ใช่ครับ....ตัวอยาก..นี้เอง

อยากดี....อยากไม่ทุกข์...อยากปราศจากความไม่สมหวัง....อยากออกไปจากที่กำลังเป็น

จึงทุกข์...

สติอ่อน..จริงๆๆนั้นแหละครับ...ก็กำลังมองตรงนี้เหมือนกันครับ

อยากมีชีวิตปฏิบัติธรรมอย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรค์



แต่อุปสรรค์มันก็มาจั๊งงงงง

มีขันธ์ 5 นี้...ไม่ไหวเรย...เน๊าะ

แฮ่ม...พอ..ท้อ..ท้อ....ก็มีกำลังใจมาให้...พอดี....

จะเป็นอรหันต์....เขายังป่วยไข้ไม่สบายอาการแสนสาหัส...เลย...ดูซิ

หนังสือเล่มนี้ ซื้อมาไว้เป็นเดือนแล้ว
เอาใส่กระเป๋าเป้คู่ชีพหิ้วติดตัวไปไหนต่อไหนด้วยทุกที่ ทุกวัน
แต่ไม่เคยได้มีเวลามานั่งเปิดดูเลย
เพิ่งจะได้แง้ม ๆ อ่านวันนี้



ถ้าใครมีความชื่นชอบ สนใจศึกษาธรรมในแนวนี้
นับว่าเป็นหนังสือที่ไม่น่าพลาด

การถ่ายทอดองค์ความรู้บางอย่าง ประสบการณ์บางอย่างในหนังสือ
ขอบอกว่า เปิดวิสัยทัศน์ได้อย่างน่าสนใจ


บางส่วนจากหน้า 11
"ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีผู้คนทั้งชายและหญิง รวมทั้งบรมครูอีกจำนวนมาก
ได้พัฒนาสภาพของจิตที่โดดเด่น ด้วยการสร้างสภาวะของสมองที่โดดเด่น
ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ฝึกเจริญภาวนาที่เชี่ยวชาญชาวธิเบตได้ภาวนาลงไปในสมาธิ
ระดับลึกนั้น พวกเขาได้ผลิต คลื่นสมอง แกมมาซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มี
พลังมหาศาลและแผ่กระจายไปทั่วอย่างไม่ปกติทีเดียว

ปรากฎการณ์นี้ส่งผลให้พื้นที่ของระบบประสาทขนาดใหญ่เกินปกติมาก มีการเต้น
อย่างสอดคล้องกันในระหว่าง 30-80 ครั้งต่อนาที และเป็นการรวบรวมการทำงานของ
พื้นที่ของใจพื้นที่ที่ใหญ่มากเข้าด้วยกัน"



และบังเอิญที่เอกอนเคยกล่าวเช่นนี้เมื่อ 20 กว่าปีก่อน
"ผู้ศึกษาธรรมจะเข้าใจคำสอนของพุทธะได้อย่างแจ่มแจ้ง
คือผู้ปฏิบัติจะเห็นธรรมที่พระพุทธองค์สอนได้อย่างแจ่มแจ้ง
ก็ต่อเมื่อกายและใจทำงานประสานกันเป็นหนึ่ง และเคลื่อนไปในจังหวะ
ที่สอดคล้อง สอดประสานกับที่หัวใจพุทธะเต้น
เมื่อนั้น ผู้ปฏิบัติจะรู้ในสิ่งที่พุทธะรู้ ซึ่งเขาจะเห็นพระไตรปิฎกฉบับจริง
พระไตรปิฎก ฉบับที่ไม่ได้เขียนด้วยภาษาที่ใช้กันอยู่บนโลก
พระไตรปิฎกฉบับที่ยังไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาษามนุษย์น่ะ"

ตอนนั้นพอออกจากอารมณ์ธรรมนั้น ๆ
ปรากฎว่า เอกอนยิ่งทวีความอยากเข้าศรีธัญญายิ่งขึ้นไปอีก



เพื่อน ๆ ท่านใดชอบธรรมออกแนว ๆ นี้
ลองไปสำรวจตลาดหนังสือน๊ะจ๊ะ

ขอบอก ดูเหมือนว่าจะขายดีมาก