วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 12:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 02:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ทางหลุดพ้น.jpg
ทางหลุดพ้น.jpg [ 65.28 KiB | เปิดดู 3239 ครั้ง ]
s002
สนทนากับโฮฮับเสียหน่อย เดี๋ยวจะเหงา
:b12: :b12: :b12:
อ้างคำพูด:
คุณคงจำได้ที่ผมบอกว่า นิพพานมีสามทาง นั้นก็คือการปฏิบัติให้ถึงนิพพาน
มีอยู่สามมรรควิธี นั้นก็คือ......
๑.สุตตมยปัญญา
๒.จินตมยปัญญา
๓.ภาวนามยปัญญา


รูปที่คุณเอามา มันเป็นการอธิบายมรรควิธีส่วนย่อยของ......ภาวนามยปัญญา
ความหมายแท้ของการทำภาวมยปัญญาก็คือการเอาปัญญาไตรลักษณ์ ไปเพ่งหรือทำฌาน

การเพ่ง ท่านไม่ได้เพ่งสิ่งที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตา
ท่านท่านเพ่งที่ตัวสังขาร นั้นก็คือเพ่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
และในการเพ่งนั้นจะต้องมีปัญญามาประกอบด้วย ปัญญาเป็นสภาวะเดียว
แต่มีความหมายหรือผลเป็นสาม นั้นก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ผู้ปฏิบัติจะเลือกเอาอย่างใดมาเป็นผลของของเพ่งก็ได้
ถ้าเลือกการเพ่งสังขารให้เกิดผลเป็น....อนิจนิจจัง เราก็เรียกการเพ่งนั้นว่า....อนิมิตนิพพาน
ถ้าเลือกเพ่งสังขารโดยให้ผลเป็น.........ทุกขัง เราเรียกการเพ่งนั้นว่า.....อัปปณิหิตนิพพาน
ถ้าเลือกเพ่งสังขารโดยให้ผลเป็น.........อนัตตา เราเรียกการเพ่งนั้นว่า.....สุญญตนิพพาน

โสกะเปรียบเหมือนนกแก้วที่เกาะอยู่บนตอไม้ ไปหยิบยกคำสอนของอาจารย์ตนมา
โดยไม่รู้ความหมาย ไม่รู้เลยว่า สิ่งอาจารย์ตนพูด ก็ไปลอกถอดแบบมาจากพระอภิธัมมัตถสังคหะ
ยกยออาจารย์ตนสูงส่งเกินพระพุททธองค์ ปรามาสปริยัติ ทั้งๆที่ปริยัติคือปัญญาของพระพุทธเจ้า



โสกะโปรดรับรู้ไว้ครับว่า รูปที่คุณเอามาลงมันเป็นการลอกเลี่ยนเขามา
แล้วก็มาต่อเติมเสริมแต่ง ทำเป็นรูปภาพ มันก็แค่ตำราที่ลอกมาจากปริยัติ

:b7:
ดูข้อความที่คาดสีต่างๆไว้ให้ดีนะครับ

1.เรื่องปัญญา 3 ที่พระพุทธองค์ทรงสอน คุณโฮฮับเอามาบอกว่า.....นิพพานมีสามทาง นั้นก็คือการปฏิบัติให้ถึงนิพพานมีอยู่สามมรรควิธี
Onion_L
พูดอย่างนี้แหละชัดว่าบิดเบือนพุทธพจน์ แต่งตำราใหม่ตามความเข้าใจและความเห็นของตัวเอง

ที่ถูกต้องมรรควิธีสู่พระนิพพาน มีทางเส้นเดียว คือ อริยมรรค มีองค์ 8

ส่วนประตูทางออกสู่พระนิพพานมี 3 ประตูดังภาพที่ยกมาแสดง

2.การเจริญธรรมโดยการเพ่งเอา กำหนดเอา อนิจจัง หรือทุกขัง หรือ อนัตตา เป็นกรรมฐาน นั่นเป็นวิธีการของนักปฏิบัติที่ติดสมถะอย่างมากมาก่อน จนไม่สามารถเจริญวิปัสสนาภาวนาตามธรรมชาติธรรมดาๆได้เขาทำกัน ก็ได้ผลอยู่ แต่ไม่ใช่วิธีการตรงๆของวิปัสสนาภาวนา

วิธีการของวิปัสสนาโดยธรรมชาติแท้ๆนั้นอาศัยสภาวะ ผัสสะ อารมณ์ ที่เกิดขึ้นกับกายและจิตเป็นองค์พิจารณา
เอาปัจจุบันธรรมปัจจุบันอารมณ์เป็นองค์ภาวนา
onion
3.ส่วนคำพูดท่อนนี้

อ้างคำพูด:
โสกะเปรียบเหมือนนกแก้วที่เกาะอยู่บนตอไม้ ไปหยิบยกคำสอนของอาจารย์ตนมา
โดยไม่รู้ความหมาย ไม่รู้เลยว่า สิ่งอาจารย์ตนพูด ก็ไปลอกถอดแบบมาจากพระอภิธัมมัตถสังคหะ
ยกยออาจารย์ตนสูงส่งเกินพระพุททธองค์ ปรามาสปริยัติ ทั้งๆที่ปริยัติคือปัญญาของพระพุทธเจ้า

Onion_L
เต็มไปด้วย ปิสุณาวาจา ไม่สมควรกับคุณโฮฮับระดับ 10 เลย
เป็นศิษย์กับครูไม่รู้ความหมายกันได้อย่างไร ไม่รู้ ไม่ถือเป็นศิษย์


ลอกแบบมาจากอภิธรรม..........
คุณโฮฮับลองไปคัดลอกภาพมาเปรียบเทียบซิว่ามีภาพไหนที่เขียนประตูออกสู่พระนิพพาน เหมือนประตูออกสู่พระนิพพาน3 ประตูที่อโศกะทำมาให้ดูนี้ โปรดแสดงหลักฐานด้วย ว่าลอกเขามาจริงหรือ อย่าอ้างลอยๆ

ยกยออาจารย์ตนเองสูงกว่าพระพุทธองค์

มีข้อความตอนไหนที่ว่ายกยอเกิน

จะมีก็เป็นแต่โฮฮับคิดเอา เข้าใจเอา ตัดสินเอา โดยอัตโนมัย หรืออัตตทิฏฐิ มานะทิฏฐิของตนเองแล้วมาบิดเบือนคำพูดให้ผู้อื่นเห็นว่าเป็นผิด ใส่ความคิดเห็นของตนเองลงไปแล้วบอกว่าถูกต้อง ซึ่งก็คงไม่ว่าอะไรกัน เพราะอุปนิสัยของโฮฮับเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว รู้กันทั่วลานฯ หลักฐานมีอยู่โทนโท่ ยกอ้างมาพิสูจน์ได้เสมอ


"ไม่ถือสา ก็ไม่เป็นไร ไม่อินังขังขอบ ก็ไม่ทุกข์ใจ" (ภาษิตสอนใจ ที่ตุ๊เจ้าเสือดาว ถ้ำเชียงดาวมอบไว้ให้แก่ชาวโลก)
grin
สนทนากับโฮฮับนี่ มันจะอดทิ่มตำสักนิดสักหน่อยไม่ค่อยได้ เพราะโฮฮับเล่นทิ่มมาแรงตลอด ถ้าใครที่มาใหม่ไม่รู้ เชื่อตามโฮฮับ จะพาลเห็นว่าบุคคลที่โฮฮับโจมตี วิพากษ์วิจารณ์ทุกคนคือ ชั่วผิด
[color=#800040]อนิจจัง อนิจจา โลกหนอโลก ช่างหลากหลายไปด้วย ผู้คนอันยึดตัวตนเป็นสรณะ
[/color]
s004
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


สังเกตในกาย ถ้ารู้ชัดชีพจรทั่วร่างดีแล้ว ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้หรือ รูป จะแยกกันอยู่คนละส่วนอย่างชัดเจน



อ้อ วิธีแยกรูปแยกนามของคุณอโศก :b32: เป็นจะอี้ :b13:

ทำให้นึกถึงหมอแผนโบราณจับชีพจร (วัดการเต้นของหัวใจ) ตรงข้อมือเรา แต่แพทย์แผนปัจจุบันมีเครื่องช่วยฟัง (เครื่องมือแพทย์ ไม่รู้ชื่ออะไร) การเต้นๆตอดๆของหัวใจ :b14: :b9: ใครเคยไปหาหมอจะเห็น

เจริญธรรม :b21:

:b7:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด"


ดังกล่าวนั่่นพอมีหลักฐานจากคัมภีร์อ้างอิงไหมครับ :b1:

:b12:
ไม่ต้องอ้างคัมภีร์ เพราะมีสภาวะจริงๆให้พิสูจน์ได้ทันที ทุกเมื่อ ในกายของคุณกรัชกายเอง ทำไมต้องไปอ้างคัมภีร์ กลัวผิดธรรม ผิดทางหรือ แสดงว่ายังไม่เข้าใจถ่องแท้ว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็คือ เรื่องของกาย ของใจ มีอยู่ในกายในใจหรือจิตของเรานี้ทั้งสิ้น คัมภีร์เล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบเล่มนี้แหละที่มีธรรมะให้พิสูจน์ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ หรือมากกว่า เพราะมีอีกหลายเรื่องที่พระบรมศาสดาไม่นำมาแสดงแต่ทรงทิ้งไว้ให้พุทธสาวกพิสูจน์ความจริงกันเอาเอง
onion onion onion
รู้วิธีการอ่านธรรมในกายและจิตให้ถูกต้อง และถูกวิธีซิ ทุกอย่างมีในกายใจนี้ทั้งหมด

ถ้ายังไม่รู้วิธี พึงใส่ใจ และทำความละเอียดเรื่องปัจจุบันอารมณ์ให้มากๆ แล้วจะพบวิธีปฏิบัติธรรมตามธรรมชาติเฉพาะตัวของคุณกรัชกายเอง

:b4: :b4:
กรัชกาย
อ้างคำพูด:
ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ท่านเรียก :b32: ตอบไม่ได้ หรือเราถามไม่ชัด :b10:

ถ้างั้นถามใหม่นะครับนะ

ที่ว่าเนี่ย

อ้างคำพูด:
เรื่องชีพจร เป็นเพียงเครื่องช่วยชี้วัดไม่ใช่วิธีการ คุณกรัชกาย จับมาไม่ใช่ประเด็นของวิธีการ ดัง 3 ข้อ ที่อธิบาย
เพิ่มความสังเกต พิจารณาให้ดีๆยิ่งขึ้นนะครับ......ความสังเกต (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ)เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

"สังเกตไม่มี วิปัสสนาปัญญาไม่เกิด


พอจะเทียบกับหลักธรรมข้อใดหรือคัมภีร์ไหนได้บ้าง :b10: :b14:

คุณอโศกเรียนต่อมาจากใครหรืออย่างไรครับ

:b12:
หลักธรรมก็คือว่า ...เมื่อกายและจิต สงบ สยบนิวรณ์ได้แล้ว ย่อมควรแก่การทำงานบำเพ็ญเพียรทางจิต เพราะขณะนั้น สติ ปัญญา จะมีความคมกล้า สามารถรู้เห็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ่ง ทั้งปวง สมาธิ หรือความตั้งมั่นของจิตก็ทนต่อการทำงานพิสูจน์ธรรม ค้นคว้าวิจัยธรรมได้เป็นระยะเวลายาวเพียงพอที่จะ รู้ เห็น อารมณ์ต่างๆตั้งแต่เกิดขึ้น....ตั้งอยู่....จนดับไป
:b16:
คัมภีร์....ผมอ้างคัมภีร์ไม่ค่อยเป็นครับ ต้องขออภัย
:b1:
เรื่องเครื่องชี้วัดระดับของสมาธิ หรือความสงบในกายและจิตดังรูปที่แสดง มีลำดับที่ละเอียดลึกลงไปเริ่มจาก ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย และสังขารุเปกขาญาณเป็นที่สุดนี้ เป็นผลจากการพิสูจน์ธรรมของอโศกะเอง เห็นว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับ ผู้คนทั่วไป จึงนำมาทำเป็นไดอะแกรม แผ่นภาพ และเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทัศนะ ครับ ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ก็ท้าให้พิสูจน์ เพราะมีความจริง(สัจจะ)รองรับอยู่ในกาย ใจ นี้เสมอๆ ชั่วกาลนาน
:b8:
onion
ภาพที่ยกมาประกอบเขียนขึ้นเมื่อปี 2548 โดยอาศัยศิษย์ที่เก่งคอมพ์ ทำรูปให้ จึงไม่มีขั้นตอนหัวใจเต้น และระดับที่ 5 ลึกสุดที่ว่า นิ่งรู้อยู่เฉยๆ ไม่ได้ระบุว่าเป็น...สังขารุเปกขาญาณ....

ระดับของสมาธิ อธิบายให้เข้ากับยุคสมัย ในภาษาและตัวอย่างของจริงที่จะให้รู้ง่ายเห็นง่าย จึงอาจไม่เหมือนในตำราหรือคัมภีร์ แต่สภาวะเมื่อเข้าถึงเป็นอันเดียวกันครับ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนีเลย ท้าให้พิสูจน์ด้วยครับคุณกรัชกาย

ผมเคยแนะนำคนที่เขาไม่มีมานะทิฏฐิมากลองพิสูจน์ดู เขาลงมือทำ แล้วได้ประโยชน์กับการปฏิบัติภาวนาของเขาต่อไปมากๆเลยครับ หลายท่านชำระจิตให้ขาว จนเกือบจะรอบได้ โดยอาศัยเครื่องชี้วัดเหล่านี้มาทำเป็นกรรมฐานก็มีครับ
:b27:
ที่สังเกตได้และมีจำนวนซ้ำทางสถิติค่อนข้างสูงคือ

ถ้านักศึกษาคนใด สามารถทำความสงบกายสงบใจและรู้ชัดชีพจรทั้งร่างได้ภายในเวลา1 - 3 นาที หรือรู้ได้เสมอ คนผู้นั้น จะรู้ธรรมเห็นธรรม บรรลุธรรม รวดเร็วมากครับ บางคน 3 วัน กูตาย มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นนายแพทย์
ได้ฟังเรื่องนี้แล้วนำไปทดสอบ หลังจากนั้นเกิดการต่อยอดขึ้นไปเองโดยธรรม อีกวันครึ่ง อนัตตาก็ชัด กูก็พลอยตายไปด้วย น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ



:b1: การรู้ธรรมะก็คือการรู้สึกถึงการเต้นของชีพจรตุ้บๆตอดๆเนี่ย คุณอโศกได้แต่ไหนมา :b10: คนเป็น คือยังไม่ตาย ชีพจรมันก็เต็นของเป็นปกติอยู่ซี่ ถ้าชีพจรไม่เต้นก็ตายเท่านั้นเองน่ะ

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคุณอโศกว่าเพียงแค่รู้ถึงการเต้นของชีพจรแค่นี้เองหรือครับ คุณอโศก :b9:

ถ้ายังงั้น เรียนเชิญชาวพุทธทั่วโลก จับชีพจรตรงข้อมือนะครับ รู้สึกเต้นตุ้บๆ สำเร็จแล้วพระโสดาบัน
หรือจะเอารวดเดียวเป็นพระอรหันต์เลยก็ดีเหมือนกันไม่ต้องนั่งจับชีพจรกันบ่อยๆ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ดูข้อความที่คาดสีต่างๆไว้ให้ดีนะครับ

1.เรื่องปัญญา 3 ที่พระพุทธองค์ทรงสอน คุณโฮฮับเอามาบอกว่า.....นิพพานมีสามทาง
นั้นก็คือการปฏิบัติให้ถึงนิพพานมีอยู่สามมรรควิธี


พูดอย่างนี้แหละชัดว่าบิดเบือนพุทธพจน์ แต่งตำราใหม่ตามความเข้าใจและความเห็นของตัวเอง

ที่ถูกต้องมรรควิธีสู่พระนิพพาน มีทางเส้นเดียว คือ อริยมรรค มีองค์ 8

ส่วนประตูทางออกสู่พระนิพพานมี 3 ประตูดังภาพที่ยกมาแสดง


คนที่บิดเบื้อนพุทธพจน์ไม่ใช่ผม.....แต่เป็นโสกะ
โสกะไม่ใช่แต่จะบิดเบื้อนพุทธพจน์ โสกะกำลังบอกให้คนหลงเชื่อว่า ....
การปฏิบัติแนวโยคีหรือพวกยึดติดอภินิหารย์ เป็นวิธีที่พระพุทธองค์สอน
ซึ่งในความเป็นจริง พระพุทธทรงชี้ให้เห็นว่า....มันเป็นมิจฉา

ส่วนเรื่องการปฏิบัติสู่นิพพาน ถ้าใครเป็นสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า......
ย่อมต้องมีททางสายเดียวอยู่แล้ว นั้นคือ อริยมรรคมีองค์๘.....
เราเรียกหนทางนี้ว่า สุตตมยปัญญา เป็นเพราะต้องอาศัยพระธรรมคำสอนของพระโคดม

แต่หนทางสู่นิพพานไม่ใช่มีสายเดียว มันมี๓สายดังที่กล่าวมาแล้ว
อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้มีแต่พระโคดม ยังมีปัจเจกพุทธเจ้าอีกมากมาย
เราเรียกปัจเจกพุทธเจ้าว่า เป็นผู้ตรัสรู้เหมือนกัน หนทางแห่งการตรัสรู้ของท่าน
ไม่ใช่หนทางแบบของสาวกพระโคดม

ปัจเจกพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ของท่านเอง จึงเรียกหนทางการตรัสรู้ของปัจเจกพุทธเจ้าว่า.....
จินตมยปัญญา การตรัสรู้ของพระโคดมเป็นจินตมยปัญญาเช่นกัน

ยังมีอีกหนทางนั้นก็คือพวกที่ทำฌาน การทำฌานไม่ใช่การปฏิบัติในอริยมรรคมีองค์๘
การทำฌานเป็นการเข้าสมาบัติ
ในตอนแรกพวกโยคีเข้าใจว่า การเข้าสมาบัติคือ สภาวะนิพพาน
แต่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้เหล่าโยคี ให้ปฏิบัติต่อไปจนถึง....นิโรธสมาบัติ
เราเรียกขั้นตอนการปฏิบัติของพวกโยคีหรือพวกทำฌานว่า.....ภาวนามยปัญญา


ด้วยเห็นว่าโสกะ กำลังหลงมัวเมาถึงขนาดอ้างอิงบุคคล ซึ่งไม่มีความสลักสำคัญ
อันเกี่ยวข้องกับพระธรรมของพระพุทธองค์
เลยอยากจะเป็นตัวอย่างในการกระทำที่ถูกที่ควรให้โศกะนำไปสำเหนียก
โสกะการอ้างอิงพระธรรม มันจะต้องอ้างพระไตรปิฎกหรือรรถกถา ไม่ใช่เอาใครก็ไม่รู้มาอ้าง


ความเห็นของผมที่แสดงออกไป ผมขออ้างพระไตรปิฎก โสกะดูแล้วก็เอาเป็นตัวอย่าง.....

[๘๐๔] พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒
วิภังคปกรณ์

ติกนิเทศ

ในญาณวัตถุหมวดละ ๓ นั้น จินตามยปัญญา เป็นไฉน
ในการงานทั้งหลายที่ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี ในศิลปะทั้งหลายที่ต้อง
น้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี ในวิชาทั้งหลายที่ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี บุคคลมิ
ได้ฟังจากผู้อื่น ย่อมได้กัมมัสสกตาญาณ หรือย่อมได้สัจจานุโลมิกญาณ ว่ารูปไม่
เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าเวทนาไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าสัญญาไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าสังขาร
ทั้งหลายไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าวิญญาณไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ย่อมได้อนุโลมิกญาณ
ขันติญาณ ทิฏฐิญาณ รุจิญาณ มุติญาณ เปกขญาณ ธัมมนิชฌานขันติญาณ
อันใด ซึ่งมีลักษณะอย่างนั้น นี้เรียกว่า จินตามยปัญญา
สุตมยปัญญา เป็นไฉน
ในการงานทั้งหลายที่ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี ในศิลปะทั้งหลายที่ต้อง
น้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี ในวิชาทั้งหลายที่ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญาก็ดี บุคคลได้
ฟังจากผู้อื่นแล้ว จึงได้กัมมัสสกตาญาณ หรือได้สัจจานุโลมิกญาณ ว่ารูปไม่เที่ยง
ดังนี้บ้าง ว่าเวทนาไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าสัญญาไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าสังขารทั้งหลาย
ไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ว่าวิญญาณไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง ได้อนุโลมิกญาณ ขันติญาณ
ทิฏฐิญาณ รุจิญาณ มุติญาณ เปกขญาณ ธัมมนิชฌานขันติญาณ อันใด ซึ่งมี
ลักษณะอย่างนั้น นี้เรียกว่า สุตมยปัญญา
ปัญญาของผู้เข้าสมาบัติแม้ทั้งหมด เรียกว่า ภาวนามยปัญญา

http://www.84000.org/tipitaka/read/?35/804/438


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s002
ส่วนประตูทางออกสู่พระนิพพานมี 3 ประตูดังภาพที่ยกมาแสดง

2.การเจริญธรรมโดยการเพ่งเอา กำหนดเอา อนิจจัง หรือทุกขัง หรือ อนัตตา เป็นกรรมฐาน นั่นเป็นวิธีการของนักปฏิบัติที่ติดสมถะอย่างมากมาก่อน จนไม่สามารถเจริญวิปัสสนาภาวนาตามธรรมชาติธรรมดาๆได้เขาทำกัน ก็ได้ผลอยู่ แต่ไม่ใช่วิธีการตรงๆของวิปัสสนาภาวนา

วิธีการของวิปัสสนาโดยธรรมชาติแท้ๆนั้นอาศัยสภาวะ ผัสสะ อารมณ์ ที่เกิดขึ้นกับกายและจิตเป็นองค์พิจารณา
เอาปัจจุบันธรรมปัจจุบันอารมณ์เป็นองค์ภาวนา


คุณกำลังมั่วครับคุณโสกะ....ที่ผมว่าคุณมั่วก็คือ คุณกำลังเอาการทำฌานมามั่วกับการทำญาน
ไอ้วิธีที่คุณทำอยู่มันเป็นการทำฌาน แต่คำที่คุณกำลังอธิบาย
มันเป็นการทำวิปัสสนาหรือการทำญาน

การทำฌานหรือเรียกว่า การเจริญภาวนา เป็นการมุ่งตรงสู่นิพพานด้วยการละ ราคะ โทสะ โมหะ

การทำอริยมรรคมีองค์๘หรือเรียกว่า การเจริญปัญญา เป็นการมุ่งตรงสู่นิพพานด้วยการละ..อวิชา


อ่านความเห็นนี้ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามมา
อย่าพยายามพูดให้เนื้อหาออกนอกเรื่อง ไม่รู้เรื่องก็บอกไม่รู้หรือก็มองผ่านไปก็ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เต็มไปด้วย ปิสุณาวาจา ไม่สมควรกับคุณโฮฮับระดับ 10 เลย
เป็นศิษย์กับครูไม่รู้ความหมายกันได้อย่างไร ไม่รู้ ไม่ถือเป็นศิษย์


พุทโธ๋! แค่กรรมฐานง่ายๆยังทำไม่ได้ ริจะพูดนิพพาน
ไอ้คำว่าปิสุณาวาจานั้นน่ะ มันเกิดที่ไหนครับ มันเกิดที่ปากผมหรือมันมันเกิดที่ใจโสกะ
ที่พูดไปผมสอนการวิปัสสนาเบื้องต้นให้น่ะครับ

โสกะนีแยกแยะธรรมไม่ออกเลย เอาเป็นว่าคุณไม่สนใจแล้วจะเป็นกิเลสหรือไม่
คุณเกิดโทสะชนิดที่อดกลั่นไม่ไหว ต้องการที่จะเอาเรื่องผม
ผมจะสอนให้ครับ คุณต้องเอากฎของบอร์ดมาเป็นหลัก
ไม่ใช่เอากิเลสในใจคุณมาเป็นหลัก
คุยธรรมกับผม กรุณาอย่าเอาเรื่องไร้สาระมาทำให้มันเป็นประเด็น มันเปลืองหน้ากระทู้

คุณว่าคุณรู้ความหมายของอาจารย์คุณหรือครับ ตลกหัวชนฝา :b9:
เริ่มเรื่องก็ฉอดๆๆ ดูถูกปริยัติ แต่ตัวเองเอาสิ่งที่อาจารย์ตนไปลอกเลี่ยนมาจาก
พระไตรปิฎก ตัวเองยังไม่รู้เลย และอีกอย่าง สิ่งที่ควรดูถูกที่สุดก็คือตำราที่ทำให้
ผู้ปฏิบัติหลงเข้ารกเข้าพงอย่างที่โสกะกำลังเป็นอยู่ ไม่ใช่ปริยัติ

asoka เขียน:

ลอกแบบมาจากอภิธรรม..........
คุณโฮฮับลองไปคัดลอกภาพมาเปรียบเทียบซิว่ามีภาพไหนที่เขียนประตูออกสู่พระนิพพาน เหมือนประตูออกสู่พระนิพพาน3 ประตูที่อโศกะทำมาให้ดูนี้ โปรดแสดงหลักฐานด้วย ว่าลอกเขามาจริงหรือ อย่าอ้างลอยๆ


ต้นฉบับเป็น...พระอภิธัมมัตถสังคหะ ท่านอธิบายการเข้าถึงนิพพาน ด้วยการเจริญภาวนา
ซึ่งมันเป็นเพียงหนทางหนึ่งในการไปสู่นิพพาน แต่อาจารย์ของโสกะไปลอกเลี่ยนมา แล้วก็เปลี่ยน
แปลงเนื้อหาให้เป็นรูปภาพ จนทำให้เหล่าลูกศิษย์หลงเข้ารกเข้าพง.................

เนื่องจากพระอภิธรรมมัตถสังคหะไม่ใช่พระไตรปิฎกแท้ๆ เป็นเพียงคัมภีร์
จึงไม่มีเนื้อหาอยู่ในพระไตรปิฎก ดังนั้นการอ้างอิงจึงต้องอาศัย เอามาจากเว็บที่เขาเผยแพร่
เป็นการเฉพาะ ดังนั้นผมจึงต้องเอามาจากเว็บพระอภิธัมออนไลน์.........

ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค

นิพพาน โดยอาการที่เข้าถึง
นิพพาน กล่าวโดยอาการที่เข้าถึง หรือกล่าวโดยสภาพที่บรรลุ หรือโดยอาการ ที่เป็นไปแล้ว มี ๓ คือ

ก. อนิมิตนิพพาน หมายถึงนิพพานนั้นไม่มีนิมิตไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีรูปร่าง

การสงัดจากนิมิตอารมณ์ ที่ยังให้เกิดกิเลส หรือ ชรามรณธรรม เป็นต้น นั้น
เรียกว่า อนิมิตตนิพพาน

ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา จนเห็นสามัญลักษณะ หรือ ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง เห็นความไม่เที่ยง อันปราศจากนิมิตเครื่องหมายเช่นนี้แล้ว และเพ่งอนิจจังต่อไปจน บรรลุมัคคผล มีนิพพานเป็นอารมณ์ นิพพานที่เป็นอารมณ์แก่ผู้ที่เห็นอนิจจังนั้นมี ชื่อว่า อนิมิตตนิพพาน ผู้มีอนิมิตตนิพพานเป็นอารมณ์ บุญญาธิการแต่ปางก่อนแรง ด้วย สีล

ข. อัปปณิหิตนิพพาน หมายถึง นิพพานนั้น ไม่มีอารมณ์เป็นที่น่าปรารถนา

การสงัดจากความดิ้นรนอันเป็นเหตุให้เกิดสรรพทุกข์นั้น เรียกว่า อัปปณิหิต นิพพาน

ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา จนเห็นไตรลักษณ์ คือ ทุกข์ เห็นความทนอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปรไป อันหาเป็น ปณิธิ ที่ตั้งไม่ได้เช่นนี้แล้ว และเพ่งทุกข์ต่อไปจน บรรลุมัคคผล มีนิพพานเป็นอารมณ์ นิพพานที่เป็นอารมณ์แก่ผู้ที่เห็นทุกข์นั้นมี ชื่อว่า อัปปณิหิตนิพพาน ผู้มีอัปปณิหิตนิพพานเป็นอารมณ์ บุญญาธิการแต่ปางก่อน แรงด้วย สมาธิ

ค. สุญญตนิพพาน หมายถึง นิพพานนั้นสูญสิ้นจากกิเลสและอุปาทาน และ ขันธ์ ๕ ไม่มีอะไรเหลืออยู่

ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา จนเห็นไตรลักษณ์ คือ อนัตตา เห็นความไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ อันเป็นความว่างเปล่า เช่นนี้แล้ว และเพ่งอนัตตาต่อไปจนบรรลุ มัคคผล มีนิพพานเป็นอารมณ์ นิพพานที่เป็นอารมณ์แก่ผู้เห็นอนัตตานั้น มีชื่อว่า สุญญตนิพพาน ผู้ที่มีสุญญตนิพพานเป็นอารมณ์นี้ บุญญาธิการแต่ปางก่อนแรงด้วย ปัญญา

ผู้ที่เห็นสามัญญลักษณ์ หรือไตรลักษณ์ คือ อนิจจังกับอนัตตาแล้วก้าวขึ้นสู่ มัคคผลนั้น มีจำนวนมากกว่าผู้ที่เห็น ทุกขัง

จบปริจเฉทที่ ๖ ชื่อว่า รูปสังคหวิภาค


http://abhidhamonline.org/aphi/p6/087.htm

ที่อ้างอิงคือประเด็นที่ผมว่าอาจารย์คุณไปลอกเอามาจาก.....
พระอภิธัมมัตถสังคหะ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ยกยออาจารย์ตนเองสูงกว่าพระพุทธองค์

มีข้อความตอนไหนที่ว่ายกยอเกิน

จะมีก็เป็นแต่โฮฮับคิดเอา เข้าใจเอา ตัดสินเอา โดยอัตโนมัย หรืออัตตทิฏฐิ มานะทิฏฐิของตนเองแล้วมาบิดเบือนคำพูดให้ผู้อื่นเห็นว่าเป็นผิด ใส่ความคิดเห็นของตนเองลงไปแล้วบอกว่าถูกต้อง ซึ่งก็คงไม่ว่าอะไรกัน เพราะอุปนิสัยของโฮฮับเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว รู้กันทั่วลานฯ หลักฐานมีอยู่โทนโท่ ยกอ้างมาพิสูจน์ได้เสมอ


การที่คุณเข้ามาแล้วก็บอกว่า ปริยัติอย่างโน้นปริยัติอย่างนี้
คำกล่าวอ้างของคุณ คนที่เข้าอ่านย่อมต้องรู้สึกว่า......คุณกำลังดูถูกปริยัติ

และยังมีอีกที่คุณกล่าวในทำนองว่า.....อย่าอ้างพระไตรปิฎก เพราะคุณไม่เข้าใจ

ถ้าคุณพูดเพียงแค่นี้ มันก็คงไม่เป็นปัญหา เพราะเขาก็คงคิดเพียงว่า คุณไม่มีปัญญาจึง
ไม่เข้าใจปริยัติหรือพระไตรปิฎก
แต่ไม่เช่นนั้น คุณกลับเอาชื่อของอาจารย์คุณมาอ้างปานประหนึ่งว่า เป็นศาสดาของคุณ
ที่ผมกล่าวเช่นนั้นก็เพราะ คุณไปหยิบยกเอารูป ที่อาจารย์คุณสอน แล้วบอกว่า
มันเป็นหนทางไปนิพพาน
ทั้งหมดรวมความแล้ว คุณมีอาจารย์พม่าเป็นศาสดา และมีรูปภาพที่อาจารย์คุณไปลอกเลียนมา
เป็นธรรมะ
:b32:

asoka เขียน:
s002

"ไม่ถือสา ก็ไม่เป็นไร ไม่อินังขังขอบ ก็ไม่ทุกข์ใจ" (ภาษิตสอนใจ ที่ตุ๊เจ้าเสือดาว ถ้ำเชียงดาวมอบไว้ให้แก่ชาวโลก)
grin
สนทนากับโฮฮับนี่ มันจะอดทิ่มตำสักนิดสักหน่อยไม่ค่อยได้ เพราะโฮฮับเล่นทิ่มมาแรงตลอด ถ้าใครที่มาใหม่ไม่รู้ เชื่อตามโฮฮับ จะพาลเห็นว่าบุคคลที่โฮฮับโจมตี วิพากษ์วิจารณ์ทุกคนคือ ชั่วผิด
[color=#800040]อนิจจัง อนิจจา โลกหนอโลก ช่างหลากหลายไปด้วย ผู้คนอันยึดตัวตนเป็นสรณะ
[/color]
s004


อ้างตุ๊เสือดาว ถามหน่อยเคยเอาคำที่ท่านสอนไปสำเหนียกมั้ยครับ
เอาแค่ประสุดท้ายสั้นๆนี้ มันก็ส่อให้เห็นว่า คุณไม่ได้เอาคำสอนของตุ๊ไปสำเหนียก
มันก็แค่เอาชื่อตุ๊มาอ้างเพื่อปรามาสคนอื่น
โสกะไม่รู้หรอกว่า มันทำให้เสียไปถึงตุ๊ ถ้าให้พูดเป็นสำนวนนวนิยายก็คือ....
ยืมดาบฆ่าคน ถ้าผมเป็นตุ๊และยังมีชีวิต ผมจะสั่งลูกศิษย์ของผมว่า.....
ถ้าเห็นคนที่ชื่อโสกะเข้ามาแม้เพียงปากถ้ำ ก็ให้ไล่ตะเพิดหรือจับโยนลงเขาไปเลย
อยู่ดีเอาชื่อไปแอบอ้างทำให้เสียชื่อ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpg
images.jpg [ 4.69 KiB | เปิดดู 3208 ครั้ง ]
asoka เขียน:


"ไม่ถือสา ก็ไม่เป็นไร ไม่อินังขังขอบ ก็ไม่ทุกข์ใจ" (ภาษิตสอนใจ ที่ตุ๊เจ้าเสือดาว ถ้ำเชียงดาวมอบไว้ให้แก่ชาวโลก)


"ไม่ถือสา ก็ไม่เป็นไร ไม่อินังขังขอบ ก็ไม่ทุกข์ใจ" คุณอโศกเคยตั้งกระทู้สนทนา เพิ่งรู้เนี่ยว่านำมาจากถ้ำเชียงดาว จากตุ๊เจ้าเสือดาว

ถ้างั้นมาดูของกรัชกายเสือโคร่งบ้าง จำง่ายๆ สั้นๆ "ช่า่งหัวมัน" นั่น ^ หรือใครเคยไปวัดบางวัดนะ เขาจะเขียนสุภาษิต-ข้อคิด -คำคม ห้อยไว้ตามต้นไม้ก็ได้ สำหรับท่องเป็นการกดความคิดได้ เช่น เหตุการณ์อะไรๆจะ้เป็นไงก็ช่างหัวมัน ใครจะเป็นจะตายก็ช่างหัวมัน ลูกเมียไม่มีข้าวกินก็ช่างหัวมัน หัวแตกก็ช่างหัวมัน ช่างหัวมันให้หมด :b1: นี่แหละลักษณะหนึ่งของสมถะหรือสมาธิล้วน ไมมีปัญญาปนเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 14:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ย. 2013, 09:14
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใกล้วันพ่อแล้วครับ เราควรรักพ่อให้มากนะครับ เอาสาระน่ารู้มาฝากกันครับ คลิ๊ก!!

.....................................................
วันพ่อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2013, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
โฮฮับ
อ้างคำพูด:
พูดจาหาแก่นสารไม่ได้ คุณไปเอาศัพท์ที่เป็นปริยัติมาพูด แล้วเทียวว่าชาวบ้านพูดแต่ปริยัติชาวบ้านเขาพูดปริยัติ ยังอยู่ในกรอบของพระธรรม แต่คุณซิเอาคำศัพท์มาพูด
แต่คำพูดไม่ได้มีเนื้อหาอะไรเลย เหมือนคนที่สร้างคำพูดขึ้นมาโดยไม่มีผลหรือสาระในคำพูดเลย

ไอ้ที่คุณพูดนึกอนิจจจัง ทุกขัง อนัตตา เพียงแค่นี้ก็รู้ว่า คุณขี้โม้
จะบอกให้น่ะ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเพียงสภาวะเดียว
แต่ในสภาวะเดียวนั้น มีความหมายได้สามอย่าง
มันไม่ใช่อย่างที่คุณโม้ ว่า อนิจจังแล้วก็ลัดออก เห็นทุกขังแล้วลัดออก ตลก

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นสภาวะเดียวจำไว้

:b32:
:b12: :b12: :b12:
กับคุณโฮฮับนี่ไม่อยากจะสนทนาด้วยเลย ชอบชักใบให้เรือเสีย ทำกระทู้ดีๆของเขาให้เสียหมด พล่านไปทั่วทั้งลาน ตำหนิติติงเขาไปทั่วทุกคน แต่ก็อดสงสารไม่ได้ ต้องเมตตาเฝ้าดูไปจนกว่า่คุณโฮฮับจะถูกสะกิดด้วยอะไรที่กำหราบคุณโฮฮับได้ หรือต้องรอให้เทพยดามาโปรด จนคุณโฮฮับตื่นขึ้นจากความหลับหลง
:b12: :b12: :b12:
จากประเด็นที่อ้างอิงมาข้างบน โปรดสังเกตให้ดีนะครับ

เรื่องอื่นโปรดวินิจฉัยกันเอง แต่เอาเฉพาะตอนที่ว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเพียงสภาวะเดียว
พูดอย่างนี้ก็รู้ได้ทันทีว่า คุณโฮฮับรู้และเห็นมาทั้งหมดอย่างผิดธรรม จึงทำให้ฟั่นเฟือน

อนิจจัง ก็สภาวะหนึ่ง ทุกขัง ก็สภาวะหนึ่ง อนัตตาก็สภาวะหนึ่ง ลองไปถามนักอภิธรรมดูนะครับ

ดูภาพประกอบข้างบนด้วยว่าทำไมถึงบอกว่า อนิจจังชัดแล้วก็ลัดออก เห็นทุกขังชัดแล้วลัดออก เห็นอนัตตาชัดแล้วก็ลัดออก มีเหตุผลมาจากไหน ที่คุณโฮฮับยังไม่รู้ หรือรู้ไม่ซึ้ง รู้ไม่ถึงจริง

ประตูทางออกสู่พระนิพพาน มีอยู่ 3 ประตู เคยรู้หรือเปล่าโฮฮับ พิจารณารูปภาพที่ยกมาให้ดี รูปภาพบอกได้ดีกว่าคำบรรยายแบบน้ำท่วมทุ่งอย่างที่คุณโฮฮับทำ (เป็นวิญญูชนจึงจะรู้และตีความหมายจากภาพออก พาลชนไม่อาจรู้ได้เพราะมีจิตใจอันหยาบเกินไปที่จะรู้เรื่องธรรมอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งเช่นนี้)
onion onion onion



อ้อ ... ภาพหาย เข้าไปดูที่หน้า ๓ ตามบทสนทนานี้



ภาพที่นำมา มีเขียนแสดงออกไว้ชัด เรื่อง ณ ปัจจุบัน ขณะ

หมายถึง ขณะผัสสะเกิด แล้วสิ่งๆนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด ให้รู้ชัดอยู่ภายในกายและจิต ไม่สร้างเหตุออกไปตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

เมื่อกระทำเช่นนี้เนืองๆ สภาวะที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ จะเกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย เมื่อรู้เห็นเนืองๆดังนี้ จิตย่อมเกิดการปล่อยวาง

เป็นเหตุให้ เห็นตามความเป็นจริงของสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้น มีสภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

คือ เป็นวิธีการดับเหตุ ของการเกิดภพชาติปัจจุบัน เขาจึงเรียกว่า ประตูทางเข้านิพพาน

เป็นสภาวะนิพพาน ที่หมายถึง ดับภพชาติปัจจุบัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 01:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
asoka เขียน

เครื่องชี้วัดที่ง่ายๆคือ เมื่อไหร่ที่ทำจิตนิ่งสงบได้จนสามารถสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของหัวใจหรือชีพจรได้ โดยความคิดนึกหยุดไปเป็นช่วงสั้นๆ มีแต่ผู้รู้ รู้อยู่กับอาการเต้นตอดของหัวใจหรือชีพจรชัดเจนอยู่อย่างนัั้น

ผู้รู้ คือ นาม.......อาการเต้นตอดของชีพจร เป็นสภาวะธาตุลม.....เป็น...สิ่งที่ถูกรู้ เป็น รูป เขาแยกรู้กันอยู่อย่างนี้ เป็นคนละอันกัน.....นี่คือลักษณะที่เรียกว่า รูป นาม แยกจากกัน เป็นอย่างง่ายๆเบื้องต้น


ผมมีความเห็นว่า ธาตุทั้ง4 นั้นปรากฎร่วมกันอยู่แล้ว ชีพจร คือการไหลเวียนของโลหิต หากจะพิจารณาน่าจะเป็นธาตุดินนะครับ เพราะธาตุน้ำแลกำหนดรู้ยากกว่า สมมุติเราอาบน้ำและราดน้ำจะปรากฏว่าน้ำเย็น จริงๆเราไม่ได้กำหนดรู้ธาตุน้ำ เรากำลังกำหนดรู้ธาตุไฟ และที่น้ำไหลๆไปตามตัว ก็คือธาตุดินที่ถูกกำหนดรู้ ก็น่าสนใจดีนะครับ

เพราะเลือดคือธาตุน้ำเป็นส่วนใหญ่ ที่เลือดอุ่นๆก็เพราะมีธาตุไฟด้วย พอไหลผ่านเส้นเลือดเกิดการทำงานของหัวใจทำให้เกิดความดัน สิ่งที่ถูกดันนั้นมีเส้นเลือดด้วยรวมถึงจุดที่ชีพจรเต้นนั้นเอง เส้นเลือดก็คือธาตุดินเป็นส่วนใหญ่ครับ เราจึงรู้สึกถึงธาตุดิน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 01:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
asoka เขียน
ชีวิตที่แท้จริงก็มีแค่เพียง รู้ - ดับ เท่านี้เอง......ถ้ามีการปรุงรู้เพิ่มออกไปจากนี้ ก็เป็นเรื่องทันที คือเกิด กรรม และวิบากกรรมให้ต้องเสวยเป็นวงวัฏฏะอันไม่รู้จบ


การรู้ - ดับ คือทุกข์ ชีวิตที่แท้ผมมีความเห็นว่า ความดำรงอยู่เพราะเหตุและผล เช่น ทุกวันเราต้องทานอาหาร เพราะอาหารต้องไปล่อเลี้ยงร่างกาย ทั้งๆที่อาหารก็ไม่ได้รู้ - ดับอะไร แต่เรายังต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 06:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามคุณ piyavat :b8: หน่อยนะครับ เรื่องความรัก-ความชัง เขาเอาอะไรมาวัดกันครับ กรัชกายเคยเห็นแต่ปรอตวัดไข้ แต่ปรอทวัดความรัก-ความชัง ยังไม่เคยเห็น หรือมีแล้วแต่กรัชกายตกข่าว :b1:


เคยฟังแต่เพลง จงรัก นี้

http://www.youtube.com/watch?v=eIVD9P6kV4M

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 08:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ดูที่ใจ.jpg
ดูที่ใจ.jpg [ 62.68 KiB | เปิดดู 3132 ครั้ง ]
:b8:
"Walaiporn"
อ้างคำพูด:
อ้อ ... ภาพหาย เข้าไปดูที่หน้า ๓ ตามบทสนทนานี้

ภาพที่นำมา มีเขียนแสดงออกไว้ชัด เรื่อง ณ ปัจจุบัน ขณะ

หมายถึง ขณะผัสสะเกิด แล้วสิ่งๆนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด ให้รู้ชัดอยู่ภายในกายและจิต ไม่สร้างเหตุออกไปตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

เมื่อกระทำเช่นนี้เนืองๆ สภาวะที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ จะเกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย เมื่อรู้เห็นเนืองๆดังนี้ จิตย่อมเกิดการปล่อยวาง

เป็นเหตุให้ เห็นตามความเป็นจริงของสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้น มีสภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

คือ เป็นวิธีการดับเหตุ ของการเกิดภพชาติปัจจุบัน เขาจึงเรียกว่า ประตูทางเข้านิพพาน

เป็นสภาวะนิพพาน ที่หมายถึง ดับภพชาติปัจจุบัน

:b8:
อนุโมทนาสาธุกับคุณวลัยพรที่เข้าใจหลักวิปัสสนาภาวนาอย่างถ่องแท้

ชอบใจประโยคที่ทำตัวหนาและคาดสีแดงไว้มากๆครับ
:b27:
ส่วนความเห็นของคุณกรัชกาย คุณStudent และท่านอื่น มีอะไรน่าสนทนาต่อมากครับ คอยจังหวะต่อไป ของคุณกรัชกายมีมีคำถามสำหรับคุณ piyavat มาด้วย และคำถามเรื่องชีพจร ที่ไปสรุปเอาเองว่าเป็นวิธีปฏิบัติใหม่ ทั้งๆที่ผมได้เรียนแจ้งหลายครั้งแล้วว่าเป็นเพียงส่วนประกอบ เครื่องมือ หรือปัจจัยสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการภาวนาเท่านั้น หลักปฏิบัติยังคงเป็น มรรค 8 อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 และสัพเพธัมมา อนัตตา
s006
ส่วนของคุณโฮฮับนั้น ฟุ้งบัญญัติมามากกว่าเพื่อน จนเป็นความพองโตของกระทู้นี้

เรื่องค้านบัญญัติ ปริยัติ ผมไม่ค้าน เพราะยังไงก็ต้องสื่อสารกับผู้คนอยู่ ดูให้ดี

แต่กระทู้นี้ ติงว่า บัญญัติหรือปริยัติธรรมที่มากไปจนเฝือ จนล้นเหลือ หากไม่นำมาประยุกต์ใช้ในการลงมือปฏิบัติจริง พิสูจน์ความจริง จนทำได้จริงด้วยตนเอง ปริยัติที่มากมายเหล่านั้นก็หมดความหมาย ไร้ค่าไปทันที ดังภาษืตที่ว่า "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"

ผมเคยถามกว้างๆรวมถึงคุณโฮฮับด้วยสั้นๆว่า

คุณใช้เวลากี่นาที จึงจะทำความสงบกายสงบใจ จนสามารถสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของชีพจรได้?

โฮฮับก็ไม่ตอบ กรัชกายก็ไม่พูด ยังไม่มีท่านอื่นใดมาแสดงความเห็นจากประสบการณ์จริงในเรื่องชีพจรนี้ แต่พากันฟุ้งแตกประเด็นไปในเรื่องอื่น จนบางเรื่องผมต้องออกจากประเด็นไปตอบ


วันนี้ต้องใช้เวลาพิจารณาความเห็นของคุณโฮฮับมาก ก็ได้ประโยชน์คือได้ทราบว่า

คุณโฮฮับอ่านคัมภีร์มากก็จริงแต่ไปอ่านของฎีกาและอรรถกถามาก แล้วจับประเด็น ตีความมาผิดบ้างถูกบ้าง บางอย่างก็ค้านคำพูดเก่าของตนเอง อย่างเช่นเรื่องไตรลักษณ์ ที่อ้างอรรถกถามาวันนี้ ท่านบอกชัดว่า

ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ชัดอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วสามารถพาเข้าสู่ประตูนิพพานทางด้านนั้นได้

ความเห็นเก่าของโฮฮับบอกว่า

ไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


ส่วนเรื่องปัญญา 3 ตามความเห็นของอรรถกถาจารย์นั้น ต้องพิจารณาให้ดีๆ ตีความให้ถูกต้องแม่นยำ เปรียบเทียบกับอรรถกถาจารย์ท่านอื่นๆให้หลายๆความเห็น เพราะอรรถกถาจารย์ ก็คือผู้รู้ ผู้มีเมตตา แจกแจงธรรมของพระพุทธเจ้าตามความเห็นของตนเอง ย่อมหลายด้วยนาๆจิตตังและทัศนะ ตามจริตนิสัยวาสนาบารมีของอรรถกถาจารย์แต่ละท่านแต่ละองค์ซึ่งเอาเป็นสัจจะมาตรฐานกลางอย่างของพระพุทธเจ้าไม่ได้

ปัญญาสามตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเข้าใจง่าย ไม่มากมายไปด้วยศัพท์บัญญัติที่อ่านแล้วเข้าใจยากอย่างที่คุณโฮฮับยกมา ลองไปพิสูจน์อ่านกันดูนะครับหลักฐานมีอยู่ข้างบน

1.สุตตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการฟัง การศึกษา

2.จินตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากคิด พิจารณา

3.ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการลงมือปฏิบัติจริงจนสัมผัสความจริงนั้นๆด้วยใจ (จนเกิดความ อ้อ!ขึ้นมา)


อ้างคำพูด:
ที่อ้างอิงคือประเด็นที่ผมว่าอาจารย์คุณไปลอกเอามาจาก.....
พระอภิธัมมัตถสังคหะ


เขาไม่เรียกว่า ลอกเอา อาจารย์ผมก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า แต่ท่านมีเมตตา เอาคำสอนนั้นมาทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ โดยทำตัวหนังสือให้เป็นภาพซึ่งดีกว่าคำพูดหลายร้อยเท่า

แล้วที่คุณโฮฮับพูด เขียน อย่างน้ำท่วมทุ่งทุกวันนี้ ก็มิใช่ลอกเอามาทั้งดุ้นหรือครับ ประยุกต์ใช้ไม่เป็น เข้าใจเพียงแต่ว่า ธรรมะคือต้องมาจากคำภีร์อ้างอิงได้ สิ่งที่กำลังเกิดอยู่ในกายใจให้สัมผัสรู้อยู่ทุกวันนี้มิใช่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน......คุณเข้าใจธรรมผิดไปมากแล้วนะครับ

คนที่เขาสามารถเอาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกายใจ พูดบอกได้ด้วยภาษาไทยง่ายๆ มาแสดงที่มาที่ไป เหตุ ปัจจัย ผล จนเอายินดียินร้ายออกจากใจได้ ไม่ใช่เขากำลังประยุกต์เอาคำสอนภาษาบาลีของพระพุทธเจ้ามาทำให้ง่ายแล้วเล่าสู่เพื่อนพี่น้องคนไทยที่ไม่ค่อยรู้บาลีได้เข้าใจ อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือครับ ไม่มีอะไรนอกธรรมของพระพุทธเจ้า แต่บัญญัติภาษาที่ใช้แตกต่างกันไปตามยุคสมัยและชาติพันธ์เท่านั้นเอง


เจ็บ ปวด ทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ร้อน หนาว เย็น อุ่น ก็อันเดียวอย่างเดียวกับกับผู้คนเมื่อสมัยก่อน 2600 ปีก่อนโน้นเช่นกัน หรือไม่ใช่ครับคุณโฮฮับ
s004
หมดเวลาเสียแล้วสำหรับวันนี้ มีงานบุญต้องรีบไปทำให้เสร็จ อดใจไว้ตอนต่อไปนะครับ เพราะประเด็นแตกออกไปให้มีเรื่องฟุ้งบัญญัติกันอีกมากมายทีเดียว แต่ก็ดี เอาปรมัตถกระทู้ มาเป็นเหตุแจงปริยัติธรรม ไปตามเหตุปัจจัย
:b8:



.....................................................
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หากไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้น

ถึงนำรูปมาแนบ แต่อธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรม ถึงเหตุและผล ยังทำไม่ได้

ก็เป็นแค่ การปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่

แม้กระทั่ง การเต้นของชีพจร เรียกเอาเท่ การสั่นสะเทือน ไม่ใช่ความวิเศษ หรือ พิเศษอันใดเลย

ทำไมจึงพูดเช่นนี้ เพราะเห็นแล้วว่า ความสั่นสะเทือน หรือ การรู้ชัดในจังหวะการเต้นของชีพจร ไม่สามารถนำมาหยุดการสร้างเหตุนอกตัวได้



ความสั่นสะเทือน หรือ การรู้ชัดในจังหวะการเต้นของชีพจร เป็นเพียงแค่ ความปกติของสภาวะที่เกิดขึ้นของความมีชีวิต

จะเป็นแบบหยาบ แบบกลาง แบบละเอียด ยังไงก็ไม่พ้น ความเป็นปกติของสิ่งที่เกิดขึ้น เท่านั้นเอง

เหตุของความไม่รู้ชัดในสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีอยู่ จึงทำให้เกิดความยินดี ความพอใจ กับสภาวะที่เกิดขึ้น

สภาวะพวกนี้ ไม่แตกต่างกับสภาวะอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต และขณะที่ทำความเพียรอยู่ เป็นความปกติ ที่ไม่ปกติ เพราะเกิดจาก อุปทาน

สิ่งสำคัญ ที่ว่ารู้ รู้แบบไหน จึงจะสามารถทำให้หยุดสร้างเหตุนอกตัวได้ นี่ต่างหาก สำคัญมากกว่า สัมผัสได้ชัด ในการเต้นของชีพจร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2013, 08:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




มรรค 8.jpg
มรรค 8.jpg [ 53.06 KiB | เปิดดู 3122 ครั้ง ]
walaiporn เขียน:
หากไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้น

ถึงนำรูปมาแนบ แต่อธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรม ถึงเหตุและผล ยังทำไม่ได้

ก็เป็นแค่ การปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่

แม้กระทั่ง การเต้นของชีพจร เรียกเอาเท่ การสั่นสะเทือน ไม่ใช่ความวิเศษ หรือ พิเศษอันใดเลย

ทำไมจึงพูดเช่นนี้ เพราะเห็นแล้วว่า ความสั่นสะเทือน หรือ การรู้ชัดในจังหวะการเต้นของชีพจร ไม่สามารถนำมาหยุดการสร้างเหตุนอกตัวได้



ความสั่นสะเทือน หรือ การรู้ชัดในจังหวะการเต้นของชีพจร เป็นเพียงแค่ ความปกติของสภาวะที่เกิดขึ้นของความมีชีวิต

จะเป็นแบบหยาบ แบบกลาง แบบละเอียด ยังไงก็ไม่พ้น ความเป็นปกติของสิ่งที่เกิดขึ้น เท่านั้นเอง

tongue
เฉพาะข้อความที่ยกมาท่อนนี้คงพอตอบและคลายข้องใจของคุณวลัยพรได้บ้างนะครับ

คำถามเรื่องชีพจร ที่ไปสรุปเอาเองว่าเป็นวิธีปฏิบัติใหม่ ทั้งๆที่ผมได้เรียนแจ้งหลายครั้งแล้วว่าเป็นเพียงส่วนประกอบ เครื่องมือ หรือปัจจัยสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการภาวนาเท่านั้น หลักปฏิบัติยังคงเป็น มรรค 8 อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 และสัพเพธัมมา อนัตตา

การสัมผัสรู้ ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร ความสั่นสะเทือนในร่างกาย หรือแม้กระทั่งการเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณได้ อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องไม่พิเศษนะครับ คุณวลัยพรอาจทำได้ทั้งหมดแต่ลองทดสอบกับเพื่อนๆ มิตรสหายคนใกล้เคียงทั้งหลายดูนะครับ จะได้พบเห็นอะไรดีๆเยอะเลยจากการพิสูจน์ธรรมง่ายๆนี้
smiley
onion onion onion
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร