วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 05:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006
คุณอโศกะครับ คุณแยกรูปแยกนามยังไงครับ
:b16:
1.ทำสติให้รู้ทันปัจจุบันอารมณ์(ซึ่งจะเป็นผลส่งต่อไปยังข้อ 3)


พุทโธ่เอ้ย! คุยนักคุยหนาว่าตัวเองปฏิบัติ คุยแต่เรื่องจริง
ถ้าเป็นแบบนั้น โสกะคงไม่พูดประโยคนี้หรอก
นี่เป็นคำพูดที่โสกะไปจำมาจากนักบวช ที่ไม่ได้มีความรู้ในธรรมจริงๆ
อาศัยสร้างความเชื่อด้วยการ เอาคำศัพท์ทางธรรมมาทำให้สาวกหลง

จะบอกโสกะให้และช่วยเอาคำพูดของผม ไปบอกคนที่สอนคุณด้วย.......

สติเป็นสภาวะที่......ระลึกรู้
การระลึกรู้ไม่ได้หมายถึงรู้ปัจจุบันอารมณ์

หน้าที่ของการรู้ปัจจุบันอารมณ์คือ......จิต(วิญญาน)

สติเป็นอาการของจิต ที่ไปรู้สัญญา(อดีด) สติไม่ใช่รู้ปัจจุบันอารมณ์
ตัวที่รู้ปัจจุบันอารมณ์คือ......จิตหรือวิญญาน เข้าใจมั้ยโสกะ


สภาวะธรรมภายในกายใจเรา ไม่ว่าจะเกิดสภาวะใดขึ้น
ก็ต้องนับว่า สภาวะนั้นคือ ปัจจุบันอารมณ์
ต่อให้เกิดความหลงหรือโมหะ ก็ต้องนับโมหะเป็นปัจจุบันอารมณ์

asoka เขียน:
s006
2.ทำความสังเกต พิจารณา ให้คมกล้าและละเอียดอ่อน (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ) ซึ่งจะเกิดได้ด้วยความตั้งใจจริง (มนสิการ)


พูดมั่วผิดหลักธรรมไม่ว่าจะเป็นปริยัติและปฏิบัติ หรือแม้แต่การทำฌานหรือการญานเพื่อดับอวิชา
ในวิปัสสนาญาน เป็นหลักในการทำให้เกิดปัญญา

หลักของสัมมาสังกัปปะ มันเป็นคนล่ะเรื่อง มันเกี่ยวกับการทำฌาน
ยิ่งถ้าเป็นการปฏิบัติอย่างที่โสกะกำลังทำยิ่งเป็นคนล่ะโลก

สัมมาสังกัปปะเป็นหลักของการปฏิบัติในการดับอวิชา ไม่ใช่การทำฌาน
การทำฌานเพียงอย่างเดียวไม่สามารถดับอวิชาได้

ความเป็นสัมมาสังกัปปะ นั้นก็คือ การใช้ปัญญาลงไปพิจารณาธรรมเพียงให้เห็นถึง
ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ถ้าไล่ลำดับของไตรสิกขา ในส่วนของอธิปัญญา จะต้องเกิดปัญญา(ไตรลักษณ์)เสียก่อน
เราจึงจะเอาปํญญาตัวนี้มาพิจารณาธรรมให้เกิดเป็นสัมมาสังกัปปะได้


asoka เขียน:
s006

3.ทำความสงบและตั้งมั่นของจิตให้เกิดขึ้น (ระดับขณิกะ หรือ อุปจาระ สมาธิ) สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นไปอีกสักระยะหนึ่งแม้แต่ตัวผู้รู้ หรือ นาม เองก็ยังสามารถรู้ลึกละเอียดคือแยกรู้ออกได้ต่อไปอีกว่า นาม ยังมี นามวิญญาน รู้ นามสติ รู้ทัน นามปัญญา รู้จัก นามเวทนา ความรู้สึก นามขันธ์ทั้ง 4 วิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร นามนิวรณ์ทั้ง 5 กามฉันทะ พยาบาท อุทธัจจะ กุกุจจะ ถีนะมิทธะ วิจิกิจฉา นาม ธรรมารมณ์ ทั้ง
ปวง


โสกะไปเอาคำที่ว่าแยกรูปแยกนาม มาปรุงแต่งจินตนาการ จนทำให้พระธรรมเหมือนเป็นสิ่งที่
คล้ายอภินิหารหรือเป็นไสยศาสตร์ โสกะกำลังหลงคิดไปต่างๆนา คิดว่ารูปนามแยกออกจากกัน

ผู้ที่มีปัญญาเห็นสภาวะธรรมแล้วเท่านั้น จึงจะรู้ว่าในความหมายของรูปนาม
มันไม้ได้แยกออกจากกัน เพียงแต่มันเป็นเรื่องของสังขาร เป็นเรื่องของจิต
จิตมีลักษณะเกิดขึ้นและดับไปในทันทีทันใด อาการของจิตหรือเจตสิกก็เช่นกัน
จะต้องเกิดพร้อมกับจิตและดับพร้อมกับจิต

จิตเป็นลักษณะสองอย่าง นั้นก็คือเป็นตัวรู้และเป็นอาการของจิต
จิตตัวรู้กับจิตที่เป็นอาการของจิต จะเกิดพร้อมกันไม่ได้
เพราะจิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป....ที่ล่ะดวง

จิตจะรู้อาการของจิตได้ จะต้องให้จิตที่เป็นอาการของจิตดับไปเสียก่อน จึงจะเกิดจิตตัวรู้
จิตตัวรู้ก็คือรู้อาการของจิตตัวที่ดับไป

ดังนั้นความหมายของการแยกรูปแยกนาม มันไม่ใช่การที่รูปและนามแยกออกจากกัน
โสกะไม่รู้ว่า...รูปคืออะไร....ไม่รู้ว่านามคืออะไร ที่สำคัญไม่รู้กฏแห่งสังขาร

โสกะปฏิบัติด้วยความหลง เอาทิฐิเพียงคิดว่า การปฏิบัติที่ตนไปฟังมาจะทำให้ตนอยู่เหนือผู้อื่น
เหตุด้วยความหลงแต่แรก การอธิบายธรรมจึงไม่ได้มีสาระในธรรม
เห็นมีแต่เอาคำศัพท์มาปรุงแต่ง ให้ดูวิจิตรพิสดารเหมือนว่า การปฏิบัติของตนเหนือมนุษย์


asoka เขียน:
s006
ทำได้ 3 ขั้นตอนนี้ จิตจะรู้ขึ้นมาเอง ว่า สิ่งใดเป็นรูป สิ่งใดเป็นนาม สิ่งใดเป็นนามชนิดใด(สัมมาทิฏฐิเกิด) ถ้ายังรู้ไม่ชัด ให้กลับมาสังเกตที่ชีพจร อาการเต้นตอดเป็นรูป(ธาตุลม)....กลุ่มของจิตที่ไปรู้อาการเต้นตอด เป็น นาม ความเต้นตอดที่เห็น คือการเกิด - ดับ ของจิตรู้....(รู้-ดับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ) ซึ่งชีวิตที่แท้จริงก็มีแค่เพียง รู้ - ดับ เท่านี้เอง......ถ้ามีการปรุงรู้เพิ่มออกไปจากนี้ ก็เป็นเรื่องทันที คือเกิด กรรม และวิบากกรรมให้ต้องเสวยเป็นวงวัฏฏะอันไม่รู้จบ


ความเห็นนี้ไม่มีอะไรมากครับ ขอตอบสั้นๆ.....ตลกครับ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำรามีการบันทึกไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ก่อนที่จะประกาศธรรม มีพุทธดำริว่า

"ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ไม่อยู่ในวิสัยของตรรกะ ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงทราบ"

และมีข้อความเป็นคาถาต่อไปว่า

"ธรรม เราลุถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้ มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำ จะรู้เข้าใจได้ง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกอวิชชาห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก"

คำว่า ธรรม ในที่นี้ได้แก่อะไร ไ้ด้แก่ ปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กับคุณโฮฮับนี่ไม่อยากจะสนทนาด้วยเลย ชอบชักใบให้เรือเสีย ทำกระทู้ดีๆของเขาให้เสียหมด พล่านไปทั่วทั้งลาน ตำหนิติติงเขาไปทั่วทุกคน แต่ก็อดสงสารไม่ได้ ต้องเมตตาเฝ้าดูไปจนกว่า่คุณโฮฮับจะถูกสะกิดด้วยอะไรที่กำหราบคุณโฮฮับได้ หรือต้องรอให้เทพยดามาโปรด จนคุณโฮฮับตื่นขึ้นจากความหลับหลง


แน่ะ! ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง :b32:
คุณโสกะครับ ก่อนจะพูดอะไร ผมว่าดูใจตัวเองก่อนเถอะครับ ผมว่าคุณโสกะลืมดูใจตัวเอง
ไอ้อาการที่คุณกำลังว่าคนอื่น มันล้นออกมาจนชาวบ้านเห็นมองเห็นแล้วครับ

เรื่องชักใบให้เรือเสีย มันมีด้วยหรือ ประเด็นมันอยู่ที่ผมเห็นคุณ เอาอิทธิฤทธิ์อภินิหารย์
มาโยงพูดกับธรรมของพระพุทธเจ้า ผมเป็นพุทธศาสนิกที่ไม่เห็นด้วย ผมก็แสดงความเห็น
มันไม่ใช่การชักใบให้เรือเสีย แต่ผมกำลังกู้เรือที่มีคนนอกรีตกำลังจะจมเรือครับ

การที่คุณเห็นผมใช้วาจาที่ให้คุณรู้สึกไม่พอใจ นั้นเป็นเพราะผมต้องการเอาวาจา
ไปกระตุ้นเตือนว่าอะไรสมควรและอะไรไม่สมควร ถ้าคุณมองคำพูดผมด้วยความเป็นสาระในธรรม
คุณก็จะเห็นซึ่งกิเลสในใจตน
แต่ถ้าไม่เห็นคุณก็จะมองผมเป็นคนไม่ดี ตามแต่กิเลสในใจคุณจะลากไปครับ

คุณโสกะได้โปรดรับรู้ไว้เลยครับว่า ถ้าคุณแสดงความเห็น ในทางโฆษณาชวนเชื่อ
ชักจูงเพื่อนๆไปเคารพในศาสดาของคุณ ผมก็จะมาโต้แย้งคุณทุกความเห็น
และไม่ต้องให้ผมบอกน่ะว่า ศาสดาของคุณเป็นใคร มันผิดกฎของบอร์ด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตำรามีการบันทึกไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ก่อนที่จะประกาศธรรม มีพุทธดำริว่า

"ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ไม่อยู่ในวิสัยของตรรกะ ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงทราบ"

และมีข้อความเป็นคาถาต่อไปว่า

"ธรรม เราลุถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้ มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำ จะรู้เข้าใจได้ง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกอวิชชาห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก"

คำว่า ธรรม ในที่นี้ได้แก่อะไร ไ้ด้แก่ ปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน



ตามคาถานี้ จุดแข็งที่จะต้องกำจัดให้หมดไปจากจิตใจ หรืออย่างน้อยก็ให้ค่อยๆเบาบางลง ก็คือกิเลสมีราคะ อวิชชา เป็นต้นนั่น ถ้าเมื่อโยคาวจรปฏิบัติถูกต้องแล้วราคะ เป็นต้น ซึ่งเปรียบเสมือนเมฆหมอกในฤดูหนาว ที่ปกคลุมธรรมะนั้นก็จะค่อยๆจางลงๆ ทั้งเราและท่านก็จะค่อยๆเห็นธรรมะตามคาถานั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
:b12: :b12: :b12:
จากประเด็นที่อ้างอิงมาข้างบน โปรดสังเกตให้ดีนะครับ

เรื่องอื่นโปรดวินิจฉัยกันเอง แต่เอาเฉพาะตอนที่ว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเพียงสภาวะเดียว
พูดอย่างนี้ก็รู้ได้ทันทีว่า คุณโฮฮับรู้และเห็นมาทั้งหมดอย่างผิดธรรม จึงทำให้ฟั่นเฟือน

อนิจจัง ก็สภาวะหนึ่ง ทุกขัง ก็สภาวะหนึ่ง อนัตตาก็สภาวะหนึ่ง ลองไปถามนักอภิธรรมดูนะครับ


หาสติไม่ได้เลย ว่าชาวบ้านเขาป่าวๆ หาว่าเขาพูดปริยัติ
แต่ดูตัวเองซิ ......ฉอดๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็สรุป [b]ให้ไปถามนักอภิธรรม :b32:
พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือโสกะไม่รู้ว่า นักอภิธรรมก็คือนักปริยัติโดยตรง
ปฏิบัติธรรมปะสาอะไร แทนที่ปฏิบัติแล้วจะเข้าใจธรรม ดันมั่วธรรมซะเละ :b9:

แล้วเรื่องไตรลักษณ์ คนที่ไม่เคยเห็นมันก็มักจะเอาคำศัพท์มาแปล
แล้วก็มั่วอย่างโสกะนี่แหล่ะ

จะบอกให้ในสาระสำคัญที่เป็นวิชชาแท้ๆ
สภาวธรรมตัวนั้นก็คือ........สังขตธรรม
สังขตธรรมก็คือไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์เป็นลักษณะของสังขาร
ไตรลักษณ์ไม่ใช่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ไตรลักษณ์เป็นเหตุให้เกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ในความเป็นไตรลักษณ์ก็คือลักษณะของสังขาร นั้นก็คือ....การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
สภาวะแท้ๆของไตรลักษณ์จึงมีสาม....เกิด ตั้งอยู่ ดับไป

แต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาวะอนิจจังไม่มี สภาวะทุกขังไม่มี และสภาวะอนัตตาไม่มี
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นกฎแห่งธรรมชาติ เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม(กรุณาไปดูพระไตรปิฎกเพิ่มเติม)

เมื่ออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นกฎแห่งธรรมชาติ แต่จิตไปรู้กฎแห่งธรรมชาตินี้เข้า
สภาวะที่เกิดขึ้นมันจึงเป็น........สภาวะที่เรียกว่า ปัญญา

ปัญญาเป็นอาการของจิต ที่เกิดขึ้นโดยเป็นสภาวะเดี่ยว ไม่มีสอง สาม สี่

สรุป เหตุให้เกิดคือไตรลักษณ์มีสามคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ผลก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปัญญามีเพียง...หนึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตำรามีการบันทึกไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ก่อนที่จะประกาศธรรม มีพุทธดำริว่า

"ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ไม่อยู่ในวิสัยของตรรกะ ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงทราบ"

และมีข้อความเป็นคาถาต่อไปว่า

"ธรรม เราลุถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้ มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำ จะรู้เข้าใจได้ง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกอวิชชาห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก"

คำว่า ธรรม ในที่นี้ได้แก่อะไร ไ้ด้แก่ ปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน



ตามคาถานี้ จุดแข็งที่จะต้องกำจัดให้หมดไปจากจิตใจ หรืออย่างน้อยก็ให้ค่อยๆเบาบางลง ก็คือกิเลสมีราคะ อวิชชา เป็นต้นนั่น ถ้าเมื่อโยคาวจรปฏิบัติถูกต้องแล้วราคะ เป็นต้น ซึ่งเปรียบเสมือนเมฆหมอกในฤดูหนาว ที่ปกคลุมธรรมะนั้นก็จะค่อยๆจางลงๆ ทั้งเราและท่านก็จะค่อยๆเห็นธรรมะตามคาถานั้น



มีคำถามต่อไปอีกว่า ตอนนี้ทั้งเราและท่านลงมือทำลงมือปฏิบัติเป็นชิ้นเป็นอันหรือยัง ถ้าปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติถูกต้องไหม เป็นไปเพื่อกำจัดกิเลสตัณหาอุปาทานหรือไม่

อย่างที่คุณอโศกทำนั้นเป็นไปเพื่อกำจัดกิเลสาสวะไหม หรือ เพียงแค่จับชีพจรวัดความดันโลหิตตุ้บๆตอดๆไป แล้วก็คิดเพื่อให้ตัวสบายใจว่านั่นแหละธรรม นี่ไม่ใช่นั่น นั่นแหละนี่ :b1:

ถามว่า อ้าว...ทำไม่ได้หรอ ตอบว่า ไ้ด้ ไม่มีปัญหาอะไร ทำแล้วสบายใจก็ทำไป ตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ชีวิตสั้นนัก คิดอะไรแล้วสบายใจก็คิดไปเถอะ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004

ดูภาพประกอบข้างบนด้วยว่าทำไมถึงบอกว่า อนิจจังชัดแล้วก็ลัดออก เห็นทุกขังชัดแล้วลัดออก เห็นอนัตตาชัดแล้วก็ลัดออก มีเหตุผลมาจากไหน ที่คุณโฮฮับยังไม่รู้ หรือรู้ไม่ซึ้ง รู้ไม่ถึงจริง
[/color]
onion onion onion

ขออนุญาติที่จะบอกว่า ...รูปที่คุณเอามาลงมันเลอะเทอะครับ
คนเขียนไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว ไม่เคยเห็นสภาวะตามความเป็นจริง
ไปลอกเอาคำศัพท์มาคำแล้วก็มาเสกสรรปั่นแต่ง จนเป็นรูปภาพเพื่อเพิ่มความสนใจ
แต่สาระธรรมผิดเพี้ยน.................

ผมวานคุณโสกะไปถามคนเขียนรูปนั้นหน่อยครับว่า รู้จักธรรมฐิติ ธรรมนิยามมั้ย
เกริ่นให้เขาฟังหน่อยก็ได้ว่า เป็นธรรมที่อยู่คู่โลกใบนี้น่ะ

ดันไปเอาธรรมที่เป็นกฎแห่งธรรมชาติ มาอธิบายคู่กับสภาวะที่เกิดในกายใจตน
แบบนี่เขาเรียก......อวิชาครับ

เห็นแค่คำศัพท์ในตำรา ก็เอามาเสกสรรไม่ได้มีความรู้สักนิด
เรื่องจิตหยาบ ผมก็ไม่รู้ว่าคุณเอาอะไรมาเป็นหลัก คนหนึ่งเห็นคำศัพท์
แล้วก็เอามาสร้างเป็นรูปภาพซะฟุ้งเลอะเทอะ จะบอกให้น่ะ.........
จิตละเอียดมันต้องรู้เหตุที่มาของบัญญัติ ไม่ใช่เอาบัญญัติไปปรุงแต่งนอกลู่นอกทาง


asoka เขียน:
s004
ประตูทางออกสู่พระนิพพาน มีอยู่ 3 ประตู เคยรู้หรือเปล่าโฮฮับ พิจารณารูปภาพที่ยกมาให้ดี รูปภาพบอกได้ดีกว่าคำบรรยายแบบน้ำท่วมทุ่งอย่างที่คุณโฮฮับทำ (เป็นวิญญูชนจึงจะรู้และตีความหมายจากภาพออก พาลชนไม่อาจรู้ได้เพราะมีจิตใจอันหยาบเกินไปที่จะรู้เรื่องธรรมอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งเช่นนี้)


ไอ้นี่ก็มั่ว เห็นได้ชัดว่า เอาคำศัพท์ไปสร้างความหมายใหม่ คิดเองเออเอง

ความหมายของประตูนิพพานมีสามทาง มันใช่อย่างที่โสกะกำลังมั่วที่ไหนกัน
ประตูนิพพานมีสามทาง ท่านหมายถึงการปฏิบัติให้ถึงนิพพานมีสามทาง นั้นก็คือ
๑......สุตตมยปัญญา
๒......จินตมยปัญญา
๓......ภาวนามยปัญญา

โสกะกรุณาอย่ารั้นและโปรดเข้าใจตามนี้ อย่าถึงกับต้องฉุดกระชากลากถู
ต้องเข้าใจว่า เขากำลังช่วยไม่ให้ลงเหว ไม่ให้จมปรักกับอวิชา :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 22:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน



อ้อ วิธีแยกรูปแยกนามของคุณอโศก :b32: เป็นจะอี้ :b13:

ทำให้นึกถึงหมอแผนโบราณจับชีพจร (วัดการเต้นของหัวใจ) ตรงข้อมือเรา แต่แพทย์แผนปัจจุบันมีเครื่องช่วยฟัง (เครื่องมือแพทย์ ไม่รู้ชื่ออะไร) การเต้นๆตอดๆของหัวใจ :b14: :b9: ใครเคยไปหาหมอจะเห็น

เจริญธรรม :b21:

:b7:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด"
onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน



อ้อ วิธีแยกรูปแยกนามของคุณอโศก :b32: เป็นจะอี้ :b13:

ทำให้นึกถึงหมอแผนโบราณจับชีพจร (วัดการเต้นของหัวใจ) ตรงข้อมือเรา แต่แพทย์แผนปัจจุบันมีเครื่องช่วยฟัง (เครื่องมือแพทย์ ไม่รู้ชื่ออะไร) การเต้นๆตอดๆของหัวใจ :b14: :b9: ใครเคยไปหาหมอจะเห็น

เจริญธรรม :b21:

:b7:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด"


ดังกล่าวนั่่นพอมีหลักฐานจากคัมภีร์อ้างอิงไหมครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 23:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg
ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg [ 50.12 KiB | เปิดดู 3120 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
s004

ดูภาพประกอบข้างบนด้วยว่าทำไมถึงบอกว่า อนิจจังชัดแล้วก็ลัดออก เห็นทุกขังชัดแล้วลัดออก เห็นอนัตตาชัดแล้วก็ลัดออก มีเหตุผลมาจากไหน ที่คุณโฮฮับยังไม่รู้ หรือรู้ไม่ซึ้ง รู้ไม่ถึงจริง
[/color]
onion onion onion

ขออนุญาติที่จะบอกว่า ...รูปที่คุณเอามาลงมันเลอะเทอะครับ
คนเขียนไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว ไม่เคยเห็นสภาวะตามความเป็นจริง
ไปลอกเอาคำศัพท์มาคำแล้วก็มาเสกสรรปั่นแต่ง จนเป็นรูปภาพเพื่อเพิ่มความสนใจ
แต่สาระธรรมผิดเพี้ยน.................

ผมวานคุณโสกะไปถามคนเขียนรูปนั้นหน่อยครับว่า รู้จักธรรมฐิติ ธรรมนิยามมั้ย
เกริ่นให้เขาฟังหน่อยก็ได้ว่า เป็นธรรมที่อยู่คู่โลกใบนี้น่ะ

ดันไปเอาธรรมที่เป็นกฎแห่งธรรมชาติ มาอธิบายคู่กับสภาวะที่เกิดในกายใจตน
แบบนี่เขาเรียก......อวิชาครับ

เห็นแค่คำศัพท์ในตำรา ก็เอามาเสกสรรไม่ได้มีความรู้สักนิด
เรื่องจิตหยาบ ผมก็ไม่รู้ว่าคุณเอาอะไรมาเป็นหลัก คนหนึ่งเห็นคำศัพท์
แล้วก็เอามาสร้างเป็นรูปภาพซะฟุ้งเลอะเทอะ จะบอกให้น่ะ.........
จิตละเอียดมันต้องรู้เหตุที่มาของบัญญัติ ไม่ใช่เอาบัญญัติไปปรุงแต่งนอกลู่นอกทาง


asoka เขียน:
s004
ประตูทางออกสู่พระนิพพาน มีอยู่ 3 ประตู เคยรู้หรือเปล่าโฮฮับ พิจารณารูปภาพที่ยกมาให้ดี รูปภาพบอกได้ดีกว่าคำบรรยายแบบน้ำท่วมทุ่งอย่างที่คุณโฮฮับทำ (เป็นวิญญูชนจึงจะรู้และตีความหมายจากภาพออก พาลชนไม่อาจรู้ได้เพราะมีจิตใจอันหยาบเกินไปที่จะรู้เรื่องธรรมอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งเช่นนี้)


ไอ้นี่ก็มั่ว เห็นได้ชัดว่า เอาคำศัพท์ไปสร้างความหมายใหม่ คิดเองเออเอง

ความหมายของประตูนิพพานมีสามทาง มันใช่อย่างที่โสกะกำลังมั่วที่ไหนกัน
ประตูนิพพานมีสามทาง ท่านหมายถึงการปฏิบัติให้ถึงนิพพานมีสามทาง นั้นก็คือ
๑......สุตตมยปัญญา
๒......จินตมยปัญญา
๓......ภาวนามยปัญญา

โสกะกรุณาอย่ารั้นและโปรดเข้าใจตามนี้ อย่าถึงกับต้องฉุดกระชากลากถู
ต้องเข้าใจว่า เขากำลังช่วยไม่ให้ลงเหว ไม่ให้จมปรักกับอวิชา :b13:

:b7:
โฮฮับเอ๋ยโฮฮับ ช่างน่าสงสารช่างน่าเวทนายิ่งนัก พล่ามตอบมามากมายหลายกระบุง เป็นน้ำท่วมทุ่ง ถูกๆผิดๆ
เห็นผิดธรรมไปหมด ทั้งเรื่องไตรลักษณ์ และเรื่องอื่นๆ แต่ข้อท้ายที่ยกมานี้ ยิ่งแสดงความไม่รู้ มืดบอดในสัจจธรรมที่ถูกต้องแท้จริง จนสร้างกรรมหนักให้กับตนเองอย่างไม่รู้ตัว

ภาพทางออกสู่พระนิพพานทั้ง 3 ประตูนี้ ได้มาจากหลวงพ่อพุทธวาที วัดพุทธวาที โกไมล์ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ท่านเมตตา ให้แปลเป็นภาษาไทยบรรยายประกอบ หลวงพ่อพุทธวาทีเป็นศิษย์สำนักเดียวกับท่านอาจารย์อูบาขิ่น ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านโกเอ็นก้าอีกทีหนึ่ง ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าเป็นอย่างไร คุณโฮฮับคงรู้ดี

คุณไม่มีปัญญารู้ถึงภาพธรรมอันลึกซึ้งก็อย่าได้หลงวิพากษ์วิจารณ์ไปด้วยความไม่รู้ จะพลาดโอดกาสได้บรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน ทัน ในชาติปัจจุบันนี้

ความคิดเห็นในข้ออื่นๆ ผมจะค่อยๆ ไปคัดสรรค์มาชี้แนะให้รู้ว่าคุณโฮฮับ รู้ผิด เห็นผิด คิดผิดมาอย่างไรบ้าง อดใจคอยฟังการวิจารณ์นะครับ

:b12: :b12: :b12:
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2013, 07:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน



อ้อ วิธีแยกรูปแยกนามของคุณอโศก :b32: เป็นจะอี้ :b13:

ทำให้นึกถึงหมอแผนโบราณจับชีพจร (วัดการเต้นของหัวใจ) ตรงข้อมือเรา แต่แพทย์แผนปัจจุบันมีเครื่องช่วยฟัง (เครื่องมือแพทย์ ไม่รู้ชื่ออะไร) การเต้นๆตอดๆของหัวใจ :b14: :b9: ใครเคยไปหาหมอจะเห็น

เจริญธรรม :b21:

:b7:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด"
onion onion


สังเกตุ คือ........สัมปชัญญะ

ปัญญาไม่ใช่สัมมาสังกัปปะโดยตรง แต่ปัญญาเป็นเหตุให้เกิด ....สัมมาสังกัปปะ

ความหมายของสังเกตุ โดยรวมแล้วคือการพิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจ โดยอาศัยหลักของ
ปัญญาและสติสัมปชัญญะ หลักการก็คือ พิจารณาหาเหตุแห่งธรรมที่เกิดขึ้น เช่นทุกข์

ส่วนวิปัสสนา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพิจารณา แต่ยังไม่ถึงระดับของการพิจารณาธรรม
เพราะวิปัสสนาเป็นการทำให้จิตเป็นสมาธิ ดูอารมณ์ที่เกิด
ความหมายก็คือดูเฉยๆ ยังไม่ถึงขั้นการพิจารณา

การสังเกตุ ตามที่โสกะยกมา โดยเหตุปัจจัยของการปฏิบัติแล้ว เป็นการให้จิตทันต่อ
สิ่งที่มากระทบทวารทุกทวาร แล้วพิจารณาเหตุปัจจัยแห่งการกระทบนั้น

ดังนั้นถ้าเราเริ่มต้นด้วยการสังเกตุ .........วิปัสสนาจะไม่เกิด
เพราะวิปัสสนาคือการดูอารมณ์เฉยๆ หมายความว่า.....ไม่ให้คิดและไม่ให้บังคับจิต(ไม่เพ่ง)

ส่วนสังเกตุ ถ้าเป็นความหมายในทางธรรม คือการพิจารณา จะต้องอาศัย ปัญญาลงมาเป็นส่วนประกอบในความคิด สรุปก็คือความคิด


สรุปที่โสกะพูดมา มันคนล่ะเรื่อง จับแพะชนแกะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2013, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน



อ้อ วิธีแยกรูปแยกนามของคุณอโศก :b32: เป็นจะอี้ :b13:

ทำให้นึกถึงหมอแผนโบราณจับชีพจร (วัดการเต้นของหัวใจ) ตรงข้อมือเรา แต่แพทย์แผนปัจจุบันมีเครื่องช่วยฟัง (เครื่องมือแพทย์ ไม่รู้ชื่ออะไร) การเต้นๆตอดๆของหัวใจ :b14: :b9: ใครเคยไปหาหมอจะเห็น

เจริญธรรม :b21:

:b7:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด"


ดังกล่าวนั่่นพอมีหลักฐานจากคัมภีร์อ้างอิงไหมครับ :b1:


ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ท่านเรียก :b32: ตอบไม่ได้ หรือเราถามไม่ชัด :b10:

ถ้างั้นถามใหม่นะครับนะ

ที่ว่าเนี่ย

อ้างคำพูด:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด


พอจะเทียบกับหลักธรรมข้อใดหรือคัมภีร์ไหนได้บ้าง :b10: :b14:

คุณอโศกเรียนต่อมาจากใครหรืออย่างไรครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2013, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับเอ๋ยโฮฮับ ช่างน่าสงสารช่างน่าเวทนายิ่งนัก พล่ามตอบมามากมายหลายกระบุง
เป็นน้ำท่วมทุ่ง ถูกๆผิดๆ
เห็นผิดธรรมไปหมด ทั้งเรื่องไตรลักษณ์ และเรื่องอื่นๆ แต่ข้อท้ายที่ยกมานี้ ยิ่งแสดงความไม่รู้ มืดบอดในสัจจธรรมที่ถูกต้องแท้จริง จนสร้างกรรมหนักให้กับตนเองอย่างไม่รู้ตัว


โสกะเอ๋ย! ผมต่างหากที่รู้สึกสมเพทตัวคุณเป็นยิ่งนัก ไม่รู้เรื่องแต่ทำเป็นอวดดี
ผิดธรรมอันเป็นพุทธพจน์ และที่ไม่น่าให้อภัยยังเอาคำสอนของอาจารย์
มาสื่อความหมายผิดจากต้นตอ


โสกะเอ๋ยโสกะ ผมจะบอกให้ว่ารูปที่คุณเอามาน่ะ มันไม่ได้หนีปริยัติไปไหนเลย
มันเป็นปริยัติทั้งดุ้น มันเป็นพระอภิธรรมในส่วนของ พระอภิธัมมัตถสังคหะ

คุณคงจำได้ที่ผมบอกว่า นิพพานมีสามทาง นั้นก็คือการปฏิบัติให้ถึงนิพพาน
มีอยู่สามมรรควิธี นั้นก็คือ......
๑.สุตตมยปัญญา
๒.จินตมยปัญญา
๓.ภาวนามยปัญญา

รูปที่คุณเอามา มันเป็นการอธิบายมรรควิธีส่วนย่อยของ......ภาวนามยปัญญา
ความหมายแท้ของการทำภาวมยปัญญาก็คือการเอาปัญญาไตรลักษณ์ ไปเพ่งหรือทำฌาน

การเพ่ง ท่านไม่ได้เพ่งสิ่งที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตา
ท่านท่านเพ่งที่ตัวสังขาร นั้นก็คือเพ่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
และในการเพ่งนั้นจะต้องมีปัญญามาประกอบด้วย ปัญญาเป็นสภาวะเดียว
แต่มีความหมายหรือผลเป็นสาม นั้นก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


ผู้ปฏิบัติจะเลือกเอาอย่างใดมาเป็นผลของของเพ่งก็ได้
ถ้าเลือกการเพ่งสังขารให้เกิดผลเป็น....อนิจนิจจัง เราก็เรียกการเพ่งนั้นว่า....อนิมิตนิพพาน
ถ้าเลือกเพ่งสังขารโดยให้ผลเป็น.........ทุกขัง เราเรียกการเพ่งนั้นว่า.....อัปปณิหิตนิพพาน
ถ้าเลือกเพ่งสังขารโดยให้ผลเป็น.........อนัตตา เราเรียกการเพ่งนั้นว่า.....สุญญตนิพพาน

โสกะเปรียบเหมือนนกแก้วที่เกาะอยู่บนตอไม้ ไปหยิบยกคำสอนของอาจารย์ตนมา
โดยไม่รู้ความหมาย ไม่รู้เลยว่า สิ่งอาจารย์ตนพูด ก็ไปลอกถอดแบบมาจากพระอภิธัมมัตถสังคหะ
ยกยออาจารย์ตนสูงส่งเกินพระพุททธองค์ ปรามาสปริยัติ ทั้งๆที่ปริยัติคือปัญญาของพระพุทธเจ้า


โสกะโปรดรับรู้ไว้ครับว่า รูปที่คุณเอามาลงมันเป็นการลอกเลี่ยนเขามา
แล้วก็มาต่อเติมเสริมแต่ง ทำเป็นรูปภาพ มันก็แค่ตำราที่ลอกมาจากปริยัติ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2013, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ภาพทางออกสู่พระนิพพานทั้ง 3 ประตูนี้ ได้มาจากหลวงพ่อพุทธวาที วัดพุทธวาที โกไมล์ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ท่านเมตตา ให้แปลเป็นภาษาไทยบรรยายประกอบ หลวงพ่อพุทธวาทีเป็นศิษย์สำนักเดียวกับท่านอาจารย์อูบาขิ่น ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านโกเอ็นก้าอีกทีหนึ่ง ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าเป็นอย่างไร คุณโฮฮับคงรู้ดี


ที่คุณพูดมา ผมเคยได้ยินแต่ท่านโกเอ็นก้า ที่ว่าได้ยินก็เพียงได้ยินแต่ชื่อในเว็บบอร์ด
ผมไม่เคยสนใจตัวบุคคลครับ ดังนั้นก็อย่าเอาคนโน้นคนนี้มาอ้าง มิเช่นนั้นผมจะถือว่า
คุณเอาชื่อบุคคลมาข่มขู่ผม ผมมีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์โต้แย้งกลับไป ถ้าเกิดเหตุที่ไปกระทบกระทั่ง
กับบุคคลที่คุณเอามาอ้าง คุณต้องเป็นผู้รับผิดชอบ .....โปรดเข้าใจตามนี้ และขอให้ผู้ดูแล
กรุณาเก็บเอาความเห็นของผมไว้พิจารณา เมื่อถึงเวลาที่ต้องเอากฎของเว็บมาเป็นหลัก


asoka เขียน:

คุณไม่มีปัญญารู้ถึงภาพธรรมอันลึกซึ้งก็อย่าได้หลงวิพากษ์วิจารณ์ไปด้วยความไม่รู้ จะพลาดโอดกาสได้บรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน ทัน ในชาติปัจจุบันนี้


ก็สักแต่พูดอย่างนี้ แบบนี้เขาเรียกว่า...ไปน้ำขุ่นๆ
คุณว่าเราสมควรเรียกใครว่าเป็นคนไร้ปัญญา
ระหว่าง คนพูดได้ทุกเรื่องกับคนที่ฟังเขาไม่เข้าใจครับ

โสกะหัดแยกแยะครับ อย่างแรกเลย....คุณต้องหาเหตุผลมาอธิบายให้ได้ว่าผมเป็นอย่างที่คุณพูด
ตรงข้ามคุณลองดูซิว่า ผมบอกคุณพูดผิดคุณไม่เข้าใจ .....ผมก็เหตุผลมาอ้างอิงหรือเปล่า :b6:

asoka เขียน:

ความคิดเห็นในข้ออื่นๆ ผมจะค่อยๆ ไปคัดสรรค์มาชี้แนะให้รู้ว่าคุณโฮฮับ รู้ผิด เห็นผิด คิดผิดมาอย่างไรบ้าง อดใจคอยฟังการวิจารณ์นะครับ


มาเลยครับผมได้ทุกเรื่อง ขอแต่อย่าเอาเรื่องที่ฟังแล้วมันเพี้ยนๆ อย่างเช่น..
รู้สึกถึงชีพจรมันตอดๆๆๆๆๆๆ แบบนี้ไม่เอาครับ...ฟังแล้วทำให้เสียมรรยาท เพราะอดขำไม่ได้ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 00:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




G1 หินลับมีดปัญญา 85kb.jpg
G1 หินลับมีดปัญญา 85kb.jpg [ 73.3 KiB | เปิดดู 3069 ครั้ง ]
กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb_resize.jpg
กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb_resize.jpg [ 45.99 KiB | เปิดดู 3067 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน



อ้อ วิธีแยกรูปแยกนามของคุณอโศก :b32: เป็นจะอี้ :b13:

ทำให้นึกถึงหมอแผนโบราณจับชีพจร (วัดการเต้นของหัวใจ) ตรงข้อมือเรา แต่แพทย์แผนปัจจุบันมีเครื่องช่วยฟัง (เครื่องมือแพทย์ ไม่รู้ชื่ออะไร) การเต้นๆตอดๆของหัวใจ :b14: :b9: ใครเคยไปหาหมอจะเห็น

เจริญธรรม :b21:

:b7:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด"


ดังกล่าวนั่่นพอมีหลักฐานจากคัมภีร์อ้างอิงไหมครับ :b1:

:b12:
ไม่ต้องอ้างคัมภีร์ เพราะมีสภาวะจริงๆให้พิสูจน์ได้ทันที ทุกเมื่อ ในกายของคุณกรัชกายเอง ทำไมต้องไปอ้างคัมภีร์ กลัวผิดธรรม ผิดทางหรือ แสดงว่ายังไม่เข้าใจถ่องแท้ว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็คือ เรื่องของกาย ของใจ มีอยู่ในกายในใจหรือจิตของเรานี้ทั้งสิ้น คัมภีร์เล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบเล่มนี้แหละที่มีธรรมะให้พิสูจน์ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ หรือมากกว่า เพราะมีอีกหลายเรื่องที่พระบรมศาสดาไม่นำมาแสดงแต่ทรงทิ้งไว้ให้พุทธสาวกพิสูจน์ความจริงกันเอาเอง
onion onion onion
รู้วิธีการอ่านธรรมในกายและจิตให้ถูกต้อง และถูกวิธีซิ ทุกอย่างมีในกายใจนี้ทั้งหมด

ถ้ายังไม่รู้วิธี พึงใส่ใจ และทำความละเอียดเรื่องปัจจุบันอารมณ์ให้มากๆ แล้วจะพบวิธีปฏิบัติธรรมตามธรรมชาติเฉพาะตัวของคุณกรัชกายเอง

:b4: :b4:
กรัชกาย
อ้างคำพูด:
ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ท่านเรียก :b32: ตอบไม่ได้ หรือเราถามไม่ชัด :b10:

ถ้างั้นถามใหม่นะครับนะ

ที่ว่าเนี่ย

อ้างคำพูด:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด


พอจะเทียบกับหลักธรรมข้อใดหรือคัมภีร์ไหนได้บ้าง :b10: :b14:

คุณอโศกเรียนต่อมาจากใครหรืออย่างไรครับ

:b12:
หลักธรรมก็คือว่า ...เมื่อกายและจิต สงบ สยบนิวรณ์ได้แล้ว ย่อมควรแก่การทำงานบำเพ็ญเพียรทางจิต เพราะขณะนั้น สติ ปัญญา จะมีความคมกล้า สามารถรู้เห็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ่ง ทั้งปวง สมาธิ หรือความตั้งมั่นของจิตก็ทนต่อการทำงานพิสูจน์ธรรม ค้นคว้าวิจัยธรรมได้เป็นระยะเวลายาวเพียงพอที่จะ รู้ เห็น อารมณ์ต่างๆตั้งแต่เกิดขึ้น....ตั้งอยู่....จนดับไป
:b16:
คัมภีร์....ผมอ้างคัมภีร์ไม่ค่อยเป็นครับ ต้องขออภัย
:b1:
เรื่องเครื่องชี้วัดระดับของสมาธิ หรือความสงบในกายและจิตดังรูปที่แสดง มีลำดับที่ละเอียดลึกลงไปเริ่มจาก ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย และสังขารุเปกขาญาณเป็นที่สุดนี้ เป็นผลจากการพิสูจน์ธรรมของอโศกะเอง เห็นว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับ ผู้คนทั่วไป จึงนำมาทำเป็นไดอะแกรม แผ่นภาพ และเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทัศนะ ครับ ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ก็ท้าให้พิสูจน์ เพราะมีความจริง(สัจจะ)รองรับอยู่ในกาย ใจ นี้เสมอๆ ชั่วกาลนาน
:b8:
onion
ภาพที่ยกมาประกอบเขียนขึ้นเมื่อปี 2548 โดยอาศัยศิษย์ที่เก่งคอมพ์ ทำรูปให้ จึงไม่มีขั้นตอนหัวใจเต้น และระดับที่ 5 ลึกสุดที่ว่า นิ่งรู้อยู่เฉยๆ ไม่ได้ระบุว่าเป็น...สังขารุเปกขาญาณ....

ระดับของสมาธิ อธิบายให้เข้ากับยุคสมัย ในภาษาและตัวอย่างของจริงที่จะให้รู้ง่ายเห็นง่าย จึงอาจไม่เหมือนในตำราหรือคัมภีร์ แต่สภาวะเมื่อเข้าถึงเป็นอันเดียวกันครับ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนีเลย ท้าให้พิสูจน์ด้วยครับคุณกรัชกาย

ผมเคยแนะนำคนที่เขาไม่มีมานะทิฏฐิมากลองพิสูจน์ดู เขาลงมือทำ แล้วได้ประโยชน์กับการปฏิบัติภาวนาของเขาต่อไปมากๆเลยครับ หลายท่านชำระจิตให้ขาว จนเกือบจะรอบได้ โดยอาศัยเครื่องชี้วัดเหล่านี้มาทำเป็นกรรมฐานก็มีครับ
:b27:
ที่สังเกตได้และมีจำนวนซ้ำทางสถิติค่อนข้างสูงคือ

ถ้านักศึกษาคนใด สามารถทำความสงบกายสงบใจและรู้ชัดชีพจรทั้งร่างได้ภายในเวลา1 - 3 นาที หรือรู้ได้เสมอ คนผู้นั้น จะรู้ธรรมเห็นธรรม บรรลุธรรม รวดเร็วมากครับ บางคน 3 วัน กูตาย มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นนายแพทย์
ได้ฟังเรื่องนี้แล้วนำไปทดสอบ หลังจากนั้นเกิดการต่อยอดขึ้นไปเองโดยธรรม อีกวันครึ่ง อนัตตาก็ชัด กูก็พลอยตายไปด้วย น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ
:b8:
:b27:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 175 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร