ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47660
หน้า 6 จากทั้งหมด 18

เจ้าของ:  nongkong [ 20 มิ.ย. 2014, 21:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
FLAME เขียน:
อืมขอถามต่อนะครับ ถ้ากรณี่ผู้สั่งไม่รู้ว่าปลานั้นยังเป็นๆอยู่ เช่นไปร้านอาหาร ไม่ได้เห็นปลานั้นเลย แต่ปลานั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ดูเมนูมีความต้องการจะกินปลากระพงจึงสั่งปลากระพงทอด กุ๊กที่ร้านเลยจับปลาที่อยู่ในอ่างนั้นไปทอดตามคำสั่ง อย่างนี้ึคนสั่งจะบาปมั้ย และมีส่วนแห่งปาณาติบาตรึเปล่า

ไม่รู้ไม่ทราบ ไม่บาปครับ
เป็นวิบากของปลา และผู้ก่อเวรคือกุ๊กที่ร้านกับเจ้าของร้านครับ



เช่นนั้น ถ้ามันยุ่งยากลำบากใจนักก็นะ กินผักจิ้มน้ำเกลือหรือกินข้าวกับน้ำปลาเถอะนะ คิกๆๆ :b32:

กรัชกายไปบอกคนถามครับ
ผมแจงตามที่ถามครับ


ถามจริงนะ เช่นนั้น แต่ละมื้อๆคุณกินข้าวกับอะไรบ้าง เช่น :b32:

ถามคุนน้องบ้างซี่ ว่าคุนน้องกินข้าวกับอะไร :b13:
http://www.youtube.com/watch?v=AGSjXo8oW_w

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 20 มิ.ย. 2014, 21:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
FLAME เขียน:
อืมขอถามต่อนะครับ ถ้ากรณี่ผู้สั่งไม่รู้ว่าปลานั้นยังเป็นๆอยู่ เช่นไปร้านอาหาร ไม่ได้เห็นปลานั้นเลย แต่ปลานั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ดูเมนูมีความต้องการจะกินปลากระพงจึงสั่งปลากระพงทอด กุ๊กที่ร้านเลยจับปลาที่อยู่ในอ่างนั้นไปทอดตามคำสั่ง อย่างนี้ึคนสั่งจะบาปมั้ย และมีส่วนแห่งปาณาติบาตรึเปล่า

ไม่รู้ไม่ทราบ ไม่บาปครับ
เป็นวิบากของปลา และผู้ก่อเวรคือกุ๊กที่ร้านกับเจ้าของร้านครับ



เช่นนั้น ถ้ามันยุ่งยากลำบากใจนักก็นะ กินผักจิ้มน้ำเกลือหรือกินข้าวกับน้ำปลาเถอะนะ คิกๆๆ :b32:

กรัชกายไปบอกคนถามครับ
ผมแจงตามที่ถามครับ


ถามจริงนะ เช่นนั้น แต่ละมื้อๆคุณกินข้าวกับอะไรบ้าง เช่น :b32:

ถามคุนน้องบ้างซี่ ว่าคุนน้องกินข้าวกับอะไร :b13:
http://www.youtube.com/watch?v=AGSjXo8oW_w


ถ้าถาม คงตอบกินข้าวกับน้ำพริก :b32:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 20 มิ.ย. 2014, 21:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

นำศีล ๕ ตามพุทธพจน์มาให้พิจารณา


"คหบดีทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมบรรยายสำหรับน้อมเข้ามาเทียบตัว....


๑) อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเองอยากมีชีวิต ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ถ้าใครจะปลงชีวิตเรา ผู้อยากอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ก็จะไม่เป็นที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา ก็ถ้าเราจะปลงชีวิตคนอื่น ผู้อยากอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน


สิ่งใดตัวเราเองไม่ชื่นชอบ ไม่พอใจ ถึงคนอื่นเขาก็ไม่ชื่นชอบ ไม่พอใจ เหมือนกัน สิ่งใด ตัวเราเองก็ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไฉนจะพึงเอาไปผูกใส่คนอื่นเล่า



อริยสาวกนั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตด้วยตนเองด้วย ย่อมชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากปาณาติบาตด้วย ย่อมกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากปาณาติบาตด้วย กายสมาจารของอริยสาวกนั้น ย่อมบริสุทธิ์ทั้งสามด้านอย่างนี้



๒) อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ถ้าใครจะถือเอาสิ่งของที่เรามิได้ให้ด้วยอาการขโมย ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา ก็ถ้าเราจะถือเอาของที่ผู้อื่นมิได้ให้ด้วยอาการขโมย ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน



๓) อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็ถ้าใครจะประพฤติผิดในภรรยาของเรา ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา ก็ถ้าใครจะประพฤติผิดในภรรยาของคนอื่น ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน



๔) อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็ถ้าใครจะทำลายประโยชน์ของเราด้วยการกล่าวเท็จ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา ก็ถ้าใครจะทำลายประโยชน์ของคนอื่นด้วยการกล่าวเท็จ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน...



๕) อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็ถ้าใครจะยุยงเราให้แตกจากมิตรด้่วยคำส่อเสียด ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา ก็ถ้าใครจะยุยงคนอื่นให้แตกจากมิตรด้่วยคำส่อเสียด ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน...



๖) อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็ถ้าใครจะพูดจากะเราด้วยคำหยาบ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา ก็ถ้าเราจะพูดจากะคนอื่นด้วยคำหยาบ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน.



๗) อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็ถ้าใครจะพูดจากะเราด้วยคำเ้พ้อเจ้อ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา ก็ถ้าเราจะพูดจากะคนอื่นด้วยคำเพ้อเจ้อ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน,



สิ่งใด ตัวเราเองก็ไม่ชื่นชอบ ไม่พอใจ ถึงคนอื่นเขาก็ไม่ชื่นชอบ ไม่พอใจ เหมือนกัน ส่ิงใดตัวเราเองก็ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไฉนจะพึงเอาไปผูกใ่ส่ให้คนอื่นเล่า


อริยสาวกนัน พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อด้วยตนเองด้วย ย่อมชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อด้วยตนเองด้วย ย่อมกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อด้วย วจีสมาจารของอริยสาวกนั้น ย่อมบริสุทธิ์ทั้งสามด้านอย่างนี้" (สํ.ม.๑๙/๑๔๕-๑๔๖๕/๔๔๒-๖)

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 20 มิ.ย. 2014, 21:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

กรัชกาย เขียน:
เจตนาจึงเป็นเจตจำนง ความจงใจ การเลือกอารมณ์ของใจ ตัวนำที่หันเหชักพาทำให้จิตเคลื่อนไหวโน้มน้อมไปหา หรือผละไปจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือมุ่งไปในทิศ ทางใดทิศทางหนึ่ง เป็นหัวหน้าเป็นผู้จัดการ หรือเจ้ากี้เจ้าการของจิตว่า จะเอาอะไรไม่เอาอะไร กับเรื่องใดอย่างไร เป็นตัวการจัดแจงแต่งวิถีทางของจิต และในที่สุดก็เป็นตัวการปรุงแต่งจิตนั้น ให้เป็นไปต่างๆ

เมื่อเจตนาเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็คือกรรมเกิด ขึ้นทีหนึ่ง เมื่อกรรมเกิดขึ้นแล้ว ก็มีผลทันที เพราะเมื่อเจตนา เกิดขึ้น ก็คือมีกิจกรรมเกิดขึ้นในจิตแล้ว จิตมีการเคลื่อนไหว หรือไหวตัวแล้ว


เจตนาเป็นเพียงตัวทำการของจิต
อุปมาเหมือนเพียงแขนขาทำงาน

ตัวนำที่หันเหชักนำจริงๆ คือสิ่งที่ประกอบกับจิต เช่น

ประกอบด้วยอนุสัยอาสวะ อวิชชา
หรือ
ประกอบด้วย สติปัญญา วิชชา

ในขณะที่เกิดผัสสะ

สองส่วนประกอบกันกับการทำการ จึงจะกำหนดได้ว่าเป็น กรรม หรือกิริยา เป็นกุศล หรืออกุศล หรืออัพยกต

เจตนา เป็นความจงใจ แต่ตัวการปรุงแต่งจิตในที่สุดนั้น ไม่ใช่เจตนา แต่ขึ้นอยู่กับ มูลเหตุของเจตนา
เช่น
โลภะ หรือ อโลภะ
โทสะ หรือ อโทสะ
โมหะ หรือ อโมหะ

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 20 มิ.ย. 2014, 21:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

กรัชกาย เขียน:
ถามจริงนะ เช่นนั้น แต่ละมื้อๆคุณกินข้าวกับอะไรบ้าง เช่น :b32:
ถามคุนน้องบ้างซี่ ว่าคุนน้องกินข้าวกับอะไร :b13:

ถ้าถาม คงตอบกินข้าวกับน้ำพริก :b32:

แต่ละมื้อ ผมทานข้าว กับภรรยาผมครับ :b32: :b32:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 20 มิ.ย. 2014, 21:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

เจตนา (เจต+นา) นี่แหละตัวนำเลย เป็นหัวหน้า เจตนานั่นแหละเป็นตัวกรรม

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 20 มิ.ย. 2014, 21:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถามจริงนะ เช่นนั้น แต่ละมื้อๆคุณกินข้าวกับอะไรบ้าง เช่น :b32:
ถามคุนน้องบ้างซี่ ว่าคุนน้องกินข้าวกับอะไร :b13:

ถ้าถาม คงตอบกินข้าวกับน้ำพริก :b32:

แต่ละมื้อ ผมทานข้าว กับภรรยาผมครับ :b32: :b32:


กินภรรยาบาปนะ :b32:

เจ้าของ:  wakeup [ 22 ก.พ. 2015, 00:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

มีโอกาศก็เข้ามาต่อ
กินเนื้อสัตว์บาปไม่บาปจะบอกแค่ว่า "ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ" แล้วไม่บาปนั้นไม่ได้ อย่างที่ได้ยินมาเยอะ/ที่หลายคนเข้าใจแบบนั้น
กระทู้นี้ยังดีขึ้นหน่อย บาปหรือไม่บาป มีการโยงถึง "การสั่ง" ลักษณะการ "สั่ง"
แต่ก็ต้องคำนึงถึงเรื่อง "ความไม่ประมาท" อีกด้วย เดี๋ยวจะทำเป็น"โง่"แล้วคิดว่าจะหนีบาปได้
และยังไม่หมดแค่นั้น จากพระสูตรต่อไปนี้
******************************************
ภิกษุทั้งหลาย ! มีเหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวก
มีหญ้าเป็นภักษา สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นย่อมใช้ฟันแทะ
เล็มกินหญ้าสด ก็เหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวกมีหญ้าเป็นภักษา
คืออะไร ? คือ ม้า โค ลา แพะ เนื้อ หรือแม้จำพวกอื่นๆ
ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่มีหญ้าเป็นภักษา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในเบื้องต้นคนพาลนั้นนั่นแล
เป็นผู้กินอาหารด้วยความติดใจในรส และทำกรรมอัน
เป็นบาปไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายของสัตว์จำพวกที่มีหญ้าเป็นภักษาเหล่านั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! มีเหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวก
มีคูถเป็นภักษา สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นได้กลิ่นคูถแต่ไกลๆ
แล้วย่อมวิ่งไปด้วยหวังว่า จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้
เปรียบเหมือนพวกพราหมณ์เดินไปตามกลิ่นเครื่องบูชา
ด้วยตั้งใจว่า จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้ ฉันใด.
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันนั้นเหมือนกันแล มีเหล่า สัตว์
เดรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นภักษา สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้น
ได้กลิ่นคูถแต่ไกลๆ แล้ว ย่อมวิ่งไปด้วยหวังว่าจักกินตรงนี้
จักกินตรงนี้ ก็เหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นภักษา
คืออะไร ? คือ ไก่ สุกร สุนัขบ้าน สุนัขป่าหรือแม้จำพวกอื่นๆ
ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่มีคูถเป็นภักษา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในเบื้องต้นคนพาลนั้นนั่นแล
เป็นผู้กินอาหารด้วยความติดใจในรส และทำกรรมอัน
เป็นบาปไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายของสัตว์จำพวกมีคูถเป็นภักษาเหล่านั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ! มีเหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวก
เกิดแก่ตายในที่มืด ก็เหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวกเกิดแก่ตาย
ในที่มืด คืออะไร ? คือ ตั๊กแตน มอด ไส้เดือน หรือแม้
จำพวกอื่นๆ ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่เกิดแก่ตายในที่มืด.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในเบื้องต้นคนพาลนั้นนั่นแล
เป็นผู้กินอาหารด้วยความติดใจในรส และทำกรรมอัน
เป็นบาปไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายของสัตว์จำพวกเกิดแก่ตายในที่มืด.
ภิกษุทั้งหลาย ! มีเหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวก
เกิดแก่ตายในน้ำ ก็เหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวกเกิดแก่ตาย
ในน้ำ คืออะไร ? คือ ปลา เต่า จระเข้ หรือแม้จำพวกอื่นๆ
ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่เกิดแก่ตายในน้ำ.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในเบื้องต้นคนพาลนั้นนั่นแล
เป็นผู้กินอาหารด้วยความติดใจในรส และทำกรรมอัน
เป็นบาปไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายของสัตว์จำพวกเกิดแก่ตายในน้ำ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มีเหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวก
เกิดแก่ตายในของโสโครก ก็เหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวก
เกิดแก่ตายในของโสโครกคืออะไร ? คือ เหล่าสัตว์จำพวกที่
เกิดแก่ตายในปลาเน่าก็มี ในศพเน่าก็มี ในขนมกุมมาสเก่า
ก็มี ในน้ำครำก็มี ในหลุมโสโครกก็มี หรือแม้จำพวกอื่นๆ
ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่เกิดแก่ตายในของโสโครก.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในเบื้องต้นคนพาลนั้นนั่นแล
เป็นผู้กินอาหารด้วยความติดใจในรส และทำกรรมอัน
เป็นบาปไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายของสัตว์จำพวกเกิดแก่ตายในของโสโครก.
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวเรื่องกำเนิดเดรัจฉาน
แม้โดยอเนกปริยายแลเพียงเท่านี้ จะกล่าวให้ถึงกระทั่ง
ความทุกข์ในกำเนิดเดรัจฉาน ไม่ใช่ทำได้ง่าย.

อุปริ. ม. ๑๔/๓๑๗-๓๑๙/๔๗๖-๔๘๐
****************************************
ดังนั้นเวลากินก็ต้องรู้จักสำรวมกันด้วย (ถ้าตามพระสูตรนี้ก็ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะกินเนื้อหรือผัก) แต่กระทู้นี้ผมเจตนาตั้งมาแย้งพวกที่ตีความคำสอนพระพุทธเจ้าผิดๆ ที่อ้างแค่ว่า ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ ก็กินเนื้อสัตว์แล้วไม่บาป บวกกับทั้งๆที่ผลมันมีให้เห็นชัดเจนมากในสมัยนี้ เช่นโรคจากสัตว์สู่คน โรคที่มีอัตราการตายสูงมากซึ่งมันเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการกินเนื้อ แต่ชาวพุทธหลายท่านก็บอกง่ายๆว่า กินเนื้อสัตว์ไม่บาป
อยากให้ยึดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ากันเยอะๆ ตีความกันระวัง ส่วนคนฟัง/คนอ่านก็อย่าไปเชื่อง่ายๆ ถามเลยว่าเอามาจากพระสูตรไหน ถึงได้บอกอย่างนั้น เพราะพระพุทธเจ้าก็บอกชัดเจนแล้วว่า
"ดูก่อนอานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงไว้ และบัญญัติไว้ด้วยดี นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนเราตถาคต เมื่อเราล่วงไปแล้ว"
มาช่วยกันรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันครับ

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 22 ก.พ. 2015, 07:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

wakeup เขียน:
มีโอกาศก็เข้ามาต่อ
กินเนื้อสัตว์บาปไม่บาปจะบอกแค่ว่า "ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ" แล้วไม่บาปนั้นไม่ได้ อย่างที่ได้ยินมาเยอะ/ที่หลายคนเข้าใจแบบนั้น
กระทู้นี้ยังดีขึ้นหน่อย บาปหรือไม่บาป มีการโยงถึง "การสั่ง" ลักษณะการ "สั่ง"
แต่ก็ต้องคำนึงถึงเรื่อง "ความไม่ประมาท" อีกด้วย เดี๋ยวจะทำเป็น"โง่"แล้วคิดว่าจะหนีบาปได้
และยังไม่หมดแค่นั้น จากพระสูตรต่อไปนี้
******************************************
ภิกษุทั้งหลาย ! มีเหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวก
มีหญ้าเป็นภักษา สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นย่อมใช้ฟันแทะ
เล็มกินหญ้าสด ก็เหล่าสัตว์เดรัจฉานจำพวกมีหญ้าเป็นภักษา
คืออะไร ? คือ ม้า โค ลา แพะ เนื้อ หรือแม้จำพวกอื่นๆ
ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่มีหญ้าเป็นภักษา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในเบื้องต้นคนพาลนั้นนั่นแล
เป็นผู้กินอาหารด้วยความติดใจในรส และทำกรรมอัน
เป็นบาปไว้ในโลกนี้
เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายของสัตว์จำพวกที่มีหญ้าเป็นภักษาเหล่านั้น.




เป็นผู้กินอาหารด้วยความติดใจในรส และทำกรรมอัน
เป็นบาปไว้ในโลกนี้


ถามครับว่า..2 วรรคนี้..คือ...เป็นผู้กินด้วยความติดในรส
กับ...ทำกรรมอันเป็นบาปใว้ในโลก

เป็นการกระทำ..อันเดียวกัน..หรือ..กระทำแยกกัน?

ผมดู..คุณwakeup จะเข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน..นะครับ

แต่ผม..ว่ามันแยกกัน..นะครับ...คือ..มีการกระทำ 2 อย่าง..คือ..ติดในรส...กับ...ทำกรรมอันเป็นบาป

ดังนั้น...การตายไปแล้วเกิดเป็นสหายของสัตว์พวกนั้น..ต้องทำ..2 อย่าง..คือ...ติดในรส...และ...ทำกรรมอันเป็นบาป...

ปุถุชน..ติดในรสอยู่แล้ว...ฉะนั้น...หากทำกรรมที่เป็นบาปในโลก..ด้วย...ก็เป็นอันครบองค์2 ดั่งที่พระพุทธองค์ตรัส...

อริยะชนโสดาบัน และ..สกทาคามีผล...ยังติดในรส..เรียงจากมากมาหาน้อย..อยู่....แต่ไม่เป็นผู้ทำกรรมทำลายศีลที่ตนถือ...จึง...ไม่มีทางไปเกิดในอบายูมิ 4 มีเกิดเป็นสัตว์นรก..เปรต..อสุรกาย...สัตว์เดรัชฉาน..

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 22 ก.พ. 2015, 07:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

กบนอกกะลา เขียน:
บาป....กับ...อกุศล...
บุญ...กับ..กุศล.

...นี้...อันเดียวกันมั้ยครับคุณwakeup...เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร?


คุณ wakeup แยก...อกุศล...กับ...บาป...จากกันไม่ออก...ก็จะงง..งง...แล้วก็กล่าวว่า..กินเนื้อแล้วบาป..อยู่ร่ำไป...เพราะดูแค่อาการ..กิน...เท่านั้น

แต่...พระพุทธเจ้า...กล่าวถึง...ทั้งจิตใจ...คือ..ติดในรส..และ...การกระทำ..คือ..ทำกรรมในโลกนี้

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 22 ก.พ. 2015, 09:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

อ้างคำพูด:
อกุศลกรรมบถ ๑๐
จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง
ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง
ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง

จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี๓ อย่างเป็นอย่างไรเล่า ?
(๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง หยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่
การฆ่าและทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต
(๒) เป็นผู้มีปกติถือเอาสิ่งของที่มีเจ้าของมิได้ให้
คือวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่นที่อยู่ในบ้านหรือ
ในป่าก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยอาการ
แห่งขโมย
(๓) เป็นผู้มีปกติประพฤติผิดในกาม (คือประพฤติผิด)
ในหญิง ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง
หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น
จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาด
ทางกาย ๓ อย่าง.

จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง
เป็นอย่างไรเล่า ?
(๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติกล่าวเท็จ
ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี
ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี
อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร
ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้, บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าว
ว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น,
เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่นหรือเพราะเหตุเห็นแก่
อามิสไรๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่
(๒) เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด คือฟังจากฝ่ายนี้แล้ว
ไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้ว
มาบอกฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกัน
ให้แตกกันหรือทำคนที่แตกกันแล้วให้แตกกันยิ่งขึ้น พอใจยินดี เพลิดเพลินในการแตกกันเป็นพวก เป็นผู้กล่าววาจาที่กระทำให้แตกกันเป็นพวก
(๓) เป็นผู้มีวาจาหยาบ อันเป็นวาจาหยาบคาย
กล้าแข็ง แสบเผ็ดต่อผู้อื่น กระทบกระเทียบผู้อื่น แวดล้อมอยู่
ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจา
มีรูปลักษณะเช่นนั้น
(๔) เป็นผู้มีวาจาเพ้อเจ้อ คือเป็นผู้กล่าวไม่ถูกกาล
ไม่กล่าวตามจริง กล่าวไม่อิงอรรถ ไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย
เป็นผู้กล่าววาจาไม่มีที่ตั้งอาศัย ไม่ถูกกาละเทศะ ไม่มีจุดจบ
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นไม่ความสะอาด
ทางวาจา ๔ อย่าง.

จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง
เป็นอย่างไรเล่า ?
(๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มากด้วย
อภิชฌา (ความโลภเพ่งเล็ง) เป็นผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์
แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็น
ของเรา” ดังนี้;

(๒) เป็นผู้มีจิตพยาบาท มีความดำริในใจเป็นไป
ในทางประทุษร้ายว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จงเดือดร้อน
จงแตกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีอยู่เลย” ดังนี้
เป็นต้น;

(๓) เป็นผู้มีความเห็นผิด มีทัสสนะวิปริตว่า
“ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชา
ที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว
ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี, มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี,
โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้ว ปฏิบัติแล้ว
โดยชอบถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญา
โดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้.
จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาด
ทางใจ ๓ อย่าง.

จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐.

จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐
เหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน
ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคน
สะอาดไปไม่ได้; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับหญ้าเขียวก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะลงน้ำในเวลา
เย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลงน้ำ
เวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้.
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
จุนทะ ! เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐
ประการเหล่านี้ เป็นตัวความไม่สะอาด และเป็นเครื่อง
กระทำความไม่สะอาด.
จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วย
อกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการเหล่านี้เป็นเหตุ นรก
ย่อมปรากฏ กำเนิดเดรัจฉานย่อมปรากฏ เปรตวิสัยย่อม
ปรากฏ หรือว่า ทุคติ ใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.
ทสก. อํ. ๒๔/๒๘๓ – ๒๘๙/๑๖๕.

http://chaiwat201149.blogspot.com/2012/ ... _9203.html

เจ้าของ:  nongkong [ 22 ก.พ. 2015, 22:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

คุนน้องได้ดูหนังเรื่องนึง และบังเอิญทำให้ระลึกถึงกระทู้นี้ขึ้นมา..
คุนน้องพอจะเข้าใจและทราบถึงการ อธิษฐาน ก่อนจะลงมือกินข้าวกันทุกมื้อ ของพระคริส
ที่จะจับมือกันและภาวนาระลึกถึงพระบิดาซึ่งจะมีบทพูด..(ถ้าเปรียบกับพุทธคงจะระลึกถึงพระพุทธเจ้า)
เพื่อชำระอาหารให้บริสุทธิ์ก่อนลงมือกิน ถ้าเป็นพุทธก็คงการที่มีจิตใคร่ครวญในขณะกำลังกินอาหารนั้น ว่าจะกินเพื่อคำนึงถึงประโยชน์เพื่อยังชีพ เป็นอุบายนึงที่ให้เราสำรวมในการกิน
เพื่อไม่ให้ยึดติดในรสชาติอาหาร..
ใครที่ยังติดอกติดใจในรสอาหาร ลองฝึกอุบายด้วยการอธิษฐานก่อนกินดูค่ะ คุนน้องได้กลอุบายแก้เคล็ดเกี่ยวกับการกินแบบเฉพาะตนด้วย ต้องขออนุโมทนา จขกท ที่ตั้งกระทู้ที่เป็นประโยชน์ต่อนักภาวนา คุนน้องยังรู้สึกว่า ยังเป็นคนนึงที่ติดรสชาติอาหารอยู่เลย ยอมรับและสารภาพตามความสัจจริง :b34:
คุนน้องจะฝึกเจริญเมตตาในขณะก่อนจะลงมือกินหมูเห็ดเป็ดไก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย นะเจ้าค่ะ จะอธิษฐานแบบพระคริส
ตามด้วยบทสวดแผ่เมตตา และจะสำรวมในการกิน
ว่าเราจะกินอาหารนี้เพื่อยังชีพ และสร้างประโยชน์ต่อไปในขณะที่เรายังยังชีพด้วยอาหารที่ชำระความบริสุทธิ์ของจิตแล้ว..

tongue

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 24 ก.พ. 2015, 06:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

nongkong เขียน:
.......
ตามด้วยบทสวดแผ่เมตตา และจะสำรวมในการกิน
ว่าเราจะกินอาหารนี้เพื่อยังชีพ และสร้างประโยชน์ต่อไปในขณะที่เรายังยังชีพด้วยอาหารที่ชำระความบริสุทธิ์ของจิตแล้ว..

tongue


:b8: :b8: :b8:

"ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ...ข้าพระพุทธเจ้าของถวายอาหารอีกทั้งของบริวารทั้งหลายเหล่านี้..แด่องค์พระชินสีห์ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระอริยะสงฆ์ พระอริยะเจ้า ขอพระองค์ทรงรับ ภัตตาหารกับของบริวารทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อประโยชน์..เพื่อความสุข...เพื่อเป็นปัจจัยสู่พระนิพพานของลูก..ด้วยเทอด (น้อมใจยกขึ้นถวาย)

เมื่อพระองค์ทรงรับแล้ว...ข้าพระพุทธเจ้าขอเศษเหล่านี้มาเป็นมงคล...โดยจะพิจารณาว่า..เป็นสิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูล..เป็นธาตุ4 บำรุงธาตุ 4 มิได้บริโภคเพื่อความอ้วนพีสดสวยกำยำล่ำสันหรือมัวเมาในรสชาดกลิ่นสี แต่จะบริโภคเพื่อบรรเทาทุกข์เวทนา ให้ร่างกายนี้ทรงอยู่ประพฤติพรหมจรรยต่อไป...ขอองค์พระจอมตรัยโปรดพุทธานุญาติ...และ...อำนวยอวยพรให้ลูกประสพความสำเร็จดั่งปรารถณาทุกประการเทอญ..."

ภวายภัต...แล้วมา...สังเสอาหาร...ก่อนทานก็พิจารณา...ได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา...ครับผม...แล้วยังเป็นการอยู่ในพระรัตนไตร...ไม่อยู่นอกรัตนไตรด้วย...

เจ้าของ:  nongkong [ 24 ก.พ. 2015, 10:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

กบนอกกะลา เขียน:
nongkong เขียน:
.......
ตามด้วยบทสวดแผ่เมตตา และจะสำรวมในการกิน
ว่าเราจะกินอาหารนี้เพื่อยังชีพ และสร้างประโยชน์ต่อไปในขณะที่เรายังยังชีพด้วยอาหารที่ชำระความบริสุทธิ์ของจิตแล้ว..

tongue


:b8: :b8: :b8:

"ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ...ข้าพระพุทธเจ้าของถวายอาหารอีกทั้งของบริวารทั้งหลายเหล่านี้..แด่องค์พระชินสีห์ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระอริยะสงฆ์ พระอริยะเจ้า ขอพระองค์ทรงรับ ภัตตาหารกับของบริวารทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อประโยชน์..เพื่อความสุข...เพื่อเป็นปัจจัยสู่พระนิพพานของลูก..ด้วยเทอด (น้อมใจยกขึ้นถวาย)

เมื่อพระองค์ทรงรับแล้ว...ข้าพระพุทธเจ้าขอเศษเหล่านี้มาเป็นมงคล...โดยจะพิจารณาว่า..เป็นสิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูล..เป็นธาตุ4 บำรุงธาตุ 4 มิได้บริโภคเพื่อความอ้วนพีสดสวยกำยำล่ำสันหรือมัวเมาในรสชาดกลิ่นสี แต่จะบริโภคเพื่อบรรเทาทุกข์เวทนา ให้ร่างกายนี้ทรงอยู่ประพฤติพรหมจรรยต่อไป...ขอองค์พระจอมตรัยโปรดพุทธานุญาติ...และ...อำนวยอวยพรให้ลูกประสพความสำเร็จดั่งปรารถณาทุกประการเทอญ..."

ภวายภัต...แล้วมา...สังเสอาหาร...ก่อนทานก็พิจารณา...ได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา...ครับผม...แล้วยังเป็นการอยู่ในพระรัตนไตร...ไม่อยู่นอกรัตนไตรด้วย...

ท่านกบเป็นกัลยามิตรที่ประเสริฐจริงๆเจ้าค่ะ :b20: :b20: อนุโมทนา :b8:
คุนน้องจะน้อมนำไปปฏิบัติเจ้าค่ะ อันที่จริงพระรัตนตรัยเราก็มีบทอธิษฐานจิตก่อนกินอาหาร ทำไมคุนน้องนึกไม่ถึงก็ไม่รู้ สงสัยไม่เคยเข้าวัด
ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ :b14: (ใส่แต่บารตร)

เจ้าของ:  muisun [ 24 ก.พ. 2015, 11:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กินเนื้อสัตว์ไม่บาปจริงๆ หรือ?

ถ้ากินด้วยความรู้ทัน ไม่บาป กินด้วยความรู้ไม่ทัน บาป

หน้า 6 จากทั้งหมด 18 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/