วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 22:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


ปกติปฏิบัติธรรมตามปกติเท่าที่ทำได้ แต่อยู่มาก็รู้สึกอยากมีรัก อยากมีคู่ มีวิธีแก้มั้ยค่ะ

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาเบาสมองดีครับ :b1:

ปฏิบัติธรรม ไม่ได้ห้ามมีคู่รัก (ยกเว้นนักบวชในพระพุทธศาสนา)

หากมีคนรักเรา แล้วเราก็รักเขา ก็แต่งงานกันเลยครับ (ช่วงนี้อากาศกำลังเป็นใจ) นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาประเด็นนี้ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติธรรม ท่านไม่ได้ห้ามมีคู่รักหรือแต่งงาน ตัวอย่างนี้

อ้างคำพูด:
พุทธสาวกโสดาบันจำนวนมากมายในพุทธกาล เป็นคฤหัสถ์ ดำเนินชีวิตที่ดีงาม ชอบด้วยศีลธรรม อยู่ท่ามกลางสังคมของชาวโลก มีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุข บำเพ็ญประโยชน์แก่ชุมชน แก่พระศาสนาและแก่บ้านเมือง มีชีวประวัติที่น่ายึดถือเป็นแบบอย่าง

ท่านเหล่านี้ แม้จะได้บรรลุภูมิธรรมสูงแล้ว แต่ยังมีกิเลสละเอียดเหลืออยู่ เมื่อประสบความพลัดพราก ยังโศกเศร้าร่ำไห้ ยังมีรักมีโกรธดังสามัญชน แต่ละเมียดบางเบากว่า และจะไม่ทำความชั่วความผิดที่เสียหายร้ายแรง และความทุกข์เหลืออยู่ ก็มีเพียงเล็กน้อย เื่มื่อเทียบกับทุกข์ส่วนใหญ่ที่ละได้แล้ว เป็นผู้มีพื้นฐานอันมั่นคง ที่จะนำชีวิตของตนเิดินทางก้าวหน้าไป ในมรรคาแห่งความสุขที่ไร้โทษ และกุศลธรรมที่ไพบูลย์

พุทธสาวกโสดาบัน ที่พึงออกชื่อเป็นตัวอย่างแสดงหลักฐานไว้ ณ ที่นี้ เช่น

- พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นมคธ ผู้ทรงถวายเวฬุวันเป็นสังฆารามแห่งแรกในพระพุทธศาสนา และทรงรักษาอุโบสถเดือนละ ๔ ครั้ง

- อนาถบิณฑิกเศรษฐี เจ้าของทุนสร้างวัดเชตวันที่มีชื่อเสียง ผู้บำรุงพระสงฆ์ และสงเคราะห์คนอนาถาอย่างไม่มีใครอื่นเพียบเท่า

- นางวิสาขามหาอุบาสิกา เอตทัคคะฝ่ายทายิกา ผู้มีบุตรธิดามากถึง ๒๐ คน แต่สามารถบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมได้เป็นอย่างดี มีบทบาทช่่วยกิจการของสงฆ์อย่างสำคัญ เป็นผู้กว้างขวางและมีเกียรติคุณสูงเด่นในสงคมแคว้นโกศล

- หมอชีวกโกมารภัจ แพทย์ใหญ่ประจำองค์พระราชาแห่งมคธ ประจำองค์พระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ ผู้มีเกียรติคุณยั่งยืนตลอดมาในวิชาแพทย์แผนโบราณ

- นกุลบิดาและนกุลมารดา คู่สามีภรรยาผู้ครองรักอันภักดีมั่นคงตราบเท่าชรา และยังปรารถนาเกิดพบกันทุกชาติไป


ปฏิบัติธรรม ได้แก่ การนำธรรมะมาใช้ในการดำเนินชีวิตหรือดำเนินตามธรรม ไม่ได้ห้ามแต่งงานหรือห้ามการมีคู่ครอง ไม่ใช่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 14:45 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนากับท่านกรัชกาย ตอบได้ชัดเจนดีค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 16:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


wangmingdi เขียน:
ปกติปฏิบัติธรรมตามปกติเท่าที่ทำได้ แต่อยู่มาก็รู้สึกอยากมีรัก อยากมีคู่ มีวิธีแก้มั้ยค่ะ

:b16:
ถามหาวิธีแก้ โดยหวังว่าจะข้ามความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้ให้ได้ก็ต้องเข้มแข็งมากๆ มีวิธีแก้อยู่ 3 วิธี

1.โดยใช้อสุภะกรรมฐานข่มทับ
ให้ค้นหาความไม่ดีไม่งามของการเสพกาม ทุกข์ของการมีคู่ครอง ความน่าเกลียดน่ากลัวของส้งขารร่างกาย เอาภาพซากศพในระยะต่างๆมาเพ่งเป็นกรมฐาน

2.โดยใช้วิป้สสนาขุดถอน
เมื่อมีความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่เกิดขึ้นในจิต ให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกนั้นจนมันดับไปต่อหน้าต่อตา จะมีอารมณ์ลูกหลานที่แตกออกมาจากอารมณ์อยากมีรักอยากมีคู่นี้มากเพียงใดก็ให้มีสติรู้ทัน ปัญญาคอยนิ่งรู้นิ่งสังเกตให้ทันปัจจุบันจนม้นดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์ทุกอารมณ์ โดยไม่ทำอะไรตามคำสั่งของอารมณ์ ไม่ช้าจะพบว่าอารมณ์ความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้จะเบาบางจางลงและหมดกำลังลงในที่สุด แต่จะตายขาดก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงอนาคามีมรรค

3.โดยใช้วิธีทรมาณตน
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 16:55 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านasoka สุดยอด :b8: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 17:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


wangmingdi เขียน:
ปกติปฏิบัติธรรมตามปกติเท่าที่ทำได้ แต่อยู่มาก็รู้สึกอยากมีรัก อยากมีคู่ มีวิธีแก้มั้ยค่ะ


:b1: :b12:

มันอาจจะไม่ต้องแก้อะไรก็ได้มั๊ง... :b3:

เพราะ คือเอกอนก็เคยอยากมีรัก อยากมีคู่ น่ะ

แต่...มันก็ได้แต่อยากน่ะ
เพราะมันก็ไม่ได้มีลาภสัตว์สองเท้าเดินเข้ามาในชีวิต... :b12:
...
และเมื่อเวลาล่วงเลยไป...ก็พบว่าความอยากมันก็คงอยู่ไม่ได้ในที่สุด...
อิอิ
มันก็เลยไม่มีอะไรต้องแก้ น่ะ...

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
wangmingdi เขียน:
ปกติปฏิบัติธรรมตามปกติเท่าที่ทำได้ แต่อยู่มาก็รู้สึกอยากมีรัก อยากมีคู่ มีวิธีแก้มั้ยค่ะ

:b16:
ถามหาวิธีแก้ โดยหวังว่าจะข้ามความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้ให้ได้ก็ต้องเข้มแข็งมากๆ มีวิธีแก้อยู่ 3 วิธี

อยากแนะนำใครเขาสิ่งแรกมันต้องรู้และเข้าใจคำถามเขาเสียก่อน
......ไม่ใช่พอเห็นคำถามแล้วไปคิดเองเออเองตอบเอง แบบนี้จขกทจะเข้าใจหรือ

ลักษณะของคำถาม ผู้ถามๆโดยขาดความเข้าใจในบัญญัติที่ถาม
และผู้ตอบก็ไม่รู้พอๆกับผู้ถาม ที่มาตอบก็เป็นเพียงอาการอวดเก่งแค่นั้น


ความเป็นธรรมชาติของสัตว์โลก ....ย่อมต้องมีอารมณ์รักและอารมณ์อยากมีคู่
อารมณ์รักกับอารมณ์อยากมีคู่...เป็นคนล่ะอย่างกัน
พระพุทธองค์ทรงแยกแยะอารมณ์ทั้งสองว่า ต่างก็เป็นกิเลสสังโยชน์
อารมณ์ความรักก็เป็นกิเลสตัวหนึ่ง อารมณ์อยากมีคู่ก็เป็นกิเลสอีกตัวหนึ่ง

จะกล่าวลงไปให้ตรงตัว.....ความรักเป็นกิเลสเบื้องสูง.....มีแต่พระอรหันต์ที่ละได้

ส่วนอารมณ์อยากมีคู่....เป็นกิเลสเบื้องต่ำ ซึ่งเรียกว่า....กามฉันทะ มีแต่พระอนาคามีที่ละได้

สิ่งที่จขกทกำลังประสบยังไม่เรียกว่า เป็นความรัก เพราะความรักจะต่องมีตัวตนในสิ่งที่รัก
เช่น พ่อ แม่ ครอบครัว หรือแฟน ฯลฯ

จขกทเป็นเพียงอารมณ์อยากมีคู่ ท่านเรียกว่า เป็นกามฉันทะ
มันเป็นเรื่องปกติของปุถุชน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
wangmingdi เขียน:
ปกติปฏิบัติธรรมตามปกติเท่าที่ทำได้ แต่อยู่มาก็รู้สึกอยากมีรัก อยากมีคู่ มีวิธีแก้มั้ยค่ะ

:b16:
ถามหาวิธีแก้ โดยหวังว่าจะข้ามความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้ให้ได้ก็ต้องเข้มแข็งมากๆ มีวิธีแก้อยู่ 3 วิธี

1.โดยใช้อสุภะกรรมฐานข่มทับ
ให้ค้นหาความไม่ดีไม่งามของการเสพกาม ทุกข์ของการมีคู่ครอง ความน่าเกลียดน่ากลัวของส้งขารร่างกาย เอาภาพซากศพในระยะต่างๆมาเพ่งเป็นกรมฐาน

2.โดยใช้วิป้สสนาขุดถอน
เมื่อมีความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่เกิดขึ้นในจิต ให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกนั้นจนมันดับไปต่อหน้าต่อตา จะมีอารมณ์ลูกหลานที่แตกออกมาจากอารมณ์อยากมีรักอยากมีคู่นี้มากเพียงใดก็ให้มีสติรู้ทัน ปัญญาคอยนิ่งรู้นิ่งสังเกตให้ทันปัจจุบันจนม้นดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์ทุกอารมณ์ โดยไม่ทำอะไรตามคำสั่งของอารมณ์ ไม่ช้าจะพบว่าอารมณ์ความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้จะเบาบางจางลงและหมดกำลังลงในที่สุด แต่จะตายขาดก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงอนาคามีมรรค

3.โดยใช้วิธีทรมาณตน
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้
:b38:



อ้างคำพูด:
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้



คุณอโศกบอกชื่อ อ.ดังกล่า่วสักองค์สององค์สิครับ กรัชกายจะไปกราบท่านสักหน่อย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpg
images.jpg [ 12.51 KiB | เปิดดู 4365 ครั้ง ]
asoka เขียน:
wangmingdi เขียน:
ปกติปฏิบัติธรรมตามปกติเท่าที่ทำได้ แต่อยู่มาก็รู้สึกอยากมีรัก อยากมีคู่ มีวิธีแก้มั้ยค่ะ

:b16:
ถามหาวิธีแก้ โดยหวังว่าจะข้ามความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้ให้ได้ก็ต้องเข้มแข็งมากๆ มีวิธีแก้อยู่ 3 วิธี

1.โดยใช้อสุภะกรรมฐานข่มทับ
ให้ค้นหาความไม่ดีไม่งามของการเสพกาม ทุกข์ของการมีคู่ครอง ความน่าเกลียดน่ากลัวของส้งขารร่างกาย เอาภาพซากศพในระยะต่างๆมาเพ่งเป็นกรมฐาน

2.โดยใช้วิป้สสนาขุดถอน
เมื่อมีความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่เกิดขึ้นในจิต ให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกนั้นจนมันดับไปต่อหน้าต่อตา จะมีอารมณ์ลูกหลานที่แตกออกมาจากอารมณ์อยากมีรักอยากมีคู่นี้มากเพียงใดก็ให้มีสติรู้ทัน ปัญญาคอยนิ่งรู้นิ่งสังเกตให้ทันปัจจุบันจนม้นดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์ทุกอารมณ์ โดยไม่ทำอะไรตามคำสั่งของอารมณ์ ไม่ช้าจะพบว่าอารมณ์ความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้จะเบาบางจางลงและหมดกำลังลงในที่สุด แต่จะตายขาดก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงอนาคามีมรรค

3.โดยใช้วิธีทรมาณตน
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้
:b38:


อ้างคำพูด:
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้


การอดข้าวอดน้ำทรมานตนเนียะนะ ไม่มีใครเกินเจ้าชายสิทธัตถะ (พระพุทธเจ้า) เล่นเอาเกือบตาย ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้เข้าใจสัจธรรมได้ สุดท้ายต้องกลับมากินอาหาร (ที่ต้องเน้น ก็คือ พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์นะ) ... แล้วไฉนอโศกจึงแนะนำให้เขาอดอาหารเล่า หรือคิดฆ่าคนด้วยความปรารถนาดี คิกๆๆ

ปลายพุทธกาลแล้วจริงๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
1.โดยใช้อสุภะกรรมฐานข่มทับ
ให้ค้นหาความไม่ดีไม่งามของการเสพกาม ทุกข์ของการมีคู่ครอง ความน่าเกลียดน่ากลัวของส้งขารร่างกาย เอาภาพซากศพในระยะต่างๆมาเพ่งเป็นกรมฐาน


เลอะเทอะ! อสุภกรรมฐานท่านใช้สำหรับ ขจัดนิวรณ์ที่มารบกวนในขณะที่ต้องการให้จิตเกิดสมาธิ
และการทำอสุภกรรมฐาน ก็ไม่ใช่การเพ่งแต่เป็นการพิจารณาธรรม...การเพ่งเป็นการทำฌาน
ไม่ใช่การทำอสุภกรรมฐาน

asoka เขียน:
2.โดยใช้วิป้สสนาขุดถอน
เมื่อมีความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่เกิดขึ้นในจิต ให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกนั้นจนมันดับไปต่อหน้าต่อตา จะมีอารมณ์ลูกหลานที่แตกออกมาจากอารมณ์อยากมีรักอยากมีคู่นี้มากเพียงใดก็ให้มีสติรู้ทัน ปัญญาคอยนิ่งรู้นิ่งสังเกตให้ทันปัจจุบันจนม้นดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์ทุกอารมณ์ โดยไม่ทำอะไรตามคำสั่งของอารมณ์ ไม่ช้าจะพบว่าอารมณ์ความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้จะเบาบางจางลงและหมดกำลังลงในที่สุด แต่จะตายขาดก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงอนาคามีมรรค


เละเทะ! การจะขุดรากถอนโคนสิ่งที่จขกทเป็นจะต้องอาศัยการทำ...สติปัฏฐาน๔เท่านั้น
ไม่ใช่อย่างที่โสกะกำลังมั่วครับ

asoka เขียน:

3.โดยใช้วิธีทรมาณตน
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้
:b38:


นี่เป็นพวกนอกรีตครับ ถึงได้ตำหนิโสกะบ่อยๆว่า...เอาวิธีการของโยคีมามั่ว
พระพุทธองค์ทรงห้าม เพราะมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 19:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
wangmingdi เขียน:
ปกติปฏิบัติธรรมตามปกติเท่าที่ทำได้ แต่อยู่มาก็รู้สึกอยากมีรัก อยากมีคู่ มีวิธีแก้มั้ยค่ะ

:b16:
ถามหาวิธีแก้ โดยหวังว่าจะข้ามความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้ให้ได้ก็ต้องเข้มแข็งมากๆ มีวิธีแก้อยู่ 3 วิธี

อยากแนะนำใครเขาสิ่งแรกมันต้องรู้และเข้าใจคำถามเขาเสียก่อน
......ไม่ใช่พอเห็นคำถามแล้วไปคิดเองเออเองตอบเอง แบบนี้จขกทจะเข้าใจหรือ

ลักษณะของคำถาม ผู้ถามๆโดยขาดความเข้าใจในบัญญัติที่ถาม
และผู้ตอบก็ไม่รู้พอๆกับผู้ถาม ที่มาตอบก็เป็นเพียงอาการอวดเก่งแค่นั้น


ความเป็นธรรมชาติของสัตว์โลก ....ย่อมต้องมีอารมณ์รักและอารมณ์อยากมีคู่
อารมณ์รักกับอารมณ์อยากมีคู่...เป็นคนล่ะอย่างกัน
พระพุทธองค์ทรงแยกแยะอารมณ์ทั้งสองว่า ต่างก็เป็นกิเลสสังโยชน์
อารมณ์ความรักก็เป็นกิเลสตัวหนึ่ง อารมณ์อยากมีคู่ก็เป็นกิเลสอีกตัวหนึ่ง

จะกล่าวลงไปให้ตรงตัว.....ความรักเป็นกิเลสเบื้องสูง.....มีแต่พระอรหันต์ที่ละได้

ส่วนอารมณ์อยากมีคู่....เป็นกิเลสเบื้องต่ำ ซึ่งเรียกว่า....กามฉันทะ มีแต่พระอนาคามีที่ละได้

สิ่งที่จขกทกำลังประสบยังไม่เรียกว่า เป็นความรัก เพราะความรักจะต่องมีตัวตนในสิ่งที่รัก
เช่น พ่อ แม่ ครอบครัว หรือแฟน ฯลฯ

จขกทเป็นเพียงอารมณ์อยากมีคู่ ท่านเรียกว่า เป็นกามฉันทะ
มันเป็นเรื่องปกติของปุถุชน

:b12: :b12: :b12:
น้องเขาถามวิธีแก้นะครับ โฮฮับ
Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 19:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
wangmingdi เขียน:
ปกติปฏิบัติธรรมตามปกติเท่าที่ทำได้ แต่อยู่มาก็รู้สึกอยากมีรัก อยากมีคู่ มีวิธีแก้มั้ยค่ะ

:b16:
ถามหาวิธีแก้ โดยหวังว่าจะข้ามความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้ให้ได้ก็ต้องเข้มแข็งมากๆ มีวิธีแก้อยู่ 3 วิธี

1.โดยใช้อสุภะกรรมฐานข่มทับ
ให้ค้นหาความไม่ดีไม่งามของการเสพกาม ทุกข์ของการมีคู่ครอง ความน่าเกลียดน่ากลัวของส้งขารร่างกาย เอาภาพซากศพในระยะต่างๆมาเพ่งเป็นกรมฐาน

2.โดยใช้วิป้สสนาขุดถอน
เมื่อมีความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่เกิดขึ้นในจิต ให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกนั้นจนมันดับไปต่อหน้าต่อตา จะมีอารมณ์ลูกหลานที่แตกออกมาจากอารมณ์อยากมีรักอยากมีคู่นี้มากเพียงใดก็ให้มีสติรู้ทัน ปัญญาคอยนิ่งรู้นิ่งสังเกตให้ทันปัจจุบันจนม้นดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์ทุกอารมณ์ โดยไม่ทำอะไรตามคำสั่งของอารมณ์ ไม่ช้าจะพบว่าอารมณ์ความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้จะเบาบางจางลงและหมดกำลังลงในที่สุด แต่จะตายขาดก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงอนาคามีมรรค

3.โดยใช้วิธีทรมาณตน
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้
:b38:



อ้างคำพูด:
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้



คุณอโศกบอกชื่อ อ.ดังกล่า่วสักองค์สององค์สิครับ กรัชกายจะไปกราบท่านสักหน่อย :b1:

:b12:
หลวงปู่สิม พุทธจาโร

ลองไปค้นประวัติท่านมาอ่านดูนะครับ รูปอื่นเดี๋ยวต้องขอเวลาทบทวนความจำก่อน


ที่เป็นพระหนุ่มเคยสนทนากัน ท่านชื่อ อาจารย์วิทยา ตอนนี้เป็นเถระแล้ว ผ่านด่านนี้ไปแล้วด้วยการอดอาหาร ผสมกดข่ม ผสมวิปัสสนาภาวนา
:b36:
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 19:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
wangmingdi เขียน:
ปกติปฏิบัติธรรมตามปกติเท่าที่ทำได้ แต่อยู่มาก็รู้สึกอยากมีรัก อยากมีคู่ มีวิธีแก้มั้ยค่ะ

:b16:
ถามหาวิธีแก้ โดยหวังว่าจะข้ามความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้ให้ได้ก็ต้องเข้มแข็งมากๆ มีวิธีแก้อยู่ 3 วิธี

1.โดยใช้อสุภะกรรมฐานข่มทับ
ให้ค้นหาความไม่ดีไม่งามของการเสพกาม ทุกข์ของการมีคู่ครอง ความน่าเกลียดน่ากลัวของส้งขารร่างกาย เอาภาพซากศพในระยะต่างๆมาเพ่งเป็นกรมฐาน

2.โดยใช้วิป้สสนาขุดถอน
เมื่อมีความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่เกิดขึ้นในจิต ให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกนั้นจนมันดับไปต่อหน้าต่อตา จะมีอารมณ์ลูกหลานที่แตกออกมาจากอารมณ์อยากมีรักอยากมีคู่นี้มากเพียงใดก็ให้มีสติรู้ทัน ปัญญาคอยนิ่งรู้นิ่งสังเกตให้ทันปัจจุบันจนม้นดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์ทุกอารมณ์ โดยไม่ทำอะไรตามคำสั่งของอารมณ์ ไม่ช้าจะพบว่าอารมณ์ความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้จะเบาบางจางลงและหมดกำลังลงในที่สุด แต่จะตายขาดก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงอนาคามีมรรค

3.โดยใช้วิธีทรมาณตน
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้
:b38:


อ้างคำพูด:
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้


การอดข้าวอดน้ำทรมานตนเนียะนะ ไม่มีใครเกินเจ้าชายสิทธัตถะ (พระพุทธเจ้า) เล่นเอาเกือบตาย ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้เข้าใจสัจธรรมได้ สุดท้ายต้องกลับมากินอาหาร (ที่ต้องเน้น ก็คือ พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์นะ) ... แล้วไฉนอโศกจึงแนะนำให้เขาอดอาหารเล่า หรือคิดฆ่าคนด้วยความปรารถนาดี คิกๆๆ

ปลายพุทธกาลแล้วจริงๆ

:b12: :b12: :b12: :b12:
นักวิชาการ ลอกตำรามาสอนธรรมอยู่บนหอคอยงาช้าง ย่อมไม่ได้รู้รสชาติ ชีวิตการต่อสู้กับกามของพระป่าหรอกว่ามันดุเด็ดเผ้ดมันขนาดไหน ถึงขนาดต้องเอาความตายเข้าแลกจึงได้มา แต่ใช่ว่าจะชนะถาวรนะ ต้องโน้นอนาคามีมรรคเข้าถึงอนาคามีผลกามจึงจะตายด้านไปจริงๆ



กรัชกายหรือโฮฮับคงไม่รู้หรอก(เพราะค้นหาอ่านจากตำราไม่ค่อยได้ พระไตรปิฎกก็ไม่มีบอกไว้ แต่ในสนามรบจริงมันเป็นอย่างนี้จริงๆ)ว่า เมื่อถึงอนาคามีผลแล้วนั้น

ชาย....ต่อมน้ำกามจะหยุดผลิตน้ำกาม แม้เป็นหนุ่มๆก็ตาม.....ไม่ใช่หยุดทันทีนะ มันจะฝ่อและหมดไปเร็วช้าแล้วแต่ธาตุขันธ์ของพระอนาคามีเจ้าท่านนั้น แต่ไม่นานเกิน 1 - 2 ปี ครับ

หญิง....จะหมดประจำเดือนไปแม้เป็นสาวๆก็ตาม

Kiss Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 19:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
1.โดยใช้อสุภะกรรมฐานข่มทับ
ให้ค้นหาความไม่ดีไม่งามของการเสพกาม ทุกข์ของการมีคู่ครอง ความน่าเกลียดน่ากลัวของส้งขารร่างกาย เอาภาพซากศพในระยะต่างๆมาเพ่งเป็นกรมฐาน


เลอะเทอะ! อสุภกรรมฐานท่านใช้สำหรับ ขจัดนิวรณ์ที่มารบกวนในขณะที่ต้องการให้จิตเกิดสมาธิ
และการทำอสุภกรรมฐาน ก็ไม่ใช่การเพ่งแต่เป็นการพิจารณาธรรม...การเพ่งเป็นการทำฌาน
ไม่ใช่การทำอสุภกรรมฐาน

asoka เขียน:
2.โดยใช้วิป้สสนาขุดถอน
เมื่อมีความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่เกิดขึ้นในจิต ให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกนั้นจนมันดับไปต่อหน้าต่อตา จะมีอารมณ์ลูกหลานที่แตกออกมาจากอารมณ์อยากมีรักอยากมีคู่นี้มากเพียงใดก็ให้มีสติรู้ทัน ปัญญาคอยนิ่งรู้นิ่งสังเกตให้ทันปัจจุบันจนม้นดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์ทุกอารมณ์ โดยไม่ทำอะไรตามคำสั่งของอารมณ์ ไม่ช้าจะพบว่าอารมณ์ความรู้สึกอยากมีรักอยากมีคู่นี้จะเบาบางจางลงและหมดกำลังลงในที่สุด แต่จะตายขาดก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงอนาคามีมรรค


เละเทะ! การจะขุดรากถอนโคนสิ่งที่จขกทเป็นจะต้องอาศัยการทำ...สติปัฏฐาน๔เท่านั้น
ไม่ใช่อย่างที่โสกะกำลังมั่วครับ

asoka เขียน:

3.โดยใช้วิธีทรมาณตน
มีครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ใช้วิธีอดข้าวจนเจียนตายเอาชนะกิเลสสำคัญตัวนี้
:b38:


นี่เป็นพวกนอกรีตครับ ถึงได้ตำหนิโสกะบ่อยๆว่า...เอาวิธีการของโยคีมามั่ว
พระพุทธองค์ทรงห้าม เพราะมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค

:b12: :b12: :b12:
เดี๋ยวก็รู้ ว่าใครเลอะเทอะและนอกลู่นอกทางคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สังคมกำลังจับตามองอยู่ เพราะเวลาโฮฮับมายกตนข่มอโศกะอยู่ในกระทู้ต่างๆ เรตติ้งของกระทู้นั้นจะดีมาก จำนวนคนอ่านจะพุ่งพรวดๆ และกระทู้จะติดอยู่หน้า 1 นาน ยิ่งมีท่านกรัชกายนักวิชาการใหญ่มาแจมยิ่งเพิ่มเรตติ้งขึ้นไปอีก
:b12: :b12: :b12:
น้องเจ้าของกระทู้อย่าตกใจนะครับที่มีนักวิชาการ อันธพาล และนักปฏิบัติธรรมบ้านนอก มาถกธรรมะและธรรมเมากันในกระทู้ของน้อง พยายามคัดเลือกเฟ้นเอาคำตอบที่ใช่ไว้พิจารณาด้วยวิจารณญาณของตนเองนะครับ อย่าเชื่อใครง่าย ในลานธรรมจักรแห่งนี้มีเสือ สิงห์กระทิง แรด กัลยาณมิตร มหากัลยาณมิตร ปะปนกันอยู่มากมาย ใครสอบตกด้านความสังเกตพิจารณา อาจหลงไปคบคนพาล พาให้ติดหลงในวัฏฏะสงสารไปอีกแบบกู่ไม่กลับ
:b8:
สบายๆนะครับ
:b38:
:b37:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 149 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร