ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ (ตั้งชื่อเองได้อีก) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47736 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2014, 08:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ (ตั้งชื่อเองได้อีก) |
ต่อจากหัวข้อนี้ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=43806 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2014, 08:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ(ตั้งชื่อเองได้อ |
จริงหรือที่ว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยาก ข้อสังเกตที่ควรมาทำความเข้าใจกันเรื่องต่อไป คือ หลายคนมีความรู้สึกว่า ถ้ามาปฏิบัติธรรม หรือเป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้ผลแล้ว ก็จะไม่อยากได้อยากดีอะไร เป็นคนไม่มีความอยาก ถ้าจะไปเป็น เป็นชาวพุทธมีชื่อว่า เป็นนักปฏิบัติก็ให้รู้สึกไม่สบายใจที่จะพูดถึงคำว่า “อยาก” แล้วก็จะพยายาม หลีกเลี่ยงอาการของความอยาก และพยายามแสดงตัวให้คนอื่นรู้สึกว่า ตัวเรานี้ไม่มีความอยาก อันนี้ ก็เป็นเรื่องอันตรายอย่างหนึ่ง ทำกันจนกระทั่งชักจะให้เกิดความรู้สึกหรือมีภาพพจน์ของผู้ปฏิบัติ หรือ แม้แต่ชาวพุทธทั่วไปว่าเป็นคนที่ไม่มีความอยาก ทีนี้ ความอยากนั้นเป็นคำที่ยังน่าสงสัยอยู่ ยังจะต้องทำความเข้าใจ เหตุที่เราไปจำกัดๆ ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วจะต้องกำจัดความอยาก ต้องเลิก ไม่ให้มีความอยาก ก็เพราะเข้าใจความอยากนั้นว่าเป็นตัณหา เป็นอกุศลธรรม แล้วเราก็เข้าใจความอยากนี้มีประเภทเดียว คือตัณหาเท่านั้น พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ตัณหาคือความอยากเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ จะต้องตัดต้องละต้องเลิกให้หมด เราก็เลยต้องพยายามไม่อยาก พยายามละเลิกความอยาก ต้องพยายามเป็นคนที่ไม่มีความอยาก แสดงตัวว่าเป็นคนปราศจากความอยาก อะไรทำนองนี้ จึงจะต้องมาทำความเข้าใจกันว่า ความอยากนั้นมี ๒ อย่าง มีทั้งความอยากที่ถูกต้อง และความอยากที่ไม่ถูกต้องอย่ารังเกียจความอยากกราดไปหมด ต้องระวังมาก ถ้าไม่มีความอยาก บางทีความไม่อยากหรือการไม่มีความอยากนั่นแหละ อาจจะเป็นตัวกิเลส และเป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติก็ได้ ความอยากมี ๒ แบบ คืออะไร ความอยาก นั้น ในภาษาพระ ใช้คำกลางๆว่า ฉันทะ ฉันทะ แปลว่า ความอยาก เรากลับไปเริ่มต้นความอยากที่ฉันทะไม่เริ่มต้นที่ตัณหา ความอยาก เรียกว่า ฉันทะ หลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า ฉันทะ ทีนี้ ฉันทะที่แปลว่าความอยากนั้นมี ๒ แบบ ฉันทะ ประเภทที่ ๑ เรียกว่า ตัณหาฉันทะ ตัณหาฉันทะ คือ ความอยากแบบตัณหา ความอยากแบบตัณหา คือความอยากได้สิ่งปรนเปรอตน ปรนเปรอตา ปรนเปรอหู ปรนเปรอจมูก ปรนเปรอลิ้น ปรนเปรอกาย ปรนเปรอใจ คือ ได้สิ่งที่ทำให้เกิด ความสุขสบายทางประสาทสัมผัส ความอยากประเภทนี้ มันมีตามธรรมดาของมันเอง โดยที่มนุษย์ไม่ต้องมีความรู้อะไรเลย พอมนุษย์เกิดมา ก็ต้องมีความปรารถนา ความอยากจะได้สิ่งเสพมาบำรุงบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยไม่ต้องมีความรู้ว่าอะไรเป็นคุณแก่ชีวิตหรือไม่ ในเมื่อความอยากแบบนี้เป็นไปโดยไม่ต้องมีความรู้จึงเรียกว่า เป็นความอยากที่เกิดจากอวิชชา ฉะนั้น ความอยากที่เรียกว่าตัณหานี้จึงสัมพันธ์กับอวิชชา ไม่ต้องมีความรู้อะไรเลย เป็นไปตามความรู้สึกเท่านั้น พอรู้สึกถูกตา ถูกหู ถูกลิ้น ก็อยากทันที แต่ถ้าไม่ถูกตา ไม่ถูกหู ไม่ถูกลิ้น ก็ไม่อยากไม่ชอบใจทันที อยากได้แต่สิ่งที่บำรุงบำเรอปรนเปรอตนเอง เอาแค่สุขตา สุขหู สุขลิ้น พออยากขึ้นมาแบบนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดคุณค่าแก่ชีวิตหรือไม่ สิ่งที่บำรุงบำเรอตนเองนั้น อาจจะทำให้เกิดโทษเกิดภัยแก่ชีวิตก็ได้ หรือโดยบังเอิญอาจจะเกิดประโยชน์ก็ได้ พูดอย่างภาษาสมัยปัจจุบันก็ว่าอาจจะทำให้เกิดคุณภาพชีวิต หรืออาจจะทำลายคุณภาพชีวิตก็ได้ เป็นเรื่องสุ่มๆเสี่ยงๆ เพราะไม่เป็นไปด้วยความรู้ แต่เอาแค่ความรู้สึกเท่านั้น จึงมักจะทำลายคุณภาพชีวิตเสียมากกว่า เหมือนตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกมาพูดบ่อยๆ เช่นอยากในรสอาหาร ใครๆพอเกิดมาไม่ต้องเรียนรู้อะไร ก็มีความรู้สึกว่าอร่อย และไม่อร่อย แล้วก็อยากในสิ่งที่อร่อย เมื่ออยากในสิ่งที่อร่อย ถ้าไม่มีความรู้เลย ก็มุ่งแต่อร่อยอย่างเดียว ทำไปตามความอยาก กินจนกระทั่งเกิดขนาด อาจจะกินสิ่งที่เป็นพิษ เป็นอันตรายทำลายคุณภาพชีวิต นี้คือความอยากด้วยตัณหา แต่ถ้ามีความรู้ขึ้นมา ก็จะมีความอยากอีกประเภทหนึ่งเกิดขึ้น เป็นความอยากที่สัมพันธ์กับคุณภาพชีวิต ซึ่งต้องเกิดจากความรู้หรือต้องมีความรู้ความเข้าใจจึงจะเกิดขึ้นได้ คือมีความรู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตเป็นประโยชน์แก่ชีวิตหรือไม่ ความอยากอย่างนี้เป็นความอยาก หรือฉันทะประเภทที่ ๒ เรียกชื่อว่า กุศลฉันทะ หรือ ธรรมฉันทะ แปลว่า ความอยากที่เป็นกุศล หรือ ความอยากในธรรม ตอนนี้เราก็ได้ความอยากครบ ๒ แบบ ความอยากประเภทที่ ๒ เป็นความอยากในสิ่งที่มีคุณค่า ทำให้เกิดคุณภาพชีวิต สัมพันธ์ กับ ความรู้ โดยจะต้องมีการทำลาย หรือลดอวิชชา และต้องมีวิชชาเกิดขึ้นบ้าง พอเริ่มมีวิชชา มีความรู้ เราก็เริ่มรู้จักแยกว่าอะไรจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต แล้วก็จะมีความอยากประเภทที่ ๒ คือ อยากในสิ่งที่ทำให้เกิดคุณภาพชีวิต หรืออยากทำให้เกิดคุณภาพชีวิต ความอยากประเภทที่ ๒ คือกุศลฉันทะ หรือธรรมฉันทะนี้ เมื่อจะเรียกสั้นๆ ท่านเรียกแค่ว่า ฉันทะ ระวังจะสับสนตรงนี้ ความอยากประเภทที่ ๑ ที่เรียกว่า ตัณหาฉันทะ เวลาเรียกสั้นๆก็เหลือแค่ ตัณหา เพราะฉะนั้นคำว่า ตัณหาและคำว่า ฉันทะ ก็เลยกลายเป็นความอยากคนละประเภทไปเลย แต่ที่จริงนั้น ถ้าเรียกให้เต็ม ตัณหาก็เป็นตัณหาฉันทะ และฉันทะที่เป็นความอยากฝ่ายดี ก็เป็นกุศลฉันทะ หรือธรรมฉันทะ ชื่อเต็มเป็นอย่างนั้น รวมความตอนนี้ เพื่อให้จำง่ายๆ ก็แยกเป็นความอยาก ๒ อย่าง คือ ตัณหา อย่างหนึ่ง ฉันทะ อย่างหนึ่ง ตัณหา คือความอยากโดยไม่มีความรู้ เพียงแต่จะสนองความรู้สึกเสพสม บำรุงบำเรอปรนเปรอประสาทสัมผัส คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของตนเอง ส่วนฉันทะ หรือความอยากประเภทที่ ๒ คือความอยากในคุณภาพชีวิต ในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ ซึ่งสัมพันธ์กับความรู้ เริ่มตั้งแต่รู้จักแยกว่าอะไรเป็นโทษแก่ชีวิตอย่างแท้จริง นี้เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจไว้ก่อน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2014, 08:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ(ตั้งชื่อเองได้อ |
ท่านอโศกพออ่านเข้าใจแยกออกไหมขอรับ ถ้าอยากทำให้มันดีแล้วล่ะก็ อยากเถอะครับ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 16 พ.ค. 2014, 10:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ(ตั้งชื่อเองได้อ |
กรัชกาย เขียน: ท่านอโศกพออ่านเข้าใจแยกออกไหมขอรับ ถ้าอยากทำให้มันดีแล้วล่ะก็ อยากเถอะครับ ![]() ![]() ![]() ![]() กรัชกายเคยได้ยินภาษิตว่า "เกลือจิ้มเกลือ"......"อัฐยาย ซื้อขนมยาย"......เนื้อเต่า ยำเต่า" บ้างไหม ธรรมะนี่ มีความหมายไปถึง ความสมดุลย์ ความพอดี ความเหมาะเจาะ ก็ได้นะ ตอนที่คิดจะปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ เป็นความคิดขณะที่ยังเป็นปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลส มันก็เลยต้องใช้ตัณหาหรือความอยากแบบปุถุชนธรรมดานำไปก่อน เอาตัณหานั่นแหละนำไปสู่ความหมดตัณหา จะข้ามน้ำ ก็ต้องพายเรือไปบนน้ำนั่นแหละ ถ้ายังเหาะ บินข้ามน้ำไปไม่ได้ หลังจากฝึกหัดปฏิบัติธรรมจริงๆไปพอสมควร สติปัญญาเริ่มมีความคมกล้า ละเอียดลึกซึ้งขึ้น ตอนนั้น กิเลสอนุสัย ตัณหา อัตตาก็เริ่มเบาบางลง จิตใจก็ขาวสะอาดมากขึ้น ปัญญาเขาจะรู้จักเลือกวิธีที่จะใช้ในการปฏิบัติธรรมที่ดีและสะอาดยิ่งขึ้น คือ ใช้อิทธิบาทธรรม ทั้ง 4 มีตัณหาปุถุชนเจือนิดๆพอเป็นกระสาย นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นความพอดีที่ธรรมชาติเขาจะจัดสรรให้เมื่อทำไปได้ที่และถึงเวลา ถึงตอนท้ายเมื่อนั่งแท่นทางธรรมแล้ว กำจัดสมุทัยเหตุใหญ่แห่งตัณหาตัวแรกได้แล้ว คือวิจิกิจฉาหรืออัตตทิฏฐิ งานที่จะปฏิบัติธรรมต่อจากนั้นไปย่อมจะไม่ใช่แรงตัณหา แต่จะเป็นแรงแห่งเหตุผล สติปัญญา ความสำนึกในหน้าที่ เป็นตัวทำงาน นี่สูงกว่าอยากของปุถุชนคนธรรมดาที่หนาด้วยกิเลส ครับ เขาเป็นเองไปตามลำดับนะครับไม่ต้องร้อนใจ ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2014, 10:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ(ตั้งชื่อเองได้อ |
asoka เขียน: กรัชกาย เขียน: ท่านอโศกพออ่านเข้าใจแยกออกไหมขอรับ ถ้าอยากทำให้มันดีแล้วล่ะก็ อยากเถอะครับ ![]() ![]() ![]() ![]() กรัชกายเคยได้ยินภาษิตว่า "เกลือจิ้มเกลือ"......"อัฐยาย ซื้อขนมยาย"......เนื้อเต่า ยำเต่า" บ้างไหม ธรรมะนี่ มีความหมายไปถึง ความสมดุลย์ ความพอดี ความเหมาะเจาะ ก็ได้นะ ตอนที่คิดจะปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ เป็นความคิดขณะที่ยังเป็นปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลส มันก็เลยต้องใช้ตัณหาหรือความอยากแบบปุถุชนธรรมดานำไปก่อน เอาตัณหานั่นแหละนำไปสู่ความหมดตัณหา จะข้ามน้ำ ก็ต้องพายเรือไปบนน้ำนั่นแหละ ถ้ายังเหาะ บินข้ามน้ำไปไม่ได้ หลังจากฝึกหัดปฏิบัติธรรมจริงๆไปพอสมควร สติปัญญาเริ่มมีความคมกล้า ละเอียดลึกซึ้งขึ้น ตอนนั้น กิเลสอนุสัย ตัณหา อัตตาก็เริ่มเบาบางลง จิตใจก็ขาวสะอาดมากขึ้น ปัญญาเขาจะรู้จักเลือกวิธีที่จะใช้ในการปฏิบัติธรรมที่ดีและสะอาดยิ่งขึ้น คือ ใช้อิทธิบาทธรรม ทั้ง 4 มีตัณหาปุถุชนเจือนิดๆพอเป็นกระสาย นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นความพอดีที่ธรรมชาติเขาจะจัดสรรให้เมื่อทำไปได้ที่และถึงเวลา ถึงตอนท้ายเมื่อนั่งแท่นทางธรรมแล้ว กำจัดสมุทัยเหตุใหญ่แห่งตัณหาตัวแรกได้แล้ว คือวิจิกิจฉาหรืออัตตทิฏฐิ งานที่จะปฏิบัติธรรมต่อจากนั้นไปย่อมจะไม่ใช่แรงตัณหา แต่จะเป็นแรงแห่งเหตุผล สติปัญญา ความสำนึกในหน้าที่ เป็นตัวทำงาน นี่สูงกว่าอยากของปุถุชนคนธรรมดาที่หนาด้วยกิเลส ครับ เขาเป็นเองไปตามลำดับนะครับไม่ต้องร้อนใจ ยกศัพท์ทางธรรมนั่นนี่มาแล้วพร่ำไปตามมโนตนเอง ไม่เห็นมีอะไรเลยนิ อ้างคำพูด: กรัชกายเคยได้ยินภาษิตว่า"เกลือจิ้มเกลือ"......"อัฐยาย ซื้อขนมยาย"......เนื้อเต่า ยำเต่า" บ้างไหม ระยะนี้อโศกนำสุภาษิตชาวบ้านพูดบ่อยจัง เดี๋ยวก็ "เสือติดปีก" คนติดดาว นี่เอาอีกแระ เกลือจิ้มเกลือ ฯลฯ แล้วก็ถามว่าเคยได้ยินไหม พอได้ยินขอรับ คิกๆ แต่่ยังไม่เคยเห็นใครเอาเกลือมาจิ้มเกลือ เคยเห็นเขาเอามะขามเปียกจิ้มเกลือ อย่างนี้อโศกเคยเห็นแบบเนี่ย ![]() ![]() อโศกเคยเห็นนี่ไหม คิกๆๆ http://www.youtube.com/watch?v=oxhFTaLfnNc |
เจ้าของ: | asoka [ 16 พ.ค. 2014, 10:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ(ตั้งชื่อเองได้อ |
![]() เอาตัณหา ไปถอนตัณหา นั่นแหละ เหมือนอุปมาว่า "เกลือจิ้มเกลือ" อัฐยายซื้อขนมยาย" เข้าใจ๋บ่........นักวิชาการใหญ่ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2014, 10:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ(ตั้งชื่อเองได้อ |
asoka เขียน: :b34: เอาตัณหา ไปถอนตัณหา นั่นแหละ เหมือนอุปมาว่า "เกลือจิ้มเกลือ" อัฐยายซื้อขนมยาย" เข้าใจ๋บ่........นักวิชาการใหญ่ วิธีทำ ทำยังไง ![]() ดูนะ อโศกจะเหมือนๆนักชิม ดื่มๆซดๆว่านั่นอร่อยลิ้น นี่ไม่อร่อย แต่พอให้ทำกินเอง หงายท้องเลย แล้วลุกขึ้นมาถามกลับว่า ใช้อะไรใส่อะไรบ้างล่ะ ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 16 พ.ค. 2014, 16:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ(ตั้งชื่อเองได้อ |
กรัชกาย เขียน: asoka เขียน: :b34: เอาตัณหา ไปถอนตัณหา นั่นแหละ เหมือนอุปมาว่า "เกลือจิ้มเกลือ" อัฐยายซื้อขนมยาย" เข้าใจ๋บ่........นักวิชาการใหญ่ วิธีทำ ทำยังไง ![]() ดูนะ อโศกจะเหมือนๆนักชิม ดื่มๆซดๆว่านั่นอร่อยลิ้น นี่ไม่อร่อย แต่พอให้ทำกินเอง หงายท้องเลย แล้วลุกขึ้นมาถามกลับว่า ใช้อะไรใส่อะไรบ้างล่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ถามแบบไม่คิดพิจารณาให้ดีเหมือนเด็กปัญญาอ่อนอีกแล้ว นักวิชาการใหญ่กรัชกาย ภาษิตไทยง่ายๆอย่างนี้ยังตีความไม่ออก บอกใครไม่เป็น แล้วมันจะไปรอดรื้อ ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2014, 16:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ(ตั้งชื่อเองได้อ |
asoka เขียน: กรัชกาย เขียน: asoka เขียน: :b34: เอาตัณหา ไปถอนตัณหา นั่นแหละ เหมือนอุปมาว่า "เกลือจิ้มเกลือ" อัฐยายซื้อขนมยาย" เข้าใจ๋บ่........นักวิชาการใหญ่ วิธีทำ ทำยังไง ![]() ดูนะ อโศกจะเหมือนๆนักชิม ดื่มๆซดๆว่านั่นอร่อยลิ้น นี่ไม่อร่อย แต่พอให้ทำกินเอง หงายท้องเลย แล้วลุกขึ้นมาถามกลับว่า ใช้อะไรใส่อะไรบ้างล่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ถามแบบไม่คิดพิจารณาให้ดีเหมือนเด็กปัญญาอ่อนอีกแล้ว นักวิชาการใหญ่กรัชกาย ภาษิตไทยง่ายๆอย่างนี้ยังตีความไม่ออก บอกใครไม่เป็น แล้วมันจะไปรอดรื้อ แทนที่จะตอบคำถาม กลับประชดประชันฝันใฝ่ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 16 พ.ค. 2014, 17:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ (ตั้งชื่อเองได้ |
![]() สอนให้ย้อนคิด หาคำตอบให้ได้ด้วยตัวเอง ยังไม่รู้ตัวเองอีก ่คิดเองไม่เป็นแล้วหรือหรือ กรัชกาย เสียชื่อนักวิชาการใหญ่นะ ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2014, 17:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ (ตั้งชื่อเองได้ |
asoka เขียน: s004 สอนให้ย้อนคิด หาคำตอบให้ได้ด้วยตัวเอง ยังไม่รู้ตัวเองอีก ่คิดเองไม่เป็นแล้วหรือหรือ กรัชกาย เสียชื่อนักวิชาการใหญ่นะ ![]() ท่านอโศกขอรับ ขอแบบตรงๆชัดๆ แบบไม่ต้องตีความเถอะครับ นี่อะไรไปยกสุภาษิตคำคม เสือติดปีกบ้าง อัฐยายขนมยายบ้าง ธรรมติดปีก เป็นต้นบ้าง แล้วให้เราคิดหาคำตอบ นี่หรือวิธีไปนิพพานของอโศก ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2014, 17:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ (ตั้งชื่อเองได้ |
ต่อหัวข้อวิธีปฏิบัติต่อความอยากที่ viewtopic.php?f=1&t=47742 |
เจ้าของ: | asoka [ 16 พ.ค. 2014, 17:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ (ตั้งชื่อเองได้ |
กรัชกาย เขียน: asoka เขียน: s004 สอนให้ย้อนคิด หาคำตอบให้ได้ด้วยตัวเอง ยังไม่รู้ตัวเองอีก ่คิดเองไม่เป็นแล้วหรือหรือ กรัชกาย เสียชื่อนักวิชาการใหญ่นะ ![]() ท่านอโศกขอรับ ขอแบบตรงๆชัดๆ แบบไม่ต้องตีความเถอะครับ นี่อะไรไปยกสุภาษิตคำคม เสือติดปีกบ้าง อัฐยายขนมยายบ้าง ธรรมติดปีก เป็นต้นบ้าง แล้วให้เราคิดหาคำตอบ นี่หรือวิธีไปนิพพานของอโศก ![]() ![]() ![]() การคิดช่วยตัวเอง การคิดยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง การคิดค้นและเพียรพยายามแกไขปัญหาต่างๆให้ได้ด้วยตนเอง "อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ" เป็นพื้นฐาน บาทฐานที่สำคัญในการจะเดินทางเข้าสู่นิพพาน ถ้าจะมัวเอาแต่การยืมจมูกผู้อื่นมาหายใจนั้นใช่ที่ นี่หละบทเรียนเบื้องต้นของการเดินทางไปสู่นิพพาน ส่วนเส้นทางเดิน วิธีเดินไปนิพพานนั้น ได้บอกแก่น บอกหลัก บอกหัวใจ รวมถึงวิธีจำง่ายๆใหแล้ว ในเรื่องโพธิปักขิยธรรม ทำไมไม่ไปใส่ใจจำให้ได้ ขยายความให้เป็นและนำไปสู่การปฏิบัติให้จริงจังล่ะ นิดก็ถามหน่อยก็ถามก็ทวง นั่นไม่ใช่วิสัยของนักปราชญ์ บัณฑิต ที่จะมีชีวิตพ้นอบายได้ทันในปัจจุบันชาติ พึงรีบปรับปรุงเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความเห็นและทัศนคติให้ถูกต้องเสียนะ กรัชกาย ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2014, 17:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องไม่มีความอยากจริงหรือ (ตั้งชื่อเองได้ |
asoka เขียน: กรัชกาย เขียน: asoka เขียน: s004 สอนให้ย้อนคิด หาคำตอบให้ได้ด้วยตัวเอง ยังไม่รู้ตัวเองอีก ่คิดเองไม่เป็นแล้วหรือหรือ กรัชกาย เสียชื่อนักวิชาการใหญ่นะ ![]() ท่านอโศกขอรับ ขอแบบตรงๆชัดๆ แบบไม่ต้องตีความเถอะครับ นี่อะไรไปยกสุภาษิตคำคม เสือติดปีกบ้าง อัฐยายขนมยายบ้าง ธรรมติดปีก เป็นต้นบ้าง แล้วให้เราคิดหาคำตอบ นี่หรือวิธีไปนิพพานของอโศก ![]() ![]() ![]() [b]การคิดช่วยตัวเอง การคิดยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง การคิดค้นและเพียรพยายามแกไขปัญหาต่างๆให้ได้ด้วยตนเอง "อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ" เป็นพื้นฐาน บาทฐานที่สำคัญในการจะเดินทางเข้าสู่นิพพาน ถ้าจะมัวเอาแต่การยืมจมูกผู้อื่นมาหายใจนั้นใช่ที่ นี่หละบทเรียนเบื้องต้นของการเดินทางไปสู่นิพพาน ส่วนเส้นทางเดิน วิธีเดินไปนิพพานนั้น ได้บอกแก่น บอกหลัก บอกหัวใจ รวมถึงวิธีจำง่ายๆใหแล้ว ในเรื่องโพธิปักขิยธรรม ทำไมไม่ไปใส่ใจจำให้ได้ ขยายความให้เป็นและนำไปสู่การปฏิบัติให้จริงจังล่ะ นิดก็ถามหน่อยก็ถามก็ทวง นั่นไม่ใช่วิสัยของนักปราชญ์ บัณฑิต ที่จะมีชีวิตพ้นอบายได้ทันในปัจจุบันชาติ พึงรีบปรับปรุงเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความเห็นและทัศนคติให้ถูกต้องเสียนะ กรัชกาย โพธิปักขิยธรรม ที่ว่าธรรมติดปีก บินไปสู่นิพพานนะหรือขอรับ ok ประเด็นนี้จบ ถ้าไม่จบเดียวก็ติดปีกรถอีก ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |