วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 23:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การได้มาซึ่งญาน เราจะต้องปฏิบัติด้วยวิธีการทำ สมถะและวิปัสนาควบคู่กันไป

การทำฌานไม่ใช่หนทางแห่งญาน ผู้ที่ทำฌานจะได้มาซึ่งญานนั้น จะต้องเปลี่ยนฌานให้
มาเป็นวิปัสสนาเสียก่อน จึงจะสามารถเห็นญานได้

การที่จขกทบอกว่า......มีสังขารุเปกขาญาณหรือฌาณ4 แบบนี้แสดงให้เห็นว่า
สิ่งที่จขกทพูดมาทั้งหมด เกิดจากจินตนาการ อาจจะเป็นผลข้างเคียงของการ
ทำกรรมฐานที่ผิดหลัก ทำให้เกิด ..อธิโมกข์ นั้นคือจขกทจินตนาการปรุงแต่งไป
แล้วก็หลงว่า สิ่งที่เกิดกับตนเป็นสังขารุเปกขาญาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย (ชื่อที่บัญญัติขึ้นตามที่ตกลง (สมมติ) ไว้กับลานธรรมจักร :b1: ) พูดอะไรต้องมีหลักฐานประกอบคำพูดเสมอ ไม่จากตำราทางศาสนา ก็เอามาจากการลงมือทำหรือปฏิบัติกันจริง ๆ คือจากประสบการณ์จริง จะไม่พูดลอยๆ

วิปัสสนาญาณ 9 ดังกล่าวข้างต้น อ่านดูเหมือนสะดวกโยธิน แต่เปลาเลย ยังมีสภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิตนี้มากมายที่ต้องเรียนรู้ หรือต้องฟันฝ่าหรือต้องกำจัดออกไป จนเหลือแต่ความรู้ล้วนๆ

สภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตก็ตัวอย่า่งเป็นต้นนี้


อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่นั่งสมาธิ หนูนั่งสมาธิแบบยุบหนอ-พองหนอค่ะ รู้สึกว่ามีอาการตัวโยกเอน (เป็นอยู่บ่อยๆค่ะ) ตัวหมุน ตัวพองออกจนรู้สึกว่ามือมันคลี่ออกจากกัน แล้วสักครู่ก้อลอยขึ้น หนูตกใจก้อเลยลืมตา

แล้วก้อตัดสินใจนั่งต่อค่ะ เกิดอาการเดิมๆ สลับกัน หมุนบ้าง คอผงกบ้าง ส่ายหน้าบ้าง ในบางช่วงเกิดอาการเหมือนหน้าหายไปแทบหนึ่ง ปากแน่น ตึงเหมือนจะพูดไม่ได้ แล้วมือที่ซ้ายทับขวาไว้ ก้อเลื่อนออกจากกัน เลื่อนออก แล้วก้อเลื่อนเข้า มีความรู้สึกว่า นิ้วถูกกดให้เล็กลง ตัวแยกออก (คือมันเป็นความรู้สึกค่ะ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เห็นเป็นภาพว่าตัวเองแยกถูกฉีกอ่ะค่ะ แต่จะว่าเห็นก้อไม่เชิง มันเหมือนคิดนะค่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน -*-) ต่อมาก้อมีอาการปากเหมือนดูดลม เบ้ปาก บีบปาก รู้สึกว่าฟันงอก สกปรก(ไม่รู้คิดไปเองหรือยังไง สับสนเหมือนกันค่ะ เพราะช่วงนี้อ่านอาการพวก อสุภะบ้าง ตอนที่คิดว่าเหมือนคนแก่ เลยท่องๆในใจว่า ไม่เที่ยง แต่รู้สึกว่าตัวเองทำมั่วๆอ่ะค่ะแล้วก้อหยุด อาการเหล่านี้เป็นติดต่อกันบ้าง สลับกับพองยุบบ้าง นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนสุดท้าย มีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาและเอว กำหนดปวดหนอแล้วก้อยังไม่หาย (ปกติกำหนดแปปเดียวก้อหาย แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดเวทนาค่ะ) ก้อเลยออกจากสมาธิในที่สุด

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ คืนก่อนๆหน้านี้ค่ะ จิตมีอาการดิ่งวูบ แล้วก้อสว่าง แต่ว่าแปปเดียวค่ะ ทำยังไงถึงจะทรงไว้ได้นาน หรือว่าควรทำยังไงค่ะ แล้วหนูก็ไม่เข้าใจอีกเรื่อง คือเวลานอนหลับไปแล้ว หรือระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เคยมีอาการตัวลอย หรือไม่ก้อเกิดอาการ ชาๆ วูบๆทั่วตัว บ้างก้อเหมือนจะคลื่นไส้ บางทีที่เกิดหนูก้อไม่ได้ภาวนาแบบนอนนะค่ะ ก็หลับไปเฉยนี่แหละค่ะ

หนูสับสนมาก ว่าต้องทำยังไงต่อ อาการเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าค่ะ รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะค่ะ หนูฝึกเองอยู่บ้านค่ะ ก่อนหน้านี้ไปฝึกที่คุณแม่สิริค่ะ รบกวนด้วยค่ะ


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้มาดูปัญหา (สภาวะทุกข์) ซึ่งติดมากับชีวิต (คน) กว้างๆยาวๆสักหน่อยดูบ้าง


อ้างคำพูด:
วิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน - ประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้จากชีวิตนี้

ความสุขที่ไม่ต้องหา


เมื่อมองกว้างๆ มนุษย์ยอมรับความจริงว่า พวกตนผจญปัญหาทั้งในระดับสังคมและในระดับบุคคล และถ้ามองเจาะลึกลงไปถึงขั้นพื้นฐาน ก็จะพบว่า ปัญหาของมนุษย์ทั้งในระดับสังคมและในระดับ ก็มาจากความจริงอันเดียวกัน คือการที่ชีวิตของมนุษย์นั้นโดยธรรมชาติ เป็นที่ตั้งของปัญหา จะใช้คำว่า มีศักยภาพที่จะทำให้เกิดปัญหา หรือว่าไม่ปลอดพ้นจากปัญหา ก็ไ้ด้ทั้งนั้น

ปัญหาชีวิตของมนุษย์นั้น มีต่างๆ มากมาย เมื่อพูดตามความรู้สึกให้เข้าใจได้ง่าย ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับดี - ชั่ว หรือ ดี - ร้าย และสุข - ทุกข์ ถ้าพูดรวบรัดลงไปอีก ก็รวมลงในคำเดียวคือ ทุกข์ อย่างคำพูดที่แสดงความรู้สึกเด่นชัดออกมาว่า มีชีวิตอยู่เพื่อหาความสุข ก็เป็นการบ่งถึงทุกข์อยู่ในตัว คือบอกว่าจะหนีออกจากความทุกข์ ไปหาความสุข และทุกข์นั้นยังอาจส่งผลเกี่ยวข้องถึงความดี ความชั่ว และสุขทุกข์ ต่อไปอีกหลายชั้นด้วย


ที่พูดมานี้ ยังอ้อมค้อมนิดหน่อย ถ้าจะให้ชัด ก็พูดตรงไปที่ความจริงขั้นพื้นฐานกันเลย คือเป็นหลักความจริงง่ายๆว่า ทุกข์เป็นสภาวะด้านหนึ่งของชีวิต หรือว่าชีวิตนี้มีทุกข์เป็นสภาวะด้านหนึ่งของมัน หมายความว่า เป็นธรรมดาตามธรรมชาติของชีวิตนั่นเอง ที่เป็นสังขาร ซึ่งเกิดมีเป็นไปโดยขึ้นต่อเหตุปัจจัยหลายหลาย ไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่คงทน แปรปรวนเรื่อยไป ไม่มี ไม่เป็นตัวตนของมันเองอย่างแท้จริง เช่น จะให้คงอยู่หรือเป็นไปอย่างที่ใจปรารถนาไม่ได้ ต้องว่ากันไปตามเหตุปัจจัย พูดสั้นๆ นี่ก็คือมันเป็นทุกข์


เมื่อประมวลให้เห็นง่าย ทุกข์ที่เป็นพื้นฐานตามสภาวะของชีวิต ก็พูดรวบรัดด้วยคำว่า ชรา มรณะ หรือ แก่ และตาย หรือ เสื่อมโทรม และแตกสลาย แล้วจากทุกข์ตามสภาวะนี้ ก็ตามมาด้วยทุกข์ที่เป็นความรู้สึกต่างๆ เช่น ความโศกเศร้า ความคับแค้น ความเสียใจ ความพิไรรำพรรณ


ในเมื่อตามสภาวะ ชีวิตมีทุกข์เป็นธรรมชาติพื้นฐานของมันอยู่แล้ว การที่จะแก้ปัญหาดับสลายคลายทุกข์ และการที่จะมีความสุขได้ คนก็ต้องมีจิตใจที่มั่นคงในการอยู่กับความจริง เริ่มด้วยจัดการให้ชีวิตของตนลงตัวกันไ้้ด้กับความทุกข์พื้นฐานนั้น โดยมีปัญญาที่ทำให้จิตเป็นอิสระจากทุกข์พื้นฐานนั้น หรือให้ใจอยู่กับมันได้สบายๆอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าทำถึงขั้นนั้นไม่ได้ ก็ให้ใจอยู่กับมันด้วยปัญญาที่รู้เท่าทัน วางใจวางท่าที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ยอมรับความจริง สู้หน้า เผชิญหน้าความจริงได้ด้วยปัญญาที่รู้เท่าทันความจริงนั้น


ถ้าคนมีใจที่มั่นคงการอยู่กับความจริงไม่ได้ ถ้าเขาไม่มีปัญญาจัดการให้ชีวิตของตนลงตัวกันได้กับความทุกข์พื้นฐานนั้น ก็กลายเป็นว่า เขาปล่อยให้ทุกข์พื้นฐานนั้นกลายเป็นปมปัญหาที่แฝงซ่อนอยู่ในตัวเขาเองแล้วเขาก็จะมีชีวิตอยู่แบบปิดกลบปัญหา บังตาจากความทุกข์ และหลอกตัวเอง ปล่อยให้ปมที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นก่อปัญหาซ้อนขึ้นมาไม่รู้จบสิ้น


มนุษย์บอกว่าตนปรารถนาความสุข ไม่ต้องการความทุกข์ แต่แล้วมนุษย์ก็ประสบปัญหาจากวิธีที่จะเข้าถึงความสุขของเขาเอง แทนที่จะแก้ทุกข์ สร้างสุข เขาหนีทุกข์ หาสุข ทุกข์พื้นฐานที่มีแน่ แต่ไม่แก้ เมื่อปล่อยไว้ ก็เลยกลายเป็นปม แล้วก็ก่อปัญหาซ้อนหลังเรื่อยไป แทนที่จะหมดหรือแม้แต่ลดทุกข์ ก็ยิ่งทวีทุกข์ซับซ้อนทั้งข้างในตัว และออกไปปะทะกระทบข้างนอก


สำหรับมนุษย์ที่ปิดกลบทุกข์ ซ่อนปมปัญหาไว้ข้างในตัวเองนี้ เริ่มแรก การหาความสุขก็แสดงอยู่ในตัวถึงความขาดแคลนบอกพร่อง ความบีบคั้นกระวนกระวาย หรือภาวะไร้ความสุขอยู่ภายใน ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่ามีทุกข์ จากนั้น จึงผลักดันให้ต้องออกมาสวงหาสิ่งที่จะเอามาเติมให้เต็มหายขาดแคลนบกพร่อง หรือเอามาระงับดับคลายความบีบคั้นกระวนกระวายนั้น และในการแสวงหาเช่นนี้ ก็ปรากฎความขัดแย้งเบียดเบียนกันขึ้น เกิดปัญหาเกี่ยวกับความดีความชั่ว และความสุขความทุกข์ในระหว่างมนุษย์พอกพูนขยายวงกว้างขวางออกไป


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


อ้างคำพูด:
มองอีกด้านหนึ่ง ปัญหาเกิดจากมนุษย์มีทุกข์อยู่แล้ว แต่่แก้ไขทุกข์ไม่ถูกต้อง จึงระบายทุกข์นั้นออกไป ทำให้ทุกข์กระจาย เพิ่มขยายปัญหาทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ด้วยความเป็นไปเช่นนี้ ทุกข์ที่เป็นสภาวะติดเนื่องมากับความเป็นสังขารของชีวิต หรือทุกข์ตามธรรมดาของธรรมชาติ แทนที่่จะถูกแก้ไข กลับถูกละเลยมองข้าม หรือปิดกลบไว้เสีย แล้วสุขทุกข์ และปัญหาต่างๆ ชนิดที่เกิดจากฝีมือเสกสรรค์ผันพิสดารของมนุษย์ ก็เกิดประดังพรั่งพรูวิจิตรนานัปการ จนแทบจะบดบังให้มนุษย์ลืมปัญหาพื้นฐานของชีวิตเสียทีเดียว


บางคราว มนุษย์เองยังติดหลงไปด้วยซ้ำว่า หากลืมมองปัญหาพื้นฐานของชีวิตนั้นเสียได้ ก็จะสามมารถหลุดพ้นไปจากความทุกข์ และชีวิตก็จะมีความสุข แต่ความจริงยังคงยืนยันอยู่ว่า ตราบใด มนุษย์ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาพื้นฐานแห่งชีวิตของตน ยังวางตัววางใจที่ลงไม่ได้กับทุกข์ถึงขั้นตัวสภาวะ ตราบนั้น มนุษย์ก็จะยังแก้ปัญหาไม่สำเร็จ ยังหลีกไม่พ้นการตามรังควานของทุกข์ ไม่ว่าจะพบสุขขนาดไหน และจะยังไม่ประสบความสุขที่แ้ท้จริง ซึ่งเต็มเอิ่ม สมบูรณ์ในตัว และจบบริบูรณ์ลงที่ความพึงพอใจอย่างไม่่คืนคลายไม่กลับกลาย


ซ้ำร้าย ทุกข์พื้นฐานที่หลบเลี่ยงและยังไม่ได้แก้นั้น กลับจะกลายเป็นเงื่อนปมซ้อนอยู่เบื้องหลัง คอยส่งอิทธิพลออกมาบีบคั้นรุนเร้าให้การแสวงหาและเสวยสุขต่างๆ เป็นไปอย่างเร่าร้อนกระวนกระวาย ไม่รู้จักเต็มอิ่ม และไม่มีความแน่ใจจริง ขาดความมั่นใจที่่โปร่งโล่ง พร้อมทั้งส่งผลในทางจริยธรรมเกี่ยวกับความดี ความชั่ว เช่น เพิ่มทวีการแย่งชิงเบียดเบียน ให้แพร่หลายและรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย พูดอีกนัยหนึ่งว่า สร้างความกดดันให้ทุกข์แฝงขยายตัวเพิ่มขีดระดับสูงตามขึ้นไป


การดำเนินชีวิต ก็คือ ความพยายามที่จะแก้ปัญหาของชีวิต หรือการหาทางปลดเปลื้องไถ่ถอนทุกข์ แต่ถ้าไม่่รู้วิธีแก้ไขหรือวิธีปลดเปลื้องไถ่ถอนที่่ถูกต้อง การแก้ปัญหา ก็กลายเป็นการเพิ่มปัญหา การปลอดเปลื้องไถ่ถอนทุกข์ ก็กลายเป็นการสะสมสมทุกข์ ยิ่งพยายามดำเนินไป ปัญหาหรือทุกข์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น กลายเป็นวงจร และเป็นวงจรที่ยิ่งหนายิ่งเข้มเข้นยิ่งซับซ้อนขึ้นทุกที เรียกโดยภาพพจน์ว่าเป็นวังวนแห่งปัญหา และการเวียนว่ายอยู่ในทุกข์ สภาพเช่นนี้ คือ ความเป็นไปแ่ห่งกระบวนธรรมแบบสังสารวัฏฏ์ (วังวนแห่งการเวียนว่ายอยู่ในทุกข์) ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในหลักปฏิจจสมุปบาทฝ่ายสมุทยวาร หรืออนุโลมปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นว่า ปัญหาหรือความทุกข์ของมนุษย์เกิดขึ้นตามกระบวนการแห่งเหตุและผลอย่างไร



ถ้ามนุษย์อยู่กับความเป็นจริง รู้เข้าใจทุกข์ตามสภาวะของมัน ไม่ซ่อนปัญหา ไม่ปิดตา ไม่หลอกตัวเอง มีใจลงตัวกับทุกข์นั้นตามที่มันเป็นของมันได้ นอกจากว่าเขาจะไม่มีปมซ้อนข้างในที่จะก่อปัญหาใหม่ที่จะขยายปัญหาเก่าแล้ว ปัญญาที่เขามีเป็นพื้นฐานนั้น ก็จะพัฒนาขึ้นไป มาปลดปล่อยจิตใจของเขาให้เป็นอิสระแม้แต่จากทุกข์ที่เป็นสภาวะพื้นฐานของชีวิตด้วย โดยที่ว่า ทุกข์ที่มีเป็นสภาวะตามธรรมดาของมันในธรรมชาติ ก็เป็นเพียงทุกข์ของธรรมชาติตามธรรมดาของมันไป ไม่มีผลที่จะก่อปัญหาทำให้เกิดเป็นทุกข์ขึ้นในจิตใจของเขา



ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ในระหว่างที่ยังไม่เป็นอิสระสิ้นเชิง เมื่อไม่มีเงื่อนปมของปัญหาจากทุกข์ที่บังตาไว้นั่่น เขาจะเสวยความสุขได ก็เสวยได้เต็มอิ่มสมบูรณ์ตามสภาวะที่มีที่เป็นของมันนั้น และพร้อมกันนั้น โอกาสก็เปิดให้ในการที่คนจะพัฒนาความสุขขั้นต่างๆ ได้มากมาย มีความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้น สุขที่เป็นอิสระมากขึ้น สุขที่เต็มอิ่มมากขึ้น ความสุขที่สมบูรณ์ปลอดมลพิษมากขึ้น ความสุขสัมพัทธ์ที่โปร่งโล่งมากขึ้นไปตามลำดับ จนถึงความสุขที่ไร้ทุกข์แท้จริง หนทางแห่งความสุขเปิดกว้างเต็มที่ ไม่มีกรอบกั้นหรือขีดคั่นที่จะจำกัดใดๆ


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้เห็นสภาวะทุกข์ กับวิธีกำจัดทุกข์บ้าง ต่ออีกหน่อย


อ้างคำพูด:
ว่าโดยหลักพื้นฐาน พระพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทสมุทยวาร อันเป็นที่มาของปัญหาหรือความทุกข์แล้ว ก็มิได้หยุดอยู่เพียงนั้น แต่ได้แสดงปฏิจจสมบุปบาทนิโรธวาร อันเป็นกระบวนธรรมฝ่ายวิวัฏฏ์ คือฝ่ายดับทุกข์ หรือแก้ไขปัญหาต่อไปอีกด้วย เป็นการชี้ให้เห็นว่า ทุกข์หรือปัญหาของมนุษย์เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ และแสดงวิธีแก้ไขไว้ด้วย

ยิ่งกว่านั้น ยังทรงชี้ต่อไปถึงภาวะที่เลิศล้ำสมบูรณ์ ซึ่งมนุษย์สามารถมีชีวิตที่ดีงามและเป็นสุขแท้จริงได้โดยไม่ต้องฝากตัวขึ้นต่อปัจจัยภายนอก ไม่ต้องเอาสุขทุกข์ของตนไปพิงไว้กับสิ่งทั้งหลายที่เป็นสังขารให้สิ่งเหล่านั้นกำหนด ซึ่งสิ่งเหล่านั้นแม้แต่ตัวมันเองก็ทรงเอาไว้ไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปช่วยรับพิงรับยันให้ใครทรงแสดงให้เห็นว่า ภาวะเช่นนี้มีอยู่ และเป็นไปได้ ภาวะนั้นเป็นสิ่งที่ให้เกิดคุณค่าและความหมายแก่ชีวิตได้อย่างแท้จริง เพราะทำให้ชีวิตเป็นอิสระ เป็นไทแก่ตัว ไม่ต้องขึ้นกับสิ่งภายนอก

ทั้งนี้ ต่างกับภาวะอย่างอื่นภายนอก เช่น ความสุข เป็นต้น ที่มนุษย์แสวงหากันอยู่ ซึ่งเมื่อมนุษย์รับเอาคุณค่าและควาหมมายจากมัน มันก็ทำให้ชีวิตของมนุษย์สูญเลียคุณค่าหมดความหมายไปด้วย เพระามันเองไม่มีคุณค่าและความหมายที่จะเป้นหลักให้แก่ไใคร ด้วยว่าตัวมันเองก็ขึ้นกับสิ่งอื่นๆ ต่อๆไป อย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ความเป็นอิสระความเป็นไทของมนุษย์หลุดออกไปอยู่ในกำกับของมัน


แม้ว่าในเบื้องต้น มนุษย์จะยังไม่สามารถเข้าถึงภาวะวิวัฏฏ์นี้ได้โดยสมบูรณ์ แต่เมื่อเริ่มต้นดำเนินชีวิตตามวิถีทางแห่งการแก้ปัญหาที่ถูกต้องนี้แล้ว เมื่อสามารถตัดทอนกำลังของกระบวนธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาทสมุทยวาร และเสริมกำลังกระบวนธรรมตามแนวปฏิจจสมุปบาทนิโรธวารได้มากขึ้นเท่าใด ก็จะสามารถแก้ไขปัญหา เหินห่างจากทุกข์ และมีชีวิตที่ดีงามไ้ด้มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้น ยังจะทำให้สามารถเสวยสุขแบบเสพโลกได้อย่างรู้เท่าทัน ไม่สยบ ไม่ตกเป็นทาส ไม่่ถูกกระแสความผันผวนของมันทำร้ายเอา ไม่เป็นเหตุก่อทุกข์หรือปัญหาทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น และยังจะช่วยให้มีชีวิตที่เกื้อกูลแก่กันในสังคมมากขึ้นตามลำดับอีกด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย (ชื่อที่บัญญัติขึ้นตามที่ตกลง (สมมติ) ไว้กับลานธรรมจักร :b1: ) พูดอะไรต้องมีหลักฐานประกอบคำพูดเสมอ ไม่จากตำราทางศาสนา ก็เอามาจากการลงมือทำหรือปฏิบัติกันจริง ๆ คือจากประสบการณ์จริง จะไม่พูดลอยๆ


แน่ใจแล้วหรือที่พูดแบบนั้น อยากให้กรัชกายย้อนกลับไปดูความเห็นของตัวเอง
ชอบที่จะแอบอ้างพระไตรปิฎก ชอบสอดไส้ความเห็นลงไปในพระไตรปิฎก
ที่สำคัญไม่ยอมวางลิ้งที่มา

ที่กล่าวข้างต้นเป็นเรื่องพระไตรปิฎก แต่ที่เห็นทำเป็นส่วนใหญ่
ชอบอ้างอิงสิ่งที่ไม่ใช่พุทธพจน์หรือแม้แต่พระไตรปิฎกก็ตาม
กรัชกายมักจะเอาเนื้อหาทางโลกมาโพส เอาบทความที่เขาเอาไว้สอนเรื่องที่เกี่ยวกับ
โลกียธรรม


ผู้มีประสบการณ์ เขาสามารถกล่าวในสิ่งที่เขาพบเจอมา โดยไม่ต้องไปอิงแอบกับตำราเล่มใด
การอ้างตำรายิ่งเป็นตำราที่ไม่ใช่พุทธพจน์ นั้นหาใช่ประสบการณ์ไม่ มันก็แค่การอ่านตำรา
แล้วก็มาโพสตามตำรานั้นๆ
ดังนั้นควรจะมีสติแยกแยะ แค่มีสติพิจารณาคำพูดยังทำไม่ได้
สัมมหาอะไรจะมาพูดว่าตัวเองมีประสบการณ์

กรัชกาย เขียน:

วิปัสสนาญาณ 9 ดังกล่าวข้างต้น อ่านดูเหมือนสะดวกโยธิน แต่เปลาเลย ยังมีสภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิตนี้มากมายที่ต้องเรียนรู้ หรือต้องฟันฝ่าหรือต้องกำจัดออกไป จนเหลือแต่ความรู้ล้วนๆ

สภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตก็ตัวอย่า่งเป็นต้นนี้


นี่ไงบอกชาวบ้านว่า ตัวเองมีประสบการณ์ ผมก็ไม่รู้ประสบการณ์อะไร
ถึงทำให้พูดสับสนเช่นนี้ มันมีด้วยหรือสภาวทุกข์ ถ้าเป็นแบบนี้
ก็เลิกพูดถึงวิปัสสนาญานได้แล้ว มันมั่วแสดงให้รู้ว่าคนพูดๆมาจากการเอาบัญญัติ
มาปะติดปะต่อกันในลักษณะของจินตนาการ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตก็ตัวอย่า่งเป็นต้นนี้


อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่นั่งสมาธิ หนูนั่งสมาธิแบบยุบหนอ-พองหนอค่ะ รู้สึกว่ามีอาการตัวโยกเอน (เป็นอยู่บ่อยๆค่ะ) ตัวหมุน ตัวพองออกจนรู้สึกว่ามือมันคลี่ออกจากกัน แล้วสักครู่ก้อลอยขึ้น หนูตกใจก้อเลยลืมตา

แล้วก้อตัดสินใจนั่งต่อค่ะ เกิดอาการเดิมๆ สลับกัน หมุนบ้าง คอผงกบ้าง ส่ายหน้าบ้าง ในบางช่วงเกิดอาการเหมือนหน้าหายไปแทบหนึ่ง ปากแน่น ตึงเหมือนจะพูดไม่ได้ แล้วมือที่ซ้ายทับขวาไว้ ก้อเลื่อนออกจากกัน เลื่อนออก แล้วก้อเลื่อนเข้า มีความรู้สึกว่า นิ้วถูกกดให้เล็กลง ตัวแยกออก (คือมันเป็นความรู้สึกค่ะ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เห็นเป็นภาพว่าตัวเองแยกถูกฉีกอ่ะค่ะ แต่จะว่าเห็นก้อไม่เชิง มันเหมือนคิดนะค่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน -*-) ต่อมาก้อมีอาการปากเหมือนดูดลม เบ้ปาก บีบปาก รู้สึกว่าฟันงอก สกปรก(ไม่รู้คิดไปเองหรือยังไง สับสนเหมือนกันค่ะ เพราะช่วงนี้อ่านอาการพวก อสุภะบ้าง ตอนที่คิดว่าเหมือนคนแก่ เลยท่องๆในใจว่า ไม่เที่ยง แต่รู้สึกว่าตัวเองทำมั่วๆอ่ะค่ะแล้วก้อหยุด อาการเหล่านี้เป็นติดต่อกันบ้าง สลับกับพองยุบบ้าง นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนสุดท้าย มีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาและเอว กำหนดปวดหนอแล้วก้อยังไม่หาย (ปกติกำหนดแปปเดียวก้อหาย แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดเวทนาค่ะ) ก้อเลยออกจากสมาธิในที่สุด

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ คืนก่อนๆหน้านี้ค่ะ จิตมีอาการดิ่งวูบ แล้วก้อสว่าง แต่ว่าแปปเดียวค่ะ ทำยังไงถึงจะทรงไว้ได้นาน หรือว่าควรทำยังไงค่ะ แล้วหนูก็ไม่เข้าใจอีกเรื่อง คือเวลานอนหลับไปแล้ว หรือระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เคยมีอาการตัวลอย หรือไม่ก้อเกิดอาการ ชาๆ วูบๆทั่วตัว บ้างก้อเหมือนจะคลื่นไส้ บางทีที่เกิดหนูก้อไม่ได้ภาวนาแบบนอนนะค่ะ ก็หลับไปเฉยนี่แหละค่ะ

หนูสับสนมาก ว่าต้องทำยังไงต่อ อาการเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าค่ะ รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะค่ะ หนูฝึกเองอยู่บ้านค่ะ ก่อนหน้านี้ไปฝึกที่คุณแม่สิริค่ะ รบกวนด้วยค่ะ


นี่หรือสภาวะทุกข์ที่กรัชกายบอกคนล่ะเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้
เป็นเพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องลักษณะของจิต

จิตปรุงแต่งก็เข้าใจไปว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นที่จิต ซึ่งในความเป็นจริง
มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่จิต มันเป็นเพราะจิตไปรับรู้ความคิด
นั้นคือเอาความจำในอดีตมาคิด แล้วก็ปรุงแต่งซ้ำลงไป

คนที่เข้าใจเรื่องสภาวะ เข้าใจคุณสมบัติของจิตดีแล้ว
จะไม่มีอาการต่างๆเหล่านี้ อาจจะมีบ้างก็คือ รู้สึกมีการกระทบขึ้นที่ทวารใดทวารหนึ่ง
เพียงแค่นั้น และสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่า เป็นเวทนานั้นแท้จริง จิตไปอยู่ตรงส่วนที่มีการกระทบ
ทางกาย แต่ไม่ได้รู้ว่าเกิดการกระทบ แต่ไปรู้อาการของจิตที่เกิดการกระทบนั้น

เรื่องที่กรัชกายยกมาไม่ได้เกี่ยวกับทุกข์ มันเป็นเรื่องของผู้ยังไม่รู้ทุกข์
นั้นหมายความว่า ......ยังหลงเข้าใจว่า เวทนาคือทุกข์ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตก็ตัวอย่า่งเป็นต้นนี้


อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่นั่งสมาธิ หนูนั่งสมาธิแบบยุบหนอ-พองหนอค่ะ รู้สึกว่ามีอาการตัวโยกเอน (เป็นอยู่บ่อยๆค่ะ) ตัวหมุน ตัวพองออกจนรู้สึกว่ามือมันคลี่ออกจากกัน แล้วสักครู่ก้อลอยขึ้น หนูตกใจก้อเลยลืมตา

แล้วก้อตัดสินใจนั่งต่อค่ะ เกิดอาการเดิมๆ สลับกัน หมุนบ้าง คอผงกบ้าง ส่ายหน้าบ้าง ในบางช่วงเกิดอาการเหมือนหน้าหายไปแทบหนึ่ง ปากแน่น ตึงเหมือนจะพูดไม่ได้ แล้วมือที่ซ้ายทับขวาไว้ ก้อเลื่อนออกจากกัน เลื่อนออก แล้วก้อเลื่อนเข้า มีความรู้สึกว่า นิ้วถูกกดให้เล็กลง ตัวแยกออก (คือมันเป็นความรู้สึกค่ะ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เห็นเป็นภาพว่าตัวเองแยกถูกฉีกอ่ะค่ะ แต่จะว่าเห็นก้อไม่เชิง มันเหมือนคิดนะค่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน -*-) ต่อมาก้อมีอาการปากเหมือนดูดลม เบ้ปาก บีบปาก รู้สึกว่าฟันงอก สกปรก(ไม่รู้คิดไปเองหรือยังไง สับสนเหมือนกันค่ะ เพราะช่วงนี้อ่านอาการพวก อสุภะบ้าง ตอนที่คิดว่าเหมือนคนแก่ เลยท่องๆในใจว่า ไม่เที่ยง แต่รู้สึกว่าตัวเองทำมั่วๆอ่ะค่ะแล้วก้อหยุด อาการเหล่านี้เป็นติดต่อกันบ้าง สลับกับพองยุบบ้าง นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนสุดท้าย มีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาและเอว กำหนดปวดหนอแล้วก้อยังไม่หาย (ปกติกำหนดแปปเดียวก้อหาย แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดเวทนาค่ะ) ก้อเลยออกจากสมาธิในที่สุด

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ คืนก่อนๆหน้านี้ค่ะ จิตมีอาการดิ่งวูบ แล้วก้อสว่าง แต่ว่าแปปเดียวค่ะ ทำยังไงถึงจะทรงไว้ได้นาน หรือว่าควรทำยังไงค่ะ แล้วหนูก็ไม่เข้าใจอีกเรื่อง คือเวลานอนหลับไปแล้ว หรือระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เคยมีอาการตัวลอย หรือไม่ก้อเกิดอาการ ชาๆ วูบๆทั่วตัว บ้างก้อเหมือนจะคลื่นไส้ บางทีที่เกิดหนูก้อไม่ได้ภาวนาแบบนอนนะค่ะ ก็หลับไปเฉยนี่แหละค่ะ

หนูสับสนมาก ว่าต้องทำยังไงต่อ อาการเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าค่ะ รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะค่ะ หนูฝึกเองอยู่บ้านค่ะ ก่อนหน้านี้ไปฝึกที่คุณแม่สิริค่ะ รบกวนด้วยค่ะ


นี่หรือสภาวะทุกข์ที่กรัชกายบอกคนล่ะเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้
เป็นเพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องลักษณะของจิต

จิตปรุงแต่งก็เข้าใจไปว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นที่จิต ซึ่งในความเป็นจริง
มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่จิต มันเป็นเพราะจิตไปรับรู้ความคิด
นั้นคือเอาความจำในอดีตมาคิด แล้วก็ปรุงแต่งซ้ำลงไป

คนที่เข้าใจเรื่องสภาวะ เข้าใจคุณสมบัติของจิตดีแล้ว
จะไม่มีอาการต่างๆเหล่านี้ อาจจะมีบ้างก็คือ รู้สึกมีการกระทบขึ้นที่ทวารใดทวารหนึ่ง
เพียงแค่นั้น และสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่า เป็นเวทนานั้นแท้จริง จิตไปอยู่ตรงส่วนที่มีการกระทบ
ทางกาย แต่ไม่ได้รู้ว่าเกิดการกระทบ แต่ไปรู้อาการของจิตที่เกิดการกระทบนั้น

เรื่องที่กรัชกายยกมาไม่ได้เกี่ยวกับทุกข์ มันเป็นเรื่องของผู้ยังไม่รู้ทุกข์
นั้นหมายความว่า ......ยังหลงเข้าใจว่า เวทนาคือทุกข์ :b32:


แล้วมันคืออะไรล่ะงั้น :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตก็ตัวอย่า่งเป็นต้นนี้


อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่นั่งสมาธิ หนูนั่งสมาธิแบบยุบหนอ-พองหนอค่ะ รู้สึกว่ามีอาการตัวโยกเอน (เป็นอยู่บ่อยๆค่ะ) ตัวหมุน ตัวพองออกจนรู้สึกว่ามือมันคลี่ออกจากกัน แล้วสักครู่ก้อลอยขึ้น หนูตกใจก้อเลยลืมตา

แล้วก้อตัดสินใจนั่งต่อค่ะ เกิดอาการเดิมๆ สลับกัน หมุนบ้าง คอผงกบ้าง ส่ายหน้าบ้าง ในบางช่วงเกิดอาการเหมือนหน้าหายไปแทบหนึ่ง ปากแน่น ตึงเหมือนจะพูดไม่ได้ แล้วมือที่ซ้ายทับขวาไว้ ก้อเลื่อนออกจากกัน เลื่อนออก แล้วก้อเลื่อนเข้า มีความรู้สึกว่า นิ้วถูกกดให้เล็กลง ตัวแยกออก (คือมันเป็นความรู้สึกค่ะ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เห็นเป็นภาพว่าตัวเองแยกถูกฉีกอ่ะค่ะ แต่จะว่าเห็นก้อไม่เชิง มันเหมือนคิดนะค่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน -*-) ต่อมาก้อมีอาการปากเหมือนดูดลม เบ้ปาก บีบปาก รู้สึกว่าฟันงอก สกปรก(ไม่รู้คิดไปเองหรือยังไง สับสนเหมือนกันค่ะ เพราะช่วงนี้อ่านอาการพวก อสุภะบ้าง ตอนที่คิดว่าเหมือนคนแก่ เลยท่องๆในใจว่า ไม่เที่ยง แต่รู้สึกว่าตัวเองทำมั่วๆอ่ะค่ะแล้วก้อหยุด อาการเหล่านี้เป็นติดต่อกันบ้าง สลับกับพองยุบบ้าง นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนสุดท้าย มีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาและเอว กำหนดปวดหนอแล้วก้อยังไม่หาย (ปกติกำหนดแปปเดียวก้อหาย แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดเวทนาค่ะ) ก้อเลยออกจากสมาธิในที่สุด

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ คืนก่อนๆหน้านี้ค่ะ จิตมีอาการดิ่งวูบ แล้วก้อสว่าง แต่ว่าแปปเดียวค่ะ ทำยังไงถึงจะทรงไว้ได้นาน หรือว่าควรทำยังไงค่ะ แล้วหนูก็ไม่เข้าใจอีกเรื่อง คือเวลานอนหลับไปแล้ว หรือระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เคยมีอาการตัวลอย หรือไม่ก้อเกิดอาการ ชาๆ วูบๆทั่วตัว บ้างก้อเหมือนจะคลื่นไส้ บางทีที่เกิดหนูก้อไม่ได้ภาวนาแบบนอนนะค่ะ ก็หลับไปเฉยนี่แหละค่ะ

หนูสับสนมาก ว่าต้องทำยังไงต่อ อาการเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าค่ะ รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะค่ะ หนูฝึกเองอยู่บ้านค่ะ ก่อนหน้านี้ไปฝึกที่คุณแม่สิริค่ะ รบกวนด้วยค่ะ


นี่หรือสภาวะทุกข์ที่กรัชกายบอกคนล่ะเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้
เป็นเพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องลักษณะของจิต

จิตปรุงแต่งก็เข้าใจไปว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นที่จิต ซึ่งในความเป็นจริง
มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่จิต มันเป็นเพราะจิตไปรับรู้ความคิด
นั้นคือเอาความจำในอดีตมาคิด แล้วก็ปรุงแต่งซ้ำลงไป

คนที่เข้าใจเรื่องสภาวะ เข้าใจคุณสมบัติของจิตดีแล้ว
จะไม่มีอาการต่างๆเหล่านี้ อาจจะมีบ้างก็คือ รู้สึกมีการกระทบขึ้นที่ทวารใดทวารหนึ่ง
เพียงแค่นั้น และสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่า เป็นเวทนานั้นแท้จริง จิตไปอยู่ตรงส่วนที่มีการกระทบ
ทางกาย แต่ไม่ได้รู้ว่าเกิดการกระทบ แต่ไปรู้อาการของจิตที่เกิดการกระทบนั้น

เรื่องที่กรัชกายยกมาไม่ได้เกี่ยวกับทุกข์ มันเป็นเรื่องของผู้ยังไม่รู้ทุกข์
นั้นหมายความว่า ......ยังหลงเข้าใจว่า เวทนาคือทุกข์ :b32:




จิตๆๆๆๆๆ เห็นพูดย้ำซ้ำซากมานานแระ ถามนะ จิตคืออะไร เป็นไครหรอจิตน่ะ

ตอบด้วยน้า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตก็ตัวอย่า่งเป็นต้นนี้


อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่นั่งสมาธิ หนูนั่งสมาธิแบบยุบหนอ-พองหนอค่ะ รู้สึกว่ามีอาการตัวโยกเอน (เป็นอยู่บ่อยๆค่ะ) ตัวหมุน ตัวพองออกจนรู้สึกว่ามือมันคลี่ออกจากกัน แล้วสักครู่ก้อลอยขึ้น หนูตกใจก้อเลยลืมตา

แล้วก้อตัดสินใจนั่งต่อค่ะ เกิดอาการเดิมๆ สลับกัน หมุนบ้าง คอผงกบ้าง ส่ายหน้าบ้าง ในบางช่วงเกิดอาการเหมือนหน้าหายไปแทบหนึ่ง ปากแน่น ตึงเหมือนจะพูดไม่ได้ แล้วมือที่ซ้ายทับขวาไว้ ก้อเลื่อนออกจากกัน เลื่อนออก แล้วก้อเลื่อนเข้า มีความรู้สึกว่า นิ้วถูกกดให้เล็กลง ตัวแยกออก (คือมันเป็นความรู้สึกค่ะ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เห็นเป็นภาพว่าตัวเองแยกถูกฉีกอ่ะค่ะ แต่จะว่าเห็นก้อไม่เชิง มันเหมือนคิดนะค่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน -*-) ต่อมาก้อมีอาการปากเหมือนดูดลม เบ้ปาก บีบปาก รู้สึกว่าฟันงอก สกปรก(ไม่รู้คิดไปเองหรือยังไง สับสนเหมือนกันค่ะ เพราะช่วงนี้อ่านอาการพวก อสุภะบ้าง ตอนที่คิดว่าเหมือนคนแก่ เลยท่องๆในใจว่า ไม่เที่ยง แต่รู้สึกว่าตัวเองทำมั่วๆอ่ะค่ะแล้วก้อหยุด อาการเหล่านี้เป็นติดต่อกันบ้าง สลับกับพองยุบบ้าง นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนสุดท้าย มีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาและเอว กำหนดปวดหนอแล้วก้อยังไม่หาย (ปกติกำหนดแปปเดียวก้อหาย แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดเวทนาค่ะ) ก้อเลยออกจากสมาธิในที่สุด

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ คืนก่อนๆหน้านี้ค่ะ จิตมีอาการดิ่งวูบ แล้วก้อสว่าง แต่ว่าแปปเดียวค่ะ ทำยังไงถึงจะทรงไว้ได้นาน หรือว่าควรทำยังไงค่ะ แล้วหนูก็ไม่เข้าใจอีกเรื่อง คือเวลานอนหลับไปแล้ว หรือระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เคยมีอาการตัวลอย หรือไม่ก้อเกิดอาการ ชาๆ วูบๆทั่วตัว บ้างก้อเหมือนจะคลื่นไส้ บางทีที่เกิดหนูก้อไม่ได้ภาวนาแบบนอนนะค่ะ ก็หลับไปเฉยนี่แหละค่ะ

หนูสับสนมาก ว่าต้องทำยังไงต่อ อาการเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าค่ะ รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะค่ะ หนูฝึกเองอยู่บ้านค่ะ ก่อนหน้านี้ไปฝึกที่คุณแม่สิริค่ะ รบกวนด้วยค่ะ


นี่หรือสภาวะทุกข์ที่กรัชกายบอกคนล่ะเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้
เป็นเพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องลักษณะของจิต

จิตปรุงแต่งก็เข้าใจไปว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นที่จิต ซึ่งในความเป็นจริง
มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่จิต มันเป็นเพราะจิตไปรับรู้ความคิด
นั้นคือเอาความจำในอดีตมาคิด แล้วก็ปรุงแต่งซ้ำลงไป

คนที่เข้าใจเรื่องสภาวะ เข้าใจคุณสมบัติของจิตดีแล้ว
จะไม่มีอาการต่างๆเหล่านี้ อาจจะมีบ้างก็คือ รู้สึกมีการกระทบขึ้นที่ทวารใดทวารหนึ่ง
เพียงแค่นั้น และสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่า เป็นเวทนานั้นแท้จริง จิตไปอยู่ตรงส่วนที่มีการกระทบ
ทางกาย แต่ไม่ได้รู้ว่าเกิดการกระทบ แต่ไปรู้อาการของจิตที่เกิดการกระทบนั้น

เรื่องที่กรัชกายยกมาไม่ได้เกี่ยวกับทุกข์ มันเป็นเรื่องของผู้ยังไม่รู้ทุกข์
นั้นหมายความว่า ......ยังหลงเข้าใจว่า เวทนาคือทุกข์ :b32:


แล้วมันคืออะไรล่ะงั้น :b1:
กรัชกาย เขียน:
จิตๆๆๆๆๆ เห็นพูดย้ำซ้ำซากมานานแระ ถามนะ จิตคืออะไร เป็นไครหรอจิตน่ะ

ตอบด้วยน้า :b1:



"เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด" :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตก็ตัวอย่า่งเป็นต้นนี้


อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่นั่งสมาธิ หนูนั่งสมาธิแบบยุบหนอ-พองหนอค่ะ รู้สึกว่ามีอาการตัวโยกเอน (เป็นอยู่บ่อยๆค่ะ) ตัวหมุน ตัวพองออกจนรู้สึกว่ามือมันคลี่ออกจากกัน แล้วสักครู่ก้อลอยขึ้น หนูตกใจก้อเลยลืมตา

แล้วก้อตัดสินใจนั่งต่อค่ะ เกิดอาการเดิมๆ สลับกัน หมุนบ้าง คอผงกบ้าง ส่ายหน้าบ้าง ในบางช่วงเกิดอาการเหมือนหน้าหายไปแทบหนึ่ง ปากแน่น ตึงเหมือนจะพูดไม่ได้ แล้วมือที่ซ้ายทับขวาไว้ ก้อเลื่อนออกจากกัน เลื่อนออก แล้วก้อเลื่อนเข้า มีความรู้สึกว่า นิ้วถูกกดให้เล็กลง ตัวแยกออก (คือมันเป็นความรู้สึกค่ะ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เห็นเป็นภาพว่าตัวเองแยกถูกฉีกอ่ะค่ะ แต่จะว่าเห็นก้อไม่เชิง มันเหมือนคิดนะค่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน -*-) ต่อมาก้อมีอาการปากเหมือนดูดลม เบ้ปาก บีบปาก รู้สึกว่าฟันงอก สกปรก(ไม่รู้คิดไปเองหรือยังไง สับสนเหมือนกันค่ะ เพราะช่วงนี้อ่านอาการพวก อสุภะบ้าง ตอนที่คิดว่าเหมือนคนแก่ เลยท่องๆในใจว่า ไม่เที่ยง แต่รู้สึกว่าตัวเองทำมั่วๆอ่ะค่ะแล้วก้อหยุด อาการเหล่านี้เป็นติดต่อกันบ้าง สลับกับพองยุบบ้าง นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนสุดท้าย มีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาและเอว กำหนดปวดหนอแล้วก้อยังไม่หาย (ปกติกำหนดแปปเดียวก้อหาย แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดเวทนาค่ะ) ก้อเลยออกจากสมาธิในที่สุด

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ คืนก่อนๆหน้านี้ค่ะ จิตมีอาการดิ่งวูบ แล้วก้อสว่าง แต่ว่าแปปเดียวค่ะ ทำยังไงถึงจะทรงไว้ได้นาน หรือว่าควรทำยังไงค่ะ แล้วหนูก็ไม่เข้าใจอีกเรื่อง คือเวลานอนหลับไปแล้ว หรือระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เคยมีอาการตัวลอย หรือไม่ก้อเกิดอาการ ชาๆ วูบๆทั่วตัว บ้างก้อเหมือนจะคลื่นไส้ บางทีที่เกิดหนูก้อไม่ได้ภาวนาแบบนอนนะค่ะ ก็หลับไปเฉยนี่แหละค่ะ

หนูสับสนมาก ว่าต้องทำยังไงต่อ อาการเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าค่ะ รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะค่ะ หนูฝึกเองอยู่บ้านค่ะ ก่อนหน้านี้ไปฝึกที่คุณแม่สิริค่ะ รบกวนด้วยค่ะ


นี่หรือสภาวะทุกข์ที่กรัชกายบอกคนล่ะเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้
เป็นเพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องลักษณะของจิต

จิตปรุงแต่งก็เข้าใจไปว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นที่จิต ซึ่งในความเป็นจริง
มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่จิต มันเป็นเพราะจิตไปรับรู้ความคิด
นั้นคือเอาความจำในอดีตมาคิด แล้วก็ปรุงแต่งซ้ำลงไป

คนที่เข้าใจเรื่องสภาวะ เข้าใจคุณสมบัติของจิตดีแล้ว
จะไม่มีอาการต่างๆเหล่านี้ อาจจะมีบ้างก็คือ รู้สึกมีการกระทบขึ้นที่ทวารใดทวารหนึ่ง
เพียงแค่นั้น และสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่า เป็นเวทนานั้นแท้จริง จิตไปอยู่ตรงส่วนที่มีการกระทบ
ทางกาย แต่ไม่ได้รู้ว่าเกิดการกระทบ แต่ไปรู้อาการของจิตที่เกิดการกระทบนั้น

เรื่องที่กรัชกายยกมาไม่ได้เกี่ยวกับทุกข์ มันเป็นเรื่องของผู้ยังไม่รู้ทุกข์
นั้นหมายความว่า ......ยังหลงเข้าใจว่า เวทนาคือทุกข์ :b32:


แล้วมันคืออะไรล่ะงั้น :b1:
กรัชกาย เขียน:
จิตๆๆๆๆๆ เห็นพูดย้ำซ้ำซากมานานแระ ถามนะ จิตคืออะไร เป็นไครหรอจิตน่ะ

ตอบด้วยน้า :b1:



"เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด" :b32:


อ้างคำพูด:
เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด


เอาอีกแระ คิกๆ โฮฮับเอ้ย คิดจะเลียนแบบหรอ

สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ายังไม่รู้ ดันไปยืมคำพูดของพระพุทธเจ้าดังว่า "เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด" มาพูด

ยังงี้นะพี่โฮ ถ้าไปพูดกับขโมยที่ขึ้นบ้านนะว่า "หยุดนะหยุด" ขโมยเอาปืนส่องโป้งเข้าไปให้ หัวทิ่ม นอนร้องครวญคราง โธ่ไม่น่ายิงกรูเลย :b32: รู้ไหมกรูสอนธรรมะนะ คือจะสื่อว่าให้หยุด อย่าขโมย พูดจบหัวขโมยเอาด้ามปืนฟาดปากเข้าอีกทีฮี่ๆๆ

ดูตรรกะการรู้ธรรมะของโฮฮับแล้วได้แต่ปลง :b5:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ไม่บังคับให้เชื่อ เมื่อไม่บังคับ เขาหรือเรารู้เข้าใจธรรมะแค่ไหนก็พูดได้แค่นั้นทำได้เท่าที่ตนรู้ ซึ่งต่างจากศาสนาที่สอนเน้นศรัทธา (ความเชื่อ) ศาสดาบอกว่า เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง คือ ดวงอาทิตย์ นั่นคือเทพของพวกเจ้า เจ้าจงบูชากราบไว้ไหว้ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นเทพแห่งแสงสว่างนั่น สาวกก็จะนั่งลงไหว้พระอาทิตย์ตามที่ศาสดาสั่งสอน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตก็ตัวอย่า่งเป็นต้นนี้


อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่นั่งสมาธิ หนูนั่งสมาธิแบบยุบหนอ-พองหนอค่ะ รู้สึกว่ามีอาการตัวโยกเอน (เป็นอยู่บ่อยๆค่ะ) ตัวหมุน ตัวพองออกจนรู้สึกว่ามือมันคลี่ออกจากกัน แล้วสักครู่ก้อลอยขึ้น หนูตกใจก้อเลยลืมตา

แล้วก้อตัดสินใจนั่งต่อค่ะ เกิดอาการเดิมๆ สลับกัน หมุนบ้าง คอผงกบ้าง ส่ายหน้าบ้าง ในบางช่วงเกิดอาการเหมือนหน้าหายไปแทบหนึ่ง ปากแน่น ตึงเหมือนจะพูดไม่ได้ แล้วมือที่ซ้ายทับขวาไว้ ก้อเลื่อนออกจากกัน เลื่อนออก แล้วก้อเลื่อนเข้า มีความรู้สึกว่า นิ้วถูกกดให้เล็กลง ตัวแยกออก (คือมันเป็นความรู้สึกค่ะ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เห็นเป็นภาพว่าตัวเองแยกถูกฉีกอ่ะค่ะ แต่จะว่าเห็นก้อไม่เชิง มันเหมือนคิดนะค่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน -*-) ต่อมาก้อมีอาการปากเหมือนดูดลม เบ้ปาก บีบปาก รู้สึกว่าฟันงอก สกปรก(ไม่รู้คิดไปเองหรือยังไง สับสนเหมือนกันค่ะ เพราะช่วงนี้อ่านอาการพวก อสุภะบ้าง ตอนที่คิดว่าเหมือนคนแก่ เลยท่องๆในใจว่า ไม่เที่ยง แต่รู้สึกว่าตัวเองทำมั่วๆอ่ะค่ะแล้วก้อหยุด อาการเหล่านี้เป็นติดต่อกันบ้าง สลับกับพองยุบบ้าง นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนสุดท้าย มีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาและเอว กำหนดปวดหนอแล้วก้อยังไม่หาย (ปกติกำหนดแปปเดียวก้อหาย แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดเวทนาค่ะ) ก้อเลยออกจากสมาธิในที่สุด

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ คืนก่อนๆหน้านี้ค่ะ จิตมีอาการดิ่งวูบ แล้วก้อสว่าง แต่ว่าแปปเดียวค่ะ ทำยังไงถึงจะทรงไว้ได้นาน หรือว่าควรทำยังไงค่ะ แล้วหนูก็ไม่เข้าใจอีกเรื่อง คือเวลานอนหลับไปแล้ว หรือระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เคยมีอาการตัวลอย หรือไม่ก้อเกิดอาการ ชาๆ วูบๆทั่วตัว บ้างก้อเหมือนจะคลื่นไส้ บางทีที่เกิดหนูก้อไม่ได้ภาวนาแบบนอนนะค่ะ ก็หลับไปเฉยนี่แหละค่ะ

หนูสับสนมาก ว่าต้องทำยังไงต่อ อาการเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าค่ะ รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะค่ะ หนูฝึกเองอยู่บ้านค่ะ ก่อนหน้านี้ไปฝึกที่คุณแม่สิริค่ะ รบกวนด้วยค่ะ


นี่หรือสภาวะทุกข์ที่กรัชกายบอกคนล่ะเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้
เป็นเพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องลักษณะของจิต

จิตปรุงแต่งก็เข้าใจไปว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นที่จิต ซึ่งในความเป็นจริง
มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่จิต มันเป็นเพราะจิตไปรับรู้ความคิด
นั้นคือเอาความจำในอดีตมาคิด แล้วก็ปรุงแต่งซ้ำลงไป

คนที่เข้าใจเรื่องสภาวะ เข้าใจคุณสมบัติของจิตดีแล้ว
จะไม่มีอาการต่างๆเหล่านี้ อาจจะมีบ้างก็คือ รู้สึกมีการกระทบขึ้นที่ทวารใดทวารหนึ่ง
เพียงแค่นั้น และสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่า เป็นเวทนานั้นแท้จริง จิตไปอยู่ตรงส่วนที่มีการกระทบ
ทางกาย แต่ไม่ได้รู้ว่าเกิดการกระทบ แต่ไปรู้อาการของจิตที่เกิดการกระทบนั้น

เรื่องที่กรัชกายยกมาไม่ได้เกี่ยวกับทุกข์ มันเป็นเรื่องของผู้ยังไม่รู้ทุกข์
นั้นหมายความว่า ......ยังหลงเข้าใจว่า เวทนาคือทุกข์ :b32:


แล้วมันคืออะไรล่ะงั้น :b1:
กรัชกาย เขียน:
จิตๆๆๆๆๆ เห็นพูดย้ำซ้ำซากมานานแระ ถามนะ จิตคืออะไร เป็นไครหรอจิตน่ะ

ตอบด้วยน้า :b1:



"เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด" :b32:


อ้างคำพูด:
เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด


เอาอีกแระ คิกๆ โฮฮับเอ้ย คิดจะเลียนแบบหรอ

สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ายังไม่รู้ ดันไปยืมคำพูดของพระพุทธเจ้าดังว่า "เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด" มาพูด

ยังงี้นะพี่โฮ ถ้าไปพูดกับขโมยที่ขึ้นบ้านนะว่า "หยุดนะหยุด" ขโมยเอาปืนส่องโป้งเข้าไปให้ หัวทิ่ม นอนร้องครวญคราง โธ่ไม่น่ายิงกรูเลย :b32: รู้ไหมกรูสอนธรรมะนะ คือจะสื่อว่าให้หยุด อย่าขโมย พูดจบหัวขโมยเอาด้ามปืนฟาดปากเข้าอีกทีฮี่ๆๆ

ดูตรรกะการรู้ธรรมะของโฮฮับแล้วได้แต่ปลง :b5:


ที่พูดไปจะเตือนสติ ให้เลิกนิสัยที่เป็นอยู่เสีย เมื่อยังคิดไม่ได้

ก็เลิกที่จะมาถามธรรมที่ลึกซึ้ง กลับไปท่องคำศัพท์เปิดพจนานุกรมแบบเดิมเถอะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ไม่บังคับให้เชื่อ เมื่อไม่บังคับ เขาหรือเรารู้เข้าใจธรรมะแค่ไหนก็พูดได้แค่นั้นทำได้เท่าที่ตนรู้ ซึ่งต่างจากศาสนาที่สอนเน้นศรัทธา (ความเชื่อ) ศาสดาบอกว่า เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง คือ ดวงอาทิตย์ นั่นคือเทพของพวกเจ้า เจ้าจงบูชากราบไว้ไหว้ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นเทพแห่งแสงสว่างนั่น สาวกก็จะนั่งลงไหว้พระอาทิตย์ตามที่ศาสดาสั่งสอน :b1:


ศาสนาพุทธเน้นเรื่องศรัทธา ศรัทธากับความเชื่อแตกต่างกัน
ศรัทธาประกอบด้วยปัญญา มีเหตุมีผล ส่วนความเชื่อนั้นไม่ประกอบด้วยปัญญา

เป็นเช่นนี้ ใครที่ปราศจากศรัทธาในตัวเรา เมื่อเขาถามอะไรเรา
มันก็ป่วยการที่จะตอบในสิ่งที่เขาถาม :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สภาวะทุกข์ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตก็ตัวอย่า่งเป็นต้นนี้


อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่นั่งสมาธิ หนูนั่งสมาธิแบบยุบหนอ-พองหนอค่ะ รู้สึกว่ามีอาการตัวโยกเอน (เป็นอยู่บ่อยๆค่ะ) ตัวหมุน ตัวพองออกจนรู้สึกว่ามือมันคลี่ออกจากกัน แล้วสักครู่ก้อลอยขึ้น หนูตกใจก้อเลยลืมตา

แล้วก้อตัดสินใจนั่งต่อค่ะ เกิดอาการเดิมๆ สลับกัน หมุนบ้าง คอผงกบ้าง ส่ายหน้าบ้าง ในบางช่วงเกิดอาการเหมือนหน้าหายไปแทบหนึ่ง ปากแน่น ตึงเหมือนจะพูดไม่ได้ แล้วมือที่ซ้ายทับขวาไว้ ก้อเลื่อนออกจากกัน เลื่อนออก แล้วก้อเลื่อนเข้า มีความรู้สึกว่า นิ้วถูกกดให้เล็กลง ตัวแยกออก (คือมันเป็นความรู้สึกค่ะ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เห็นเป็นภาพว่าตัวเองแยกถูกฉีกอ่ะค่ะ แต่จะว่าเห็นก้อไม่เชิง มันเหมือนคิดนะค่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน -*-) ต่อมาก้อมีอาการปากเหมือนดูดลม เบ้ปาก บีบปาก รู้สึกว่าฟันงอก สกปรก(ไม่รู้คิดไปเองหรือยังไง สับสนเหมือนกันค่ะ เพราะช่วงนี้อ่านอาการพวก อสุภะบ้าง ตอนที่คิดว่าเหมือนคนแก่ เลยท่องๆในใจว่า ไม่เที่ยง แต่รู้สึกว่าตัวเองทำมั่วๆอ่ะค่ะแล้วก้อหยุด อาการเหล่านี้เป็นติดต่อกันบ้าง สลับกับพองยุบบ้าง นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนสุดท้าย มีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาและเอว กำหนดปวดหนอแล้วก้อยังไม่หาย (ปกติกำหนดแปปเดียวก้อหาย แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดเวทนาค่ะ) ก้อเลยออกจากสมาธิในที่สุด

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ คืนก่อนๆหน้านี้ค่ะ จิตมีอาการดิ่งวูบ แล้วก้อสว่าง แต่ว่าแปปเดียวค่ะ ทำยังไงถึงจะทรงไว้ได้นาน หรือว่าควรทำยังไงค่ะ แล้วหนูก็ไม่เข้าใจอีกเรื่อง คือเวลานอนหลับไปแล้ว หรือระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เคยมีอาการตัวลอย หรือไม่ก้อเกิดอาการ ชาๆ วูบๆทั่วตัว บ้างก้อเหมือนจะคลื่นไส้ บางทีที่เกิดหนูก้อไม่ได้ภาวนาแบบนอนนะค่ะ ก็หลับไปเฉยนี่แหละค่ะ

หนูสับสนมาก ว่าต้องทำยังไงต่อ อาการเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าค่ะ รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะค่ะ หนูฝึกเองอยู่บ้านค่ะ ก่อนหน้านี้ไปฝึกที่คุณแม่สิริค่ะ รบกวนด้วยค่ะ


นี่หรือสภาวะทุกข์ที่กรัชกายบอกคนล่ะเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้
เป็นเพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องลักษณะของจิต

จิตปรุงแต่งก็เข้าใจไปว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นที่จิต ซึ่งในความเป็นจริง
มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่จิต มันเป็นเพราะจิตไปรับรู้ความคิด
นั้นคือเอาความจำในอดีตมาคิด แล้วก็ปรุงแต่งซ้ำลงไป

คนที่เข้าใจเรื่องสภาวะ เข้าใจคุณสมบัติของจิตดีแล้ว
จะไม่มีอาการต่างๆเหล่านี้ อาจจะมีบ้างก็คือ รู้สึกมีการกระทบขึ้นที่ทวารใดทวารหนึ่ง
เพียงแค่นั้น และสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เข้าใจว่า เป็นเวทนานั้นแท้จริง จิตไปอยู่ตรงส่วนที่มีการกระทบ
ทางกาย แต่ไม่ได้รู้ว่าเกิดการกระทบ แต่ไปรู้อาการของจิตที่เกิดการกระทบนั้น

เรื่องที่กรัชกายยกมาไม่ได้เกี่ยวกับทุกข์ มันเป็นเรื่องของผู้ยังไม่รู้ทุกข์
นั้นหมายความว่า ......ยังหลงเข้าใจว่า เวทนาคือทุกข์ :b32:


แล้วมันคืออะไรล่ะงั้น :b1:
กรัชกาย เขียน:
จิตๆๆๆๆๆ เห็นพูดย้ำซ้ำซากมานานแระ ถามนะ จิตคืออะไร เป็นไครหรอจิตน่ะ

ตอบด้วยน้า :b1:



"เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด" :b32:


อ้างคำพูด:
เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด


เอาอีกแระ คิกๆ โฮฮับเอ้ย คิดจะเลียนแบบหรอ

สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ายังไม่รู้ ดันไปยืมคำพูดของพระพุทธเจ้าดังว่า "เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด" มาพูด

ยังงี้นะพี่โฮ ถ้าไปพูดกับขโมยที่ขึ้นบ้านนะว่า "หยุดนะหยุด" ขโมยเอาปืนส่องโป้งเข้าไปให้ หัวทิ่ม นอนร้องครวญคราง โธ่ไม่น่ายิงกรูเลย :b32: รู้ไหมกรูสอนธรรมะนะ คือจะสื่อว่าให้หยุด อย่าขโมย พูดจบหัวขโมยเอาด้ามปืนฟาดปากเข้าอีกทีฮี่ๆๆ

ดูตรรกะการรู้ธรรมะของโฮฮับแล้วได้แต่ปลง :b5:


ที่พูดไปจะเตือนสติ ให้เลิกนิสัยที่เป็นอยู่เสีย เมื่อยังคิดไม่ได้

ก็เลิกที่จะมาถามธรรมที่ลึกซึ้ง กลับไปท่องคำศัพท์เปิดพจนานุกรมแบบเดิมเถอะ :b32:



พี่โฮ นอกจาก "เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด" ที่พระพุทธสนทนากับองคุลิมาลแล้ว เอาที่พระอัสสชิพูดกับอุปติสสะนี้ด้วยดิเนี่ย "เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุง ตะถาคะโต เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวังวาที มะหาสะมะโณ" :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 218 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร