วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 06:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ไม่บังคับให้เชื่อ เมื่อไม่บังคับ เขาหรือเรารู้เข้าใจธรรมะแค่ไหนก็พูดได้แค่นั้นทำได้เท่าที่ตนรู้ ซึ่งต่างจากศาสนาที่สอนเน้นศรัทธา (ความเชื่อ) ศาสดาบอกว่า เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง คือ ดวงอาทิตย์ นั่นคือเทพของพวกเจ้า เจ้าจงบูชากราบไว้ไหว้ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นเทพแห่งแสงสว่างนั่น สาวกก็จะนั่งลงไหว้พระอาทิตย์ตามที่ศาสดาสั่งสอน :b1:


ศาสนาพุทธเน้นเรื่องศรัทธา ศรัทธากับความเชื่อแตกต่างกัน
ศรัทธาประกอบด้วยปัญญา มีเหตุมีผล ส่วนความเชื่อนั้นไม่ประกอบด้วยปัญญา

เป็นเช่นนี้ ใครที่ปราศจากศรัทธาในตัวเรา เมื่อเขาถามอะไรเรา
มันก็ป่วยการที่จะตอบในสิ่งที่เขาถาม :b13:


อ้างคำพูด:
ศาสนาพุทธเน้นเรื่องศรัทธา ศรัทธากับความเชื่อแตกต่างกัน



แค่พูดนี่ก็ผิดแล้วโฮฮับ ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อ (ไม่แปลก็ได้ ศรัทธา คือ ความเชื่อ) แต่ความเชื่อไม่แน่หรอกว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ จะมีปัญญาประกอบไหม เชื่อแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้เห็นได้เยอะแยะไป :b13:

ศรัทธา กับ ปัญญาคนละสภาวะกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 15:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสริมให้อีกหน่อย จะเรียกว่าเสริมความรู้หรือเพิ่มความฟุ้งซ่านพล่านไปก็ลองดู :b13:



อ้างคำพูด:
ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้




แต่อาจเป็นทางเชื่อมต่อนำไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน


ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้นก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญาและการรู้จริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้น หรือ แหล่งความรู้นั้น มีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา

แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงาย คือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่น หรือแหล่งแห่งความรู้นั้น ไม่มีคามรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น


ปัญญา คือ ความรอบรู้



ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะ หรือมองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามี สิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก




(ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 22:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12:
ติดภาระกิจไม่ได้เข้ามาดูกระทู้ แพล้บเดียว คุณโฮฮับกับคุณกรัชกายเอาบัญญัติ ปริยัติธรรม มาหว่าน มาแตกแจกประเด็นจนท่วมท้น ล้นเหลือ เฝือมาก จนแทบจะหาหัวหาหางไม่เจอ

คุณโฮฮับบอกว่าเข้าอรูปฌาณมาแล้ว คุณกรัชกายก็เฝ้าย้ำซ้ำ ถามถึงวิธีปฏิบัติแบบ 1 - 2 - 3 ถามย้ำว่าทำอย่างไร เมื่อไหร่จะบอก

ถามสักนิดเถอะว่า คุณกรัชกาย กับคุณโฮฮับ ทำความสงบ ทำความตั้งมั่นของจิต จน นาม - รูป แยกออกจากกันได้ ใช้เวลาคนละกี่นาที...........

วิปัสสนาญาณ จะเริ่มขึ้นได้ ต้องเริ่มจากบันไดขั้นที่ 1 คือ นาม รูป ปริเฉทญาณ.......วิปัสสนาภาวนา ถ้าไม่พูดถึงตรงนี้ก่อน ทำไม่ได้ตรงนี้ ที่ฟุ้งรู้ไปทั้งหมด จนถึงวิปัสสนาญาณ 9 อย่างคุณกรัชกาย ก็ฟุ้งรู้ตามบัญญัติปริยัติธรรม

ที่เห็นไตรลักษณ์อย่างที่โฮฮับพูดมา ก็เห็นโดยความคิดนึกหรือวิปัสสนึก เพราะขนาดนาม รูป ปริเฉทญาณ สภาวะเป็นอย่างไรยังไม่รู้จักกันเลย

ผู้รู้.....กับสิ่งที่ถูกรู้ จะต้องแยกออกจากกันชัดเจน ด้วยอำนาจ ของ สติ ปัญญาสัมมาสังกัปปะและสัมมาทิฏฐิ โดยมีสมาธิระดับขณิกะ...หรืออุปจาระเป็นแรงหนุน


เครื่องชี้วัดที่ง่ายๆคือ เมื่อไหร่ที่ทำจิตนิ่งสงบได้จนสามารถสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของหัวใจหรือชีพจรได้ โดยความคิดนึกหยุดไปเป็นช่วงสั้นๆ มีแต่ผู้รู้ รู้อยู่กับอาการเต้นตอดของหัวใจหรือชีพจรชัดเจนอยู่อย่างนัั้น

ผู้รู้ คือ นาม.......อาการเต้นตอดของชีพจร เป็นสภาวะธาตุลม.....เป็น...สิ่งที่ถูกรู้ เป็น รูป เขาแยกรู้กันอยู่อย่างนี้ เป็นคนละอันกัน.....นี่คือลักษณะที่เรียกว่า รูป นาม แยกจากกัน เป็นอย่างง่ายๆเบื้องต้น

ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนาต่อจากนั้นไปแล้ว จึงจะสามารถแจกแจงธรรมสภาวะไปได้เป็นลำดับๆ ตามขั้นตอนของวิปัสสนาญาณ 16 แบ่งเป็น 3 กลุ่มๆที่ 1 เริ่มจากการแยกรูปแยกนามชัดแล้วก็ ..... เห็นความสงบ...เห็นเหตุ ปัจจัย....เห็นความเกิด-ดับ.....เห็นมีแต่ความความดับไปๆ ของสภาวธรรมทั้งปวง(เข้าใจอนิจจัง)

กลุ่มที่ 2 เห็นภัยในทุกข์....กลัวภัยในทุกข์...เบื่อหน่ายในทุกข์....ดิ้นรนที่จะให้พ้นจากทุกข์......(เข้าใจความเป็นทุกขัง)

กลุ่มที่ 3 พิจารณาย้อนกลับว่าทางอันใดคือทางพ้นจากทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงจนพบว่ามีทางสายเดียวเท่านั้น คือวิปัสสนาภาวนาที่กำลังเจริญอยู่นี้ จึงเกิดความเพียรอย่างอุกกฤต .......ได้เข้าถึงสภาวะหยุดความปรุงแต่งไปชั่วคราว......สมาธิถึงจุดสุดยอดจนสามารถรวมเอาธรรมทั้ง 84,000 มารวมเป็น 1 ......ก้าวข้ามโคตรปุถุชนไปสู่อริยชน....โสดาปัตติมรรคญาณ เกิดขึ้นทำลาย สักกายทิฏฐิ ขาดสะบั้น ........เสวยผลนิโรธ หลายขณะจิต .....พิจารณาททบทวนย้อนหลังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงไม่หวนกลับมาได้อีก ......วิจิกิจฉาและศสสีลัพพัตปรามาส ดับสนิทตอนนี้ (เข้าใจอนัตตาโดยสมบูรณ์)......รู้ซึ้งแจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทโดยสภาวะ

ที่เล่ามานี้ก็ต้องถือว่าเป็นปริยัติธรรม แต่เป็นปริยัติจากการปฏิบัติจริง ซึ่ง ทุกคนจะได้สัมผัสแต่ใครจะชัดตรงส่วนไหน นั้นแล้วแต่อุปนิสัยที่สร้างสมมา บางคนชัดอนิจจังแล้วก็ลัดออก....บางคนชัดทุกขัง แล้วก็ลัดออก.....บางคนชัดอนัตตาแล้วก็ลัดออก

เล่าอย่างนี้โฮฮับกับกรัชกายจะเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครจะข้ามโคตรปุถุชนได้ ต้องผ่าน 16 ขั้นตอนนี้ทุกคน แต่จะมี สติ ปัญญา บุญ วาสนา บารมี เห็นทัน รู้ทันทุกขั้นตอน หรือชัดบางขั้นตอน หรือ เอาตัวรอดได้แต่มาจำแนกแจกแจงให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ ก็มี...ส่วนเจ้าของกระทู้ พิสูจน์สภาวะก่อนแล้วจึงค่อยมาเทียบกับที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาแจกแจงไว้ ก็เห็นว่าถูกต้องตรงกันทุกสิ่งอัน จึงเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมะนอกตำรา

ดังนั้นทั้งคุณโฮฮับและคุณกรัชกายอย่าสงสัยฟุ้งปรุงแต่งไปเป็นเรื่องอื่นเลยนะ

กลับมาถามตัวเองว่า ฉันแยกรูป แยกนามออกจากกันได้เด่นชัดภายในเวลากี่นาที.....ถ้ายังแยกไม่ได้ ไม่คล่องแคล่วฉับไว วิปัสสนาปัญญาก็ไม่อาจเจริญงอกงามได้ ในจิตใจที่เต็มไปด้วยปริยัติธรรม
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 01:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่จะเข้าไปเห็นธรรมนั้น ศรัทธาก็มีความสำคัญ การน้อมเอาตัวเองเข้าสู่การปฏิบัติ ด้วยความเห็นว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เป็นธรรมที่ทุกคนต้องประสบ เพราะความมีเหตุเกิด และมีผลของความเกิดขึ้นแล้วของธรรม รวมทั้งสิ่งของต่างๆ จนถึงจักรวาล ต้องประสบ ไม่มีใครอยู่เหนืออำนาจ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ดังนั้นธรรมใดๆที่เกิดขึ้น ต้องมีเกิดดับ ตามเหตุและผล เมื่อมีโสต จึงเกิดการได้ยิน เมื่อมีจักษุธาตุจึงเกิดการเห็น เมื่อมีธาตุทั้ง4จึงเกิดการประชุม อย่างนี้เป็นต้น

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
การที่จะเข้าไปเห็นธรรมนั้น ศรัทธาก็มีความสำคัญ การน้อมเอาตัวเองเข้าสู่การปฏิบัติ ด้วยความเห็นว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เป็นธรรมที่ทุกคนต้องประสบ เพราะความมีเหตุเกิด และมีผลของความเกิดขึ้นแล้วของธรรม รวมทั้งสิ่งของต่างๆ จนถึงจักรวาล ต้องประสบ ไม่มีใครอยู่เหนืออำนาจ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ดังนั้นธรรมใดๆที่เกิดขึ้น ต้องมีเกิดดับ ตามเหตุและผล เมื่อมีโสต จึงเกิดการได้ยิน เมื่อมีจักษุธาตุจึงเกิดการเห็น เมื่อมีธาตุทั้ง4จึงเกิดการประชุม อย่างนี้เป็นต้น



ยังไม่เคยสนทนากับคุณ student สักที เช้านี้อากาศเย็นสบายๆ ลองถามความเห็นคุณ student หน่อย

คุณ student ครับ ธรรมะในความคิดของคุณเนื่ยเป็นอะไรยังไงครับ :b10: :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 05:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ติดภาระกิจไม่ได้เข้ามาดูกระทู้ แพล้บเดียว คุณโฮฮับกับคุณกรัชกายเอาบัญญัติ ปริยัติธรรม มาหว่าน มาแตกแจกประเด็นจนท่วมท้น ล้นเหลือ เฝือมาก จนแทบจะหาหัวหาหางไม่เจอ

คุณโฮฮับบอกว่าเข้าอรูปฌาณมาแล้ว คุณกรัชกายก็เฝ้าย้ำซ้ำ ถามถึงวิธีปฏิบัติแบบ 1 - 2 - 3 ถามย้ำว่าทำอย่างไร เมื่อไหร่จะบอก

ถามสักนิดเถอะว่า คุณกรัชกาย กับคุณโฮฮับ ทำความสงบ ทำความตั้งมั่นของจิต จน นาม - รูป แยกออกจากกันได้ ใช้เวลาคนละกี่นาที...........

วิปัสสนาญาณ จะเริ่มขึ้นได้ ต้องเริ่มจากบันไดขั้นที่ 1 คือ นาม รูป ปริเฉทญาณ.......วิปัสสนาภาวนา ถ้าไม่พูดถึงตรงนี้ก่อน ทำไม่ได้ตรงนี้ ที่ฟุ้งรู้ไปทั้งหมด จนถึงวิปัสสนาญาณ 9 อย่างคุณกรัชกาย ก็ฟุ้งรู้ตามบัญญัติปริยัติธรรม

ที่เห็นไตรลักษณ์อย่างที่โฮฮับพูดมา ก็เห็นโดยความคิดนึกหรือวิปัสสนึก เพราะขนาดนาม รูป ปริเฉทญาณ สภาวะเป็นอย่างไรยังไม่รู้จักกันเลย

ผู้รู้.....กับสิ่งที่ถูกรู้ จะต้องแยกออกจากกันชัดเจน ด้วยอำนาจ ของ สติ ปัญญาสัมมาสังกัปปะและสัมมาทิฏฐิ โดยมีสมาธิระดับขณิกะ...หรืออุปจาระเป็นแรงหนุน


เครื่องชี้วัดที่ง่ายๆคือ เมื่อไหร่ที่ทำจิตนิ่งสงบได้จนสามารถสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของหัวใจหรือชีพจรได้ โดยความคิดนึกหยุดไปเป็นช่วงสั้นๆ มีแต่ผู้รู้ รู้อยู่กับอาการเต้นตอดของหัวใจหรือชีพจรชัดเจนอยู่อย่างนัั้น

ผู้รู้ คือ นาม.......อาการเต้นตอดของชีพจร เป็นสภาวะธาตุลม.....เป็น...สิ่งที่ถูกรู้ เป็น รูป เขาแยกรู้กันอยู่อย่างนี้ เป็นคนละอันกัน.....นี่คือลักษณะที่เรียกว่า รูป นาม แยกจากกัน เป็นอย่างง่ายๆเบื้องต้น

ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนาต่อจากนั้นไปแล้ว จึงจะสามารถแจกแจงธรรมสภาวะไปได้เป็นลำดับๆ ตามขั้นตอนของวิปัสสนาญาณ 16 แบ่งเป็น 3 กลุ่มๆที่ 1 เริ่มจากการแยกรูปแยกนามชัดแล้วก็ ..... เห็นความสงบ...เห็นเหตุ ปัจจัย....เห็นความเกิด-ดับ.....เห็นมีแต่ความความดับไปๆ ของสภาวธรรมทั้งปวง(เข้าใจอนิจจัง)

กลุ่มที่ 2 เห็นภัยในทุกข์....กลัวภัยในทุกข์...เบื่อหน่ายในทุกข์....ดิ้นรนที่จะให้พ้นจากทุกข์......(เข้าใจความเป็นทุกขัง)

กลุ่มที่ 3 พิจารณาย้อนกลับว่าทางอันใดคือทางพ้นจากทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงจนพบว่ามีทางสายเดียวเท่านั้น คือวิปัสสนาภาวนาที่กำลังเจริญอยู่นี้ จึงเกิดความเพียรอย่างอุกกฤต .......ได้เข้าถึงสภาวะหยุดความปรุงแต่งไปชั่วคราว......สมาธิถึงจุดสุดยอดจนสามารถรวมเอาธรรมทั้ง 84,000 มารวมเป็น 1 ......ก้าวข้ามโคตรปุถุชนไปสู่อริยชน....โสดาปัตติมรรคญาณ เกิดขึ้นทำลาย สักกายทิฏฐิ ขาดสะบั้น ........เสวยผลนิโรธ หลายขณะจิต .....พิจารณาททบทวนย้อนหลังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงไม่หวนกลับมาได้อีก ......วิจิกิจฉาและศสสีลัพพัตปรามาส ดับสนิทตอนนี้ (เข้าใจอนัตตาโดยสมบูรณ์)......รู้ซึ้งแจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทโดยสภาวะ

ที่เล่ามานี้ก็ต้องถือว่าเป็นปริยัติธรรม แต่เป็นปริยัติจากการปฏิบัติจริง ซึ่ง ทุกคนจะได้สัมผัสแต่ใครจะชัดตรงส่วนไหน นั้นแล้วแต่อุปนิสัยที่สร้างสมมา บางคนชัดอนิจจังแล้วก็ลัดออก....บางคนชัดทุกขัง แล้วก็ลัดออก.....บางคนชัดอนัตตาแล้วก็ลัดออก

เล่าอย่างนี้โฮฮับกับกรัชกายจะเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครจะข้ามโคตรปุถุชนได้ ต้องผ่าน 16 ขั้นตอนนี้ทุกคน แต่จะมี สติ ปัญญา บุญ วาสนา บารมี เห็นทัน รู้ทันทุกขั้นตอน หรือชัดบางขั้นตอน หรือ เอาตัวรอดได้แต่มาจำแนกแจกแจงให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ ก็มี...ส่วนเจ้าของกระทู้ พิสูจน์สภาวะก่อนแล้วจึงค่อยมาเทียบกับที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาแจกแจงไว้ ก็เห็นว่าถูกต้องตรงกันทุกสิ่งอัน จึงเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมะนอกตำรา

ดังนั้นทั้งคุณโฮฮับและคุณกรัชกายอย่าสงสัยฟุ้งปรุงแต่งไปเป็นเรื่องอื่นเลยนะ

กลับมาถามตัวเองว่า ฉันแยกรูป แยกนามออกจากกันได้เด่นชัดภายในเวลากี่นาที.....ถ้ายังแยกไม่ได้ ไม่คล่องแคล่วฉับไว วิปัสสนาปัญญาก็ไม่อาจเจริญงอกงามได้ ในจิตใจที่เต็มไปด้วยปริยัติธรรม
onion



คุณอโศกครับ คุณแยกรูปแยกนามยังไงครับ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 06:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ติดภาระกิจไม่ได้เข้ามาดูกระทู้ แพล้บเดียว คุณโฮฮับกับคุณกรัชกายเอาบัญญัติ ปริยัติธรรม มาหว่าน มาแตกแจกประเด็นจนท่วมท้น ล้นเหลือ เฝือมาก จนแทบจะหาหัวหาหางไม่เจอ


คุณโสกะนี่สติสตังไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ปากก็ฉอดๆๆๆๆ "แยกรูปแยกนาม"
แต่ดูซิ เรื่องการสนทนา การพูดคุย ยังแยกไม่ออก การพูดการสื่อสารกันในเว็บ
คุณจะให้ใช้อะไรในการสื่อสาร ถอดจิตมาคุยกันงั้นหรือ

พุททโธ่! เอาจิตเอาใจมาอยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งสติจะได้คุยกันรู้เรื่อง
ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่มีปัญญาพอในสิ่งที่เขาพูด ก็โมเมตัดบทว่า ปริยัติๆๆๆๆๆๆ
คนอย่างคุณผมเจอมาเยอะครับ เริ่มปฏิบัติด้วยความหลง
ศรัทธาไม่มี มีแต่ความเชื่อ เชื่อในตัวบุคคล เชื่อปาฏิหาร
เชื่อในสิ่งที่ จะสามารถทำให้ตนอยู่เหนือคนอื่นได้
เหลวไหลทั้งเพ ปฏิบัติปะสาอะไรสวนทางกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน

ปากก็พูดป่าวๆว่า ฉันทำอริยมรรคมีองค์๘ แต่ดันมาสอนให้คนไปนั่งในถ้ำ
บอกเป็นการฝึกไม่ต้องหายใจ ผมรันทดกับคุณจริงๆ
แม้แต่ธรรมหรือพุทธพจน์ที่มักได้ยินบ่อยยังไม่เอาไปสำเหนียก
โสกะเคยได้ยินบ้างมั้ย สัพเพธรรมมาอนัตตา
นามรูปหรือรูปนามก็คือธรรม

ไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้ไม่รู้หรือโสกะ
asoka เขียน:
:b12: :b12:
คุณโฮฮับบอกว่าเข้าอรูปฌาณมาแล้ว คุณกรัชกายก็เฝ้าย้ำซ้ำ ถามถึงวิธีปฏิบัติแบบ 1 - 2 - 3 ถามย้ำว่าทำอย่างไร เมื่อไหร่จะบอก

ถามสักนิดเถอะว่า คุณกรัชกาย กับคุณโฮฮับ ทำความสงบ ทำความตั้งมั่นของจิต จน นาม - รูป แยกออกจากกันได้ ใช้เวลาคนละกี่นาที...........

วิปัสสนาญาณ จะเริ่มขึ้นได้ ต้องเริ่มจากบันไดขั้นที่ 1 คือ นาม รูป ปริเฉทญาณ.......วิปัสสนาภาวนา ถ้าไม่พูดถึงตรงนี้ก่อน ทำไม่ได้ตรงนี้ ที่ฟุ้งรู้ไปทั้งหมด จนถึงวิปัสสนาญาณ 9 อย่างคุณกรัชกาย ก็ฟุ้งรู้ตามบัญญัติปริยัติธรรม


ตลกมั้ยล่ะ คิดอะไรไม่ออกก็ว่าคุณอื่นปริยัติ วิปัสสนึก แล้วที่ตัวเองพูดไม่ใช่หรอกหรือ
ของโสกะหนักกว่าเขาอีก ถอดคำพูด ถอดตำรามาทั้งดุ้น

วิปัสสนาญานเอย...นามรูปปริเฉทญานเอย นี่มันก็เป็นบัญญัติที่เป็นปริยัติ
รู้มั้ยว่า ปริเฉทนั้นน่ะ มันเป็นปริยัติโดยตรงเลย ความหมายก็คือ
การแบ่งเนื้อหาที่เป็นปริยัติไว้เป็นตอนๆ


คุณโสกะครับ ไม่รู้คุณศึกษาพระธรรมปะสาอะไร ทำไมยิ่งนานยิ่งหลง
ยิ่งนานยิ่งถอยหลังลงเหว พูดจาเพ้อเจ้อ พูดโดยขาดความเข้าใจ

ไอ้บันไดขั้นที่หนึ่งนั้นน่ะ ถ้าคุณจำได้ผมเคยสอนคุณว่า......
ให้ไปมั่นเจริญสติเพื่อให้เกิดปัญญา การจะปฏิบัติในเรื่องอริยมรรคมีองค์๘
มันไม่สามารถทำได้ถ้ายังขาดปัญญา
ปัญญาที่ว่าคือ การได้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของอารมณ์เสียก่อน

นี่แหล่ะบันไดขั้นที่หนึ่ง การนั่งทำฌานอย่างเดียวไม่สามารถเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 07:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12:
คุณโฮฮับบอกว่าเข้าอรูปฌาณมาแล้ว คุณกรัชกายก็เฝ้าย้ำซ้ำ ถามถึงวิธีปฏิบัติแบบ 1 - 2 - 3 ถามย้ำว่าทำอย่างไร เมื่อไหร่จะบอก

ถามสักนิดเถอะว่า คุณกรัชกาย กับคุณโฮฮับ ทำความสงบ ทำความตั้งมั่นของจิต จน นาม - รูป แยกออกจากกันได้ ใช้เวลาคนละกี่นาที...........




"แยกรูปแยกนาม ผู้รู้สิ่งที่ถูกรู้แยกออกจากกัน" ไอ้ประโยคอย่างนี้ได้ยินได้ฟังมาแต่เด็กแล้วครับ
คุณเที่ยวว่าชาวบ้านไม่รู้จัก ตัวคุณเองนั้นแหล่ะ ไม่รู้จัก

ปากบอกคนอื่นพูดปริยัติ วิปัสสนึก แต่ดูซิคุณเอาสิ่งที่เป็นปริยัติมาพูดทั้งดุ้น
คุณยังไม่รู้เลยว่าเป็นปริยัติ ผมว่าคุณเองแหล่ะวิปัสสนึกทั้งเพ :b32:

ผมรู้ว่าคุณกำลังหลงเข้าใจไปว่า แยกรูปแยกนาม เป็นปาฏิหาร
ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ มันก็แค่การที่จิตมีความเป็นสัมปะชัญญะ
คล่องแคล้วต่อการตามรู้ต่อสิ่งที่มากระทบ โดยเฉพาะที่มโนทวาร

รูปคือทวารทุกทวาร นามคือจิตผู้รู้ก็คือวิญญานนั้นเอง


สรุปให้ฟังง่ายๆ ก็คือ การที่จิตทันต่อสิ่งที่มากระบบ นั้นก็คือการแยกรูปแยกนามแล้ว
รวมถึงจิตผู้รู้และสิ่งที่ถุูกรู้(รูปหรือทวาร)


asoka เขียน:
ผู้รู้.....กับสิ่งที่ถูกรู้ จะต้องแยกออกจากกันชัดเจน ด้วยอำนาจ ของ สติ ปัญญาสัมมาสังกัปปะและสัมมาทิฏฐิ โดยมีสมาธิระดับขณิกะ...หรืออุปจาระเป็นแรงหนุน


ยิ่งพูดยิ่งเลอะ เอาปริยัติผสมวิปัสสนึก จินตนาการซะ พระธรรมเละเทะไปหมด

asoka เขียน:
:b12: :b12:

เครื่องชี้วัดที่ง่ายๆคือ เมื่อไหร่ที่ทำจิตนิ่งสงบได้จนสามารถสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของหัวใจหรือชีพจรได้ โดยความคิดนึกหยุดไปเป็นช่วงสั้นๆ มีแต่ผู้รู้ รู้อยู่กับอาการเต้นตอดของหัวใจหรือชีพจรชัดเจนอยู่อย่างนัั้น

ผู้รู้ คือ นาม.......อาการเต้นตอดของชีพจร เป็นสภาวะธาตุลม.....เป็น...สิ่งที่ถูกรู้ เป็น รูป เขาแยกรู้กันอยู่อย่างนี้ เป็นคนละอันกัน.....นี่คือลักษณะที่เรียกว่า รูป นาม แยกจากกัน เป็นอย่างง่ายๆเบื้องต้น


พูดจาขัดแย้งกับธรรมะและธรรมชาติ ดันพูดมาได้ว่าเมื่อจิตนิ่งสงบจะสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของหัวใจ
โสกะ ไอ้อาการที่คุณว่า
คุณเคยสังเกตุมั้ย ตอนที่เราตื่นเต้น วุ่นวายใจ เราจะรู้สึกได้ของการเต้นของหัวใจ
มันรู้สึกได้ดีกว่าที่คุณบอกเสียอีก ผมแนะนำครับ คุณจะจินตนาการเรื่องอะไร
ควรอิงแอบความเป็นจริงบ้าง ไม่งั้นคุณจะเป็นตัวตลกในสายตาเพื่อนๆ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ผู้รู้.....กับสิ่งที่ถูกรู้ จะต้องแยกออกจากกันชัดเจน ด้วยอำนาจ ของ สติ ปัญญาสัมมาสังกัปปะและสัมมาทิฏฐิ โดยมีสมาธิระดับขณิกะ...หรืออุปจาระเป็นแรงหนุน

เครื่องชี้วัดที่ง่ายๆคือ เมื่อไหร่ที่ทำจิตนิ่งสงบได้จนสามารถสัมผัสรู้ อาการเต้นตอดของหัวใจ หรือชีพจรได้ โดยความคิดนึกหยุดไปเป็นช่วงสั้นๆ มีแต่ผู้รู้ รู้อยู่กับอาการเต้นตอดของหัวใจหรือชีพจรชัดเจนอยู่อย่างนัั้น

ผู้รู้ คือ นาม.......อาการเต้นตอดของชีพจร เป็นสภาวะธาตุลม.....เป็น...สิ่งที่ถูกรู้ เป็น รูป เขาแยกรู้กันอยู่อย่างนี้ เป็นคนละอันกัน....นี่คือลักษณะที่เรียกว่า รูป นาม แยกจากกัน เป็นอย่างง่ายๆเบื้องต้น



อ่านแล้วนึกขำ :b9: :b32: ทำให้นึกถึงสำนักปฏิบัติแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ จ. พังงา วิธีคล้ายๆกับวิธีของคุณอโศกนี่แหละ คือเขาให้สังเกตการเต้นตุ้บๆ ของชีพจร แล้วธรรมะอะไรต่ออะไรของเขานักก็ไม่รู้ว่าไป พระคู่นี้ออกทีวีบ่อยๆ

แต่ของคุณอโศกมีเต้นมีตอดด้วย คือหัวใจตอดชีพจรเต้นตอด

นึกถึงการสังเกตปลาตอดเหยื่อ (ตกเบ็ด) คือให้สังเกตทุ่นที่มัดติดกับสายเบ็ด ถ้าปลาดอดเหยื่อ ทุ่นนั้นจะกระตุกหงึกๆๆ เราก็รู้ว่าปลาตอดแล้วๆๆ จับคันเบ็ดตวัด บางทีก็ติดปลา แต่หลายๆครั้งปลาตอดเหยือกินฟรี :b13:

ไม่มีอะไรเล่าให้ฟังถึงสำนวนปลาตอดเหยื่อ เพื่อให้เข้ากับหัวใจเต้นตอด (โลหิต) :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ที่เล่ามานี้ก็ต้องถือว่าเป็นปริยัติธรรม แต่เป็นปริยัติจากการปฏิบัติจริง ซึ่ง ทุกคนจะได้สัมผัสแต่ใครจะชัดตรงส่วนไหน นั้นแล้วแต่อุปนิสัยที่สร้างสมมา บางคนชัดอนิจจังแล้วก็ลัดออก....บางคนชัดทุกขัง แล้วก็ลัดออก.....บางคนชัดอนัตตาแล้วก็ลัดออก


พูดจาหาแก่นสารไม่ได้ คุณไปเอาศัพท์ที่เป็นปริยัติมาพูด แล้วเทียวว่าชาวบ้านพูดแต่ปริยัติ
ชาวบ้านเขาพูดปริยัติ ยังอยู่ในกรอบของพระธรรม แต่คุณซิเอาคำศัพท์มาพูด
แต่คำพูดไม่ได้มีเนื้อหาอะไรเลย เหมือนคนที่สร้างคำพูดขึ้นมาโดยไม่มีผลหรือสาระในคำพูดเลย

ไอ้ที่คุณพูดนึกอนิจจจัง ทุกขัง อนัตตา เพียงแค่นี้ก็รู้ว่า คุณขี้โม้
จะบอกให้น่ะ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเพียงสภาวะเดียว
แต่ในสภาวะเดียวนั้น มีความหมายได้สามอย่าง
มันไม่ใช่อย่างที่คุณโม้ ว่า อนิจจังแล้วก็ลัดออก เห็นทุกขังแล้วลัดออก ตลก

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นสภาวะเดียวจำไว้
:b32:

asoka เขียน:

เล่าอย่างนี้โฮฮับกับกรัชกายจะเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครจะข้ามโคตรปุถุชนได้ ต้องผ่าน 16 ขั้นตอนนี้ทุกคน แต่จะมี สติ ปัญญา บุญ วาสนา บารมี เห็นทัน รู้ทันทุกขั้นตอน หรือชัดบางขั้นตอน หรือ เอาตัวรอดได้แต่มาจำแนกแจกแจงให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ ก็มี...ส่วนเจ้าของกระทู้ พิสูจน์สภาวะก่อนแล้วจึงค่อยมาเทียบกับที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาแจกแจงไว้ ก็เห็นว่าถูกต้องตรงกันทุกสิ่งอัน จึงเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมะนอกตำรา


อย่าว่าแต่เป็นธรรมะนอกตำราเลย มันเป็นเรื่องนอกพุทธศาสนาเอาเลยที่เดียว

ผมสรุปให้เลยดีกว่า คุณโสกะครับ สิ่งที่คุณทำมันไม่ได้ความสักอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นการทำฌานหรือจะเป็นการทำวิปัสสนาญาน ที่คุณเล่ามาผู้ที่มีประสบการณ์
เขารู้ครับว่า มันไม่ใช่และคุณกำลังโม้ใหัคนอื่นจับได้
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
การที่จะเข้าไปเห็นธรรมนั้น ศรัทธาก็มีความสำคัญ การน้อมเอาตัวเองเข้าสู่การปฏิบัติ ด้วยความเห็นว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เป็นธรรมที่ทุกคนต้องประสบ เพราะความมีเหตุเกิด และมีผลของความเกิดขึ้นแล้วของธรรม รวมทั้งสิ่งของต่างๆ จนถึงจักรวาล ต้องประสบ ไม่มีใครอยู่เหนืออำนาจ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ดังนั้นธรรมใดๆที่เกิดขึ้น ต้องมีเกิดดับ ตามเหตุและผล เมื่อมีโสต จึงเกิดการได้ยิน เมื่อมีจักษุธาตุจึงเกิดการเห็น เมื่อมีธาตุทั้ง4จึงเกิดการประชุม อย่างนี้เป็นต้น



ยังไม่เคยสนทนากับคุณ student สักที เช้านี้อากาศเย็นสบายๆ ลองถามความเห็นคุณ student หน่อย

คุณ student ครับ ธรรมะในความคิดของคุณเนื่ยเป็นอะไรยังไงครับ :b10: :b14:


ครับ ธรรมะคือ การปรากฎขึ้นมา จนถึงความสลายเพราะอาศัยเหตุ การปรากฎขึ้นมาด้วยสภาพแตกต่างกัน การทำให้ปรากฎขึ้นมา การทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ปรากฎให้ปรากฎขึ้นด้วยกิจ การทำให้แจ้งในสิ่งที่ปรากฎขึ้นมาแล้วเพราะความรู้ การดับลง การดับลงเพราะสภาพแตกต่างกัน การดับลงเพราะอาศัยกิจ การทำให้ดับลงในสิ่งที่ยังไม่ดับด้วยกิจ การสิ้นสุดของกิจ ครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
การที่จะเข้าไปเห็นธรรมนั้น ศรัทธาก็มีความสำคัญ การน้อมเอาตัวเองเข้าสู่การปฏิบัติ ด้วยความเห็นว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เป็นธรรมที่ทุกคนต้องประสบ เพราะความมีเหตุเกิด และมีผลของความเกิดขึ้นแล้วของธรรม รวมทั้งสิ่งของต่างๆ จนถึงจักรวาล ต้องประสบ ไม่มีใครอยู่เหนืออำนาจ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ดังนั้นธรรมใดๆที่เกิดขึ้น ต้องมีเกิดดับ ตามเหตุและผล เมื่อมีโสต จึงเกิดการได้ยิน เมื่อมีจักษุธาตุจึงเกิดการเห็น เมื่อมีธาตุทั้ง4จึงเกิดการประชุม อย่างนี้เป็นต้น



ยังไม่เคยสนทนากับคุณ student สักที เช้านี้อากาศเย็นสบายๆ ลองถามความเห็นคุณ student หน่อย

คุณ student ครับ ธรรมะในความคิดของคุณเนื่ยเป็นอะไรยังไงครับ :b10: :b14:


ครับ ธรรมะคือ การปรากฎขึ้นมา จนถึงความสลายเพราะอาศัยเหตุ การปรากฎขึ้นมาด้วยสภาพแตกต่างกัน การทำให้ปรากฎขึ้นมา การทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ปรากฎให้ปรากฎขึ้นด้วยกิจ การทำให้แจ้งในสิ่งที่ปรากฎขึ้นมาแล้วเพราะความรู้ การดับลง การดับลงเพราะสภาพแตกต่างกัน การดับลงเพราะอาศัยกิจ การทำให้ดับลงในสิ่งที่ยังไม่ดับด้วยกิจ การสิ้นสุดของกิจ ครับผม



อ้อ... :b1: ธรรมะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 02:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




G1 หินลับมีดปัญญา 85kb_resize.jpg
G1 หินลับมีดปัญญา 85kb_resize.jpg [ 30.52 KiB | เปิดดู 3423 ครั้ง ]
s006
คุณอโศกะครับ คุณแยกรูปแยกนามยังไงครับ
:b16:
1.ทำสติให้รู้ทันปัจจุบันอารมณ์(ซึ่งจะเป็นผลส่งต่อไปยังข้อ 3)

2.ทำความสังเกต พิจารณา ให้คมกล้าและละเอียดอ่อน (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ) ซึ่งจะเกิดได้ด้วยความตั้งใจจริง (มนสิการ)

3.ทำความสงบและตั้งมั่นของจิตให้เกิดขึ้น (ระดับขณิกะ หรือ อุปจาระ สมาธิ) สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นไปอีกสักระยะหนึ่งแม้แต่ตัวผู้รู้ หรือ นาม เองก็ยังสามารถรู้ลึกละเอียดคือแยกรู้ออกได้ต่อไปอีกว่า นาม ยังมี นามวิญญาน รู้ นามสติ รู้ทัน นามปัญญา รู้จัก นามเวทนา ความรู้สึก นามขันธ์ทั้ง 4 วิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร นามนิวรณ์ทั้ง 5 กามฉันทะ พยาบาท อุทธัจจะ กุกุจจะ ถีนะมิทธะ วิจิกิจฉา นาม ธรรมารมณ์ ทั้ง
ปวง

ทำได้ 3 ขั้นตอนนี้ จิตจะรู้ขึ้นมาเอง ว่า สิ่งใดเป็นรูป สิ่งใดเป็นนาม สิ่งใดเป็นนามชนิดใด(สัมมาทิฏฐิเกิด) ถ้ายังรู้ไม่ชัด ให้กลับมาสังเกตที่ชีพจร อาการเต้นตอดเป็นรูป(ธาตุลม)....กลุ่มของจิตที่ไปรู้อาการเต้นตอด เป็น นาม ความเต้นตอดที่เห็น คือการเกิด - ดับ ของจิตรู้....(รู้-ดับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ) ซึ่งชีวิตที่แท้จริงก็มีแค่เพียง รู้ - ดับ เท่านี้เอง......ถ้ามีการปรุงรู้เพิ่มออกไปจากนี้ ก็เป็นเรื่องทันที คือเกิด กรรม และวิบากกรรมให้ต้องเสวยเป็นวงวัฏฏะอันไม่รู้จบ

onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 02:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg
ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg [ 50.12 KiB | เปิดดู 3421 ครั้ง ]
s004
โฮฮับ
อ้างคำพูด:
พูดจาหาแก่นสารไม่ได้ คุณไปเอาศัพท์ที่เป็นปริยัติมาพูด แล้วเทียวว่าชาวบ้านพูดแต่ปริยัติชาวบ้านเขาพูดปริยัติ ยังอยู่ในกรอบของพระธรรม แต่คุณซิเอาคำศัพท์มาพูด
แต่คำพูดไม่ได้มีเนื้อหาอะไรเลย เหมือนคนที่สร้างคำพูดขึ้นมาโดยไม่มีผลหรือสาระในคำพูดเลย

ไอ้ที่คุณพูดนึกอนิจจจัง ทุกขัง อนัตตา เพียงแค่นี้ก็รู้ว่า คุณขี้โม้
จะบอกให้น่ะ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเพียงสภาวะเดียว
แต่ในสภาวะเดียวนั้น มีความหมายได้สามอย่าง
มันไม่ใช่อย่างที่คุณโม้ ว่า อนิจจังแล้วก็ลัดออก เห็นทุกขังแล้วลัดออก ตลก

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นสภาวะเดียวจำไว้

:b32:
:b12: :b12: :b12:
กับคุณโฮฮับนี่ไม่อยากจะสนทนาด้วยเลย ชอบชักใบให้เรือเสีย ทำกระทู้ดีๆของเขาให้เสียหมด พล่านไปทั่วทั้งลาน ตำหนิติติงเขาไปทั่วทุกคน แต่ก็อดสงสารไม่ได้ ต้องเมตตาเฝ้าดูไปจนกว่า่คุณโฮฮับจะถูกสะกิดด้วยอะไรที่กำหราบคุณโฮฮับได้ หรือต้องรอให้เทพยดามาโปรด จนคุณโฮฮับตื่นขึ้นจากความหลับหลง
:b12: :b12: :b12:
จากประเด็นที่อ้างอิงมาข้างบน โปรดสังเกตให้ดีนะครับ

เรื่องอื่นโปรดวินิจฉัยกันเอง แต่เอาเฉพาะตอนที่ว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเพียงสภาวะเดียว
พูดอย่างนี้ก็รู้ได้ทันทีว่า คุณโฮฮับรู้และเห็นมาทั้งหมดอย่างผิดธรรม จึงทำให้ฟั่นเฟือน

อนิจจัง ก็สภาวะหนึ่ง ทุกขัง ก็สภาวะหนึ่ง อนัตตาก็สภาวะหนึ่ง ลองไปถามนักอภิธรรมดูนะครับ

ดูภาพประกอบข้างบนด้วยว่าทำไมถึงบอกว่า อนิจจังชัดแล้วก็ลัดออก เห็นทุกขังชัดแล้วลัดออก เห็นอนัตตาชัดแล้วก็ลัดออก มีเหตุผลมาจากไหน ที่คุณโฮฮับยังไม่รู้ หรือรู้ไม่ซึ้ง รู้ไม่ถึงจริง

ประตูทางออกสู่พระนิพพาน มีอยู่ 3 ประตู เคยรู้หรือเปล่าโฮฮับ พิจารณารูปภาพที่ยกมาให้ดี รูปภาพบอกได้ดีกว่าคำบรรยายแบบน้ำท่วมทุ่งอย่างที่คุณโฮฮับทำ (เป็นวิญญูชนจึงจะรู้และตีความหมายจากภาพออก พาลชนไม่อาจรู้ได้เพราะมีจิตใจอันหยาบเกินไปที่จะรู้เรื่องธรรมอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งเช่นนี้)
onion onion onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2013, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน



อ้อ วิธีแยกรูปแยกนามของคุณอโศก :b32: เป็นจะอี้ :b13:

ทำให้นึกถึงหมอแผนโบราณจับชีพจร (วัดการเต้นของหัวใจ) ตรงข้อมือเรา แต่แพทย์แผนปัจจุบันมีเครื่องช่วยฟัง (เครื่องมือแพทย์ ไม่รู้ชื่ออะไร) การเต้นๆตอดๆของหัวใจ :b14: :b9: ใครเคยไปหาหมอจะเห็น

เจริญธรรม :b21:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 24 พ.ย. 2013, 08:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 162 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร