วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 12:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 127 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2014, 12:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ทางไปของสัตว์โลก3.jpg
ทางไปของสัตว์โลก3.jpg [ 56.06 KiB | เปิดดู 4868 ครั้ง ]
:b36:
:b45:
"กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7) ย่อมหมายถึงจิตวิญาณที่ท่องเที่ยวไปใน 7 ภพภูมิ อันได้แก่

อบายภูมิ 4 มีสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต สัตว์นรก

มนุษย์ภูมิ 1

เทวดาภูมิ 1 แบ่งเป็น 6 ชั้น

พรหมภูมิ 1 แบ่งเป็น 20 ชั้น

รวม 7 ภพภูมิ 31 ชั้น


การตายหรือจุติจากชาติหนึ่งไปสู่ชาติหนึ่งนั้นเปรียบก็คล้ายการเปลี่ยนคราบ หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ไม่มีอะไรน่ากลัว........

ความตาย ไม่เป็นสิ่งที่น่ากลัว

แต่การกระทำ (กรรม) ที่ทำไว้ก่อนตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว

เมื่อมีการกระทำ (กรรม) แล้ว ย่อมต้องเกิดผลของการกระทำ (วิบาก) ให้ผู้กระทำต้องได้รับ

กระบวนการทำงานของการกระทำและผลของการกระทำหรือ กรรมและวิบากนี้แหละที่เป็นตัวจักรขับให้ จิต วิญญาณแต่ละดวง ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไป(วัฏฏะ)ไม่รู้จบ ในภพภูมิหรือโลกต่างๆ


กรมชั่วพาไปอบายภูมิทั้ง 4

กรรมดีพามาสู่มนุษย์ หรือส่งขึ้นไปสู่ความเป็นเทวดาและพรหม

จิตวิญญาณของปุถุชนทุกดวง ได้เวียนว่ายตายเกิดขึ้นลงใน 7 ภพภูมิ 31 ชั้นนี้มาจนนับชาติไม่ถ้วน
ตราบใดที่ยังไม่มีโอกาสได้พบข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ตราบนั้น จิตวิญญาณดวงนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะได้พบวิธีและทางออกจากความเวียนว่ายตายเกิดอันไม่รู้จบนี้

กระบวนการทำงานของกรรมและวิบาก คล้ายกับ การทำงานของนาฬิกาลูกตุ้มไขลาน หรือแม้แต่นาฬิกาดิจิตอลที่เราใช้กันในปัจจุบันนี้

กรรม การกระทำ เปรียบเหมือนการแกว่งลูกตุ้มครั้งแรก

วิบาก ผลของการกระทำ เปรียบเหมือน แรงดันกลับของลานนาฬิกาที่ถูกไขหรือหมุนให้ตึงไว้

เมื่อยกลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งลงครั้งแรกน้ำหนักของลูกตุ้มจะไปดันตอบโต้กับแรงดันของสปริงลานนาฬิกาที่ไขไว้ทำให้ลูกตุ้มแกว่งกลับคืนมา แล้วแกว่งกลับไปกลับมาไม่รู้จบจนกว่าจะหมดลานที่หมุนขับไว้

ในชีวิตจริงลานนาฬิกาชีวิตนี้จะถูกหมุนขับไว้ตลอดเวลาด้วยแรงขับตอบโต้ภายในของจิตใจปุถุชน

นาฬิกาชีวิตหรือจิตวิญญาณแต่ละดวงนี้ไม่มีใครทราบได้ว่าได้ถูกไขลานหรือแกว่งลูกตุ้มไว้ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไร เป็นอจินไตยยากจะหาคำตอบ เราคงจะพิจารณาหรือสังเกตรู้ได้ในปัจจุบัน วันเวลาเฉพาะหน้าเดี๋ยวนี้เท่านั้น

อยากรู้อดีตก็สาวย้อนกลับไปจากปัจจุบัน

อยากรู้อนาคตก็สืบค้นไปจากแรงส่งหรือกำลังแห่งลานที่ไขไว้ในปัจจุบันนั้นเช่นกัน

ต้องอาศัยการกระทำที่ปัจจุบัน......ปัจจุบันอารมณ์

แม่แต่การที่จะหยุดยั้งกระบวนการแห่งกรรมและวิบาก อันเปรียบคล้ายการหยุดยั้งการหมุนต่อของนาฬิกา ก็ต้องทำกันที่ปัจจุบัน หรือปัจจุบันอารมณ์นี้เป็นสำคัญ

สัตว์โลกจึงต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไป เป็นไปตามกรรมและผลของกรรมที่ตนทำไม่รู้จบสิ้น

แล้วถ้าจะทำให้มันจบสิ้นเราจะต้องทำอย่างไร นี่คือเรื่องที่เราจะได้สนทนากันต่อไปในกระทู้นี้ ในภาษาและอุปมาง่ายๆ สบายๆ ธรรมดาๆ ตามประสาชาวบ้าน

:b38:
:b37:
:b36:
:b53:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2014, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่างฝันเหลือเกินนะขอรับคุณอโศก :b32: :b15:



อ้างคำพูด:
"กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7) ย่อมหมายถึงจิตวิญาณที่ท่องเที่ยวไปใน 7 ภพภูมิ อันได้แก่

อบายภูมิ 4 มีสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต สัตว์นรก

มนุษย์ภูมิ 1

เทวดาภูมิ 1 แบ่งเป็น 6 ชั้น

พรหมภูมิ 1 แบ่งเป็น 20 ชั้น

รวม 7 ภพภูมิ 31 ชั้น


กัมมุนา วัตตตี โลโก ดูที่ตามที่อโศกขยายความแล้วเข้าใจผิดไปไกล :b1:

มีทั้งคิดเองเออเอง อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2014, 15:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ช่างฝันเหลือเกินนะขอรับคุณอโศก :b32: :b15:



อ้างคำพูด:
"กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7) ย่อมหมายถึงจิตวิญาณที่ท่องเที่ยวไปใน 7 ภพภูมิ อันได้แก่

อบายภูมิ 4 มีสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต สัตว์นรก

มนุษย์ภูมิ 1

เทวดาภูมิ 1 แบ่งเป็น 6 ชั้น

พรหมภูมิ 1 แบ่งเป็น 20 ชั้น

รวม 7 ภพภูมิ 31 ชั้น


กัมมุนา วัตตตี โลโก ดูที่ตามที่อโศกขยายความแล้วเข้าใจผิดไปไกล :b1:

มีทั้งคิดเองเออเอง อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด

:b12: :b12:
เอาที่กรัชกายเข้าใจว่าถูกต้องมาคุยให้ฟังหน่อย อย่าช้า เร็วๆเข้า นะครับ
:b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2014, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ช่างฝันเหลือเกินนะขอรับคุณอโศก :b32: :b15:



อ้างคำพูด:
"กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7) ย่อมหมายถึงจิตวิญาณที่ท่องเที่ยวไปใน 7 ภพภูมิ อันได้แก่

อบายภูมิ 4 มีสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต สัตว์นรก

มนุษย์ภูมิ 1

เทวดาภูมิ 1 แบ่งเป็น 6 ชั้น

พรหมภูมิ 1 แบ่งเป็น 20 ชั้น

รวม 7 ภพภูมิ 31 ชั้น


กัมมุนา วัตตตี โลโก ดูที่ตามที่อโศกขยายความแล้วเข้าใจผิดไปไกล

มีทั้งคิดเองเออเอง อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด




เอาที่กรัชกายเข้าใจว่าถูกต้องมาคุยให้ฟังหน่อย อย่าช้า เร็วๆเข้า นะครับ


อ้างคำพูด:
กัมมุนาวัฏติโลโก


แลเห็นเขียนนั่นก็รู้แล้วนะขอรับว่าคุณอโศกน่า เพียงฟังๆเขามา ฟังไม่ได้สับจับไปกระเดียด


อ้างคำพูด:
ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7)


นี่ก็พูดเองเออเอง ในวงเล็บ (สัตต แปลว่า 7) ไปเอามาแต่ไหน ครั้นเอามาแล้วก็จินตนาการขยายความไปตามอำเภอใจนี่

อ้างคำพูด:
กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป



ขาวพุทธจำนวนมากเคยได้ยินพุทธพจน์ว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” แปลว่า โลกเป็นไปตามกรรม บางทีก็ยกมาพูดมาอ้างกัน แต่มักไม่ดูความหมายให้ชัด โลกในพุทธพจน์นี้ ก็คือสังคมมนุษย์ ทีนี้ โลกมนุษย์ หรือสังคมมนุษย์นี้ เป็นไปตามกรรมอย่างไร

พุทธพจน์นี้มาในวาเสฏฐสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักกรรมเพื่อหักล้างระบบวรรณะของพราหมณ์


(ทิ้งไว้ให้คิดแค่นี้ก่อน อาจมาต่อภายหลัง สังเกตศัพท์ที่เขียนรูป "กรรม" ไว้ด้วย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2014, 18:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ช่างฝันเหลือเกินนะขอรับคุณอโศก :b32: :b15:



อ้างคำพูด:
"กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7) ย่อมหมายถึงจิตวิญาณที่ท่องเที่ยวไปใน 7 ภพภูมิ อันได้แก่

อบายภูมิ 4 มีสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต สัตว์นรก

มนุษย์ภูมิ 1

เทวดาภูมิ 1 แบ่งเป็น 6 ชั้น

พรหมภูมิ 1 แบ่งเป็น 20 ชั้น

รวม 7 ภพภูมิ 31 ชั้น


กัมมุนา วัตตตี โลโก ดูที่ตามที่อโศกขยายความแล้วเข้าใจผิดไปไกล

มีทั้งคิดเองเออเอง อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด




เอาที่กรัชกายเข้าใจว่าถูกต้องมาคุยให้ฟังหน่อย อย่าช้า เร็วๆเข้า นะครับ


อ้างคำพูด:
กัมมุนาวัฏติโลโก


แลเห็นเขียนนั่นก็รู้แล้วนะขอรับว่าคุณอโศกน่า เพียงฟังๆเขามา ฟังไม่ได้สับจับไปกระเดียด


อ้างคำพูด:
ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7)


นี่ก็พูดเองเออเอง ในวงเล็บ (สัตต แปลว่า 7) ไปเอามาแต่ไหน ครั้นเอามาแล้วก็จินตนาการขยายความไปตามอำเภอใจนี่

อ้างคำพูด:
กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป



ขาวพุทธจำนวนมากเคยได้ยินพุทธพจน์ว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” แปลว่า โลกเป็นไปตามกรรม บางทีก็ยกมาพูดมาอ้างกัน แต่มักไม่ดูความหมายให้ชัด โลกในพุทธพจน์นี้ ก็คือสังคมมนุษย์ ทีนี้ โลกมนุษย์ หรือสังคมมนุษย์นี้ เป็นไปตามกรรมอย่างไร

พุทธพจน์นี้มาในวาเสฏฐสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักกรรมเพื่อหักล้างระบบวรรณะของพราหมณ์


(ทิ้งไว้ให้คิดแค่นี้ก่อน อาจมาต่อภายหลัง สังเกตศัพท์ที่เขียนรูป "กรรม" ไว้ด้วย)

:b9:
ยังชักช้า อ้ำอึ้งๆอยู่ดี รีบๆแสดงหน่อยสิ่งที่ถูกต้องที่ว่านั้นนะ
s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2014, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ช่างฝันเหลือเกินนะขอรับคุณอโศก :b32: :b15:



อ้างคำพูด:
"กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7) ย่อมหมายถึงจิตวิญาณที่ท่องเที่ยวไปใน 7 ภพภูมิ อันได้แก่

อบายภูมิ 4 มีสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต สัตว์นรก

มนุษย์ภูมิ 1

เทวดาภูมิ 1 แบ่งเป็น 6 ชั้น

พรหมภูมิ 1 แบ่งเป็น 20 ชั้น

รวม 7 ภพภูมิ 31 ชั้น


กัมมุนา วัตตตี โลโก ดูที่ตามที่อโศกขยายความแล้วเข้าใจผิดไปไกล

มีทั้งคิดเองเออเอง อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด




เอาที่กรัชกายเข้าใจว่าถูกต้องมาคุยให้ฟังหน่อย อย่าช้า เร็วๆเข้า นะครับ


อ้างคำพูด:
กัมมุนาวัฏติโลโก


แลเห็นเขียนนั่นก็รู้แล้วนะขอรับว่าคุณอโศกน่า เพียงฟังๆเขามา ฟังไม่ได้สับจับไปกระเดียด


อ้างคำพูด:
ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7)


นี่ก็พูดเองเออเอง ในวงเล็บ (สัตต แปลว่า 7) ไปเอามาแต่ไหน ครั้นเอามาแล้วก็จินตนาการขยายความไปตามอำเภอใจนี่

อ้างคำพูด:
กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป



ขาวพุทธจำนวนมากเคยได้ยินพุทธพจน์ว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” แปลว่า โลกเป็นไปตามกรรม บางทีก็ยกมาพูดมาอ้างกัน แต่มักไม่ดูความหมายให้ชัด โลกในพุทธพจน์นี้ ก็คือสังคมมนุษย์ ทีนี้ โลกมนุษย์ หรือสังคมมนุษย์นี้ เป็นไปตามกรรมอย่างไร

พุทธพจน์นี้มาในวาเสฏฐสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักกรรมเพื่อหักล้างระบบวรรณะของพราหมณ์


(ทิ้งไว้ให้คิดแค่นี้ก่อน อาจมาต่อภายหลัง สังเกตศัพท์ที่เขียนรูป "กรรม" ไว้ด้วย)


ยังชักช้า อ้ำอึ้งๆอยู่ดี รีบๆแสดงหน่อยสิ่งที่ถูกต้องที่ว่านั้นนะ


ใจเย็นๆ คิกๆๆ คุยกันนานๆ

อโศกตอบคำถามนั่นก่อนดิ ไปเอามาแต่ไหน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2014, 22:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ช่างฝันเหลือเกินนะขอรับคุณอโศก :b32: :b15:



อ้างคำพูด:
"กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7) ย่อมหมายถึงจิตวิญาณที่ท่องเที่ยวไปใน 7 ภพภูมิ อันได้แก่

อบายภูมิ 4 มีสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต สัตว์นรก

มนุษย์ภูมิ 1

เทวดาภูมิ 1 แบ่งเป็น 6 ชั้น

พรหมภูมิ 1 แบ่งเป็น 20 ชั้น

รวม 7 ภพภูมิ 31 ชั้น


กัมมุนา วัตตตี โลโก ดูที่ตามที่อโศกขยายความแล้วเข้าใจผิดไปไกล

มีทั้งคิดเองเออเอง อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด




เอาที่กรัชกายเข้าใจว่าถูกต้องมาคุยให้ฟังหน่อย อย่าช้า เร็วๆเข้า นะครับ


อ้างคำพูด:
กัมมุนาวัฏติโลโก


แลเห็นเขียนนั่นก็รู้แล้วนะขอรับว่าคุณอโศกน่า เพียงฟังๆเขามา ฟังไม่ได้สับจับไปกระเดียด


อ้างคำพูด:
ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7)


นี่ก็พูดเองเออเอง ในวงเล็บ (สัตต แปลว่า 7) ไปเอามาแต่ไหน ครั้นเอามาแล้วก็จินตนาการขยายความไปตามอำเภอใจนี่

อ้างคำพูด:
กัมมุนาวัฏติโลโก"......สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม........การกระทำย่อมทำให้สัตว์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป



ขาวพุทธจำนวนมากเคยได้ยินพุทธพจน์ว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” แปลว่า โลกเป็นไปตามกรรม บางทีก็ยกมาพูดมาอ้างกัน แต่มักไม่ดูความหมายให้ชัด โลกในพุทธพจน์นี้ ก็คือสังคมมนุษย์ ทีนี้ โลกมนุษย์ หรือสังคมมนุษย์นี้ เป็นไปตามกรรมอย่างไร

พุทธพจน์นี้มาในวาเสฏฐสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักกรรมเพื่อหักล้างระบบวรรณะของพราหมณ์


(ทิ้งไว้ให้คิดแค่นี้ก่อน อาจมาต่อภายหลัง สังเกตศัพท์ที่เขียนรูป "กรรม" ไว้ด้วย)


ยังชักช้า อ้ำอึ้งๆอยู่ดี รีบๆแสดงหน่อยสิ่งที่ถูกต้องที่ว่านั้นนะ


ใจเย็นๆ คิกๆๆ คุยกันนานๆ

อโศกตอบคำถามนั่นก่อนดิ ไปเอามาแต่ไหน

:b12: :b12:
ก็ดังอธิบายไว้ให้เห็นอยู่โทนโท่นี่ยังไงล่ะ ไม่เข้าใจหรือครับ

ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7) ย่อมหมายถึงจิตวิญาณที่ท่องเที่ยวไปใน 7 ภพภูมิ อันได้แก่

อบายภูมิ 4 มีสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต สัตว์นรก

มนุษย์ภูมิ 1

เทวดาภูมิ 1 แบ่งเป็น 6 ชั้น

พรหมภูมิ 1 แบ่งเป็น 20 ชั้น

รวม 7 ภพภูมิ 31 ชั้น

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

"กัมมุนาวัฏติโลโก"

ก็ดังอธิบายไว้ให้เห็นอยู่โทนโท่นี่ยังไงล่ะ ไม่เข้าใจหรือครับ

ชื่อว่า "สัตว์โลก" (สัตต แปลว่า 7) ย่อมหมายถึงจิตวิญาณที่ท่องเที่ยวไปใน 7 ภพภูมิ อันได้แก่

อบายภูมิ 4 มีสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต สัตว์นรก

มนุษย์ภูมิ 1

เทวดาภูมิ 1 แบ่งเป็น 6 ชั้น

พรหมภูมิ 1 แบ่งเป็น 20 ชั้น

รวม 7 ภพภูมิ 31 ชั้น


อ้างคำพูด:
ก็ดังอธิบายไว้ให้เห็นอยู่โทนโท่นี่ยังไงล่ะ ไม่เข้าใจหรือครับ


นั่นไงว่าแล้วว่าคิดเองเออเอง จินตนาการเอา

ขาวพุทธจำนวนมากเคยได้ยินพุทธพจน์ว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” แปลว่า โลกเป็นไปตามกรรม บางทีก็ยกมาพูดมาอ้างกัน แต่มักไม่ดูความหมายให้ชัด โลกในพุทธพจน์นี้ ก็คือสังคมมนุษย์ ทีนี้ โลกมนุษย์ หรือสังคมมนุษย์นี้ เป็นไปตามกรรมอย่างไร

พุทธพจน์นี้มาในวาเสฏฐสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักกรรมเพื่อหักล้างระบบวรรณะของพราหมณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คห.นี้นำมาให้ศึกษาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวงง เพราะไปขัดกับความรู้สึกของตัว


พุทธพจน์นี้มาในวาเสฏฐสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักกรรมเพื่อหักล้างระบบวรรณะของพราหมณ์

พราหมณ์ มีลัทธิว่า พระพรหมสร้างโลก และจัดสรรทุกอย่างมาเสร็จ สำหรับสังคมมนุษย์ กำหนดให้คนแยกเป็น ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร อย่างที่รู้กัน เกิดมาในวรรณะไหน ก็ต้องอยู่ในวรรณะนั้นจนตาย เปลี่ยนแปลงไม่ได้


พระพุทธเจ้าทรงคัดค้านลัทธิพราหมณ์นั้น โดยตรัสว่า โลกมนุษย์ หรือสังคมมนุษย์นี้ เป็นไปตามกรรม กรรมในที่นี้ ทรงเน้นกรรมที่คนทำเป็นประจำ จนเป็นวิถีชีวิตของคน แล้วก็เป็นวิถีของชุมชน กลุ่มชน นั่นก็คือ กิจการงานอาชีพ (คำว่า กรรม ในภาษาบาลี บ่อยมาก หมายถึง การงานอาชีพ)


ความเป็นไปของมนุษย์ในสังคมอย่างนี้แหละ ที่ตรัสว่า โลกเป็นไปตามกรรม คือโลกไม่ใช่เป็นไปตามที่พระพรหมสร้าง และไม่ใช่ว่ากำหนดมาให้เป็นอย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้นตายตัว โลกหรือสังคมนี้ เป็นไปตามกรรม คือ การกระทำ เช่นการงานอาชีพ ที่คนมีเจตจำนงเลือกประกอบหรือจัดทำ

(กรรม ในที่นี้ หมายถึงการงาน หรืออาชีพที่ทำ)

ดังพุทธพจน์ในวาเสฏฐสูตร นี้

"ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดอาศัยโครักขกรรมเลี้ยงชีพ ผู้นั้น เป็นชาวหมา มิใช่พราหมณ์....ผู้ใดเลี้ยงชีพด้วยศิลปะต่างๆ ผู้นั้นเป็นศิลปิน...ผู้ใดอาศัยการค้าขายเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นพ่อค้า...ผู้ใดเลี้ยงชีพด้วยการรับใช้ผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนรับใช้...ผู้ใดอาศัยการลักทรัพย์เลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นโจร...ผู้ใดอาศัยศรและศัสตราเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นทหารอาชีพ... ผู้ใดเลี้ยงชีพด้วยหน้าปุโรหิต ผู้นั้นเป็นเจ้าหน้าที่การบูชา หาใช่พราหมณ์ไม่...ผู้ใดปกครองบ้านเมือง ผู้นั้นเป็นราชา หาใช่พราหมณ์ไม่ ฯลฯ เราเรียกคนที่ไม่มีกิเลสค้างใจ ไม่มีความถือมั่น ว่าเป็นพราหมณ์...


"คนมิใช่เป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด แต่เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ไม่เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม เป็นชาวนาก็เพราะกรรม (การงาน อาชีพ ความประพฤติ การดำเนินชีวิต) เป็นศิลปิน เป็นพ่อค้า เป็นคนรับใช้ เป็นโจร เป็นทหาร เป็นปุโรหิต และแม้แต่เป็นราชา ก็เพราะกรรม บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในกรรมและวิบาก ย่อมมองกรรมตามเป็นจริงอย่างนี้ โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม หมู่ประชาย่อมเป็นไปเพราะกรรม.."

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าจะไม่ยุ่งแล้วเชี่ยวน่า แต่มันอดไม่ได้ เห็นสองคนเถียงกัน
เถียงกันไม่ว่า แต่ไอ้ประเภทเอาพุทธวจนมามั่วนี่ มันน่ารำคาญ
เลยต้องลงมายุ่งเสียหน่อย

อีตาโสกะก็พวกลิเกหลงโรง พูดจาแต่ล่ะที่ตะทิงนองนอย ตะเลงเต่งตุม
ไม่แคล้วอภินิหารจักรๆวงศ์ๆ

อีตากรัชกายก็นิสสัยเหมือนเดิม โมเมสเตชั่นตลอด มั่วนิ่มพูดไปเรื่อย
อ้างอะไรโดยไม่มีที่มาที่ไป มรรยาทไม่มี บอกกี่ครั้งแล้ว......
อ้างพระไตรปิฎก มันต้องวางลิ้งด้วยทุกครั้ง

กรัชกายมั่วบอกว่า พระพุทธองค์แสดงวาเสฎฐสูตรเพื่อหักล้างลัทธิพราหมณ์
มันจะบ้าไปใหญ่แล้ว ดันเห็นพระพุทธองค์เป็นอันธพาลไปได้
คำสอนของพุทธองค์ ก็เป็นเรื่องของพระพุทธองค์ เรื่องศาสนาหรือลัทธิพราหมณ์
มันก็เป็นเรื่องของเขา พระพุทธองค์ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว
สิ่งที่พระพุทธองคือธิบายในวาเสฎฐสูตร เป็นเรื่องกรรมที่เป็นเฉพาะในพุทธศาสนาของพระองค์


สรุปพราหมณ์ในความหมาย ของพุทธองค์กับพราหมณ์ของศาสนาอื่น
มันเป็นคนล่ะอย่างกัน..............กรัชกายอย่าเอามามั่ว
แบบนี้มันกระทบถึงพุทธองค์...เข้าใจมั้ย
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ว่าจะไม่ยุ่งแล้วเชี่ยวน่า แต่มันอดไม่ได้ เห็นสองคนเถียงกัน
เถียงกันไม่ว่า แต่ไอ้ประเภทเอาพุทธวจนมามั่วนี่ มันน่ารำคาญ
เลยต้องลงมายุ่งเสียหน่อย

อีตาโสกะก็พวกลิเกหลงโรง พูดจาแต่ล่ะที่ตะทิงนองนอย ตะเลงเต่งตุม
ไม่แคล้วอภินิหารจักรๆวงศ์ๆ

อีตากรัชกายก็นิสสัยเหมือนเดิม โมเมสเตชั่นตลอด มั่วนิ่มพูดไปเรื่อย
อ้างอะไรโดยไม่มีที่มาที่ไป มรรยาทไม่มี บอกกี่ครั้งแล้ว......
อ้างพระไตรปิฎก มันต้องวางลิ้งด้วยทุกครั้ง

กรัชกายมั่วบอกว่า พระพุทธองค์แสดงวาเสฎฐสูตรเพื่อหักล้างลัทธิพราหมณ์
มันจะบ้าไปใหญ่แล้ว ดันเห็นพระพุทธองค์เป็นอันธพาลไปได้
คำสอนของพุทธองค์ ก็เป็นเรื่องของพระพุทธองค์ เรื่องศาสนาหรือลัทธิพราหมณ์
มันก็เป็นเรื่องของเขา พระพุทธองค์ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว
สิ่งที่พระพุทธองคือธิบายในวาเสฎฐสูตร เป็นเรื่องกรรมที่เป็นเฉพาะในพุทธศาสนาของพระองค์


สรุปพราหมณ์ในความหมาย ของพุทธองค์กับพราหมณ์ของศาสนาอื่น
มันเป็นคนล่ะอย่างกัน..............กรัชกายอย่าเอามามั่ว
แบบนี้มันกระทบถึงพุทธองค์...เข้าใจมั้ย
:b32:



อ้างคำพูด:
สรุปพราหมณ์ในความหมาย ของพุทธองค์กับพราหมณ์ของศาสนาอื่น
มันเป็นคนล่ะอย่างกัน..............กรัชกายอย่าเอามามั่ว
แบบนี้มันกระทบถึงพุทธองค์...เข้าใจมั้ย



นี่คิดเองเออเองหรือเปล่าน่ะพี่โฮ

ไหนลองว่าพราหมณ์แนวพุทธ กับ พราหมณ์แนวศาสนาอื่นให้ฟังหน่อยดิเอ้าาา :b1:

เคยเห็นไหมที่พระพุทธเจ้าแย้งหรือหักล้างหลักคำสอนของพราหมณ์ เรื่องความบริสุทธิ์ด้วยอาบน้ำในแม่น้ำคงคา แต่พระพุทธเจ้าว่า ถ้ายังงั้นกุ้งหอยปูปลาในน้ำก็บริสุทธิ์ด้วยซิ เพราะมันแช่น้ำอยู่ทั้งกะปี นี่ตัวอย่างหนึ่ง ยังมีอีกแยอะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คห.นี้นำมาให้ศึกษาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวงง เพราะไปขัดกับความรู้สึกของตัว


พุทธพจน์นี้มาในวาเสฏฐสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักกรรมเพื่อหักล้างระบบวรรณะของพราหมณ์

พราหมณ์ มีลัทธิว่า พระพรหมสร้างโลก และจัดสรรทุกอย่างมาเสร็จ สำหรับสังคมมนุษย์ กำหนดให้คนแยกเป็น ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร อย่างที่รู้กัน เกิดมาในวรรณะไหน ก็ต้องอยู่ในวรรณะนั้นจนตาย เปลี่ยนแปลงไม่ได้


พระพุทธเจ้าทรงคัดค้านลัทธิพราหมณ์นั้น โดยตรัสว่า โลกมนุษย์ หรือสังคมมนุษย์นี้ เป็นไปตามกรรม กรรมในที่นี้ ทรงเน้นกรรมที่คนทำเป็นประจำ จนเป็นวิถีชีวิตของคน แล้วก็เป็นวิถีของชุมชน กลุ่มชน นั่นก็คือ กิจการงานอาชีพ (คำว่า กรรม ในภาษาบาลี บ่อยมาก หมายถึง การงานอาชีพ)


ความเป็นไปของมนุษย์ในสังคมอย่างนี้แหละ ที่ตรัสว่า โลกเป็นไปตามกรรม คือโลกไม่ใช่เป็นไปตามที่พระพรหมสร้าง และไม่ใช่ว่ากำหนดมาให้เป็นอย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้นตายตัว โลกหรือสังคมนี้ เป็นไปตามกรรม คือ การกระทำ เช่นการงานอาชีพ ที่คนมีเจตจำนงเลือกประกอบหรือจัดทำ

(กรรม ในที่นี้ หมายถึงการงาน หรืออาชีพที่ทำ)

ดังพุทธพจน์ในวาเสฏฐสูตร นี้

"ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดอาศัยโครักขกรรมเลี้ยงชีพ ผู้นั้น เป็นชาวหมา มิใช่พราหมณ์....ผู้ใดเลี้ยงชีพด้วยศิลปะต่างๆ ผู้นั้นเป็นศิลปิน...ผู้ใดอาศัยการค้าขายเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นพ่อค้า...ผู้ใดเลี้ยงชีพด้วยการรับใช้ผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนรับใช้...ผู้ใดอาศัยการลักทรัพย์เลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นโจร...ผู้ใดอาศัยศรและศัสตราเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นทหารอาชีพ... ผู้ใดเลี้ยงชีพด้วยหน้าปุโรหิต ผู้นั้นเป็นเจ้าหน้าที่การบูชา หาใช่พราหมณ์ไม่...ผู้ใดปกครองบ้านเมือง ผู้นั้นเป็นราชา หาใช่พราหมณ์ไม่ ฯลฯ เราเรียกคนที่ไม่มีกิเลสค้างใจ ไม่มีความถือมั่น ว่าเป็นพราหมณ์...


"คนมิใช่เป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด แต่เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ไม่เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม เป็นชาวนาก็เพราะกรรม (การงาน อาชีพ ความประพฤติ การดำเนินชีวิต) เป็นศิลปิน เป็นพ่อค้า เป็นคนรับใช้ เป็นโจร เป็นทหาร เป็นปุโรหิต และแม้แต่เป็นราชา ก็เพราะกรรม บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในกรรมและวิบาก ย่อมมองกรรมตามเป็นจริงอย่างนี้ โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม หมู่ประชาย่อมเป็นไปเพราะกรรม.."


ม.ม. 13/707/643-4 ขุ.สุ.25/182/451-8

บอกชื่อคัมภีร์ให้ ไปหาเอง :b1:

ถ้าพูดไม่รู้เรื่องเด๋วส่งข้าวโพดคั่ว (ป๊อบคอร์น) ถึงบ้านนะจะบอกให้ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 14:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004 s004
กว้างไป ไกลตัว ไกลงานที่พึงกระทำเกินไป ที่ไปคัดพุทธดำรัสมาอ้าง จนโฮฮับต้องมาเตือน

เพราะไปมัวคิดหาและค้นคว้าเรื่องกรรมจากตำรา มาเล่าต่อ จึงกลายเป็นเรื่องฟุ้งซ่านไกลตัวไป ไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริงนะครับ กรัชกาย

วัตถุประสงค์ของการยกเรื่องกรรมและวิบาก หรือการกระทำและการรับผลของการกระทำมาแบ่งปันกันในครั้งนี้ก็เพื่อจะชี้ให้ทุกคนเห็นว่า

เรื่องของกรรมและวิบาก เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เป็นตัวขับดันให้สัตว์โลก หรือแม้แต่โลกเองต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ โดยเริ่มจากจุดกำเนิดเล็กๆในดวงจิต คือมโนกรรม ขยายแรงต่อเป็น วจีกรรม จนถึงกายกรรม ลงมือทำด้วยตัวเอง ทุกขั้นตอนมีผลให้ต้องแบกรับตามน้ำหนักและแรงที่กระทำลงไป ถ้าผู้ใดได้ศึกษาสังเกตให้ดีโดยละเอียด ก็จะได้รู้ว่ากรรมหรือการกระทำใดๆที่ไม่เป็นกลางหรือไม่เป็น อโหสิกรรม ย่อมเป็นการสร้างภาระให้ต้องแบกรับและกลายมาเป็นแรงขับให้ชีวิตต้องดิ้นรน ทุกข์ อยู่ร่ำไปไม่มีสิ้นสุด ดุจลูกตุ้มนาฬิกา ที่ถูกไขลานไว้ ย่อมกวัดไกวกลับไปมาไม่รู้จบ ดวงจิต หรือชีวิตที่มิได้หยุดพัก หรือแบกหามภาระหนักย่อมเหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์ หากแม้นยังปารถนาความสุข และเป็นสุขที่นิรันดร์ ย่อมต้องมาเพียรศึกษาหาทางออกกันให้จนพบ วิธีที่ดีและง่ายที่สุดก็คือเดินตามรอยเท้ารอยบาทของผู้ที่เคยประสบความสำเร็จในการพิชิตทุกข์ คือพระสัมมาสัมพุทธองค์ หรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย มาทำกรรมใหม่ ที่เป็น "วิวัฏฏะ" คือหยุดการหมุนเวียน

กรรมหรือการกระทำที่เป็น "วิวัฏฏะ" จึงจะเป็นจุดหมายปลายทางของกระทู้นี้ โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อความรู้มากแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่นักวิชาการทั้งหลายใฝ่แสวงหา

tongue
ขอบใจโฮฮับที่เข้ามาร่วมทักทาย กระทู้นี้ไม่มั่ว แต่มีทิศทางและวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเพื่อแบ่งปันธรรมกันนะครับ โปรดติดตามไปเรื่อยๆ ทักท้วงบ้างเมื่อเห็นว่าออกนอกทางนอกประเด็น ก็เป็นการดี อนุโมทนา
[/b] :b38:
:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004 s004
กว้างไป ไกลตัว ไกลงานที่พึงกระทำเกินไป ที่ไปคัดพุทธดำรัสมาอ้าง จนโฮฮับต้องมาเตือน

เพราะไปมัวคิดหาและค้นคว้าเรื่องกรรมจากตำรา มาเล่าต่อ จึงกลายเป็นเรื่องฟุ้งซ่านไกลตัวไป ไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริงนะครับ กรัชกาย

วัตถุประสงค์ของการยกเรื่องกรรมและวิบาก หรือการกระทำและการรับผลของการกระทำมาแบ่งปันกันในครั้งนี้ก็เพื่อจะชี้ให้ทุกคนเห็นว่า

เรื่องของกรรมและวิบาก เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เป็นตัวขับดันให้สัตว์โลก หรือแม้แต่โลกเองต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ โดยเริ่มจากจุดกำเนิดเล็กๆในดวงจิต คือมโนกรรม ขยายแรงต่อเป็น วจีกรรม จนถึงกายกรรม ลงมือทำด้วยตัวเอง ทุกขั้นตอนมีผลให้ต้องแบกรับตามน้ำหนักและแรงที่กระทำลงไป ถ้าผู้ใดได้ศึกษาสังเกตให้ดีโดยละเอียด ก็จะได้รู้ว่ากรรมหรือการกระทำใดๆที่ไม่เป็นกลางหรือไม่เป็น อโหสิกรรม ย่อมเป็นการสร้างภาระให้ต้องแบกรับและกลายมาเป็นแรงขับให้ชีวิตต้องดิ้นรน ทุกข์ อยู่ร่ำไปไม่มีสิ้นสุด ดุจลูกตุ้มนาฬิกา ที่ถูกไขลานไว้ ย่อมกวัดไกวกลับไปมาไม่รู้จบ ดวงจิต หรือชีวิตที่มิได้หยุดพัก หรือแบกหามภาระหนักย่อมเหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์ หากแม้นยังปารถนาความสุข และเป็นสุขที่นิรันดร์ ย่อมต้องมาเพียรศึกษาหาทางออกกันให้จนพบ วิธีที่ดีและง่ายที่สุดก็คือเดินตามรอยเท้ารอยบาทของผู้ที่เคยประสบความสำเร็จในการพิชิตทุกข์ คือพระสัมมาสัมพุทธองค์ หรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย มาทำกรรมใหม่ ที่เป็น "วิวัฏฏะ" คือหยุดการหมุนเวียน

กรรมหรือการกระทำที่เป็น "วิวัฏฏะ" จึงจะเป็นจุดหมายปลายทางของกระทู้นี้ โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อความรู้มากแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่นักวิชาการทั้งหลายใฝ่แสวงหา

tongue
ขอบใจโฮฮับที่เข้ามาร่วมทักทาย กระทู้นี้ไม่มั่ว แต่มีทิศทางและวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเพื่อแบ่งปันธรรมกันนะครับ โปรดติดตามไปเรื่อยๆ ทักท้วงบ้างเมื่อเห็นว่าออกนอกทางนอกประเด็น ก็เป็นการดี อนุโมทนา
[/b] :b38:
:b37:




นั่นๆๆ อโศกบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า ตกนรกโลกันต์ชัดๆ :b1:

ไปยกเอาคำสอนนั่นนี่มา แล้วก็ตัดแต่งพันธุกรรมตามจริตตน เวรกำๆๆ :b2:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

นี่คิดเองเออเองหรือเปล่าน่ะพี่โฮ

ไหนลองว่าพราหมณ์แนวพุทธ กับ พราหมณ์แนวศาสนาอื่นให้ฟังหน่อยดิเอ้าาา :b1:

เคยเห็นไหมที่พระพุทธเจ้าแย้งหรือหักล้างหลักคำสอนของพราหมณ์ เรื่องความบริสุทธิ์ด้วยอาบน้ำในแม่น้ำคงคา แต่พระพุทธเจ้าว่า ถ้ายังงั้นกุ้งหอยปูปลาในน้ำก็บริสุทธิ์ด้วยซิ เพราะมันแช่น้ำอยู่ทั้งกะปี นี่ตัวอย่างหนึ่ง ยังมีอีกแยอะ


พี่โฮจะไปคิดเองเออที่ไหน ก็เอามาจาก กัมมุนา วัตตีโลโก ของกรัชกายนั้นแหล่ะ
กรรมของกรัชกายก็คือ ไปเอาความเชื่อของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมามั่วกับคำสอนของพุทธองค์
ทำเหมือนว่า พระพุทธองค์กำลังดูถูกศาสนาคนอื่นเขา แบบนี้มันใช่ไม่ได้

และพึ่งด่าไปแหม่บๆว่า จะอ้างพุทธวจนต้องวางลิ้งด้วย เอากุ้งหอยปูม้า ปลาเผาแม่ลามาพูด
ไม่ยอมวางลิ้งอีกแล้ว ไอ้นี่ชอบโหนอยากเป็นลิงแสมหรือไง

แล้วไอ้ที่ถามว่า พราหมณ์แนวศาสนาอื่นกับแนวพุทธ ต่างกันอย่างไร

ถ้าเป็นแนวศาสนาอื่นหรือฮินดู ท่านให้ความหมายของพราหมณ์
ในความหมายของชนชั้นหรือชาติกำหนิด..............นี้ก็เป็นเรื่องของเขา(พุทธไม่เกี่ยว)

แต่ถ้าเป็นพุทธ พระพุทธองค์ให้ความหมายของพราหมณ์ไว้ดังนี้.......

วาเสฏฐสูตร.......(๗๐๗)

"เราเรียก
บุคคลผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ผู้ไม่ยึดมั่นนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดแลตัดสังโยชน์ทั้งปวงได้แล้วไม่สะดุ้ง เราเรียกผู้นั้นผู้ล่วง
กิเลสเครื่องข้อง ไม่ประกอบด้วยสรรพกิเลส ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ตัดอุปนาหะดังชะเนาะ ตัณหาดังเชือกหนัง
ทิฏฐิดังเชือกบ่วง พร้อมทั้งทิฏฐานุสัยประดุจปม มีอวิชชาดุจ
ลิ่มสลักถอนขึ้นแล้ว ผู้ตรัสรู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดไม่
ประทุษร้าย อดกลั้นคำด่า การทุบตีและการจองจำได้ เรา
เรียกผู้มีขันติเป็นกำลังดังหมู่พลนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียก
บุคคลผู้ไม่โกรธ ผู้มีองค์ธรรมเป็นเครื่องกำจัด มีศีล ไม่มี
กิเลสดุจฝ้า ฝึกฝนแล้ว มีสรีระตั้งอยู่ในที่สุดนั้น ว่าเป็น
พราหมณ์ ผู้ใดไม่ติดในกามทั้งหลาย เหมือนน้ำบนใบบัว
หรือดังเมล็ดพันธุ์ผักกาดบนปลายเหล็กแหลม เราเรียกผู้นั้นว่า
เป็นพราหมณ์ ผู้ใดรู้ธรรมเป็นที่สิ้นทุกข์ของตนในภพนี้เอง
เราเรียกผู้ปลงภาระผู้ไม่ประกอบแล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้มีปัญญาอันเป็นไปในอารมณ์อันลึก มีเมธา
ฉลาดในอุบายอันเป็นทางและมิใช่ทาง บรรลุประโยชน์อัน
สูงสุด ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียกบุคคลผู้ไม่คลุกคลีด้วย
คฤหัสถ์ และบรรพชิตทั้งสองพวก ผู้ไปได้ด้วยไม่มีความอาลัย
ผู้ไม่มีความปรารถนา ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดวางอาชญาในสัตว์
ทั้งหลาย ทั้งเป็นสัตว์ที่หวั่นหวาด และมั่นคง ไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้
ผู้อื่นให้ฆ่า เราเรียกผู้นั้นว่าพราหมณ์ เราเรียกบุคคลผู้ไม่
พิโรธตอบในผู้พิโรธ ดับอาชญาในตนได้ ในเมื่อสัตว์
ทั้งหลายมีความถือมั่น ไม่มีความถือมั่น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดทำราคะ โทสะ มานะ และมักขะให้ตกไป ดังเมล็ดพันธุ์
ผักกาดตกจากปลายเหล็กแหลม เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดกล่าววาจาสัตย์ อันไม่มีโทษให้ผู้อื่นรู้สึกได้ อันไม่เป็น
เครื่องขัดใจคน เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์ แม้ผู้ใดไม่
ถือเอาภัณฑะทั้งยาวหรือสั้น เล็กหรือใหญ่ งามหรือไม่งาม
ที่เจ้าของไม่ให้ในโลก เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใด
ไม่มีความหวังทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า เราเรียกผู้ไม่มีความ-
หวัง ผู้ไม่ประกอบแล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดไม่มีความ
อาลัย ไม่มีความสงสัยเพราะรู้ทั่วถึง เราเรียกผู้บรรลุธรรมอัน
หยั่งลงในอมตธรรมนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดล่วงธรรมเป็น
เครื่องข้องทั้งสอง คือ บุญและบาปในโลกนี้ได้ เราเรียกผู้
ไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี ผู้บริสุทธิ์นั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ปราศจากมลทิน บริสุทธิ์ผ่องใสไม่ขุ่นมัว
ดังดวงจันทร์ มีความเพลิดเพลินในภพสิ้นแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดล่วงอวิชชาประดุจทางลื่น หรือดุจหล่มอันถอนได้ยาก เป็น
เครื่องให้ท่องเที่ยวให้หลงนี้ได้ ข้ามถึงฝั่งแล้ว มีความเพ่งอยู่
ไม่หวั่นไหว ไม่มีความสงสัย ดับแล้วเพราะไม่ถือมั่น
เราเรียกผู้นั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดละกามได้ขาดแล้ว เป็น
บรรพชิต เว้นรอบในโลกนี้ เราเรียกผู้มีกามและภพสิ้นรอบ
แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดละตัณหาได้ขาดแล้ว เป็น
บรรพชิต เว้นรอบในโลกนี้ เราเรียกผู้มีกามและภพสิ้นรอบ
แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดละกามคุณอันเป็นของมนุษย์
ล่วงกามคุณอันเป็นของทิพย์แล้ว เราเรียกผู้ไม่ประกอบด้วย
กิเลสเครื่องประกอบทั้งปวงนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียก
บุคคลผู้ละความยินดีและความไม่ยินดี เป็นผู้เย็น ไม่มีอุปธิ
ครอบงำโลกทั้งปวง ผู้แกล้วกล้านั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดรู้
จุติ และอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เราเรียกผู้
ไม่ข้อง ผู้ไปดี ตรัสรู้แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เทวดา
คนธรรพ์และหมู่มนุษย์ไม่รู้คติของผู้ใด เราเรียกผู้นั้นผู้มีอาสวะ
สิ้นแล้ว เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดไม่มีกิเลส
เครื่องกังวลทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และท่ามกลาง เราเรียกผู้
ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ผู้ไม่ถือมั่นนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เรา
เรียกบุคคลผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้วกล้า ผู้แสวงหา
คุณใหญ่ ผู้ชำนะแล้วโดยวิเศษ ผู้ไม่หวั่นไหว อาบเสร็จแล้ว
ตรัสรู้แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดรู้ญาณเครื่องระลึกชาติ
ก่อนได้ เห็นสวรรค์และอบาย และบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นชาติ
เราเรียกผู้นั้น ว่าเป็นพราหมณ์"

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 127 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 126 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร