ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=48456 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 14 ต.ค. 2014, 16:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว |
เจ้าของ: | asoka [ 14 ต.ค. 2014, 22:05 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ | ||
choochu เขียน: พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว ![]() อะระ.....อริ....ศัตรู หันตะ.....ฆ่าตายหมด ผู้ฆ่าศัตรูตายหมดแล้ว ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 15 ต.ค. 2014, 22:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
choochu เขียน: พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว ![]() ความคิดนะครับ...คิดเล่นๆ...ถ้าท่านยังมีธาตุ4ขันธ์5 อยู่....กิเลสยังปรากฎอยู่....แต่ท่านละได้หมด ตัวท่านนั้นนะกิเลสไม่หลงเหลือแล้ว....แต่กิเลสยังมีเศษหลงเหลืออยู่กับขันธ์...เพราะท่านยังไม่นิพพาน...ขันธ์ยังมีอยู่.....ขันธ์มันก็ทำงานตามโปรแกรมกิเลสที่ติดอยู่...แต่ใจท่่านไม่หลงปรุงต่อไปกับมัน...มันก็เพียงเกิดแล้วก็ดับ... ไม่งั้นพระพุทธองค์คงไม่บอกว่านิพพานมี 2คือ.. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานแบบไม่มีเบญจขันธ์ คงต้องมีอะไรที่ต่างกันมั้งละ....ถึงมีสองแบบ... คิดเล่นๆ...เรื่อยๆ...นะครับ ![]() |
เจ้าของ: | โกเมศวร์ [ 16 ต.ค. 2014, 17:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
![]() ผมเห็นว่า ขันธ์ที่ปุถุชนและอริยบุคคลยกเว้นพระอรหันต์ใช้อยู่นั้น ไม่ใช่ขันธ์ 5 บริสุทธิ์ แต่เป็นขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอาสวะ เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานขันธ์ ครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 16 ต.ค. 2014, 20:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
ถือว่า...คุยไปเรื่อย...อย่าถือสาว่าต้องเป็นจริงเป็นจัง..นะครับ....มันเปลี่ยนได้...เมื่อพบความจริง ![]() ผมก็ไม่รู้...นะ....ว่า..ขันธ์บริสุทธิ์..นี้..เป็นอย่างไร เคยมีคนถามหลวงพ่อองค์หนึ่งว่า..."หลวงพ่อยังโกรธอยู่มั้ย?" หลวงพ่อท่านนั้นก็ตอบว่า..."มีอยู่..แต่ไม่เอามัน" ![]() |
เจ้าของ: | โกเมศวร์ [ 16 ต.ค. 2014, 22:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
![]() แต่ละขณะเป็นเรื่องสำคัญครับคุณกบ เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านนั้นเป็นพระอรหันต์ตอนอายุเท่าไหร่ คำพูดคำสอนในแต่ละขณะจึงต้องพิจารณาให้ดีครับ ผมก็ศรัทธาในหลวงปู่ท่านเช่นกันครับ คุณกบ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 16 ต.ค. 2014, 22:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
ใช่ครับ..ขณะ..สำคัญ...ขณะนั้น..ท่านเป็นขั้นไหนก็มิทราบได้.. แต่..ผมเห็นว่า..ไอที่ผมคิด...มันเข้ากันได้..เลยยกมา..นะครับ อีกคำหนึ่งเคยได้ยินมา..คือ..คำว่าขันธ์มาร... ส่วน...ขันธ์5 บริสุทธิ์..นี้....ลองเล่าให้ฟังหน่อยซิครับ...ว่ามันมีอากัปกิริยา..ยังงัย? |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 16 ต.ค. 2014, 22:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
กิเลสเป็นสิ่งที่คู่กับโลก...เป็นสิ่งที่ดึงเหนี่ยวรั้งให้วนเวียนไปกับโลก ให้หลงมัวเมา เกลือกกลั้ว... ส่วน อรหันต์ ... ตั้งอยู่ในโลกุตระธรรม ซึ่งท่านเห็นธรรม และท่านแจ้งในธรรม ... ท่านไม่หลง ด้วยอาการที่รู้แจ้ง ไม่หลง ... อะไรมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ปรากฎ... ![]() |
เจ้าของ: | โกเมศวร์ [ 16 ต.ค. 2014, 23:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
![]() ผมไม่สามารถนำขันธ์ทีบริสุทธิ์มาแสดงได้ครับ สิ่งที่พอบอกได้คือวิธีรู้จักขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน(อุปาทานขันธ์)ครับ ส่วนสิ่งที่คุณเอกอนกล่าวผมก็เห็นด้วยครับ ถ้าคำว่าโลกที่คุณเอกอนกล่าวนั้นเป็นอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธองค์บัญญัติครับ ไว้เหตุปัจจัยเหมาะสมคงได้สนทนากันอีกครับ ![]() |
เจ้าของ: | toy1 [ 17 ต.ค. 2014, 11:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
กิเลสข้อหนึ่งที่เราไม่รู้คืออวิชชา ความไม่รู้ทั้งหลายที่เรากระทำขึ้นประกอบขึ้นล้วนแล้วเป็นอวิชชาพาชีวิตเราไปตามลักษณะสามัญชนหรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดมาตั้งอยู่ดับไป ด้วยสังขารที่อาศัย คือเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเวียนว่าย ตาย เกิด ก็คือเรื่องของอวิชชา เรื่องของอุปาทาน เรื่องของวิบากกรรม ที่เรืยกว่า นิสัยโลกปกคลุมอยู่ ความไม่รู้ทั้งสามประการเป็นเรื่องสามัญปกติของชีวิตที่เกิดมาตั้งอยู่แล้วดับไป การเจริญสมาธิช่วยให้เรารู้จักสิ่งที่อยู่กับจิตเรา คือ เรื่องราวของขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ การรู้จักขันธ์ห้าจะทำให้เรารู้จักอนัตตาคือสิ่งที่ไม่มีตัวตน รู้จักภาวะความเป็นจริงของขันธ์ห้านั้น เป็นประโยชน์เป็นความรู้ความเข้าใจด้วยปํญญาทำเราให้เจริญขึ้น ผ่อนคลายขึ้น ละวางขึ้นกับเรื่องราวทั้งหลายของขันธ์ห้า ไม่หลงใช้ชีวิตด้วยอวิชชา ไม่ใช้รูปนี้ไปในทางลบไม่เป็นประโยชน์ ไม่หลงใช้รูปไปในทางโลภ ทางโกรธ ทางหลง หลงรูป หลงปัจจัยสี่ หลงโลกธรรม หลงทรัพย์สมบัติ หลงเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายและสรรพสัตว์ทั้งหลาย หลงทุกอย่าง เพราะความไม่เข้าใจในรูป จึงให้ปล่อยให้รูปนี้เป็นอวิชชา ก่อนที่รูปนี้จะละลายไป อะไรที่เป็นประโยชน์เป็นสาระแก่จิตดวงนี้ก็ทำขึ้น เหมือนนำรูปนี้มาตั้งอยู่ท่ามกลางของสัจธรรม คือความเป็นธรรมที่เรียกว่าสมาธิ เป็นประโยชน์แล้ว อย่างน้อยๆ ก็หยุดพักเรื่องราวที่เราไม่รู้นั้นก่อน ในขณะที่นำรูปมาตั้งในท่ามกลางสัจธรรม จิตเราก็รู้จักปฏิเสธเรื่องราวต่างๆ อันทำให้เกิดเป็นองค์สมาธิขึ้น เป็นรูปที่มีประโยชน์ ไม่ใช้รูปไปในทางเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ประมาทในชีวิตที่มีรูปแก่ รูปเจ็บ รูปตายให้เราเห็น เหมือนเราเกิดมาเพื่อรอตายแท้ๆ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 17 ต.ค. 2014, 14:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
โกเมศวร์ เขียน: ![]() ผมไม่สามารถนำขันธ์ทีบริสุทธิ์มาแสดงได้ครับ สิ่งที่พอบอกได้คือวิธีรู้จักขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน(อุปาทานขันธ์)ครับ ![]() ![]() แสดงธรรมอันว่าด้วย ขันธ์ห้า ... เพียงเท่านั้น...แค่ที่เป็นสัจธรรมแห่งขันธ์... ...ก็พอแล้ว... ผู้มีดวงตาอันบริสุทธิ์...ย่อมเล็งเห็นได้... ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 17 ต.ค. 2014, 16:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
กบนอกกะลา เขียน: choochu เขียน: พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว ![]() ความคิดนะครับ...คิดเล่นๆ...ถ้าท่านยังมีธาตุ4ขันธ์5 อยู่....กิเลสยังปรากฎอยู่....แต่ท่านละได้หมด ตัวท่านนั้นนะกิเลสไม่หลงเหลือแล้ว....แต่กิเลสยังมีเศษหลงเหลืออยู่กับขันธ์...เพราะท่านยังไม่นิพพาน...ขันธ์ยังมีอยู่.....ขันธ์มันก็ทำงานตามโปรแกรมกิเลสที่ติดอยู่...แต่ใจท่่านไม่หลงปรุงต่อไปกับมัน...มันก็เพียงเกิดแล้วก็ดับ... ไม่งั้นพระพุทธองค์คงไม่บอกว่านิพพานมี 2คือ.. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานแบบไม่มีเบญจขันธ์ คงต้องมีอะไรที่ต่างกันมั้งละ....ถึงมีสองแบบ... คิดเล่นๆ...เรื่อยๆ...นะครับ ![]() พระอรหันต์เป็นผู้ทำลายกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ที่เรียกว่า นิพพานกิเลส แต่รูปขันธ์และสังขารขันธ์ยังอยู่ ที่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง พระอรหันต์ตาย ที่เรียกว่า ดับขันธ์ปรินิพพาน ทั้งสองจึงต่างกันครับ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 17 ต.ค. 2014, 17:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
choochu เขียน: พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว ปุถุชนเท่านั้นที่มีกิเลส เมื่อทำลายกิเลสได้หมดแล้ว ปุถุชนคนนั้นแหละได้ชื่อว่า พระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นผู้ที่ทำลายกิเลสได้ จึงไม่มีกิเลสหลงเหลือ |
เจ้าของ: | student [ 19 ต.ค. 2014, 01:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
toy1 เขียน: กิเลสข้อหนึ่งที่เราไม่รู้คืออวิชชา ความไม่รู้ทั้งหลายที่เรากระทำขึ้นประกอบขึ้นล้วนแล้วเป็นอวิชชาพาชีวิตเราไปตามลักษณะสามัญชนหรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดมาตั้งอยู่ดับไป ด้วยสังขารที่อาศัย คือเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเวียนว่าย ตาย เกิด ก็คือเรื่องของอวิชชา เรื่องของอุปาทาน เรื่องของวิบากกรรม ที่เรืยกว่า นิสัยโลกปกคลุมอยู่ ความไม่รู้ทั้งสามประการเป็นเรื่องสามัญปกติของชีวิตที่เกิดมาตั้งอยู่แล้วดับไป การเจริญสมาธิช่วยให้เรารู้จักสิ่งที่อยู่กับจิตเรา คือ เรื่องราวของขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ การรู้จักขันธ์ห้าจะทำให้เรารู้จักอนัตตาคือสิ่งที่ไม่มีตัวตน รู้จักภาวะความเป็นจริงของขันธ์ห้านั้น เป็นประโยชน์เป็นความรู้ความเข้าใจด้วยปํญญาทำเราให้เจริญขึ้น ผ่อนคลายขึ้น ละวางขึ้นกับเรื่องราวทั้งหลายของขันธ์ห้า ไม่หลงใช้ชีวิตด้วยอวิชชา ไม่ใช้รูปนี้ไปในทางลบไม่เป็นประโยชน์ ไม่หลงใช้รูปไปในทางโลภ ทางโกรธ ทางหลง หลงรูป หลงปัจจัยสี่ หลงโลกธรรม หลงทรัพย์สมบัติ หลงเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายและสรรพสัตว์ทั้งหลาย หลงทุกอย่าง เพราะความไม่เข้าใจในรูป จึงให้ปล่อยให้รูปนี้เป็นอวิชชา ก่อนที่รูปนี้จะละลายไป อะไรที่เป็นประโยชน์เป็นสาระแก่จิตดวงนี้ก็ทำขึ้น เหมือนนำรูปนี้มาตั้งอยู่ท่ามกลางของสัจธรรม คือความเป็นธรรมที่เรียกว่าสมาธิ เป็นประโยชน์แล้ว อย่างน้อยๆ ก็หยุดพักเรื่องราวที่เราไม่รู้นั้นก่อน ในขณะที่นำรูปมาตั้งในท่ามกลางสัจธรรม จิตเราก็รู้จักปฏิเสธเรื่องราวต่างๆ อันทำให้เกิดเป็นองค์สมาธิขึ้น เป็นรูปที่มีประโยชน์ ไม่ใช้รูปไปในทางเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ประมาทในชีวิตที่มีรูปแก่ รูปเจ็บ รูปตายให้เราเห็น เหมือนเราเกิดมาเพื่อรอตายแท้ๆ ![]() ผมไม่รู้ว่าคุณทอยเรียบเรียงขึ้นเองจากความคิดตนเอง หรือนำบทความมาจากที่อื่น แต่ก็ขออนุโมทนาครับ |
เจ้าของ: | toy1 [ 19 ต.ค. 2014, 07:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มีกิเลสแต่ละได้หมด กับ ไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่ |
คุณ Student มีพระท่านสอนให้ ในเรื่องของอวิชชา อุปาทาน วิบากกรรม ที่เรียกว่านิสัยโลกปกคลุมอยู่ และท่านก็ให้เหตุผลชี้แจงพอเป็นแนวทางให้เราไปพิจารณา กลั่นกรอง น้อมนำไปปฏิบัติเพื่อผ่อนคลายความทุกข์กายทุกข์ใจ เมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้วพิจารณาดัวยจิตของตนไปตามที่ท่านบอกกล่าวไว้ ผลที่เราจะได้นั้นจะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้จิตของตัวเองเข้าไปศึกษาพิจารณา ให้เข้าใจสภาพความเป็นจริงด้วยเหตุด้วยผลในสิ่งที่จิตของตัวเองอาศัยอยู่ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |