ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=46985 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | อธรรม [ 20 ธ.ค. 2013, 01:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์ แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้ แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่ เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้ แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ |
เจ้าของ: | student [ 20 ธ.ค. 2013, 01:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
อธรรม เขียน: เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์ แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้ แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่ เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้ แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ อนุโมทนาครับกับการเข้ามาเขียนเตือนสติกัน |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 ธ.ค. 2013, 06:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
ก่อนที่จะมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้นั้นจะต้องมีสัทธาและเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้รับเป็นเบื้องต้นแล้ว ถ้าจะแบ่งความสัทธาก็ได้ ๔ อย่าง ๑. กัมมสัทธา ๒. วิปากสัทธา ๓. กัมัสสกตาสัทธา ๔. ตถาคตโพธิสัทธา ๑. กัมมสัทธา คือ เชื่อกฏแห่งกรรม เชื่อสาระสำคัญของกฏแห่งกรรมที่ว่า " ทำดีต้องได้รับผลดีจริง ทำชั่วต้องได้รับผลชั่วจริง" ดังธรรมภาษิตที่ว่า.....บุคคลใดทำกรรมใดไว้ เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน ผู้ที่ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ... ๒. วิปากสัทธา คือเชื่อว่าวิบากหรือผลของกรรมมีจริง เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้ว ต้องมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว ไม่มีใครหลบเลี่ยงวิบากแห่งกรรมชั่วของตนได้เลย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าบุคลลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ หนีไปท่ามกลางมหาสมุทรก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ( เพราะ ) เขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่..... ๓. กัมมัสสกตาสัทธา คือเชื่อว่าแต่ละชีวิตมีกรรมเป็นของตน ใครจะดีหรือชั่ว ก็เพราะการกระทำของตนเอง ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาบันดาลให้เป็นไป ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ใน จูฬกัมมวิภังคสูตร ว่า...สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้หยาบและประณีตได้..... ๔. ตถาคตโพธิสัทธา คือเชื่อมั่นในองค์พระตถาคตว่า ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยปราศจากความสงสัยใดๆทั้งสิ้น ปักใจเชื่อว่าพระพุทธองค์ทรงพระคุณสมบูรณ์ตรัสรู้เห็นจริงและมีจริง สามารถนำผู้ปฏิบัติตามให้พ้นจากทุกข์ ให้เข้าถึงความสุขแบบธรรมดาในโลกนี้ จนถึงสุขอันยอดเยี่ยมคือพระนิพพาน และเห็นประโยชน์ที่ปฏิบัติตามก็จะเกิดผลขึ้นกับตนได้จริง ประโยชน์แบ่งได้ ๓ อย่าง ๑. ทิฏฐธัมมิกะประโยชน์ ๒. สัมปรายิกะประโยชน์ ๓. ปรมัตถะประโยชน์ ๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะโยชน์ ประโยชน์ในภพนี้ ได้แก่ ประโยชน์ที่บุคคล จะพึงได้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ต้องการของบุคคลทั้งหลาย คือ ความสุข เช่น ความสุขจากการมีทรัพย์ ความสุขจากการจ่ายทรัพย์ ความสุขที่ไม่ต้องเป็นหนี้ ความสุขจากการทำงานไม่มีโทษ ความสุขเช่นนี้ จะมีได้ต้องประกอบความขยัน มีการเก็บรักษาทรัพย์ที่ได้มา คบเพื่อนที่ดี เลี้ยงชีวิตตามฐานะจัดเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน ๒. . สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ในภพหน้า ได้แก่ ประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไปคือ มีจิตใจเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมความดี ทำชีวิตให้มีค่า และเป็นหลักประกันชีวิตในภพหน้า จะสำเร็จได้ด้วยธรรม 4 ประการ คือ ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยการบริจาค และถึงพร้อมด้วยปัญญา ๓. ปรมัตถะโยชน์ ประโยชน์อย่างยิ่ง ได้แก่ พระนิพพาน ซึ่งหมายถึงการดับกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น อันเป็นเหตุให้เกิดความร้อนใจทั้งปวง ปรมัตถะนี้เป็นประโยชน์อันสูงสุด ที่ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะพึงได้พึงเข้าถึง สรุปความว่าจะต้องมีสัทธาคือความเชื่อว่าคำสอนของพระองค์เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ธ.ค. 2013, 07:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
แล้วอะไรคือธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่านั้น ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ธ.ค. 2013, 11:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
มานี่เถอะครับ จขกท. ทำใจดีๆครับ |
เจ้าของ: | อธรรม [ 20 ธ.ค. 2013, 13:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
กรัชกาย เขียน: อธรรม เขียน: เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์ แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้ แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่ เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้ แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ แล้วอะไรคือธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่านั้น ![]() ![]() เราเป็นผู้น้อยด้อยความรู้ ทางปฏิบัติก็ยังไม่เข้มแข็ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้มาและต้องปฏิบัติให้ถึงจุดนั้นให้ได้ สติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนบริบูรณ์ อะไรคือธรรม อะไรคือไม่ใช่ธรรม มีแต่ตัวเราที่ยึดเอาไว้ เราได้เรียนรู้คือใบไม้หนึ่งใบที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนแค่นั้น..ที่เรารู้ เราดูตัวเองในปัจจุบันที่ไม่มีอารมณ์ในอดีตมาเกี่ยวข้องแล้วก็ดูอดีตในเรื่องที่เราจำได้แล้วก็ดูคำสอนนั้น แล้วก็วัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตกับคำสอนนั้น ถีงได้ยอมรับในคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ บางครั้งดูการกระทำคนอื่นแล้วมาวัดกับอคิติในใจตัวเองก็มี เราถึงได้บอกว่าผลเสียจะย้อนกลับมาหาตัวเอง ว่าแต่เขาแต่ตัวเองดันไม่พิจรณาดูตัวเองให้ท่องแท้ซะก่อน มีครั้งหนึ่งที่พิจรณาตนเองกับคนบ้า เราแตกต่างจากคนบ้าตรงไหน คนบ้าใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ นึกอยากทำอะไรก็ทำ แล้วเราละเราใช้ชีวิตแตกต่างกับคนบ้าที่ตรงไหนถ้าเรายังใช้ชีวิตให้ไหลไปตามอารมณ์ นั้นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจเรา |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ธ.ค. 2013, 13:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
อธรรม เขียน: กรัชกาย เขียน: อธรรม เขียน: เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์ แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้ แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่ เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้ แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ แล้วอะไรคือธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่านั้น ![]() ![]() เราเป็นผู้น้อยด้อยความรู้ ทางปฏิบัติก็ยังไม่เข้มแข็ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้มาและต้องปฏิบัติให้ถึงจุดนั้นให้ได้ สติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนบริบูรณ์ อะไรคือธรรม อะไรคือไม่ใช่ธรรม มีแต่ตัวเราที่ยึดเอาไว้ เราได้เรียนรู้คือใบไม้หนึ่งใบที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนแค่นั้น..ที่เรารู้ เราดูตัวเองในปัจจุบันที่ไม่มีอารมณ์ในอดีตมาเกี่ยวข้องแล้วก็ดูอดีตในเรื่องที่เราจำได้แล้วก็ดูคำสอนนั้น แล้วก็วัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตกับคำสอนนั้น ถีงได้ยอมรับในคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ บางครั้งดูการกระทำคนอื่นแล้วมาวัดกับอคิติในใจตัวเองก็มี เราถึงได้บอกว่าผลเสียจะย้อนกลับมาหาตัวเอง ว่าแต่เขาแต่ตัวเองดันไม่พิจรณาดูตัวเองให้ท่องแท้ซะก่อน มีครั้งหนึ่งที่พิจรณาตนเองกับคนบ้า เราแตกต่างจากคนบ้าตรงไหน คนบ้าใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ นึกอยากทำอะไรก็ทำ แล้วเราละเราใช้ชีวิตแตกต่างกับคนบ้าที่ตรงไหนถ้าเรายังใช้ชีวิตให้ไหลไปตามอารมณ์ นั้นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจเรา อ้อ... ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 20 ธ.ค. 2013, 13:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
อธรรม เขียน: กรัชกาย เขียน: อธรรม เขียน: เดิมทีก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้เพราะสุดท้ายผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา เรามีความเห็นว่าในบรรดาเราท่านทั้งหลายเรากำลังละเลยอะไรไปรึเปล่า ในเมื่อทั้งเราท่านต่างก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์ แต่เพราะเหตุอะไรเรากลับไม่ให้เกียรติกับคำสอนของบรมครู พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่กับเราเสมออยู่ในคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้ แล้วเหตุไฉนเราจึงไม่เอาคำสอนนั้นมาวัดใจตน ดูที่การกระทำของตนว่าสมควรถูกต้องหรือไม่ เราบอกว่าเราเคารพพระองค์แต่การกระทำกลับตรงข้าม เราไม่สามารถน้อมนำคำสอนเหล่านี้เข้ามาใส่ตัวได้แล้วหรือ ถึงได้เอาคำสั่งสอนเหล่านั้นมาเล่นงานอีกฝ่ายไปมาไม่มีที่สิ้นสุด เคยมีบางครั้งไหมที่เราหันกลับไปมองดูการกระทำที่ลุด้วยอารมณ์ในกาลก่อน แล้วรู้สึกละอายใจกับการกระทำในอดีต แล้ววันนี้เรายังจะทำแบบนั้นอีกเหรอ เพื่ออะไร หรือเพื่อความสะใจในวันนี้ แล้ววันหน้าจะต้องมาอายกับสิ่งที่ทำในวันนี้อย่างนั้นเหรอ แล้วอะไรคือธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่านั้น ![]() ![]() เราเป็นผู้น้อยด้อยความรู้ ทางปฏิบัติก็ยังไม่เข้มแข็ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้มาและต้องปฏิบัติให้ถึงจุดนั้นให้ได้ สติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนบริบูรณ์ อะไรคือธรรม อะไรคือไม่ใช่ธรรม มีแต่ตัวเราที่ยึดเอาไว้ เราได้เรียนรู้คือใบไม้หนึ่งใบที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนแค่นั้น..ที่เรารู้ เราดูตัวเองในปัจจุบันที่ไม่มีอารมณ์ในอดีตมาเกี่ยวข้องแล้วก็ดูอดีตในเรื่องที่เราจำได้แล้วก็ดูคำสอนนั้น แล้วก็วัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตกับคำสอนนั้น ถีงได้ยอมรับในคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ บางครั้งดูการกระทำคนอื่นแล้วมาวัดกับอคิติในใจตัวเองก็มี เราถึงได้บอกว่าผลเสียจะย้อนกลับมาหาตัวเอง ว่าแต่เขาแต่ตัวเองดันไม่พิจรณาดูตัวเองให้ท่องแท้ซะก่อน มีครั้งหนึ่งที่พิจรณาตนเองกับคนบ้า เราแตกต่างจากคนบ้าตรงไหน คนบ้าใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ นึกอยากทำอะไรก็ทำ แล้วเราละเราใช้ชีวิตแตกต่างกับคนบ้าที่ตรงไหนถ้าเรายังใช้ชีวิตให้ไหลไปตามอารมณ์ นั้นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจเรา อ่านข้อความคุณมาทั้งหมด.....เห็นด้วยอยู่ประโยคเดียว ที่คุณบอกว่า คุณไม่แตกต่างจากคนบ้าเลย.....เห็นด้วยจริงๆ ![]() พุทโธ่! พูดธรรมอย่าเอาแต่ความเท่ซิครับ อยากจี้ใจดำใคร มันต้องเอาแก่นธรมมาพูด ไปใช่สักแต่พูดเอาหล่อครับ แบบนี้ เดียวโดนคนอื่นเขาย้อน แล้วจะมาตีโพยตีพายซ่ะเปล่าๆ อย่าพึ่งออกลวดลายเลยครับ ดูๆเขาไปก่อน เลือกดูด้วย ไม่ใช่จ้องดูแต่คำที่เขาประชดประชัน ธรรมมีให้ดูมีให้เลือกจำตั้งเยอะไม่เอา ชอบจำแต่เรื่องที่เอามาสร้างเหตุให้รกใจตัวเอง ![]() |
เจ้าของ: | อธรรม [ 20 ธ.ค. 2013, 17:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
ขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่ให้คำแนะนำตักเตือน...ต่อไปคงต้องดูตนเอง....ให้มากขึ้น คนไหนทำคนนั้นย่อมได้ผลของการกระทำเสมอ เมื่อตัวเราคิดเราย่อมต้องได้รับผลของความคิดเช่นกัน |
เจ้าของ: | asoka [ 20 ธ.ค. 2013, 17:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
![]() เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่ออะไร? ![]() ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ....ไม่ใช่ธรรม ของพระพุทธเจ้า....แต่เป็นธรรม ที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วนำมาสอน ซึ่งพระองค์ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือ เราศึกษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่ออะไร? ตอบ เพื่อให้รู้จัก ธรรม รู้วิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรม เพื่อให้พ้นจากทุกข์ ถึงสุขอันเป็นอมตะ คือพระนิพพาน ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 20 ธ.ค. 2013, 17:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
asoka เขียน: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่ออะไร? ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ....ไม่ใช่ธรรม ของพระพุทธเจ้า....แต่เป็นธรรม ที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วนำมาสอน: พูดแปลก ธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ มันก็ต้องเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า มันจะเป็นอย่างอื่นได้ยังไง..... เขาถึงเรียกธรรมนั้นว่า...พุทธวจน ![]() asoka เขียน: ซึ่งพระองค์ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือ เราศึกษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่ออะไร? ตอบ เพื่อให้รู้จัก ธรรม รู้วิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรม เพื่อให้พ้นจากทุกข์ ถึงสุขอันเป็นอมตะ คือพระนิพพาน[/b] ![]() ขำกลิ้ง ![]() มาดูก่อน อย่ามั่วซิโสกะ....... สีสปาสูตร เปรียบสิ่งที่ตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น [๑๗๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวัน ใกล้เมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบ ประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูล ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มี ประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า. พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก ก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก. [๑๗๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ ... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็น พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา. http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 74&Z=10392 เบิ้งตามองพระพุทธองค์ตรัสเรื่องนี้กับใคร ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 20 ธ.ค. 2013, 18:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
โฮฮับ เขียน: asoka เขียน: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่ออะไร? ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ....ไม่ใช่ธรรม ของพระพุทธเจ้า....แต่เป็นธรรม ที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วนำมาสอน: พูดแปลก ธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ มันก็ต้องเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า มันจะเป็นอย่างอื่นได้ยังไง..... เขาถึงเรียกธรรมนั้นว่า...พุทธวจน ![]() asoka เขียน: ซึ่งพระองค์ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือ เราศึกษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่ออะไร? ตอบ เพื่อให้รู้จัก ธรรม รู้วิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรม เพื่อให้พ้นจากทุกข์ ถึงสุขอันเป็นอมตะ คือพระนิพพาน[/b] ![]() ขำกลิ้ง ![]() มาดูก่อน อย่ามั่วซิโสกะ....... สีสปาสูตร เปรียบสิ่งที่ตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น [๑๗๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวัน ใกล้เมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบ ประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูล ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มี ประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า. พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก ก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก. [๑๗๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ ... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็น พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา. http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 74&Z=10392 เบิ้งตามองพระพุทธองค์ตรัสเรื่องนี้กับใคร ![]() ![]() ![]() ![]() อ้างคำพูด: พูดแปลก ธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ มันก็ต้องเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า มันจะเป็นอย่างอื่นได้ยังไง..... ![]() พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสละหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระปัญญาบารมี แล้วมันจะมี ธรรมะของพระองค์ มาจากที่ไหน? จะมีอะไรที่ถือว่าเป็นของงพระพุทธองค์ ถ้าโฮฮับอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้า นั่นกำลังกล่าว ด้วยความไม่รู้ซึ้งถึงสัจจธรรม ธรรมะนั้นเขามีอยู่คู่กับโลกและจักรวาลนี้มามาก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เสียอีก พระสมณะโคดมพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน พึงเข้าใจให้ถูกต้องด้วย ![]() ![]() ![]() ส่วนเรื่องใบไม้ในกำมือที่พระบรมศาสดาตรัสถามภิกษุทั้งหลายนั้น ก็ถูกต้องอย่างโฮฮับค้นตำรามาอ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ที่อโศกะอ้างผิด (ได้ทีขี่แพะไล่เลยเชียวนะ สะใจแล้วซิ) แต่สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญมันอยู่ที่สาระของใบไม้ในกำมือ ว่าคืออะไร? เป็นของพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือว่ามีอยู่แล้วเองโดยธรรม ซึ่งไม่สงวนลิขสิทธิ์ไว้สำหรับใครผู้ใดโดยเฉพาะ ใครมีสติ ปัญญา บารมี ที่ถูกต้องถูกทางแห่งมรรคมีองค์ 8 โดยธรรม ก็สามารถจะรู้และเข้าถึงได้เสมอเหมือนกันหมด ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวก และปกติสาวกทั้งหลาย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 21 ธ.ค. 2013, 04:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
อธรรม เขียน: ขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่ให้คำแนะนำตักเตือน...ต่อไปคงต้องดูตนเอง....ให้มากขึ้น คนไหนทำคนนั้นย่อมได้ผลของการกระทำเสมอ เมื่อตัวเราคิดเราย่อมต้องได้รับผลของความคิดเช่นกัน แนะนำบอร์ดที่เหมาะกับอุปนิสัยใจคอความคิดของ จขกท. ที่นี่ครับ http://larndham.org/index.php?/forum/24 ... %E0%B8%B0/ ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 21 ธ.ค. 2013, 05:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
asoka เขียน: พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสละหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระปัญญาบารมี แล้วมันจะมี ธรรมะของพระองค์ มาจากที่ไหน? จะมีอะไรที่ถือว่าเป็นของงพระพุทธองค์ ถ้าโฮฮับอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้า นั่นกำลังกล่าว ด้วยความไม่รู้ซึ้งถึงสัจจธรรม ธรรมะนั้นเขามีอยู่คู่กับโลกและจักรวาลนี้มามาก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เสียอีก พระสมณะโคดมพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน พึงเข้าใจให้ถูกต้องด้วย เลอะเทอะน่าโสกะ! อย่าสักแต่เอาบัญญัติที่ชาวบ้านเขาใช้ เอาไปฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อตามใจตัว ดูแล้วเหมือนคนปัญญาอ่อน ธรรมของใครก็ของคนนั้น แนวทางการปฏิบัติ อีกทั้งความเชื่อในธรรม มันไม่เหมือนกัน ในโลกนี้มีศาสนาและลัทธิต่างๆตั้งมากมาย ถ้าเราไม่กำหนดไว้ว่า ธรรมใดเป็นของใคร การปฏิบัติมันก็ผิดแนวทางของผู้เป็นศาสดา เป็นเพราะโสกะคิดแบบนี้ไงถึงได้ เอาเรื่องโยคี เอาแนวทางไสยศาสตร์พ่อมดหมอผี มามั่วกับพระธรรมของพระโคดม ปล. ที่ว่าเป็นแนวทางพ่อมดหมอผี เพราะชอบสาปแช่งคนอื่น ![]() asoka เขียน: ส่วนเรื่องใบไม้ในกำมือที่พระบรมศาสดาตรัสถามภิกษุทั้งหลายนั้น ก็ถูกต้องอย่างโฮฮับค้นตำรามาอ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ที่อโศกะอ้างผิด (ได้ทีขี่แพะไล่เลยเชียวนะ สะใจแล้วซิ) แต่สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญมันอยู่ที่สาระของใบไม้ในกำมือ ว่าคืออะไร? เป็นของพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือว่ามีอยู่แล้วเองโดยธรรม ซึ่งไม่สงวนลิขสิทธิ์ไว้สำหรับใครผู้ใดโดยเฉพาะ ใครมีสติ ปัญญา บารมี ที่ถูกต้องถูกทางแห่งมรรคมีองค์ 8 โดยธรรม ก็สามารถจะรู้และเข้าถึงได้เสมอเหมือนกันหมด ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวก และปกติสาวกทั้งหลาย นี่ก็มั่วอีก ที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยก เรื่องใบไม้ในกำมือขึ้นมา ก็เพื่อ......จะบอกให้เหล่าสาวกรู้ว่า...พระธรรมของพระองค์เป็นอย่างไร การที่พระองค์อ้างใบไม้ในกำมือ มันเป็นการสื่อให้รู้ว่า ธรรมที่พระองค์สอน เป็นการสอนเฉพาะ ธรรมที่เป็นของพระองค์เท่านั้น ใจความสำคัญเกี่ยวกับใบไม้ในกำมือ....อธิบายได้ คือพระพุทธองค์จะบอกว่า ในโลกนี้มีธรรมะและความรู้อยู่มากมาย แต่แนวทางพ้นทุกข์มีแค่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน โสกะเป็นผู้มีอวิชาอยู่เต็มหัว การพูดและการอธิบายความ จึงเป็นไปในทางย้อนแย้งกับความเป็นเหตุเป็นผล พูดให้ตรงก็คือ.......ชอบพูดนอกลู่นอกทางพระธรรม ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 21 ธ.ค. 2013, 11:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร |
โฮฮับ เขียน: asoka เขียน: พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสละหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระปัญญาบารมี แล้วมันจะมี ธรรมะของพระองค์ มาจากที่ไหน? จะมีอะไรที่ถือว่าเป็นของงพระพุทธองค์ ถ้าโฮฮับอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้า นั่นกำลังกล่าว ด้วยความไม่รู้ซึ้งถึงสัจจธรรม ธรรมะนั้นเขามีอยู่คู่กับโลกและจักรวาลนี้มามาก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เสียอีก พระสมณะโคดมพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน พึงเข้าใจให้ถูกต้องด้วย เลอะเทอะน่าโสกะ! อย่าสักแต่เอาบัญญัติที่ชาวบ้านเขาใช้ เอาไปฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อตามใจตัว ดูแล้วเหมือนคนปัญญาอ่อน ธรรมของใครก็ของคนนั้น แนวทางการปฏิบัติ อีกทั้งความเชื่อในธรรม มันไม่เหมือนกัน ในโลกนี้มีศาสนาและลัทธิต่างๆตั้งมากมาย ถ้าเราไม่กำหนดไว้ว่า ธรรมใดเป็นของใคร การปฏิบัติมันก็ผิดแนวทางของผู้เป็นศาสดา เป็นเพราะโสกะคิดแบบนี้ไงถึงได้ เอาเรื่องโยคี เอาแนวทางไสยศาสตร์พ่อมดหมอผี มามั่วกับพระธรรมของพระโคดม ปล. ที่ว่าเป็นแนวทางพ่อมดหมอผี เพราะชอบสาปแช่งคนอื่น ![]() asoka เขียน: ส่วนเรื่องใบไม้ในกำมือที่พระบรมศาสดาตรัสถามภิกษุทั้งหลายนั้น ก็ถูกต้องอย่างโฮฮับค้นตำรามาอ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ที่อโศกะอ้างผิด (ได้ทีขี่แพะไล่เลยเชียวนะ สะใจแล้วซิ) แต่สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญมันอยู่ที่สาระของใบไม้ในกำมือ ว่าคืออะไร? เป็นของพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือว่ามีอยู่แล้วเองโดยธรรม ซึ่งไม่สงวนลิขสิทธิ์ไว้สำหรับใครผู้ใดโดยเฉพาะ ใครมีสติ ปัญญา บารมี ที่ถูกต้องถูกทางแห่งมรรคมีองค์ 8 โดยธรรม ก็สามารถจะรู้และเข้าถึงได้เสมอเหมือนกันหมด ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวก และปกติสาวกทั้งหลาย นี่ก็มั่วอีก ที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยก เรื่องใบไม้ในกำมือขึ้นมา ก็เพื่อ......จะบอกให้เหล่าสาวกรู้ว่า...พระธรรมของพระองค์เป็นอย่างไร การที่พระองค์อ้างใบไม้ในกำมือ มันเป็นการสื่อให้รู้ว่า ธรรมที่พระองค์สอน เป็นการสอนเฉพาะ [b]ธรรมที่เป็นของพระองค์เท่านั้น[/b] ใจความสำคัญเกี่ยวกับใบไม้ในกำมือ....อธิบายได้ คือพระพุทธองค์จะบอกว่า ในโลกนี้มีธรรมะและความรู้อยู่มากมาย แต่แนวทางพ้นทุกข์มีแค่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน โสกะเป็นผู้มีอวิชาอยู่เต็มหัว การพูดและการอธิบายความ จึงเป็นไปในทางย้อนแย้งกับความเป็นเหตุเป็นผล พูดให้ตรงก็คือ.......ชอบพูดนอกลู่นอกทางพระธรรม ![]() ![]() ![]() อ้างคำพูด: โฮฮับ ธรรมที่เป็นของพระองค์เท่านั้น ![]() ![]() ![]() พูดแบบนี้แหละที่เรียกว่าเป็นคำพูดของคนที่ยังเป็นทาสของอัตตา มีพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนที่ทรงยังยึดถือ ว่า นี่ คือธรรมของฉัน ในเมื่อพระองค์ ได้ชำระสิ้นหมดแล้ว ซึ่งกิเลส อนุสัย ทรัพย์ ศฤงคาร ทั้งภายนอกภายในทั้งปวงจนหมดสิ้น เป็นสุญญตา ไปหมดแล้ว โฮฮับเอาอัตโนมัยแบบปุถุชนของตนมาชี้วัดพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ถือว่าเป็นการกล่าวตู่พุทธวัจจนะได้ เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่มีความยึดถืออะไรไว้เป็นของพระองค์เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมะ อันเป็นสากล คือ อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อันเป็นธรรมคู่จักรวาลและสากลจักรวาลนี้ ใครมีปัญญาก็สามารถค้นพบนำมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่มีสงวนลิขสิทธิ์ ![]() ![]() ![]() อ้างคำพูด: โฮฮับ ใจความสำคัญเกี่ยวกับใบไม้ในกำมือ....อธิบายได้ คือพระพุทธองค์จะบอกว่า ในโลกนี้มีธรรมะและความรู้อยู่มากมาย แต่แนวทางพ้นทุกข์มีแค่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน ![]() ความท่อนนี้ใช้ได้ ยังพอนับว่ามีความรู้ถูกต้องอยู่บ้างเพราะใช้คำพูดอันไม่ประกอบด้วยอัตตา ดูคำต่อไปนี้ "สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน" ไม่ใช่ "ธรรมะของพระพุทธองค์" ![]() การพูด การเขียนต้องคำนึงถึงเรื่อง อัตตา อนัตตา ด้วยนะโฮฮับ จึงจะได้ อมตะวาจา และวาจาที่เป็น สุภาษิต ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |