไปกลัวอะไรทำไมกับลุงโฮ...ผู้เฒ่าฟั่นเฟือนธรรม...
แสดงเหตุผลสู่กันฟังไปเรื่อยๆ เดียวผู้อ่าน ท่านจะมาช่วยกันตัดสินเองครับ
ว่าอันไหนใช่ธรรม อันไหนไม่ใช่ธรรม


สุดท้าย "ธรรมะ ย่อมชนะอธรรมเองครับ
:b4:

5555ที่นี้คงมีแต่พวกธรรมมะ เลยคิดเข้าข้างตนเองว่า ธรรมมะย่อมชนะอธรรม งั้นเชิญเข้าข้างตนเองว่าเป็นพวกธรรมมะธรรมโมกันต่อไปเถอะจ้ะ :b13: แต่ถ้าไม่ใช่ธรรมมะของจริง ก็อย่าอาจหาญมาต่อกรกับวิชามารละกัน :b13:
เคยได้ยินคำนี้มั้ยจ้ะอโสกะ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร อโสกะอยากเป็นพระหรืออโสกะอยากเป็นมาร
แต่คุณน้องอยากเป็นมารเพราะคุณน้องหมั่นไส้อโสกะมากกกก555+ :b32: :b32:

:b12:
หมั่นใส้ ....ก็คือออีกอาการหนึ่งของโทสะและปฏิฆะ โทสะและปฏิฆะเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของยักษ์มาร
จะประหารหรือเอาออกจากใจได้ด้วยวิชาวิปัสสนาภาวนาของพระพุทธเจ้า

ที่ใดที่ทำให้กิเลส ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ลุกกำเริบได้ดี ที่นั่นย่อมเป็นสนามฝึกและตะแลงแกงสำหรับประหารผลาญฆ่า สมุทัยต้นเหตุแห่งทุกข์อันได้แก่ความเห็นผิด ยึดผิดในใจของเจ้าของผู้มีโทสะนั้นแล
:b34:

เจ้าของ:  eragon_joe [ 27 ก.ย. 2013, 18:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

asoka เขียน:
อ้างคำพูด:

:b1: :b12:

เอกอนก็เป็นคนหนึ่งที่
ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ต่อกรกับท่านโฮเรยยย...

:b12: :b12: :b12:

:b12: :b12: :b12:
จะไปกลัวอะไรทำไมกับลุงโฮ...ผู้เฒ่าฟั่นเฟือนธรรม...
แสดงเหตุผลสู่กันฟังไปเรื่อยๆ เดียวผู้อ่าน ท่านจะมาช่วยกันตัดสินเองครับ
ว่าอันไหนใช่ธรรม อันไหนไม่ใช่ธรรม

สุดท้าย "ธรรมะ ย่อมชนะอธรรมเองครับ
:b4:


Quote Tipitaka:
๔. อยากทราบเรื่องมาร
ถาม ขอให้อธิบายคำว่า มาร โดยละเอียด

ตอบ มารนั้นหมายถึง สิ่งที่ฆ่าหรือขัดขวางบุคคลให้ตายไปจากคุณงามความดี หรือขัดขวางไม่ให้บรรลุคุณงามความดี ในเวลาที่ตายจากโลกมนุษย์แล้ว ท่านแบ่งไว้ ๕ อย่าง คือ
๑. อภิสังขารมาร มารคือเจตนากรรมในอดีตภพ อันได้แก่ปุญญาภิสังขาร เจตนาอันเป็นบุญได้แก่ เจตนาในมหากุศล ๘ รูปฌานกุศล ๕ อปุญญาภิสังขาร เจตนาคือบาป ได้แก่ เจตนาในอกุศล ๑๒ และอาเนญชาภิสังขาร เจตนาที่ไม่หวั่นไหวคือเจตนาในอรูปฌานกุศล ๔
ก็อภิสังขารมารคือ เจตนาในอภิสังขารทั้ง ๓ นี้เป็นเหตุให้ปฏิสนธิในภพภูมิต่างๆ เมื่อยังต้องปฏิสนธิคือยังต้องเกิดในภพต่างๆ อยู่ย่อมไม่พ้นไปจากความทุกข์ได้ อภิสังขารคือเจตนากรรมเหล่านี้ที่ชื่อว่ามาร ก็เพราะเป็นผู้ทำลายหรือกีดกันปิดกั้นหนทางที่บุคคลจะเข้าถึงความพ้นทุกข์ พูดง่ายๆ ก็คือ อภิสังขารมารนั้นปิดกั้นทางที่จะให้ถึงมรรคผลนิพพาน นี่เป็นมารข้อแรก
๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส กิเลสชื่อว่าเป็นมาร เพราะกำจัดขัดขวางมิให้บุคคลกระทำความดี ทำให้บุคคลทั้งหลายต้องได้รับความทุกข์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
๓. ขันธมาร มารคือขันธ์ ๕ ขันธ์ชื่อว่าเป็นมาร คือเป็นตัวขัดขวางการกระทำคุณงามความดี ทั้งนี้เพราะขันธ์ ๕ เป็นสภาพที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มั่นคงถาวรมีอันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เสื่อมไป เพราะชราและพยาธิ ทำให้ไม่สามารถบำเพ็ญกุศลให้ถึงที่สุดได้ เพราะฉะนั้นขันธ์ ๕ จึงชื่อว่าเป็นมาร
๔. มัจจุมาร มารคือความตาย ความตายจัดเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาสในการทำคุณงามความดี บางคนไม่เคยสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมเลย พอหันมาสนใจก็มีเหตุให้ต้องตายไปเสียก่อนที่จะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามที่ตั้งใจ ความตายจึงเป็นมารอย่างนี้
๕. เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร ท่านกล่าวว่าเทพบุตรองค์นี้เป็นหัวหน้าเทพบุตรในชั้นปรนิมมิตวสวตี เรียกกันสั้นๆว่า ท้าววสวัตตีมาร ท้าววสวัตตีมารองค์นี้แหละ ที่ตามผจญพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ยังไม่ตรัสรู้ จนกระทั่งตรัสรู้แล้ว นอกจากนั้นยังเที่ยวชักชวนให้คนที่กำลังทำความดี เลิกละการทำความดีเสีย เที่ยวชักชวนพระภิกษุภิกษุณีให้เลิกปฏิบัติ แล้วสึกมาเสวยกามสุข เทพบุตรองค์นี้จึงจัดเป็นมาร เพราะคอยขัดขวางคนทั้งหลายไม่ให้ทำความดี โดยเฉพาะความดีขั้นสูงสุด คือ มรรคผลนิพพาน
ทั้งหมดนี้คือเรื่องของมาร ๕ อย่างที่คุณอยากทราบ
ขอสรุปให้ทราบว่า มาร ๕ อย่างมี อภิสังขารมาร กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมาร


เทวบุตรมารและบรรดาบริวารเทวบุตรมาร...เปลี่ยนไปแล้ว...
แต่ก็ยัง...ชอบแหย่...เพียงแต่วัตถุประสงค์ในการแหย่เปลี่ยนไป...

:b1:

บางครั้ง...เวลาที่เสวนาธรรม...
ถ้าเรารู้ภูมิหลังผู้ที่เราเสวนาด้วย...
มันก็จะทำให้เรารู้ว่าเราควรจะเสวนาอย่างไร และควรจะหยุดเพื่ออะไร...
บางครั้งเราต้องป้องกันตัวเอง
ป้องกันผู้ที่เราสนทนาด้วย
ป้องกัน...ธรรมอันพระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว...
จาก...วิบัติ...

ถ้าการที่เราจะต้องหาเหตุผลมาเอาชนะ
และการได้มาซึ่งสิ่งนั้นมันจะทำให้อะไร ๆ มัน วิบัติ
เราก็ หยุดดีกว่า ...

:b1:

เจ้าของ:  eragon_joe [ 27 ก.ย. 2013, 19:15 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

nongkong เขียน:
5555ที่นี้คงมีแต่พวกธรรมมะ เลยคิดเข้าข้างตนเองว่า ธรรมมะย่อมชนะอธรรม งั้นเชิญเข้าข้างตนเองว่าเป็นพวกธรรมมะธรรมโมกันต่อไปเถอะจ้ะ :b13: แต่ถ้าไม่ใช่ธรรมมะของจริง ก็อย่าอาจหาญมาต่อกรกับวิชามารละกัน :b13:
เคยได้ยินคำนี้มั้ยจ้ะอโสกะ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร อโสกะอยากเป็นพระหรืออโสกะอยากเป็นมาร
แต่คุณน้องอยากเป็นมารเพราะคุณน้องหมั่นไส้อโสกะมากกกก555+ :b32: :b32:


แม้แต่น้องคองยังประกาศตัวอยากเป็นมาร...เรย :b1: :b32: :b32:

....

:b32: :b32: :b32:

....

:b12: ...ไม่ต้องอยากก็ได้...นะ... :b32: :b32: :b32:

เจ้าของ:  คนธรรมดาๆ [ 27 ก.ย. 2013, 23:37 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปัญญา ๓ จ๋าจ๊ะ!

โค้ด:
:b1:

บางครั้ง...เวลาที่เสวนาธรรม...
ถ้าเรารู้ภูมิหลังผู้ที่เราเสวนาด้วย...
มันก็จะทำให้เรารู้ว่าเราควรจะเสวนาอย่างไร และควรจะหยุดเพื่ออะไร...
บางครั้งเราต้องป้องกันตัวเอง
ป้องกันผู้ที่เราสนทนาด้วย
ป้องกัน...ธรรมอันพระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว...
จาก...วิบัติ...

ถ้าการที่เราจะต้องหาเหตุผลมาเอาชนะ
และการได้มาซึ่งสิ่งนั้นมันจะทำให้อะไร ๆ มัน วิบัติ
เราก็ หยุดดีกว่า ...

:b1:


ผมคิดอย่างนี้เหมือนกัน

ความเห็นบางคนเปลี่ยนได้ บางคนเปลี่ยนไม่ได้

ก็เป็นกุศลอยู่ ถ้าเราจะช่วยทำให้ใครทุกข์ลดลงได้ แต่เท่าที่ดูผ่านๆมา โอกาสสำเร็จ น้อยกว่า 1 ในร้อยอีกมั้ง

แต่อีก 99% ที่ช่วยไม่ได้ ก็ต้องยอมรับนะ ว่าคนเหล่านี้เราช่วยไม่ได้ ไม่ใช่มัวแต่จะทู่ซี้พยายามอยู่นั่นละ พยายามจนบางทีเริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่จะช่วย หรือจะเอาชนะกันแน่

อย่างน้อยอย่างที่คุณเอกอนว่า กรณีนี้ เราก็ควรจะป้องกันตัวเอง และป้องกันคู่สนทนา แต่ผมมองต่างไปบ้าง

ป้องกันตัวเอง ไม่ให้กิเลสเราฟูขึ้นมาสู้กะเขา ไม่ให้จิตใจเราโดนดึงลงไป

ป้องกันคู่สนทนา คุยกะเราที่คิดต่างเขาก็คงขัดอกขัดใจจะแย่อยู่แล้ว เราต้องพยายามหยุดตัวเอง ไม่ไปกระตุ้นกิเลสเขาให้ฟูหนักกว่าเก่า

เลือกที่จะ agree to disagree ก็เป็นทางออกที่สมดุลดีทางหนึ่ง

เห็นอย่างนี้ยิ่งทำให้ผมนับถือพระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ต่างๆมากขึ้นอีก ท่านสอนคนได้ยังไงให้มีความเห็นตรงได้ตั้งมากมาย

หน้า 2 จากทั้งหมด 4 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/