วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 23:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 64 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 03:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:

รู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่มี โสดาบันละได้แค่สังโยชน์สาม
โสดาบันไม่มีสังโยชน๋สาม แต่ยังมีกิเลสตัวที่ทำให้ออกอาการ มากกว่าปุถุชนเสียอีก
กามคุณห้าเอ่ย ปฏิฆะเอย ที่สำคัญทิฐิมานะ
พวกนี้แหล่ะมันทำให้มีอาการแบบนั้น เมื่อก่อนเป็นปุถุชน
ยังมีสักกายทิฐิคอยบ่งการให้ ว่าฉันต้องเป็นดนดีในสายตาคนอื่น
และศีลพรตปรามาสอีก คอยกดข่มไว้ว่า ฉันต้องพูดจาอ่อนหวาน
ไม่งั้นเดียวศีลทะลุ ศีลฉีก :b32:


ความเห็นของผม...ว่า...แม้โสดาบันจะละกามราคะ..ปฏิฆะ..ยังไม่ได้...แต่ก็เบาบางลงแล้วละเมื่อเทียบกับปุถุชน


กะลาไปคิดแทนพระอริยะชน เอาความเป็นสังโยชน์เบื้องต้น ไปตัดสินว่าโสดาบันต้อง
เป็นอย่างโน้นอย่างนี้

ความหมายของคำว่า กิเลสเบาบาง มันหมายถึงในสังโยชน์๑๐ ละได้๓
ความเบาบางก็คือ.....๗ใน๑๐ มันไม่ได้หมายถึงละได้๓แล้วสังโยชน์ตัวอื่นจะเบาบางไปด้วย
มันตรงกันข้าม กิเลสสังโยชน์ที่เหลือจะแสดงอาการมากกว่าเก่า
เพราะตามธรรมชาติกิเลสที่หยาบกว่าจะแสดงออกมากกว่ากิเลสที่ละเอียด
และก็เป็นธรรมชาติอีกเหมือนกัน การแสดงออกของอาการก็เพื่อให้อริยชนท่านรู้
เพื่อการเดินมรรค

กบนอกกะลา เขียน:
เช่นกามราคะ..มี....ก็มีอยู่ในศีลของตน..ฆราวาสศีล5 กามราคะก็มีกับเฉพาะคู่ครองของตน...เณร ศีล10. กามราคะก็มีได้กับที่ไม่ขัดในศีลของตนที่ถืออยู่....


เพื่อไม่ให้สับสนอยากให้กะลาทำความเข้าใจเรื่องของกามราคะหน่อยครับ
กามราคะ มันเป็นความยินดียินร้ายอันเกิดขึ้นที่ทวาร๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ความติดใจหรือพอใจใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
เรื่องคู่ครองเป็นเรื่องของภพมันเกิดที่ใจ

เรื่องของศีลก็เช่นกัน ศีลของปุถุชนแตกต่างเป็นคนล่ะความหมายกับศีลของอริยชน
ศีลของปุถุชนมันเป็นข้อห้ามประพฤติปฏิบัติ แต่ศีลของอริยชนเป็นการประพฤติปฏิบัติ

ความสำคัญของศีลอริยชนอยู่ที่จิต นั้นหมายความว่า กระทำด้วยจิตที่เป็นกุศล
ถ้าทำด้วยจิตที่เป็นกุศลแล้ว ก็ไม่ต้องไปคำนึงว่า ชาวบ้านจะมองการกระทำนั้นไปใน
ทางไม่ดี เพราะอริยชนมองแค่กายใจของตน

กบนอกกะลา เขียน:
ผมคิดว่า..อาการยกตนข่มท่าน..เป็นมานะหยาบ...ไม่มีในท่านเพราะ...สักกายทิฏฐิ
อาการแขวะ..ขบ..กัด...ซ้ำซากพร่ำเพรื่อ....ไม่มีในท่าน...เพราะท่านละสีลลัพตปรามาส...


มันต้องแยกให้ออกว่า การยกตนข่มท่าน มันเกิดจากใคร
ถ้าเกิดจากโสดาบัน การแสดงออกของท่านเป็นการแสดงออกเนื่องด้วยท่านติดในกามคุณ๕
นั้นคือไม่พอใจในสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน จึงเกิดทิฐิมานะแสดงออกไป จนชาวบ้านเข้าใจว่า
เป็นการยกตนข่มท่าน

ต้องเข้าด้วยว่า อาการยกตนข่มท่าน มันเป็นเรื่องสักกายทิฐิ
นั้นก็คือการยึดมั่นในกายตนจนเกิดมานะ เปรียบเทียบตัวตนของตนกับคนอื่น

เรื่องมานะมันไม่มีหยาบหรือละเอียด เพียงแต่มันต่างกันที่เหตุปัจจัย
ความหยาบหรือละเอียดคือระดับของสังโยชน์เบื้องต่ำและสูง

อย่างปุถุชนเหตุที่ทำให้เกิดมานะก็เพราะยังยึดติดในสังโยชน์เบื้องต่ำ
มานะซึ่งเป็นสังโยชน์เบื้องสูงเกิดขึ้นเพราะมีสังโยชน์เบื้องต่ำเป็นเหตุ

พระโสดาบันและพระสกิทาคา ก็มีกามราคะและปฏิฆะเป็นเหตุแห่งมานะ

พระอนาคามี ไม่มีเหตุแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ มานะสังโยชน์ท่านเกิดจากผัสสะและเวทนา

อยากจะสรุปให้ฟัง เรื่องการขบกัด แขวะอะไรจำพวกนี้
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ผู้กระทำ เพราะการกระทำเกิดจากใครเราต้องไปดูที่ใจของผู้กระทำ
ไม่ใช่เอาใจเราไปดูการกระทำของคนอื่น
กิเลสมันเกิดที่ใจ มันไม่ได้เกิดที่การกระทำ การที่เราไปดูการกระทำของผู้อื่น
ทั้งๆที่เราไม่รู้เลยว่า ในใจของผู้กระทำเป็นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เป็นใจของผู้มองนั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 03:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แม้อริยบุคคลขั้นต้นคือ โสดาบัน อาการยกตนข่มท่าน พูดดูหมิ่นผู้อื่นซ้ำๆ พรำเพรื่อ ..เห็นผู้เคยต้องปฏิฆะไม่ได้. จะแล่นไปแขวะขบกัดทันที่....ทำไมอาการอย่างนี้จึงไม่มีแก่ท่าน??


นานๆทีคุณกบจะเริ่มประเด็น ผมอยากร่วมด้วย ขอตอบว่า

เพราะท่านมีศีลที่พัฒนาแล้ว

เพราะสติท่านพัฒนาแล้ว

เพราะปกติท่านเหล่านี้มีช่วงหยุดคิดก่อนจะทำอะไร

เพราะมันเหนื่อยเปล่า

เพราะมันไม่คุ้ม

เพราะท่านเหล่านั้นคิดว่าจริงๆตัวเองก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปเท่าไร อารมณ์เหล่านั้นเกิดกับท่านเองเหมือนกัน ต่างกันแค่ท่านควบคุมมันได้แล้วเท่านั้นเอง



ถูกบ้างหรือเปล่าน๊า
:b1:


ไม่ถูกเลยสักนิดครับ ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดท่านเรียกว่าฟุ้งบัญญัติ ปรุงแต่งธรรมะครับ

ความเห็นของคุณมันก็แค่ ยกเอาของสองสิ่งเปรียบเทียบกัน แล้วก็เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก

ความคิดของคุณมันเป็นความคิดของปุถุชน ยึดหลักง่ายๆโดยเอาคุณภาพทางตัวตนมาตัดสิน

แบบนี้ผิดหลักคำสอนของพระพุทธองค์...........
พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เอากิเลสมาตัดสินเปรียบเทียบสถานะของบุคคล :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 03:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
คนธรรมดาๆ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แม้อริยบุคคลขั้นต้นคือ โสดาบัน อาการยกตนข่มท่าน พูดดูหมิ่นผู้อื่นซ้ำๆ พรำเพรื่อ ..เห็นผู้เคยต้องปฏิฆะไม่ได้. จะแล่นไปแขวะขบกัดทันที่....ทำไมอาการอย่างนี้จึงไม่มีแก่ท่าน??


นานๆทีคุณกบจะเริ่มประเด็น ผมอยากร่วมด้วย ขอตอบว่า

เพราะท่านมีศีลที่พัฒนาแล้ว

เพราะสติท่านพัฒนาแล้ว

เพราะปกติท่านเหล่านี้มีช่วงหยุดคิดก่อนจะทำอะไร

เพราะมันเหนื่อยเปล่า

เพราะมันไม่คุ้ม

เพราะท่านเหล่านั้นคิดว่าจริงๆตัวเองก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปเท่าไร อารมณ์เหล่านั้นเกิดกับท่านเองเหมือนกัน ต่างกันแค่ท่านควบคุมมันได้แล้วเท่านั้นเอง



ถูกบ้างหรือเปล่าน๊า
:b1:


ไม่ถูกเลยสักนิดครับ ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดท่านเรียกว่าฟุ้งบัญญัติ ปรุงแต่งธรรมะครับ

ความเห็นของคุณมันก็แค่ ยกเอาของสองสิ่งเปรียบเทียบกัน แล้วก็เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก

ความคิดของคุณมันเป็นความคิดของปุถุชน ยึดหลักง่ายๆโดยเอาคุณภาพทางตัวตนมาตัดสิน

แบบนี้ผิดหลักคำสอนของพระพุทธองค์...........
พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เอากิเลสมาตัดสินเปรียบเทียบสถานะของบุคคล :b13:


:b1:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 23:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
choochu เขียน:
จิตที่ฝึกมาดีแล้ว ย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร ย่อมเกิดปัญญาว่าทำแล้วผลจะเป็นอย่างไร

เมื่อรู้ว่าผลจะไม่ดี ก็รีบดับเหตุเสียก่อน


สติทัน...กิเลส....สาธุ.. :b8:

bbby เขียน:
เราคิดว่า คงจะเห็นความไม่เที่ยงไงล่ะ เพราะทุกสิ่งมีเกิดมีดับ มีการเจอแล้วก็มีการพลัดพราก
ทุกสิ่งทุกอย่างคืออนิจจัง แล้วจะต้องไปยกตนข่มท่านเพื่ออะไร ใช่ม๊ะ :b1: :b41: :b55: :b49:


เกิดนิพพิทาญาณ....เห็นความไม่เป็นสาระ....สาธุ..
:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 64 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 135 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร