ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ตามรอยพระพุทธเจ้า
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47649
หน้า 1 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  walaiporn [ 23 เม.ย. 2014, 09:08 ]
หัวข้อกระทู้:  ตามรอยพระพุทธเจ้า

ฤทธิ์ของอริยะ


ภิกษุทั้งหลาย ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
ผลวิบากแห่งกรรม ๓ อย่างนี้แล ที่ทำให้เรามีฤทธิ์มาก… มีอานุภาพมาก… คือ

(๑) ทาน การให้

(๒) ทมะ การบีบบังคับใจ,

(๓) สัญญมะ การสำรวมระวัง, ดังนี้
อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๔๐/๒๐๐.






หมายเหตุ:

เมื่อรู้ชัดในสภาวะผัสสะ/สิ่งที่เกิดขึ้นว่า
เพราะเหตุใด สิ่งที่เกิดขึ้น จึงทำให้เกิด ความรู้สึกนึกคิด


ทำให้รู้ว่า

สิ่งที่เคยกระทำไว้ทาง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ส่งมาในรูปของ ผัสสะ ที่เกิดขึ้น

การรู้ชัด ในผัสสะ ที่เกิดขึ้น เช่นนี้ได้ สามารถรู้ด้วยการฟัง รู้ด้วยการอ่าน รู้ด้วยการภาวนา

เป็นเหตุให้ เกิดการกระทำเช่นนี้ ทุกๆครั้งที่ผัสสะเกิด(สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด)



ผลแห่งวิบากกรรม ๓(ผลของการกระทำดังนี้) หมายถึง

๑. ทาน การให้ หมายถึง การให้อภัย
ให้อภัยต่อการกระทำของผู้อื่น ที่มีกับตน

๒. ทมะ การบีบบังคับใจ หมายถึง อดทน อดกลั้น กดข่มใจ
ไม่สร้างเหตุออกไปทาง(ไม่ปล่อยให้ ก้าวล่วงออกไป) กายกรรม วจีกรรม
ตามแรงผลักดันของกิเลส ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ



๓. สัญญมะ การสำรวมระวัง, ดังนี้
หมายถึง เมื่อกระทำได้เช่นนี้ เป็นเหตุให้ เกิดความสำรวม สังวร
คือ ระวัง ทุกๆครั้งที่ผัสสะเกิด

เจ้าของ:  walaiporn [ 27 เม.ย. 2014, 20:08 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

แกะรอยคำเรียก

ผู้ปฏิบัติ ที่จอสภาวะ ที่ตนอาจสงสัยว่า คืออะไร เรียกว่าอะไร และควรทำอย่างไรต่อไป

เมื่อนำไปสอบถามกับผู้ที่คิดว่า สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้

มักเจอคำตอบแบบนี้เสมอๆ เช่น เป็นปัจจัจตัง หรือ ทำไปเดี๋ยวก็รู้เอง

เคยชิมเกลือไหม หรืออุมาอุปมัย เกี่ยวกับการทำอาหารบ้าง แกงบ้าง มะม่วงบ้าง

คือ สุดแต่จะหยิบยกมากัน แต่ไม่สามารถอธิบาย
หรือแนะนำ ตามคำสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้ได้

ไม่ก็ พอเจอผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนมา นำมาถาม

มักจะตอบว่า ปริยัติให้โยนทิ้งไปบ้าง ให้ตั้งใจทำความเพียรอย่างเดียวบ้าง รู้ต่างๆ ให้ทิ้งไปให้หมด

ไม่ก็ รู้มากจะยากนาน ไม่ก็ ไม่จำเป็นต้องใช้คำบาลีฯลฯ


แท้จริงแล้ว ตามสภาพตามความเป็นจริง ของผู้ให้คำตอบนั้น
คือ รู้แค่ไหน ย่อมใช้อุมาอุปมัย ไปตามนั้น

แต่ตัวผู้พูด ไม่ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง ที่เป็นอยู่ของตนนั้นว่า
ตนรู้แค่ไหน ย่อมนำมาอธิบาย ได้แค่นั้น

เมื่อเกิดการไม่ยอมรับ ในสิ่งที่ตนเป็นอยู่
เหตุของตัณหา ความอยากสอน อยากแสดงว่าตนรู้ จึงมักชอบใช้สำนวนอุปมาอุปมัยแทน

ซึ่งคำแนะนำนั้นๆ ไม่สามารถ นำไปกระทำเพื่อ
ดับเหตุแห่งทุกข์ หรือ เหตุของความบังเกิดขึ้นแห่งภพได้

เจ้าของ:  walaiporn [ 27 เม.ย. 2014, 20:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

คำพูดยอดฮิต

คำที่มักได้ยินกันบ่อยๆ เช่น ปัจจุบัน ขณะ หรือ ปัจจุบันธรรม
หรือปัจจุบันอารมณ์ หรือรู้อยู่กับปัจจุบัน หรือ สภาวะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

คำเหล่านี้ ล้วนเกิดการให้ค่า ให้ความหมาย สำทับลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น
ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่(อวิชชา) และที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ ของผู้นั้น(นำไปสร้างเหตุนอกตัว)

พอถูกถามย้อนกลับไปว่า คำเรียกเหล่านี้ คืออะไร ไม่เห็นมีในพระไตรปิฎก
ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือ จากอัครสาวก ก็ไม่มีปรากฏ

กลับได้รับคำตอบมาประมาณว่า ให้เรียนรู้ในกายและจิต ไม่ก็แค่ดู แค่รู้
เดี๋ยวรู้เอง คือ ตอบแบบขอไปที(รู้แค่ไหน อธิบายได้แค่นั้น)


ที่หากันไม่เจอ ไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่ใช่อะไรหรอก
เพราะสำนวน หรือคำเหล่านี้ เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ตามเหตุปัจจัยของผู้นั้น
เหตุของอวิชชาที่มีอยู่ กิเลสบดบัง เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดใน สิ่งที่เรียกว่า "ผัสสะ"

เจ้าของ:  walaiporn [ 28 เม.ย. 2014, 18:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

ว่าด้วยผัสสะ

เมื่อเริ่มรู้ว่า สิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ มีลักษณะอาการ เกิดขึ้นอย่างไร

การตามรอยพระพุทธเจ้า จึงเริ่มต้นที่ ผัสสะ

การศึกษาจากพระไตรปิฎก มักเจอคำว่า รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
(ยังไม่กล่าวเลยไปถึง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

ความเกี่ยวข้องของ ผัสสะ กับรูป มีความเกี่ยวข้องกัน

ทีนี้จะรู้ได้อย่างไรว่า ผัสสะ กับ รูป มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร

และสิ่งที่เรียกว่า รูปนั้น หมายถึงสิ่งใด

หากยังไม่รู้ชัดในผัสสะ ที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง
ก็อาศัยหาความรู้ จากแหล่งทั้งหลาย ที่มีอยู่
(คำอธิบาย ที่มีผู้อื่น เขียนอธิบายไว้)

ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้(เที่ยวค้นหา คำว่า รูป)
กลับมาเริ่มต้น แกะรอยคำว่า ผัสสะ ตามคำสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้ก่อน

หากรู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ ที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง
ย่อมเป็นเหตุปัจจัย ให้รู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า รูป ที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง

เจ้าของ:  asoka [ 28 เม.ย. 2014, 20:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

walaiporn เขียน:
คำพูดยอดฮิต

คำที่มักได้ยินกันบ่อยๆ เช่น ปัจจุบัน ขณะ หรือ ปัจจุบันธรรม
หรือปัจจุบันอารมณ์ หรือรู้อยู่กับปัจจุบัน หรือ สภาวะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

คำเหล่านี้ ล้วนเกิดการให้ค่า ให้ความหมาย สำทับลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น
ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่(อวิชชา) และที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ ของผู้นั้น(นำไปสร้างเหตุนอกตัว)

พอถูกถามย้อนกลับไปว่า คำเรียกเหล่านี้ คืออะไร ไม่เห็นมีในพระไตรปิฎก
ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือ จากอัครสาวก ก็ไม่มีปรากฏ

กลับได้รับคำตอบมาประมาณว่า ให้เรียนรู้ในกายและจิต ไม่ก็แค่ดู แค่รู้
เดี๋ยวรู้เอง คือ ตอบแบบขอไปที(รู้แค่ไหน อธิบายได้แค่นั้น)


ที่หากันไม่เจอ ไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่ใช่อะไรหรอก
เพราะสำนวน หรือคำเหล่านี้ เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ตามเหตุปัจจัยของผู้นั้น
เหตุของอวิชชาที่มีอยู่ กิเลสบดบัง เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดใน สิ่งที่เรียกว่า "ผัสสะ"

:b38:
"ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรา มนุพรูหเย"

"ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ (ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์) อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"

มีมาในภัทเทกรัตคาถา ซึ่งน่าจะเป็นพุทธพจน์ด้วยซ้ำ
:b53:

เจ้าของ:  walaiporn [ 28 เม.ย. 2014, 22:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
คำพูดยอดฮิต

คำที่มักได้ยินกันบ่อยๆ เช่น ปัจจุบัน ขณะ หรือ ปัจจุบันธรรม
หรือปัจจุบันอารมณ์ หรือรู้อยู่กับปัจจุบัน หรือ สภาวะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

คำเหล่านี้ ล้วนเกิดการให้ค่า ให้ความหมาย สำทับลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น
ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่(อวิชชา) และที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ ของผู้นั้น(นำไปสร้างเหตุนอกตัว)

พอถูกถามย้อนกลับไปว่า คำเรียกเหล่านี้ คืออะไร ไม่เห็นมีในพระไตรปิฎก
ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือ จากอัครสาวก ก็ไม่มีปรากฏ

กลับได้รับคำตอบมาประมาณว่า ให้เรียนรู้ในกายและจิต ไม่ก็แค่ดู แค่รู้
เดี๋ยวรู้เอง คือ ตอบแบบขอไปที(รู้แค่ไหน อธิบายได้แค่นั้น)


ที่หากันไม่เจอ ไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่ใช่อะไรหรอก
เพราะสำนวน หรือคำเหล่านี้ เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ตามเหตุปัจจัยของผู้นั้น
เหตุของอวิชชาที่มีอยู่ กิเลสบดบัง เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดใน สิ่งที่เรียกว่า "ผัสสะ"

:b38:
"ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรา มนุพรูหเย"

"ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ (ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์) อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"

มีมาในภัทเทกรัตคาถา ซึ่งน่าจะเป็นพุทธพจน์ด้วยซ้ำ
:b53:




พระธรรมคำสอน พุทธวจนะ ไม่ใช่เรื่องการคาดเดา

โสกะ ชอบมีนิสัยคาดเดาเอาเอง คงถนัดแต่การท่องจำ มากกว่า ที่จะค้นหา

นี่แหละเหตุปัจจัยของโสกะ ที่ชอบสร้างเหตุของการทำ พระสัทธรรม ให้เป็นสัทธรรมปฏิรูป

อะไรที่ไม่รู้ อย่าสักแต่ว่า นำมาโพส

เคยแนะทางไปให้หลายครั้งแล้วว่า กูเกิ้ลมี รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์


อ่านซะ

http://www.buddhawaj.org/institute/docu ... -02-36.pdf


แล้วอย่าเที่ยวสอดแทรกทิฏฐิของตน จะด้วยการวงเล็บ ลงไปในคำสอนนั้นๆ

ไม่ว่าจะเป็นพระธรรมคำสอน จากพระพุทธเจ้า หรือ อัครสาวก

การกระทำแบบนั้น เป็นการแสดงความไม่เคารพ ต่อ พระรัตนตรัย

เจ้าของ:  walaiporn [ 29 เม.ย. 2014, 08:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

คำที่โสกะ ชอบใช้กล่าวอ้างประจำ

asoka เขียน:


"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่กรัชกายยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ



ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์ ใช่หมายถึง สภาพธรรม ที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง
ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมปัจจุบัน ที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก
ใช่ตรงตามคำกล่าวอ้างของโสกะ หรือไม่?
นำไปตรวจสอบได้



และตรงนี้ ที่โสกะ ใช้ทิฏฐิของตน สอดแทรกลงไปในสิ่งที่ตนคาดเดาเอาเองว่า น่าจะเป็นพุทธพจน์

asoka เขียน:


"ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรา มนุพรูหเย"

"ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ (ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์) อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"

มีมาในภัทเทกรัตคาถา ซึ่งน่าจะเป็นพุทธพจน์ด้วยซ้ำ




มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร (๑๓๓)


[๕๕๑]
พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
บุคคลไม่ควรค�านึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง
ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น
ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้น
เนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงท�าความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใคร
เล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มี
เสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อม
เรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้ง
กลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ ครั้นแล้วพระสุคตจึงทรงลุก จากอาสนะ เสด็จเข้าไปยังพระวิหาร ฯ



เมื่อมีภิกษุ นำคำที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ ไปสอบถาม
จึงมีการขยายใจความโดยพระมหากัจจานะ


[๕๖๐]
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน อย่างไร

คือมีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในจักษุและรูปทั้ง ๒ อย่างที่เป็นปัจจุบันด้วยกันนั้นแล
เพราะความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะ จึงเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น
เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน

มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในโสตและเสียง...
มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...
มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในชิวหาและรส...
มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ...
มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ อย่างที่เป็นปัจจุบัน ด้วยกันแล

เพราะความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะ จึงเพลิดเพลินมโนและธรรมารมณ์นั้น เมื่อเพลิดเพลิน
จึงชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ



[๕๖๑]
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร
คือมีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในจักษุและรูปทั้ง ๒ อย่าง ที่เป็นปัจจุบันด้วยกันนั้นแล
เพราะความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะ จึงไม่เพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น
เมื่อไม่เพลิดเพลิน จึงชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน

มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในโสตและเสียง ...
มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...
มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในชิวหาและรส...
มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ...
มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณ์ ทั้ง ๒ อย่างที่เป็นปัจจุบันด้วยกันนั้นแล

เพราะความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะ จึงไม่ เพลิดเพลินมโนและธรรมารมณ์นั้น
เมื่อไม่เพลิดเพลิน จึงชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ


[๕๖๔]
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหากัจจานะเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก
แม้หากพวกเธอสอบถามเนื้อความนั้นกะเรา เราก็จะ พยากรณ์เนื้อความนั้นอย่างเดียวกับที่มหากัจจานะพยากรณ์แล้วเหมือนกัน

ก็แหละเนื้อความของอุเทศนั้นเป็นดังนี้แล พวกเธอจงทรงจ�าเนื้อความนั้นไว้อย่างนั้นเถิด ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
จบ มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร ที่ ๓


http://www.buddhawaj.org/institute/docu ... -02-36.pdf










เมื่อโสกะ เกิดฉันทราคะ ต่อสัญญา(สิ่งที่ท่องจำมา)

ภิกษุทั้งหลาย ! สัญญา เป็นสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งสัญโญชน์,
ฉันทราคะ ใด เข้าไปมีอยู่ในสัญญานั้น ฉันทราคะนั้น คือ ตัวสัญโญชน์ ในสัญญานั้น ;



ดูสิ่งที่วลัยพรโพส

walaiporn เขียน:
คำที่มักได้ยินกันบ่อยๆ เช่น ปัจจุบัน ขณะ หรือ ปัจจุบันธรรม
หรือปัจจุบันอารมณ์ หรือรู้อยู่กับปัจจุบัน หรือ สภาวะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

เพราะสำนวน หรือคำเหล่านี้ เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ตามเหตุปัจจัยของผู้นั้น
เหตุของอวิชชาที่มีอยู่ กิเลสบดบัง เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดใน สิ่งที่เรียกว่า "ผัสสะ"





เหตุปัจจัยจาก ความไม่รู้ชัดใน ผัสสะ ที่เกิดขึ้น

[๕๖๐]
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน อย่างไร

คือมีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในจักษุและรูปทั้ง ๒ อย่างที่เป็นปัจจุบันด้วยกันนั้นแล
เพราะความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะ จึงเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น
เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน

มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในโสตและเสียง...
มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...
มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในชิวหาและรส...
มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ...
มีความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ อย่างที่เป็นปัจจุบัน ด้วยกันแล

เพราะความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะ จึงเพลิดเพลินมโนและธรรมารมณ์นั้น เมื่อเพลิดเพลิน
จึงชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ




เหตุปัจจัยจาก ความรู้ชัดใน ผัสสะ ที่เกิดขึ้น

[๕๖๑]
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร
คือมีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในจักษุและรูปทั้ง ๒ อย่าง ที่เป็นปัจจุบันด้วยกันนั้นแล
เพราะความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะ จึงไม่เพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น
เมื่อไม่เพลิดเพลิน จึงชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน

มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในโสตและเสียง ...
มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...
มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในชิวหาและรส...
มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ...
มีความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณ์ ทั้ง ๒ อย่างที่เป็นปัจจุบันด้วยกันนั้นแล

เพราะความรู้สึกไม่เนื่องด้วยฉันทราคะ จึงไม่ เพลิดเพลินมโนและธรรมารมณ์นั้น
เมื่อไม่เพลิดเพลิน จึงชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ




ยังไม่สายเกินแก้นะ โสกะ
เกี่ยวกับ การสร้างเหตุของ การทำสัทธรรมปฏิรูป

หากยังทำอยู่

"ภิกษุทั้งหลาย ! สัญญา เป็นสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งสัญโญชน์,
ฉันทราคะ ใด เข้าไปมีอยู่ในสัญญานั้น ฉันทราคะนั้น คือ ตัวสัญโญชน์ ในสัญญานั้น ;"

การนำสัญญา ที่ติดข้องอยู่
นำมากระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐิธรรมนี้
ไม่อาจเป็นไปได้เลย

ที่เป็นแบบนี้ เพราะ มีแต่การนำสัญญา ที่ติดแหงกอยู่ เนื่องด้วยฉันทราคะที่เกิดขึ้น
มีแต่การสร้างเหตุของความเกิดขึ้นแห่งภพ
มากกว่า เป็นการกระทำ เพื่อดับเหตุแห่งภพ

เจ้าของ:  asoka [ 29 เม.ย. 2014, 15:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

s004
โถ! ๆ ๆ.....

เลี่ยงบาลีไปเอาพุทธพจน์แลอาจาริยาวาท มาอ้างสนับสนุนความเห็นผิดของ,ตนเอง

ประเด็นอยูที่ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์ ที่วลัยพรไปอ้างว่าพระบรมศาสดาไม่แสดง ไม่มี ในพระไตรปิฎก

แล้วที่ยกเรื่องภัทเทกรัตคาถามาอ้างนั้นมีไหม ปัจจุบัน เป็นพุทธพจน์ไหม?

อันเรื่องความง่อนแง่นไปเพราะความยินดียินร้ายนั้น คืออาการที่สติปัญญาเคลื่อนไปจากปัจจุบัน เพราะอำนาจแห่งกาม เป็นคนละประเด็นกัน ดูให้ดีๆนะจ๊ะ วลัยพร
:b3:

เจ้าของ:  walaiporn [ 29 เม.ย. 2014, 16:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

โถๆๆๆๆๆๆ แค่โยนเหยื่อลงไป รีบตระคุ๊บทันที

เพราะชอบสวาปาม แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ

โสกะถึงติดแหงกกับการท่องจำ
ติดแหงกคนเดียวไม่พอ ยังเที่ยวเผยแผ่สัทธรรมปฏิรูป



walaiporn เขียน:

ยังไม่สายเกินแก้นะ โสกะ
เกี่ยวกับ การสร้างเหตุของ การทำสัทธรรมปฏิรูป

หากยังทำอยู่

"ภิกษุทั้งหลาย ! สัญญา เป็นสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งสัญโญชน์,
ฉันทราคะ ใด เข้าไปมีอยู่ในสัญญานั้น ฉันทราคะนั้น คือ ตัวสัญโญชน์ ในสัญญานั้น ;"

การนำสัญญา ที่ติดข้องอยู่
นำมากระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐิธรรมนี้
ไม่อาจเป็นไปได้เลย

ที่เป็นแบบนี้ เพราะ มีแต่การนำสัญญา ที่ติดแหงกอยู่ เนื่องด้วยฉันทราคะที่เกิดขึ้น
มีแต่การสร้างเหตุของความเกิดขึ้นแห่งภพ
มากกว่า เป็นการกระทำ เพื่อดับเหตุแห่งภพ

เจ้าของ:  walaiporn [ 29 เม.ย. 2014, 18:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

อารมณ์

อารมณ์อันใดอันสรรพสัตว์เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ทราบแล้ว รู้สึกแล้ว ในอารมณ์ นั้น
พระตถาคตไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ทราบ ไม่รู้ ก็หามิได้
อารมณ์แม้ทั้งหมด ชื่อว่า ตถาคตไม่ทำให้แจ้งด้วยญาณหามีไม่
(อ.โลกสูตร) 35/68/18


เวลาที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า อารมณ์
ก็ทรงตรัสเรียก อารมณ์

ไม่มีคำว่า ปัจจุบันอารมณ์

คำว่า ปัจจุบันอารมณ์ ที่บางคนนำมาใช้
เป็นการบิดเบือนพระสัทธรรม เป็นการทำสัทธรรมปฏิรูป

เจ้าของ:  asoka [ 01 พ.ค. 2014, 12:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

Onion_L
อ้างคำพูด:
คำที่โสกะ ชอบใช้กล่าวอ้างประจำ

asoka เขียน:


"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่กรัชกายยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ



ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์ ใช่หมายถึง สภาพธรรม ที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง
ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมปัจจุบัน ที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก
ใช่ตรงตามคำกล่าวอ้างของโสกะ หรือไม่?
นำไปตรวจสอบได้



และตรงนี้ ที่โสกะ ใช้ทิฏฐิของตน สอดแทรกลงไปในสิ่งที่ตนคาดเดาเอาเองว่า น่าจะเป็นพุทธพจน์

asoka เขียน:


"ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรา มนุพรูหเย"

"ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ (ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์) อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"

มีมาในภัทเทกรัตคาถา ซึ่งน่าจะเป็นพุทธพจน์ด้วยซ้ำ




มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร (๑๓๓)


[๕๕๑]
พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
บุคคลไม่ควรควรนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง
ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น
ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้น
เนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใคร
เล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มี
เสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อม
เรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้ง
กลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ ครั้นแล้วพระสุคตจึงทรงลุก จากอาสนะ เสด็จเข้าไปยังพระวิหาร ฯ

s005
่คำ ก็ "สัทธัมปฏิรูป" สองสามคำก็ "สัทธัมปฏิรูป"ใช้พร่ำเพื่อเสียจนลืมนำมาพิจารณาตนเองเสียแล้ว ว่า ในที่สุด คนที่กลัวและเกาะคัมภีร์ไว้แน่นนั้น ในที่สุดกลับมาทำสัทธัมปฏิรูปเสียเองโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

อย่างกรณีเรื่องของปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์นี้พระบรมศาสดาทรงกล่าวไว้ชัดเจน คนแปลก็แปลถูกต้อง แต่คนนำข้อธรรมมาเผยแพร่กลับบิดเบือน ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงเรื่องปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์ไว้ในพระไตรปิฎก

ลองดูให้ดีๆจากที่วลัยพรไปคัดลอกตำรามา ได้คาดสีแดง ทำตัวหนาไว้ให้สังเกต

วลัยพรแปลความหมายบาลีได้แค่ตื้นๆ ประยุกต์ธรรมมาใช้กับชีวิตจริงไม่เป็นจึงปฏิเสธคำว่า "ปัจจุบันอารมณ์"

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน สำคัญตรงปัจจุบันอารมณ์นี่แหละ เพราะการกระทำ การแก้ไขการกระทำ การขุดถอนสมุทัย เหตุทุกข์ ต้องทำกันตรงปัจจุบันอารมณ์นี้แหละจึงจะได้ผล เพราะอดีตและอนาคตอารมณ์แก้ไขไม่ได้

เป็นโมหะอันใดหนอที่มาทำให้วลัยพรเกิดความเห็นผิด ไม่เห็นความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ ทั้งยังเผยแพร่ความเห็นผิดอันนี้สู่สาธารณะทำให้ผู้ศึกษาธรรมไข้วเขวออกจากทางที่ถูกต้อง นี่มันยิ่งกว่าสัทธัมปฏิรูปอีกนะ ที่ทำให้คนหลงทางธรรม
:b7:
อารมณ์ = สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต

ปัจจุบัน = ต่อหน้า ณ บัดเดี๋ยวนี้

:b37:

เจ้าของ:  walaiporn [ 01 พ.ค. 2014, 16:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

ผัสสะ


สภาวะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
ทั้งที่มีเกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต และเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่

โดยสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
เป็นลักษณะอาการ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ




ว่าด้วยผัสสะ

ภิกษุ ท. ! อาศัยตากับรูป เกิด จักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางตา) ขึ้น,
อาศัยหูกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางหู) ขึ้น,
อาศัยจมูกกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางจมูก) ขึ้น,
อาศัยลิ้นกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางลิ้น) ขึ้น,
อาศัยกายกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางกาย) ขึ้น,
และอาศัยใจกับธรรมารมณ์ เกิด มโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางใจ) ขึ้น ;

ความประจวบกันแห่งสิ่งทั้งสาม (เช่น ตา รูป จักขุวิญญาณ เป็นต้น แต่ละหมวด) นั้น
ชื่อว่า ผัสสะ.

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา อันเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง.

บุคคลนั้น เมื่อ สุขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่,
อนุสัยคือราคะ ย่อมนอนเนื่อง อยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ ทุกขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ย่อมระทมใจ คร่ำครวญ
ตีอกร่ำไห้ ถึงความหลงใหลอยู่,

อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ เวทนาอันไม่ทุกข์ไม่สุข ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่รู้ตามเป็นจริง
ซึ่งเหตุให้เกิดเวทนานั้นด้วย ซึ่งความดับแห่งเวทนานั้นด้วย

ซึ่งอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนานั้นด้วย ซึ่งอาทีนพ (โทษ) ของเวทนานั้นด้วย
ซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพ้น) ของเวทนานั้นด้วย,

อนุสัยคืออวิชชา ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

ภิกษุ ท. ! บุคคลนั้นหนอ ยังละอนุสัย คือ ราคะในเพราะสุขเวทนาไม่ได้,
ยังบรรเทาอนุสัย คือ ปฏิฆะในเพราะทุกขเวทนาไม่ได้,
ยังถอนอนุสัย คือ อวิชชาในเพราะอทุกขมสุขเวทนาไม่ได้,
ยังละอวิชชาไม่ได้ และยังทำวิชชาให้เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว

จักทำที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐธรรมนี้ ดังนี้ :
ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
- อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.





ดูกรอานนท์ เรากล่าวว่าสุขและทุกข์
เป็นของอาศัยเหตุเกิดขึ้น

สุขและทุกข์อาศัยอะไรเกิดขึ้น

สุขและทุกข์อาศัยผัสสะเกิดขึ้น

บุคคลผู้กล่าวดังนี้ จึงจะชื่อว่าเป็นอันกล่าวตามที่เรากล่าวแล้ว ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง

และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ
ก็จะไม่พึงถึงฐานะอันวิญญูชนจะติเตียนได้”





อานนท์ ! คราวหนึ่งเราอยู่ที่ป่าไผ่ เป็นที่ให้เหยื่อแก่กระแตใกล้กรุงราชคฤห์นี่แหละ,

ครั้งนั้น เวลาเช้า เราครองจีวรถือบาตร เพื่อไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ คิดขึ้นมาว่า ยังเช้าเกินไปสำหรับการบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ถ้าไฉน เราเข้าไปสู่อารามของปริพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่นเถิด.

เราได้เข้าไปสู่อารามของปริพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่น กระทำสัมโมทนียกถาแก่กันและกัน นั่งลง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.

อานนท์ ! ปริพาชกเหล่านั้น ได้กล่าวกะเรา ผู้นั่งแล้ว อย่างนี้ว่า

“ท่านโคตมะ ! มีสมณพราหมณ์บางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเอง,

มีสมณพราหมณ์อีกบางพวกที่กล่าวสอนเรื่องกรรม ย่อมบัญญัติ ความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้,

มีสมณพราหมณ์อีกบางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า ไม่ใช่ทำเอง หรือใครทำให้ ก็เกิดขึ้นได้.

ในเรื่องนี้ ท่านโคตมะของพวกเรา กล่าวสอนอยู่อย่างไร ?
และพวกเรากล่าวอยู่อย่างไร ?

จึงจะเป็นอันกล่าวตามคำ ที่ท่านโคตมะกล่าวแล้ว,
ไม่เป็นการกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง
และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม จะไม่พลอยกลายเป็น ผู้ควรถูกติเตียนไปด้วย ?”
ดังนี้.

อานนท์ ! เราได้กล่าวกะปริพาชกทั้งหลาย เหล่านั้นว่า

ปริพาชกทั้งหลาย !
เรากล่าวว่า ทุกข์ อาศัยเหตุปัจจัย (ของมันเอง เป็นลำดับๆ) เกิดขึ้น.

มันอาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ?

อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ.

ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่เรากล่าว.
นิทาน. สํ. ๑๖/๔๑/๗๖.




การเขียนพระธรรมคำสอน ที่ไม่เป็นการสร้างเหตุของ การทำสัทธรรมปฏิรูป
ต้องคงที่ เนื้อความพระธรรมคำสอน ไว้ทั้งหมด


ส่วนตนมีข้อคิดเห็น ต่อคำเรียกนั้นอย่างไร
ควรเขียนหมายเหตุ ในการอธิบาย หรือ เขียนแยกออกมา
ไม่นำทิฏฐิของตน ลงไปปะปนกับพระธรรมคำสอน

ถ้าทำแบบนี้ จะไม่เป็นการ สร้างเหตุของ การทำสัทธรรมปฏิรูป



ส่วนบุคคลที่นำ ทิฏฐิของตน นำไปปะปนในพระธรรมคำสอน
หรือ พยายามนำความหมาย ที่ตนคิดว่า ใช่ สอดแทรกลงไปในพระธรรมคำสอน
หรือคิดเปลี่ยนคำที่มีอยู่ ในพระธรรมคำสอน เช่น

พระธรรมคำสอน ใช้คำว่า ธรรมปัจจุบัน
แต่คนพวกนี้ พยายามเปลี่ยนเป็น ปัจจุบันธรรม

หรือพระธรรมคำสอน ใช้คำว่า อารมณ์
แต่คนพวกนี้ พยายามเปลี่ยนเป็น ปัจจุบันอารมณ์


มีแต่การสร้างเหตุของการทำสัทธรรมปฏิรูป
นี่แหละเหตุของอวิชชา จึงหลงสร้างเหตุของความบังเกิดขึ้นแห่งภพ ให้เกิดขึ้นใหม่เนืองๆ ก็ยังไม่รู้

เจ้าของ:  asoka [ 02 พ.ค. 2014, 15:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

:b7:
ยึดติดแน่นอยู่กับสมมุติบัญญัติ กลัวผิดพุทธวัจจนะเสียจนจะทำให้ กลายเป็นผู้ทำลายเนื้อหาแห่งสัจจธรรมเสียเองแล้ว

วลัยพรคงคิดว่า มีตำราชุดเดียวคือพระไตรปิฎกฉบับแปลภาษาไทย ที่ใช่และถูกต้อง ทุกตัวอักษรที่แปล ไม่ฉุกใจคิดบ้างเลยหรือว่า สำนวนการแปล คำที่แปล สังคายนา วิตกวิจารณ์กันมาหลายครั้งแล้ว ถ้าเราตีความหมายไม่ถูกต้องก็อาจผิดไปจากสัจจธรรมจริงๆโดยไม่รู้ตัว ด้วยอำนาจแห่งความกลัว ผิดพุทธวัจจนะ

ยังมีตำราอีกชุดหนึ่งนะที่ใช้อ้างอิงได้ตลอดกาล และไม่มีโอกาสจะผิดได้ด้วย นั่นก็คือตำราเล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ เล่มที่ติดตัวติดใจทุกคนมานี่ยังไง รูป นาม กาย ใจ ของคนเราทุกคนนี้ เป็นต้นฉบับของพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์เชียวนะ ธรรมะที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนก็ทรงค้นคว้าเอามาจากในกายใจนี้ ใครอ่านกายใจนี้เป็นแล้วก็ย่อมจะค้นเอาข้อธรรมต่างๆมาอ้างอิงและใช้ประโยชน์ได้เสมอ

จะยกตัวอย่างง่ายๆถึงความยึดแน่นในบัญญัติของวลัยพรให้ดูนะ

"ธรรมปัจจุบัน" กับ"ปัจจุบันธรรม".....มันแตกต่างกันเฉพาะการเรียงตัวหนังสือ หรือบัญญัติ แต่ความหมายของสัจจธรรม เป็นอันเดียวกัน คือ ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ณ เวลาขณะนั้น

เมื่อพูดผิดไปจากคำว่า "ธรรมปัจจุบัน" เป็น "ปัจจุบันธรรม" เพียงแค่นี้ วลัยพรก็บอกว่าเป็น "สัทธรรมปฏิรูป"
s004
คำว่า "อารมณ์" ที่วลัยพรบอกว่า พระบรมศาสดาก็ไม่ได้ทรงระบุว่า "ปัจจุบันอารมณ์" แต่ถ้าพิจารณาจากสภาวธรรมแล้ว อารมณ์ นั้น แบ่งได้เป็น 3 กาละ คือ อดีตอารมณ์ ปัจจุบันอารมณ์ อนาคตอารมณ์

วลัยพรจะใช้อารมณ์ไหนหรือเป็นที่พิจารณาในการปฏิบัติธรรม จึงจะสามารถทำให้เกิดสัมฤทธิผลและความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้อย่างแท้จริง

พระบรมศาสดามิได้ทรงตรัสไว้ แต่เราจะต้องเข้าใจตามสภาวธรรมจริงๆที่ปรากฎในกายในใจจริงๆของเรามิใช่หรือ

อนึ่งหากว่าคำพูดใดไม่มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ใครนำมาแสดงแล้วอ้างว่าเป็นธรรม นั่นถือว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป วลัยพร ลองพิจารณา สัจจธรรมอันนี้ซิ ว่าตรงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือไม่? เป็นสัทธรรมปฏิรูปหรือเปล่า แล้วถือเอาไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ถึงความหลุึดพ้นได้หรือไม่?

"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด"
s006

"อนัตตา เป็นสุดยอดแห่งธรรม"
:b10:

"

เจ้าของ:  walaiporn [ 02 พ.ค. 2014, 20:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

asoka เขียน:
:b7:
ยึดติดแน่นอยู่กับสมมุติบัญญัติ กลัวผิดพุทธวัจจนะเสียจนจะทำให้ กลายเป็นผู้ทำลายเนื้อหาแห่งสัจจธรรมเสียเองแล้ว

วลัยพรคงคิดว่า มีตำราชุดเดียวคือพระไตรปิฎกฉบับแปลภาษาไทย ที่ใช่และถูกต้อง ทุกตัวอักษรที่แปล ไม่ฉุกใจคิดบ้างเลยหรือว่า สำนวนการแปล คำที่แปล สังคายนา วิตกวิจารณ์กันมาหลายครั้งแล้ว ถ้าเราตีความหมายไม่ถูกต้องก็อาจผิดไปจากสัจจธรรมจริงๆโดยไม่รู้ตัว ด้วยอำนาจแห่งความกลัว ผิดพุทธวัจจนะ

ยังมีตำราอีกชุดหนึ่งนะที่ใช้อ้างอิงได้ตลอดกาล และไม่มีโอกาสจะผิดได้ด้วย นั่นก็คือตำราเล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ เล่มที่ติดตัวติดใจทุกคนมานี่ยังไง รูป นาม กาย ใจ ของคนเราทุกคนนี้ เป็นต้นฉบับของพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์เชียวนะ ธรรมะที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนก็ทรงค้นคว้าเอามาจากในกายใจนี้ ใครอ่านกายใจนี้เป็นแล้วก็ย่อมจะค้นเอาข้อธรรมต่างๆมาอ้างอิงและใช้ประโยชน์ได้เสมอ

จะยกตัวอย่างง่ายๆถึงความยึดแน่นในบัญญัติของวลัยพรให้ดูนะ

"ธรรมปัจจุบัน" กับ"ปัจจุบันธรรม".....มันแตกต่างกันเฉพาะการเรียงตัวหนังสือ หรือบัญญัติ แต่ความหมายของสัจจธรรม เป็นอันเดียวกัน คือ ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ณ เวลาขณะนั้น

เมื่อพูดผิดไปจากคำว่า "ธรรมปัจจุบัน" เป็น "ปัจจุบันธรรม" เพียงแค่นี้ วลัยพรก็บอกว่าเป็น "สัทธรรมปฏิรูป"
s004
คำว่า "อารมณ์" ที่วลัยพรบอกว่า พระบรมศาสดาก็ไม่ได้ทรงระบุว่า "ปัจจุบันอารมณ์" แต่ถ้าพิจารณาจากสภาวธรรมแล้ว อารมณ์ นั้น แบ่งได้เป็น 3 กาละ คือ อดีตอารมณ์ ปัจจุบันอารมณ์ อนาคตอารมณ์

วลัยพรจะใช้อารมณ์ไหนหรือเป็นที่พิจารณาในการปฏิบัติธรรม จึงจะสามารถทำให้เกิดสัมฤทธิผลและความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้อย่างแท้จริง

พระบรมศาสดามิได้ทรงตรัสไว้ แต่เราจะต้องเข้าใจตามสภาวธรรมจริงๆที่ปรากฎในกายในใจจริงๆของเรามิใช่หรือ

อนึ่งหากว่าคำพูดใดไม่มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ใครนำมาแสดงแล้วอ้างว่าเป็นธรรม นั่นถือว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป วลัยพร ลองพิจารณา สัจจธรรมอันนี้ซิ ว่าตรงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือไม่? เป็นสัทธรรมปฏิรูปหรือเปล่า แล้วถือเอาไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ถึงความหลุึดพ้นได้หรือไม่?

"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด"
s006

"อนัตตา เป็นสุดยอดแห่งธรรม"
:b10:

"









ที่โสกะโพสมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่แรกเริ่มได้พูดคุยกัน จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้

ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่โสกะมีอยู่ และเป็นอยู่

เป็นความปกติของโสกะ เรื่องธรรมด๊า ธรรมดา :b1:


หลงคุยมาด้วยตั้งนาน :b32:

เจ้าของ:  walaiporn [ 02 พ.ค. 2014, 20:19 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตามรอยพระพุทธเจ้า

วลัยพร ก็ยังมีอยู่นะ ที่หลงอีโบ๊อีเบ๊

พอรู้ว่า หลง ก็กลับมาเริ่มต้นใหม่


กลับเข้าสู่เนื้อความ ตามรอยพระพุทธเจ้า

โดยเริ่มต้นจาก ผัสสะ ดังที่เกริ่นนำไว้ตั้งแต่แรก

จะรวบรวมพระธรรมคำสอน ที่ว่าด้วย ผัสสะ

นำมาทะยอยลง ให้ได้ศึกษากันว่า สิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ ตามพระธรรมคำสอนนั้น

สภาพธรรม ตามความเป็นจริง ลักษณะของผัสสะ ที่เกิดขึ้น กล่าวคือ

เกิดขึ้นภายนอก(เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต)
และเกิดขึ้นภายใน(เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่)

หน้า 1 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/