ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

การประคับประคองใจ
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=48039
หน้า 1 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  รสมน [ 26 มิ.ย. 2014, 06:30 ]
หัวข้อกระทู้:  การประคับประคองใจ

ในสังคมจะมีกฏเกณฑ์ที่ให้บ้านเมืองมีระเบียบวินัยแต่สำปหรับพระพุทธศาสนาแล้วจะมีศีลเป็นข้อบังคับทางด้านจิตใจเพื่อให้เป็นคนดีอยู่ในศีลในธรรม. ศีลที่คนทั่วไปได้ปฏิบัติคือศีล5 ถ้าเป็นศีลที่ประณีตหน่อยคือศีล8 ถ้าออกบวชก็มีศีล 10 กับศีล227ข้อ เป็นเครื่องประคับประคองใจไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 26 มิ.ย. 2014, 06:56 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

:b8:

ผมชักสงสัยแล้วว่า....ทำไม..ศีลอย่างน้อยที่สุด..ทำไมจึงเป็น 5....ทำไมไม่เป็น...4...6...8....12...อะไรอย่างนี้...นะ
ใคร..หรือ..อะไร....เป็นตัวกำหนดว่า...เป็น5...สำหรับความเป็นมนุษย์.....เป็นอย่างอื่นจะได้มั้ย?

เจ้าของ:  walaiporn [ 26 มิ.ย. 2014, 08:34 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

กบนอกกะลา เขียน:
:b8:

ผมชักสงสัยแล้วว่า....ทำไม..ศีลอย่างน้อยที่สุด..ทำไมจึงเป็น 5....ทำไมไม่เป็น...4...6...8....12...อะไรอย่างนี้...นะ
ใคร..หรือ..อะไร....เป็นตัวกำหนดว่า...เป็น5...สำหรับความเป็นมนุษย์.....เป็นอย่างอื่นจะได้มั้ย?


เมื่อยังไม่สามารถรู้ชัดในคำเรียกต่างๆได้

ควรศึกษาผู้ที่ตรัสรู้แล้ว คือ ศึกษาจากพระธรรมคำสอน
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทิ้งร่องรอยไว้ให้ปรากฏเห็นอยู่

เดี๋ยวนี้วิธีการค้นหาพระธรรมคำสอน มีหลายช่องทาง
กูเกิ้ล เป็นอีกหนึ่งช่องทาง ที่สามารถใช้ในการหาข้อมูล เกี่ยวกับข้อสงสัย ในคำเรียกนั้นๆได้


เมื่อสงสัยในเรื่อง ศิล
เวลาเสริชหา ให้หาสองแบบคือ
๑. ศิล พุทธวจนะ
๒. ศิล พระไตรปิฎก

หรือจะลองหาในแบบอื่นๆก็ได้
สำหรับวลัยพร จะใช้ ๒ รูปแบบนี้ คือ มุ่งที่พุทธวจนะ กับ พระไตรปิฎก เป็นหลัก


เกี่ยวกับ ใคร หรือ อะไร เป็นตัวกำหนด เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ศิล สำหรับความเป็นมนุษย์

ใครสร้างเหตุไว้อย่างไร
การเชื่อ หรือไม่เชื่อใคร ขึ้นอยู่กับเหตุที่เคยกระทำมาร่วมกัน


ตัวอย่าง พระะรรมคำสอนเรื่อง บุญกิริยาวัตถุ ๓

ภิกษุทั้งหลาย ! บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้
๓ ประการ อย่างไรเล่า ? คือ :-

(๑) บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยทาน
(๒) บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยศีล
(๓) บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยภาวนา

ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานนิดหน่อย
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลนิดหน่อย
ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย
เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความเป็นผู้มีส่วนชั่วในมนุษย์.


ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานพอประมาณ
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลพอประมาณ
ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย
เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความเป็นผู้มีส่วนดีในมนุษย์.


ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง
ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย
เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าจาตุมหาราชิกา.
ภิกษุทั้งหลาย ! มหาราชทั้ง ๔ นั้น เพราะทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่
สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ย่อมก้าวล่วงพวกเทวดาเหล่า
จาตุมหาราชิกาโดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์
วรรณทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์
เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพทิพย์.


ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง ทำบุญกิริยา
วัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุ
ที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าดาวดึงส์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ท้าวสักกะจอมเทพในดาวดึงส์นั้น
กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จดว้ ยศีลเปน็ อดิเรก ยอ่ มก้าวล่วงพวกเทวดา
เหล่าดาวดึงส์โดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ …
โผฏฐัพพทิพย์.


ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง ทำบุญกิริยา
วัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุ
ที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายแห่งเทวดาเหล่ายามา.
ภิกษุทั้งหลาย ! ท้าวสยามเทพบุตรในยามานั้น
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จดว้ ยทานเปน็ อดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุ
ที่สำเร็จดว้ ยศีลเปน็ อดิเรก ยอ่ มก้าวล่วงพวกเทวดาเหล่า ยามา
โดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ … โผฏฐัพพทิพย์.


ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จดว้ ยทานมีประมาณยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุ
ที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่
สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าดุสิต.
ภิกษุทั้งหลาย ! ท้าวสันดุสิตเทพบุตรในดุสิตนั้น
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จดว้ ยทานเปน็ อดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุ
ที่สำเร็จดว้ ยศีลเปน็ อดิเรก ยอ่ มก้าวล่วงพวกเทวดาเหล่า ดุสิต
โดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ ... โผฏฐัพพทิพย์.


ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง ทำบุญกิริยา
วัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุ
ที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายแห่งเทวดาเหล่านิมมานรดี.
ภิกษุทั้งหลาย ! ท้าวสุนิมมิตเทพบุตรใน
นิมมานรดีนั้น ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ย่อมก้าวล่วง
พวกเทวดาเหล่านิมมานรดีโดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ
อายุทิพย์ ... โผฏฐัพพทิพย์.


ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญ-
กิริยาวัตถุที่สำเร็จดว้ ยทานมีประมาณยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุ
ที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่
สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัตตี.
ภิกษุทั้งหลาย ! ท้าวปรนิมมิตวสวัตตีเทพบุตร
ในปรนิมมิตวสวัตตีนั้น ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทาน
เป็นอดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก
ย่อมก้าวล่วงพวกเทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัตตีโดยฐานะ
๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ ... โผฏฐัพพทิพย์.

ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ.
สตฺตก. อํ. ๒๓/๒๔๕/๑๒๖.



นำมาบางส่วน ศิล ๕ มาจากไหน

อสังขาสูตร
[๖๑๕] ดูกรนายคามณี ก็พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถึง
พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษ
ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้มีโชค เสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ ตถาคตนั้นทรงตำหนิติเตียน
ปาณาติบาต และตรัสว่า จงงดเว้นจากปาณาติบาต ทรงตำหนิติเตียนอทินนาทาน
และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทาน ทรงตำหนิติเตียนกาเมสุมิจฉาจาร และตรัส
ว่าจงงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ทรงตำหนิติเตียนมุสาวาท และตรัสว่า จงงดเว้น
จากมุสาวาท โดยอเนกปริยาย สาวกเป็นผู้เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อม
พิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย
และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์
มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำ
บาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อม
งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๖๑๖] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิ
ติเตียนอทินนาทานโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทาน
ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่มากมาย ข้อที่เราลักทรัพย์มากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึง
เดือดร้อน เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขา
พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละอทินนาทานนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากอทินนาทาน
ต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๖๑๗] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิ
ติเตียนกาเมสุมิจฉาจารโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
เราประพฤติผิดในกามมีอยู่มากมาย ข้อที่เราประพฤติผิดในกามมากมายนั้น ไม่ดี
ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรม
นั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละกาเมสุมิจฉาจารนั้นด้วย ย่อมงด
เว้นจากกาเมสุมิจฉาจารต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรมก้าวล่วงบาปกรรมได้
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 038&Z=8172

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 26 มิ.ย. 2014, 09:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

วลัยพรก้าวหน้ากว่าแต่ก่อนเยอะนะขอรับ คือ ทิ้งตะหลิว ทิ้งกะทะ มาจับคัมภีร์ได้ :b32: อีกหน่อยก็จะเหมือนเช่นนั้น :b13:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 26 มิ.ย. 2014, 10:34 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

walaiporn เขียน:
ควรศึกษาผู้ที่ตรัสรู้แล้ว คือ ศึกษาจากพระธรรมคำสอน
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทิ้งร่องรอยไว้ให้ปรากฏเห็นอยู่

เดี๋ยวนี้วิธีการค้นหาพระธรรมคำสอน มีหลายช่องทาง
กูเกิ้ล เป็นอีกหนึ่งช่องทาง ที่สามารถใช้ในการหาข้อมูล เกี่ยวกับข้อสงสัย ในคำเรียกนั้นๆได้

เมื่อสงสัยในเรื่อง ศิล
เวลาเสริชหา ให้หาสองแบบคือ
๑. ศิล พุทธวจนะ
๒. ศิล พระไตรปิฎก
........
ตัวอย่าง พระะรรมคำสอนเรื่อง บุญกิริยาวัตถุ ๓
ภิกษุทั้งหลาย ! บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้
๓ ประการ อย่างไรเล่า ? คือ :-

(๑) บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยทาน
(๒) บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยศีล
(๓) บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยภาวนา

:b8: :b8:

ศีลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส..มี4

อายุมนุษย์ที่พระตถาคตมาตรัสรู้....ไม่เกินแสนปี..กับ...ไม่ต่ำกว่า 100 ปี
พระสมณโคดต...มาในช่วงมนุษย์อายุสั้นที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมีฐานพอที่จะทำความเข้าใจพระสัทธรรมอันอะเอียดปรานีตได้

จึงมีความเป็นไปได้ที่.พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆที่มาในช่วงมนุษย์อายุยาวๆ...อย่างแสนปี..หรือหมื่นๆปี...ศีลอันเป็นความเป็นปกติของมนุษย์ในช่วงนั้นๆ...(อาจ)...ไม่ใช่..4..หรือ..5....อย่างพวกเราๆในยุคนี้

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 26 มิ.ย. 2014, 11:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

กบนอกกะลา เขียน:
ศีลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส..มี4

อายุมนุษย์ที่พระตถาคตมาตรัสรู้....ไม่เกินแสนปี..กับ...ไม่ต่ำกว่า 100 ปี
พระสมณโคดต...มาในช่วงมนุษย์อายุสั้นที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมีฐานพอที่จะทำความเข้าใจพระสัทธรรมอันอะเอียดปรานีตได้

จึงมีความเป็นไปได้ที่.พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆที่มาในช่วงมนุษย์อายุยาวๆ...อย่างแสนปี..หรือหมื่นๆปี...ศีลอันเป็นความเป็นปกติของมนุษย์ในช่วงนั้นๆ...(อาจ)...ไม่ใช่..4..หรือ..5....อย่างพวกเราๆในยุคนี้

เรื่องศีลมีเป็นอันมาก ทำให้นึกถึง เรื่องราวที่ปรารภถึงภิกษุชื่ออุกกัณฐิต
พระรูปนี้ เกือบสึก เพราะเห็นว่า ศีล วินัยที่บัญญัติมีมากจนอีดอัด
ในที่สุดพระศาสดา บอกให้รักษาจิต ก็พอ....
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=13&p=3

สำหรับที่ทรงแสดง ศีล 5 และพุทธบริษัทให้ความสำคัญในศีล 5 เป็นพิเศษ
น่าจะมาจากพุทโธวาทรับรองว่า
Quote Tipitaka:
เป็นเลิศ มีมานาน เป็นเชื้อสายแห่งอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจาย
ไม่เคยกระจัดกระจาย อันบัณฑิตไม่รังเกียจอยู่ จักไม่รังเกียจ อันสมณพราหมณ์
ผู้เป็นวิญญูไม่เกลียด

เจ้าของ:  walaiporn [ 26 มิ.ย. 2014, 11:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

กบนอกกะลา เขียน:

ศีลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส..มี4




หากคุณกบ มีความคิดเห็นว่า ศีลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส..มี4

เมื่ออ้างอิงถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว่
น่าจะแนบพระไตรปิฎก หรือแหล่งที่ที่มาของบทความนั้นๆด้วย
เพื่อเป็นประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลต่อกัน เกี่ยวกับพระธรรมคำสอน
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้



สำหรับวลัยพร เห็นสิ่งที่เรียกว่า ศิล มี ๒ แบบ คือ

๑. ศิลที่เกิดจาก การสมาทาน ไม่ว่าจะมีกี่ข้อก็ตาม

๒. ศิล ที่เกิดจากการกระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์
ซึ่งเป็นปัจจัยให้ สังโยชน์ต่างๆ ที่มีอยู่ เบาบางลงไปตามเหตุปัจจัย

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 26 มิ.ย. 2014, 12:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

ผมสรุปจากที่คุณวลัยพร..ยกมา..ครับ
อ้างคำพูด:
             [๖๑๕] ดูกรนายคามณี ก็พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถึง
พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษ
ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิก-
*บานแล้ว เป็นผู้มีโชค เสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ ตถาคตนั้นทรงตำหนิติเตียน
ปาณาติบาต และตรัสว่า จงงดเว้นจากปาณาติบาต ทรงตำหนิติเตียนอทินนาทาน
และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทาน ทรงตำหนิติเตียนกาเมสุมิจฉาจาร และตรัส
ว่าจงงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ทรงตำหนิติเตียนมุสาวาท และตรัสว่า จงงดเว้น
จากมุสาวาท โดยอเนกปริยาย สาวกเป็นผู้เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อม
พิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย
และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์
มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำ
บาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อม
งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๖๑๖] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิ
ติเตียนอทินนาทานโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทาน
ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่มากมาย ข้อที่เราลักทรัพย์มากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึง
เดือดร้อน เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขา
พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละอทินนาทานนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากอทินนาทาน
ต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๖๑๗] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิ
ติเตียนกาเมสุมิจฉาจารโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
เราประพฤติผิดในกามมีอยู่มากมาย ข้อที่เราประพฤติผิดในกามมากมายนั้น ไม่ดี
ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรม
นั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละกาเมสุมิจฉาจารนั้นด้วย ย่อมงด
เว้นจากกาเมสุมิจฉาจารต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรมก้าวล่วงบาปกรรมได้
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๖๑๘] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิ
ติเตียนมุสาวาทโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากมุสาวาท ก็เราพูดเท็จ
มีอยู่มากมาย ข้อที่เราพูดเท็จมากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อน
เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้
แล้วย่อมละมุสาวาทนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากมุสาวาทต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละ
บาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๖๑๙] สาวกนั้นละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต ละอทินนาทาน

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 26 มิ.ย. 2014, 12:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

เช่นนั้น เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ศีลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส..มี4

อายุมนุษย์ที่พระตถาคตมาตรัสรู้....ไม่เกินแสนปี..กับ...ไม่ต่ำกว่า 100 ปี
พระสมณโคดต...มาในช่วงมนุษย์อายุสั้นที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมีฐานพอที่จะทำความเข้าใจพระสัทธรรมอันอะเอียดปรานีตได้

จึงมีความเป็นไปได้ที่.พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆที่มาในช่วงมนุษย์อายุยาวๆ...อย่างแสนปี..หรือหมื่นๆปี...ศีลอันเป็นความเป็นปกติของมนุษย์ในช่วงนั้นๆ...(อาจ)...ไม่ใช่..4..หรือ..5....อย่างพวกเราๆในยุคนี้

เรื่องศีลมีเป็นอันมาก ทำให้นึกถึง เรื่องราวที่ปรารภถึงภิกษุชื่ออุกกัณฐิต
พระรูปนี้ เกือบสึก เพราะเห็นว่า ศีล วินัยที่บัญญัติมีมากจนอีดอัด
ในที่สุดพระศาสดา บอกให้รักษาจิต ก็พอ....
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=13&p=3
.....


ใช่เลยครับ...ศีล..มีแค่หนึ่ง..คือ..ใจ....แล้วขยายมาเป็น 2 คือ..หิริ...และ..โอตัปปะ...

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 26 มิ.ย. 2014, 12:34 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

เช่นนั้น เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ศีลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส..มี4

อายุมนุษย์ที่พระตถาคตมาตรัสรู้....ไม่เกินแสนปี..กับ...ไม่ต่ำกว่า 100 ปี
พระสมณโคดต...มาในช่วงมนุษย์อายุสั้นที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมีฐานพอที่จะทำความเข้าใจพระสัทธรรมอันอะเอียดปรานีตได้

จึงมีความเป็นไปได้ที่.พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆที่มาในช่วงมนุษย์อายุยาวๆ...อย่างแสนปี..หรือหมื่นๆปี...ศีลอันเป็นความเป็นปกติของมนุษย์ในช่วงนั้นๆ...(อาจ)...ไม่ใช่..4..หรือ..5....อย่างพวกเราๆในยุคนี้

เรื่องศีลมีเป็นอันมาก ทำให้นึกถึง เรื่องราวที่ปรารภถึงภิกษุชื่ออุกกัณฐิต
พระรูปนี้ เกือบสึก เพราะเห็นว่า ศีล วินัยที่บัญญัติมีมากจนอีดอัด
ในที่สุดพระศาสดา บอกให้รักษาจิต ก็พอ....
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=13&p=3

สำหรับที่ทรงแสดง ศีล 5 และพุทธบริษัทให้ความสำคัญในศีล 5 เป็นพิเศษ
น่าจะมาจากพุทโธวาทรับรองว่า
Quote Tipitaka:
เป็นเลิศ มีมานาน เป็นเชื้อสายแห่งอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจาย
ไม่เคยกระจัดกระจาย อันบัณฑิตไม่รังเกียจอยู่ จักไม่รังเกียจ อันสมณพราหมณ์
ผู้เป็นวิญญูไม่เกลียด



ชัดเจนนะพี่น้อง คห. แต่ละ คห. ของเช่นนั้น ถอยหลังหมด ตามคนไม่ทัน

ดีไม่ดี เช่นนั้น คิดว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ด้วยซ้ำ อ้าวจริงๆ

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 26 มิ.ย. 2014, 12:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

กรัชกาย เขียน:
ชัดเจนนะพี่น้อง คห. แต่ละ คห. ของเช่นนั้น ถอยหลังหมด ตามคนไม่ทัน

ดีไม่ดี เช่นนั้น คิดว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ด้วยซ้ำ อ้าวจริงๆ

ทำตัวเหมือนโดนพ่อแม่ตีมา นะกรัชกาย
ไปนั่งสารภาพผิด ศึกษาพระสูตรเหอะกรัชกาย

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 26 มิ.ย. 2014, 12:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชัดเจนนะพี่น้อง คห. แต่ละ คห. ของเช่นนั้น ถอยหลังหมด ตามคนไม่ทัน

ดีไม่ดี เช่นนั้น คิดว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ด้วยซ้ำ อ้าวจริงๆ

ทำตัวเหมือนโดนพ่อแม่ตีมา นะกรัชกาย
ไปนั่งสารภาพผิด ศึกษาพระสูตรเหอะกรัชกาย



เช่นนั้น พระพุทธเจ้าเป็นคนนะ 45 ปี หลังตรัสรู้ ท่านสอนคนนะ :b1:

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 26 มิ.ย. 2014, 12:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชัดเจนนะพี่น้อง คห. แต่ละ คห. ของเช่นนั้น ถอยหลังหมด ตามคนไม่ทัน

ดีไม่ดี เช่นนั้น คิดว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ด้วยซ้ำ อ้าวจริงๆ

ทำตัวเหมือนโดนพ่อแม่ตีมา นะกรัชกาย
ไปนั่งสารภาพผิด ศึกษาพระสูตรเหอะกรัชกาย



เช่นนั้น พระพุทธเจ้าเป็นคนนะ 45 ปี หลังตรัสรู้ ท่านสอนคนนะ :b1:

กรัชกายไม่ใช่คนรึ
ถึงไม่ศึกษาพระสูตร ที่บรรจุถ้อยคำที่พระพุทธองค์สอน :b32: :b32:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 26 มิ.ย. 2014, 12:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชัดเจนนะพี่น้อง คห. แต่ละ คห. ของเช่นนั้น ถอยหลังหมด ตามคนไม่ทัน

ดีไม่ดี เช่นนั้น คิดว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ด้วยซ้ำ อ้าวจริงๆ

ทำตัวเหมือนโดนพ่อแม่ตีมา นะกรัชกาย
ไปนั่งสารภาพผิด ศึกษาพระสูตรเหอะกรัชกาย



เช่นนั้น พระพุทธเจ้าเป็นคนนะ 45 ปี หลังตรัสรู้ ท่านสอนคนนะ :b1:

กรัชกายไม่ใช่คนรึ
ถึงไม่ศึกษาพระสูตร ที่บรรจุถ้อยคำที่พระพุทธองค์สอน :b32: :b32:



ถ้าศึกษาแล้วเพี้ยนอย่างเช่นนั้นนี่ ทำบุญอย่างอื่นเอาเถอะนะ เวรกรรม คนวันวันนี้นะเช่นนั้น

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 26 มิ.ย. 2014, 12:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การประคับประคองใจ

ศีล....แปลว่า...ความเป็นปกติ..คือ..ปกติของใจ

ความเป็นปกติ...นั้น...ใช้อะไรเป็นจุดสังเกต?

หน้า 1 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/