วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 21:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 07:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
อ้างคำพูด:
ขอบคุณครับอโศก :b8:

ที่ว่า ตา เห็น รูป เนี่ย เห็นรูปทั้ง 28 รูปเลยหรอ :b1:

:b38:
รูปใดแสดงเฉพาะหน้าเป็นปัจจุบันอารมณ์ ตาเนื้อก็จะเห็นรูปนั้น

แต่ตาใจ หรือตาปัญญานั้น รู้ เห็น รูปทั้ง 28 ทั้งโดยสัญญาและทั้งโดยจินตนาการ ตามคำบอก เล่า สอน ของครูบาอาจารย์ กัลยาณมิตร ครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปที่ตาเห็นได้ ทุกรูป คือ วัณณรูป (กรุณาไปดูรูป28ประกอบ)

แต่...........
วัณณรูปนี้จะเกิดเดี่ยวๆ ไม่ได้
สิ่งที่เห็นใดๆ ก็ตามที่มี วัณณรูปนั้น ต้องมีรูปอื่นประกอบร่วมด้วย อย่างน้อยๆ ก็ 8 รูป คือ

ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา

สรุป อีกทีว่า

ทุกสิ่งที่เราเห็น สิ่งเหล่านั้น ย่อมประกอบด้วยกลุ่มรูป อย่างน้อย 8 รูป เป็นอย่างต่ำ

ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(คือวัณณรูป) กลิ่น รส โอชา

ตามองเห็นได้ แค่สี(วัณณรูป) เท่านั้น รูปอื่นๆ ตามองไม่เห็น แต่มีอยู่ในสิ่งที่มองเห็นนั้น ไม่ใช่ไม่มี

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กล่าวสรุปย่อๆ ไว้ คห. หนึ่งก่อน คือ ในโลกนี้ มีแต่รูปนาม (รูปธรรม กับนามธรรม) เท่านั้น :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กล่าวสรุปย่อๆ ไว้ คห. หนึ่งก่อน คือ ในโลกนี้ มีแต่รูปนาม (รูปธรรม กับนามธรรม) เท่านั้น :b1:


เริ่มปุ๊บเละปั๊บ! :b32:

ไอ้ที่บอกว่ามีแต่ รูปธรรมนามธรรมนั้นน่ะ มันไม่ใช่โลก
แต่มันเป็นดาวเคราะห์แคระ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 11:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กล่าวสรุปย่อๆ ไว้ คห. หนึ่งก่อน คือ ในโลกนี้ มีแต่รูปนาม (รูปธรรม กับนามธรรม) เท่านั้น :b1:


เริ่มปุ๊บเละปั๊บ! :b32:

ไอ้ที่บอกว่ามีแต่ รูปธรรมนามธรรมนั้นน่ะ มันไม่ใช่โลก
แต่มันเป็นดาวเคราะห์แคระ :b9:


หมดทางไป ออกทะเล เลยเกาะสีชังไปแระ ฮี่ๆๆ ม้ายไหวๆ เดาตลอด ไม่มีหลักมีเกณพ์อะไรเลย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ้าโยนเชื้อความฟุ้งซ่านเข้ากองไฟอีก :b32:


อ้างคำพูด:
พระสูตรทั้งหลายมากมาย แสดงแต่เรื่องนามรูป หรือนามธรรม และรูปธรรม ไม่กล่าวถึงสัตว์หรือบุคคลเลย

“ว่าโดยสัจจะ ในโลกนี้ มีแต่นามและรูป (นามธรรม รูปธรรม) ก็และในนามและรูปนั้น สัตว์หรือคน ก็หามีไม่ นามและรูปนี้ว่างเปล่า ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ (สิ่งไมคงตัว) เช่น กับหญ้าและฟืน”

“อาศัยเครื่องไม้ เถาเชือก ดินฉาบ และหญ้ามุง มีช่องแวดล้อม ย่อมเรียกกันว่า เป็นเรือน ฉันใด อาศัยกระดูก เส้นเอ็น เนื้อ หนัง มีช่องแวดล้อม ย่อมเรียกกันว่า เป็นตัวคน (เป็นรูป) ฉันนั้น”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ้าอีก คำถามข้างต้นจะค่อยๆชัดขึ้น


อ้างคำพูด:
“ท่านทั้งหลาย จงดูรูปที่เขาทิ้งแล้ว เมื่อใด อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ละกายนี้ เมื่อนั้น ร่างกายก็ถูกทิ้ง นอน ไร้จิตใจ กลายเป็นอาหารของสัตว์อื่น นี้แหละการสืบต่อ (ชีวิต) ก็อย่างนี้ มันเป็นมายากลหลอกคนโง่ให้เพ้อ ได้บอกแล้วว่า เบญจขันธ์ (ขันธ์ 5 ) เป็นผู้ล่าสังหารอยู่ในตัว จะหาแก่นสารในเบญจขันธ์นี้ย่อมไม่มี”

รูปกายของสัตว์ ย่อมร่วงโรยไป แต่ชื่อและโคตรไม่เสื่อมสลาย”

“ภิกษุทั้งหลาย กายนี้ มิใช่ของพวกเธอ แล้วก็มิใช่ของใครอื่น พึ่งเห็นว่า กรรมเก่านี้เป็นสิ่งที่ที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ถูกจงใจจำนงขึ้นมา หรือมีเจตนาเป็นมูล เป็นที่ตั้งของเวทนา”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอ้าโยนเชื้อความฟุ้งซ่านเข้ากองไฟอีก :b32:


อ้างคำพูด:
พระสูตรทั้งหลายมากมาย แสดงแต่เรื่องนามรูป หรือนามธรรม และรูปธรรม ไม่กล่าวถึงสัตว์หรือบุคคลเลย

“ว่าโดยสัจจะ ในโลกนี้ มีแต่นามและรูป (นามธรรม รูปธรรม) ก็และในนามและรูปนั้น สัตว์หรือคน ก็หามีไม่ นามและรูปนี้ว่างเปล่า ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ (สิ่งไมคงตัว) เช่น กับหญ้าและฟืน”

“อาศัยเครื่องไม้ เถาเชือก ดินฉาบ และหญ้ามุง มีช่องแวดล้อม ย่อมเรียกกันว่า เป็นเรือน ฉันใด อาศัยกระดูก เส้นเอ็น เนื้อ หนัง มีช่องแวดล้อม ย่อมเรียกกันว่า เป็นตัวคน (เป็นรูป) ฉันนั้น”


ว่าแล้วต้องเละ มาฟังและพนมมือด้วย :b32:

ในพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวสอน แบ่งเป็นสามอย่าง
นั้นก็คือ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม
โดยหลักแล้ว พระไตรปิฎกจะเป็นลักษณะพุทธพจน์เป็นสองลักษณะ
น้้นก็คือ บุคคลาธิษฐานเทศนาและธรรมาธิษฐานเทศนา

บุคลาธิษฐานเทศนา เป็นการกล่าวถึงบุคคลสถานที่ ถ้ากล่าวโดยธรรมชาติแล้วมัน
เป็น สมมติสัจจะ ซึ่งบุคคลาธิษฐานฯ จะมีอยู่ในพระวินัยและพระสูตรเป็นบางส่วน

ส่วนธรรมาธิษฐานเทศนา เป็นการกล่าวถึงปรมัตถ์ธรรมโดยเฉพาะ โดยธรรมชาติแล้วมันก็คือ
ปรมัตถ์สัจจะ ซึ่งธรรมมาธิษฐานเทศนา จะมีอยู่ในพระสูตรเป็นบางส่วนและเป็นพระอภิธรรมทั้งหมด

โดยสัจจะที่จริงแท้ รูปธรรมและนามธรรม เป็นธรรมในปรมัตถ์สัจจะ
ที่แสดงถึงเหตุปัจจัยการเกิดดับของสภาวะธรรม
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอ้าอีก คำถามข้างต้นจะค่อยๆชัดขึ้น
อ้างคำพูด:
“ท่านทั้งหลาย จงดูรูปที่เขาทิ้งแล้ว เมื่อใด อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ละกายนี้ เมื่อนั้น ร่างกายก็ถูกทิ้ง นอน ไร้จิตใจ กลายเป็นอาหารของสัตว์อื่น นี้แหละการสืบต่อ (ชีวิต) ก็อย่างนี้ มันเป็นมายากลหลอกคนโง่ให้เพ้อ ได้บอกแล้วว่า เบญจขันธ์ (ขันธ์ 5 ) เป็นผู้ล่าสังหารอยู่ในตัว จะหาแก่นสารในเบญจขันธ์นี้ย่อมไม่มี”

รูปกายของสัตว์ ย่อมร่วงโรยไป แต่ชื่อและโคตรไม่เสื่อมสลาย”

“ภิกษุทั้งหลาย กายนี้ มิใช่ของพวกเธอ แล้วก็มิใช่ของใครอื่น พึ่งเห็นว่า กรรมเก่านี้เป็นสิ่งที่ที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ถูกจงใจจำนงขึ้นมา หรือมีเจตนาเป็นมูล เป็นที่ตั้งของเวทนา”


เอาแล้วไปไม่ถูกเริ่มมั่วแล้ว พูดเหมือนเมาน้ำข้าวแบบนี้
จะดูซิหาทางลงอย่างไร....อย่าลืม ประเด็นกระทู้ซะล่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอ้าอีก คำถามข้างต้นจะค่อยๆชัดขึ้น
อ้างคำพูด:
“ท่านทั้งหลาย จงดูรูปที่เขาทิ้งแล้ว เมื่อใด อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ละกายนี้ เมื่อนั้น ร่างกายก็ถูกทิ้ง นอน ไร้จิตใจ กลายเป็นอาหารของสัตว์อื่น นี้แหละการสืบต่อ (ชีวิต) ก็อย่างนี้ มันเป็นมายากลหลอกคนโง่ให้เพ้อ ได้บอกแล้วว่า เบญจขันธ์ (ขันธ์ 5 ) เป็นผู้ล่าสังหารอยู่ในตัว จะหาแก่นสารในเบญจขันธ์นี้ย่อมไม่มี”

รูปกายของสัตว์ ย่อมร่วงโรยไป แต่ชื่อและโคตรไม่เสื่อมสลาย”

“ภิกษุทั้งหลาย กายนี้ มิใช่ของพวกเธอ แล้วก็มิใช่ของใครอื่น พึ่งเห็นว่า กรรมเก่านี้เป็นสิ่งที่ที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ถูกจงใจจำนงขึ้นมา หรือมีเจตนาเป็นมูล เป็นที่ตั้งของเวทนา”


เอาแล้วไปไม่ถูกเริ่มมั่วแล้ว พูดเหมือนเมาน้ำข้าวแบบนี้
จะดูซิหาทางลงอย่างไร....อย่าลืม ประเด็นกระทู้ซะล่ะ :b32:

ในเมื่อพี่กรัชกาย ยกพระสูตรนี้มาให้อ่าน ขอเปลี่ยนจากที่คุนน้องตอบไปมะกี้ ว่า กาย ร่างกาย รูป(มีวิญญาณครอง) ที่พี่กรัชกายต้องการให้ทุกคนทำความเข้าใจ คุนน้องขอให้ทุกท่านทำความเข้าใจใหม่ จากพระสูตรที่ยกมา :b1:
รูปกายของสัตว์ ประเด็นเลยเถิดออกไปจาก คนแล้วหละ :b32:
แต่ที่บอกว่า ร่างกายถูกทิ้งไร้จิตใจ กลายเป็นอาหารสัตว์ หมายถึงซากของสัตว์(ไม่มีวิญญาณครองแล้ว)(และประโยคนี้พระองค์เจาะจงที่ร่างกายมนุษย์ไร้วิญญาณครองเพราะว่า "ท่านทั้งหลายจงดูรูปที่เขาทิ้ง เมื่อ ใด อายุ ไออุ่น และวิญญาณละกายนี้")
และพิจารณาประโยคนี้
กายนี้ มิใช่ของพวกเธอ แล้วก็มิใช่ของใครอื่น พึ่งเห็นว่า กรรมเก่านี้เป็นสิ่งที่ที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ถูกจงใจจำนงขึ้นมา หรือมีเจตนาเป็นมูล เป็นที่ตั้งของเวทนา
พระพุทธองค์ต้องการบอกให้รู้ถึง กายของสัตว์ทั้งหลาย(ไม่ใช่แต่มนุษย์นะเออสังเกตุประโยคกรรมเก่านี้ที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ถุกจงใจจำนงขึ้นมาหรือมีเจตนาเป็นมูล เป็นที่ตั้งของเวทนา)

แต่ถ้าพูดถึงว่า กาย ร่างกาย รูป (มีวิญญาณครอง) ต้องหมายถึง มนุษย์ เพราะสัตว์ไม่ได้ใช้คำว่าร่างกายหรอกนะ เพราะพุทะองค์ใช้คำว่ากาย กายนี้ มิใช่ของพวกเธอ แล้วก็มิใช่ของใครอื่น พึ่งเห็นว่า กรรมเก่านี้เป็นสิ่งที่ที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ถูกจงใจจำนงขึ้นมา หรือมีเจตนาเป็นมูล เป็นที่ตั้งของเวทนา หมายถึงสัตว์ทั้งหลายไม่ใช่แค่มนุษย์
ปล.สงสัยคุนน้องคงจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจริงๆ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้สังเกตเฉพาะ รูปธรรม - รูป, ร่างกาย, กาย อย่างเีดียวก่อน แค่ร่างกาย กาย รูป ก็ทำเอาปั่นป่วนไปหมดแล้ว คิกๆ อย่าเพิ่งมองเลยไปนามธรรม (จิตใจ) เดี๋ยวไข้ขึ้นนะ


ดูต่อก่อนสรุปกระทู้อีกหน่อย


พระวักกลิ: ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นเวลานานนักแล้ว ข้าพระองค์ปรารถนาจะไปเฝ้า เพื่อจะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ร่างกายของข้าพระองค์ ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะไปเฝ้าเห็นองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้

พระพุทธเจ้า: อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเน่าเปื่อยนี้ เธอเห็นไป จะมีประโยชน์อะไร ดูกร วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมนั่นแหละ วักกลิ จึงจะชื่อว่าเห็นเรา เมื่อเห็นเรา ก็คือเห็นธรรม”


(นี้ใช้คำว่า “กาย” แทน รูป ที่ในเบญจขันธ์นั่นแหละ)


กายก็แตกทำลายแล้ว สัญญาก็ดับแล้ว เวทนาก็เย็นหมดแล้ว สังขารก็สงบแล้ว วิญญาณก็ถึงอัสดง”


“หงส์ก็ดี นกกระเรียนก็ดี นกยูงก็ดี ช้างก็ดี เนื้อฟานทั้งหลายก็ดี ย่อมกลัวราชสีห์ทั้งนั้น จะวัดที่ร่างกายไม่ได้ ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ถึงแม้เป็นเด็ก ถ้ามีปัญญา ก็นับว่าผู้ใหญ่ แต่ถ้าเขลา ถึงร่างกายจะใหญ่โต ก็หาเป็นผู้ใหญ่ไม่”


”ภิกษุทั้งหลาย ร่างกายนี้ ดำรงอยู่ด้วยอาหาร อาศัยอาหารจึงดำรงอยู่ได้ ไม่มีอาหาร หาดำรงอยู่ได้ไม่ ฉันใด นิวรณ์ ๕ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ดำรงอยู่ด้วยอาหาร อาศัยอาหารจึงดำรงอยู่ได้ ไม่มีอาหาร หาดำรงอยู่ได้ไม่ อะไรเล่าคืออาหาร ...ก็คือการกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ....


”ภิกษุทั้งหลาย ร่างกายนี้ ดำรงอยู่ด้วยอาหาร อาศัยอาหารจึงดำรงอยู่ได้ ไม่มีอาหาร หาดำรงอยู่ได้ไม่ ฉันใด โพชฌงค์ ๗ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ดำรงอยู่ด้วยอาหาร อาศัยอาหารจึงดำรงอยู่ได้ ไม่มีอาหาร หาดำรงอยู่ได้ไม่ อะไรเล่าคืออาหาร ...ก็คือการกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ....”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะให้ดู ร่างกาย อีกแห่งหนึ่ง คือที่พระสารีบุตรสนทนากับคฤหบดีซึ่งอายุมากแล้วคนหนึ่ง ที่เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ฟัง ก็สบายอกสบายใจยิ้มแย้มแจ่มใสกลับ (ให้ดูคำว่า ร่างกาย, กาย)



พระสารีบุตร: แน่ะคฤหบดี อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านก็บริสุทธิ์เปล่งปลั่ง วันนี้ ท่านได้ฟังธรรมมิกถา ในที่เฉพาะหน้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหรือ?

คฤหบดีนกุลบิดา: พระคุณเจ้าผู้เจริญ ไฉนจะไม่เป็นเช่นนั้นเล่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า หลั่งน้ำอมฤตรดข้าพเจ้าแล้วด้วยธรรมมิกถา


พระสารีบุตร: พระผู้มีพระภาคเจ้า หลั่งน้ำอมฤตรดท่าน ด้วยธรรมมิกถา อย่างไร?

คฤหบดี: พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค.....ได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ชราแล้ว เป็นคนแก่เฒ่า ล่วงกาลผ่านวัยมานาน ร่างกายก็มีโรคเร้ารุม เจ็บป่วยอยู่เนื่องๆ อนึ่งเล่า ข้าพระองค์มิได้มีโอกาส เห็นพระผู้มีพระภาค และพระภิกษุทั้งหลาย ผู้ช่วยให้เจริญใจอยู่เป็นนิตย์ ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดสั่งสอนข้าพระองค์ ในข้อธรรมที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ชั่วกาลนาน

พระพุทธเจ้า: “ถูกแล้ว ท่านคฤหบดี เป็นเช่นนั้น อันร่างกายนี้ ย่อมมีโรครุมเร้า ดุจดังว่าฟองไข่ ซึ่งผิวเปลือกห่อหุ้มไว้ ก็ผู้ใดที่บริหารร่างกายนี้อยู่ จะยืนยันว่าตนไม่มีโรคเลย แม้ชั่วครู่หนึ่ง จะมีอะไรเล่านอกจากความเขลา เพราะเหตุฉะนี้แล ท่านคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกว่า ถึงแม้กายของเราจะมีโรครุมเร้า แต่ใจของเราจะไม่มีโรครุมเร้าเลย”

พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า หลั่งน้ำอมฤตรดข้าพเจ้า ด้วยธรรมมิกถา ดังนี้แล.



(ว่าตามภาษาพระ ชีวิตนี้ มีเพียงร่างกาย กับ จิตใจเอง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 18:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ ซึ่งคิดภาพพระอรหันต์ผิดเพี้ยนไป คห.ข้างบน หวังว่า คงเข้าใจพระอรหันต์ถูกสะทีนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกายอีก


“ถ้าภิกษุปราศจากนิวรณ์ ๕ และได้เริ่มทำความเพียรไม่ย่อหย่อน มีสติกำกับอยู่ ไม่เลือนหลง กายผ่อนคลายสงบ ไม่เครียดกระสับกระส่าย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์หนึ่งเดียว ไม่ว่าเธอจะเที่ยวไปอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม นั่งอยู่ก็ตาม นอนตื่นอยู่ก็ตาม ก็เรียกได้ว่า เป็นเป็นผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ ได้เริ่มระดมความเพียรต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเป็นผู้อุทิศตัวเด็ดเดี่ยวแล้ว”


“ผู้เธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อมีใจปีติ กาย ย่อมผ่อนคลายสงบ ผู้มีกายผ่อนคลายสงบ ย่อมได้เสวยสุข ผู้มีสุข จิตย่อมตั้งมั่น”


(สังเกตความหมาย สมมติ)


“เพราะคุมส่วนประกอบทั้งหลายเข้าด้วยกัน จึงมีศัพท์ว่า “รถ” ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลาย มีอยู่ สมมติ ว่า “สัตว์” จึงมี ฉันนั้น”


(สังเกตรูปที่เห็นด้วยตา ท่านไม่ได้จำแนกลึกลงถึง 28 รูป)

“สารีบุตร แม้รูปที่เห็นได้ด้วยตา เราก็กล่าวเป็น ๒ อย่าง คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี คำที่ว่านี้ เรากล่าว โดยอาศัยเหตุผลอะไร ?

เมื่อเสพรูปที่รู้ได้ด้วยตา อย่างใด อกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเจริญขึ้น กุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเสื่อมหาย รูปที่รู้ได้ด้วยตา อย่างนี้ ไม่ควรเสพ เมื่อเสพรูปที่รู้ได้ด้วยตาอย่างใด อกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเสื่อมหาย กุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเจริญขึ้น รูปที่รู้ได้ด้วยตาอย่างนี้ ควรเสพ ….

“สารีบุตร แม้เสียง...แม้กลิ่น...แม้รส...แม้สิ่งต้องกาย....แม้ธรรมารมณ์ที่ได้ด้วยใจ เรากล่าวเป็น ๒ อย่าง คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอมองเห็นภาพ กาย, ร่างกาย, รูป, แล้ว ทีนี้โยน “กาย” ใน กายานุปัสสนา ซึ่งเป็นภาคปฏิบัติให้ดู (ไม่ขีดเส้นใต้แล้วสังเกตเอง)



“ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายใน (= ของตนเอง) อยู่บ้าง พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอก (= ของคนอื่น) อยู่บ้าง พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกอยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกาย อยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมสิ้นไปในกาย อยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไปในกาย อยู่บ้าง


“ก็แล เธอมีสติดำรงอยู่ต่อหน้าว่า “มีกายอยู่” เพียงแค่เพื่อความรู้ เพียงแค่เพื่อความระลึก แลเธอเป็นอยู่อย่างไม่อิงอาศัย ไม่ถือมั่นสิ่งใดๆในโลก”

กาเย กายานุปสฺสี แปลว่า “พิจารณาเห็นกายในกาย” ....ความหมายข้อความนี้ก็คือ มองเห็นโดยรู้เข้าใจความจริงทุกขณะ หรือตลอดเวลา เห็นกายในกายคือ มองเห็นในกายว่าเป็นกาย หมายความว่า มองเห็นกายตามสภาวะ ซึ่งเป็นที่ประชุมหรือประกอบกันเข้าแห่งส่วนประกอบ คืออวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆ เห็นตรงความจริง และเห็นแค่ที่เป็นจริง ไม่ใช่มองเห็นกาย เป็น เขา เป็น เรา เป็นนายนั่น นางนี่ เป็นของฉัน ของคนนั้นคนนี้ หรือในผม ในขน ในหน้าตา เห็นเป็นชายนั่น หญิงนี้ เป็นต้น


เป็นอันว่า เห็นตรงตามความจริง ตรงตามสภาวะ ให้สิ่งที่ดู ตรงกันกับสิ่งที่เห็น คือดูกาย ก็เห็นกาย ไม่ใช่ดูกาย ไพล่ไปเห็นนาย ก. บ้าง ดูกาย ไพล่ไปเห็นคนชัง บ้าง ดูกาย ไพล่ไปเห็นของชอบ อยากชม บ้าง เป็นต้น เข้าคติคำของโบราณาจารย์ว่า “สิ่งที่ดู มองไม่เห็น ไพล่ไปเห็นสิ่งที่ไม่ได้ดู เมือไม่เห็น ก็หลงติดกับ เมื่อติดอยู่ ก็พ้นไปไม่ได้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 116 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร